Bringing Culture to a Different World - ตอนที่ 122
ตอนที่ 122 เดินทาง
นี่คือศาลนอกรีตในตํานาน เพชรฆาตที่สามารถนําทุกคนขึ้นเวทีพิจารณาคดีได้?
นั่นเป็นเรื่องไร้สาระ!
แม้ว่าเมสซาจะไม่รู้สึกหงุดหงิดและโมโหเหมือนแต่ก่อนแล้ว แต่ก็ไม่ได้ดีไปกว่าเดิม
นางมองดูผู้สอบสวนคนหนึ่งที่ไร้เหตุผล และยืนขึ้นเพื่อขอให้เอลฟ์ร้องเพลงอีกครั้ง
เมื่อเห็นเช่นนั้น เมสซาก็เริ่มสงสัยอย่างถึงความสามารถอันเป็นที่เลื่องลือของศาลนอกรีต นางสงสัยว่าพวกเขาอาจจะไม่เหมือนกันกับเหล่านักรบเทมพลาร์
พวกเขาทําผิดพลาดร้ายแรงที่สุดในโรงเตี้ยมใจหิน – กล้าที่จะสร้างปัญหาในโรงเตี้ยม
โรงเตี้ยมใจหินแห่งนี้แตกต่างจากโรงเตี้ยมขนาดเล็กอื่นๆในโลก ผู้คนในโรงเตี้ยมนี้ไม่ใช่พวกอันธพาล และหัวขโมยที่น่ารังเกียจ
นับตั้งแต่งานงานนิทรรศการโลก โรงเตี้ยมใจหินได้รับความสนใจจากผู้คนจากทุกสาขาอาชีพ หลายคนกลายเป็นลูกค้าประจําหลังจากเล่นใจหิน
ในบรรดาเพื่อนเล่นใจหินไม่กี่คนที่เมสซารู้จักหลายคนเป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัยเวทมนตร์ขั้นสูง มีแม้กระทั่งผู้วิเศษที่มีชื่อเสียงในหมู่พวกเขาด้วย
หากศาสจักรกล้าที่จะสร้างปัญหาในโรงเตี้ยม ก็หมายความว่าพวกเขาจะได้รับความไม่พอใจจากพลเมืองของนอร์แลนด์
เมสซาอยากจะก้าวไปข้างหน้าเพื่อหยุดผู้สอบสวนคนนั้น แต่ผู้วิเศษในโรงเตี้ยมได้นําไม้เท้าออกมา คนแคระสองสามคนที่มาที่โรงเตี้ยมเพื่อพักผ่อนในตอนเช้าก็หยิบม้านั่งขึ้นมาเช่นกัน
หลังจากสัมผัสได้ถึงความแปรปรวนของเวทย์มนตร์แปลกประหลาดซึ่งเต็มไปทั่วทั้งโรงเตี้ยม ผู้สอบสวนที่ไร้เหตุผลก็สงบลงเล็กน้อยในที่สุด
“ฉัตตะ ใจเย็นหน่อย!”
ผู้สอบสวนอีกสองคนยังคงมีเหตุผล หัวหน้าผู้สอบสวนกําลังใช้วิธีการสื่อสารทางจิตเพื่อบอกให้ลูกน้องใจเย็นลง
“ข้า ฆ่าพวกมันไม่ได้เหรอ? การร้องเพลงของท่านนักบุญหญิง ท่านไม่ได้ยินเหรอ? หัวหน้า มันคือเสียงร้องของท่านนักบุญหญิง! ตราบใดที่… นางเต็มใจที่จะร้องเพลงอีกครั้ง ข้าจะสามารถกําจัดเสียงเหล่านั้นออกจากหัวได้! เพียงครั้งเดียว แค่นางร้องเพลงอีกครั้งเท่านั้น!”
เสียงของชายที่ชื่อ ฉัตตะ” ฟังดูไร้เหตุผลโดยสิ้นเชิง หัวหน้าผู้สอบสวนตระหนักว่าสถานการณ์กําลังเลวร้าย
นั่นไม่ใช่การร้องเพลงของท่านนักบุญหญิงมันเป็นเพียงเพลงที่ร้องโดยเอลฟ์ นางไม่สามารถช่วยเจ้ากําจัดบาปที่เจ้าทําไว้ในอดีตได้ เจ้าต้องพึ่งพาตัวเองเพื่อเอาชนะมันให้ได้ก่อนที่เราจะกลับไปเมืองศักดิ์สิทธิ์ ฉัตตะ ลูกเอ๋ย จงอย่าทําบาปอีกเลย คนอื่นๆในโรงเตี้ยมล้วนแต่บริสุทธิ์ ให้เรากลับไปที่โบสถ์ก่อน”
หัวหน้าผู้สอบสวนพยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อโน้มน้าวผู้สอบสวน เขาสามารถเข้าใจได้ว่าทําไมฉัตตะถึงสูญเสียการควบคุม
ท้ายที่สุด เขาเกือบจะขับเสียงเหล่านั้นออกจากหัวของเขาได้หลังจากฟังเอลฟ์ร้องเพลง น่าเสียดายที่การร้องเพลงนั้นสั้นเกินไป เร็วเสียจนเขารู้สึกไม่สงบ
การเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์อย่างกะทันหันนี้ทําให้เขารู้สึกหงุดหงิดมาก
“บริสุทธิ์? ข้าไม่คิดว่าจะมีใครบริสุทธิ์! คนเหล่านี้ล้วนเกี่ยวข้องกับปีศาจ พวกเขาล้วนมีความผิด”
“ไอ้บ้า! ฉัตตะ! โรงเตี้ยมนี้ไม่ใช่ที่รวมตัวของหนู! มีผู้วิเศษระดับเจ็ดอย่างน้อยสามคนที่นี่! นอกจากนี้ยังมีปีศาