Bringing Culture to a Different World - ตอนที่ 10
“ ขอมือหน่อย”เซซิลีพูด
โจชัวยื่นมือออกไป เขาไม่ได้ทำอะไรผิดและไม่มีอะไรต้องปิดบังต่อหน้าทหารรักษาการณ์
แม้ว่านางจะตรวจพบนักเวทย์ตัวน้อยในห้อง แต่เซซิลีก็จะนึกถึงความปลอดภัยของเมืองและให้โจชัวส่งมนุษย์กลับไปยังโลกของนาง
ถูกต้อง … ส่งนางกลับไปและไม่ประหารชีวิตนางทันที
เซซิลีเป็นหนึ่งในผู้นำฝ่ายอนุรักษ์นิยมของอาณาจักรปีศาจ และในฐานะทหารรักษาการณ์นางเกลียดการฆ่าแบบสุ่มสี่สุ่มห้า
เซซิลีจับมือของโจชัวขณะที่นางดึงแขนเสื้อขึ้นเพื่อมองแขนของเขา
โจชัวรู้สึกเหมือนกำลังได้รับการรักษาโดยแพทย์แผนจีนที่จับชีพจรของเขา
“ ไม่มีความวุ่นวายในเวทมนตร์ของเจ้า…”
เซซิลีวางมือบนหน้าอกของโจชัวอีกครั้งและการเคลื่อนไหวนั้นก็ทำให้นางเข้าใกล้โจชัวมากขึ้น เขาได้กลิ่นกายของนาง …
มีกลิ่นของมะยมและไลแลค
“ดี ไม่มีผลกระทบใด ๆ “
“ พี่กำลังทำอะไร?” โจชัวดึงแขนเสื้อขึ้นขณะที่เขามองเซซิลี
สิ่งที่เซซิลีทำไม่ใช่การค้นหาร่างกาย แต่เป็นการตรวจสุขภาพของโจชัว
“ เจ้าลืมไปหรือเปล่าว่าเวทมนตร์ของเจ้าควบคุมไม่ได้จากการทดลองครั้งที่แล้ว?”
“ แน่นอน ข้าไม่ลืม” โจชัวจำได้ว่าก่อนที่เจ้าชายจะมุ่งหน้าไปยังอาณาจักรมนุษย์ เขาสูญเสียการควบคุมเวทมนตร์ในระหว่างการทดลอง และเกือบจะถูกกลืนหายไปในความโกลาหล แม้ในที่สุดเขาจะสามารถควบคุมเวทมนตร์ได้ มันก็ยังสร้างความเสียหายอย่างมากต่อร่างกายและจิตวิญญาณของเขา
ตั้งแต่เกิดอุบัติเหตุครั้งนั้น เจ้าชายก็มุ่งมั่นที่จะเรียนรู้เวทมนตร์ใหม่จากอาณาจักรมนุษย์ ความทรงจำหลังจากนั้นค่อนข้างเลือนราง
เขาจำได้ว่าเมื่อเขาใช้จิตวิญญาณครั้งสุดท้ายเพื่อเรียกซีนาร์ท วิญญาณที่สลายไปของเขาได้พบกับเขาอีกคนในอีกโลกหนึ่ง
“ ไม่ต้องกังวล ข้าหายดีแล้ว”
แม้ใบหน้าของนางจะดุ แต่เขาก็พอบอกได้จากสายตาของนางว่านางเป็นห่วง เขาจึงพูดเพื่อคลายความกังวลของนาง
“ แน่ใจนะว่าจะ…ไม่มีครั้งต่อไป?”
เซซิลีจัดคอเสื้อของโจชัว ขณะที่นางพูดด้วยท่าทางจริงจัง
“แน่”
“ ข้ามีงานต้องทำ กำจัดมนุษย์คนนั้นและคนอื่น ๆ ในคุกใต้ดินให้เร็วที่สุด คุกใต้ดินไม่ใช่โรงแรม”
ขอบเขตงานของทหารรักษาการณ์ไม่ได้จำกัดเฉพาะในปราสาท พวกเขาจะกวาดล้างมุมมืดที่สุดของเมืองเพื่อจัดการกับอาชญากรที่ร้ายกาจที่สุด
การเดินทางกลับบ้านของเซซิลีมาที่ปราสาทก็เพื่อมาดูโจชัว
ขณะที่เขาดูการจากไปของเซซิลี เขาก็สังเกตเห็นว่าความสัมพันธ์ของเจ้าชายกับพี่น้องของเขาไม่ได้แย่ขนาดนั้น
โจชัวยังคงมีความทรงจำเกี่ยวกับพี่ชายคนโตและพี่สาวที่สอนเวทมนตร์ให้เขาตอนที่เขายังเด็ก
นอกเหนือจากสถานะของพวกเขาในฐานะราชวงศ์ปีศาจแล้ว พวกเขาก็เหมือนครอบครัวธรรมดาทั่วไปที่สนับสนุนและดูแลกัน
อย่างไรก็ตามความสัมพันธ์นั้น…จางหายไปเมื่อพี่น้องเติบโตขึ้น
ตอนแรกโจชัวคิดว่าทุกคนเป็นแบบนั้น พวกเขาเลือดเย็นจนละเลยความสัมพันธ์ในครอบครัวหรือเปล่า?
คำตอบคือไม่
น็อกซ์ พี่ชายของเขาเติบโตขึ้นมาภายในป้อมปราการซิทาเดล ติดอาวุธให้กับตัวเองในฐานะแม่ทัพ ใช้สงครามเพื่อทำให้มนุษย์จดจำสถานะของปีศาจ
พี่สาวของเขารับช่วงการบริหารจัดการเมืองหลวง ขณะที่นางสวมบของบทบาททหารรักษาการณ์ นางเป็นผู้บังคับใช้กฏหมายในเมืองหลวง แต่นางมีทัศนคติแบบอนุรักษ์นิยมในเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างปีศาจกับมนุษย์และค่อนข้างชอบรักษาความสงบสุขในปัจจุบันมากกว่าการทำสงคราม
เนื่องจากอุดมการณ์ของตนจึงต้องยืนอยู่คนละฟาก โจชัวคาดการณ์ว่าเลือดจะไหลทะลักจากการต่อสู้เพื่อชิงบัลลังก์
สำหรับโจชัว ไม่ว่าใครจะชนะหรือแพ้ต่างก็น่าสงสาร
ผู้ที่ต่อต้านเครือญาติของตนเองเพื่ออำนาจนั้นน่าสงสารที่สุด
โจชัวเชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงยังคงเกิดขึ้นได้ การเปลี่ยนความคิดของคนไม่ใช่เรื่องยาก ตราบใดที่ยังมีโอกาส
เหมือนกับช่วงเวลานั้นที่หลายคนเชื่อในรักแท้อีกครั้งหลังจากที่พวกเขาดูไททานิค
ไม่ว่าจะเป็นภาพยนตร์ นวนิยาย หรือบทเพลงล้วนสร้างขึ้นเพื่อให้ผู้ชมมีพลัง
ถึงเวลาแล้วที่เขาจะต้องหยุดการขบคิดเพราะโจชัวรู้สึกได้ว่านักเวทย์ตัวน้อยนั่งยองๆจนขาของนางชาไปหมดแล้ว
“ นางไปแล้วซิริ”
โจชัวปิดประตูห้อง ขึ้นไปที่ชั้นหนังสือ ในขณะที่เขาดึงม้วนหนังแกะออกมาจากด้านขวาสุดของชั้นวาง
“ เจ้าตั้งใจจะฆ่าทุกคนในคุกใต้ดินหรือไง?”ซิริถามขณะที่นางเดินออกมาจากด้านหลังของชั้นหนังสือ นางได้ยินบทสนทนาของโจชัวและเซซิลี
และนางก็ได้ยินคำว่า“ กำจัดพวกมัน” อย่างชัดเจน
“ฆ่าพวกเขา? ไม่ ปัญหามากเกินไป ข้าวางแผนที่จะปล่อยพวกเขาทั้งหมดไป”
“ปล่อยพวกเขาไป…”
ซิริต้องยืนยันว่านางไม่ได้หูฝาดและถามอีกครั้ง
“ อาณาจักรปีศาจขาดแคลนอาหารอยู่ตลอดเวลา ข้าไม่มีเหตุผลที่จะเลี้ยงกลุ่มมนุษย์ที่ข้าไม่รู้จักด้วยซ้ำ ข้าวางแผนที่จะส่งพวกเขากลับไปที่หมู่บ้านของพวกเขาในอีกสองสามวัน”
มีชาวบ้าน 57 คนที่ซีนาร์ทลักพาตัวมาจากหมู่บ้าน ไม่รวมซิริที่หลบหนีโดยบังเอิญ คนที่เหลือถูกขังในคุกใต้ดิน
พวกเขาส่วนใหญ่เป็นผู้รอดชีวิตจากการโจมตีของกลุ่มโจร และสำหรับวิธีจัดการกับพวกเขา โจชัวมีแผนอยู่แล้ว
เขากำลังจะส่งทุกคนกลับ ไม่ การส่งพวกเขากลับไม่ใช่คำที่ถูกต้อง…โจชัวจะช่วยพวกเขาจากคุกใต้ดินด้วยตัวเอง!
“ โฉมงามกับเจ้าชายอสูร” มีสามฉากหลัก ที่แรกคือเมืองเล็ก ๆ ที่สองคือภูเขาหิมะระหว่างทางไปปราสาทและสุดท้ายคือปราสาท
ความสำคัญของเมืองที่เบลล์อาศัยอยู่นั้นเป็นรองแค่ปราสาทเท่านั้น
จะมีชาวเมืองมากมายในเมืองนั้น และพวกเขาล้วนเป็นคนที่แทบไม่มีบทบาทอะไรให้พูดถึง อย่างไรก็ตามสำหรับภาพยนตร์ที่ดี ตัวประกอบที่ยอดเยี่ยมเป็นสิ่งจำเป็นเนื่องจากเป็นหนึ่งในเสาหลักที่ให้บรรยากาศโดยรวมของภาพยนตร์
ในโลกที่ไม่มีนักแสดง เขาจะหาตัวประกอบได้ที่ไหน?
แม้ว่าโจชัวจะจับกลุ่มมนุษย์ แต่ทักษะการแสดงของพวกเขาก็เป็นปัญหา
ข้อสรุปสุดท้ายนั้นง่ายๆ ผู้คนจะมีบทบาทดีที่สุดเมื่อพวกเขาเล่นเป็นตัวของตัวเอง
ดังนั้นโจชัวจึงตัดสินใจใช้หมู่บ้านนี้ และชาวบ้านเป็นเมืองที่เบลล์อาศัยอยู่
ในโฉมงามกับเจ้าชายอสูร มีนักล่าชื่อแกสตันซึ่งอาศัยอยู่ในหมู่บ้านเดียวกัน เขาสูง หล่อเป็นที่ชื่นชอบของชาวบ้าน เขาพยายามไล่ตามเบลล์อยู่ตลอดเวลา แต่ความเย่อหยิ่งและท่าทีที่ไม่สุภาพของเขาทำให้เบลล์ไม่สนใจ
แกสตันเป็นตัวละครที่ขาดไม่ได้ในภาพยนตร์ และโจชัวไม่ได้มองหาใครมารับบทนี้ เพราะเขาจะเล่นด้วยของเขาตัวเอง
เพราะฉะนั้นโจชัวจำเป็นต้องแสดงเป็นนักล่ามนุษย์ที่หลงเข้ามาในอาณาจักรปีศาจ บุกเข้าไปในคุกที่ชาวบ้านถูกกักขัง และช่วยพวกเขาทั้งหมด
ด้วยเหตุนี้ชาวบ้านจึงบูชาโจชัวหรือตัวละคร“แกสตัน” ว่าเป็นฮีโร่โดยธรรมชาติ
ชีวิตก็เหมือนการเล่นและการเล่นก็เหมือนชีวิต คำพูดเหล่านั้นเป็นความจริงแค่ไหน
บางทีชาวบ้านอาจไม่เคยรู้มาก่อนว่าพวกเขามีชีวิตอยู่ในเรื่องราวที่โจชัวเขียนไว้ แม้หลังจากการถ่ายทำจบลงแล้วก็ตาม
อย่างไรก็ตามตราบใดที่เรื่องราวนั้นดีพอ แม้ว่าพวกเขาจะรู้ตัวแล้ว พวกเขาก็คงไม่ว่าอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ใช่ไหม ?เช่นเดียวกับจอมเวทย์ตัวน้อย …
“ ถ้าอย่างนั้นเจ้าช่วยพาข้าไปด้วยได้ไหม!”
ซิริเริ่มรู้สึกเสียดายที่เธอใช้แหวน มันเทียบเท่าอาหารสามปีเชียวนะ
“ น่าเสียดาย แต่ไม่ ”
โจชัวส่ายหัวเพื่อบอกว่าไม่
“ทำไม!!! ข้าก็ถูกลักพาตัวมาด้วย!” ซิริแทบร้องไห้
“ เพราะเจ้ารู้มากเกินไป”
โจชัวครุ่นคิดเล็กน้อยก่อนที่เขาจะตอบกลับด้วยคำตอบที่คลาสสิกมาก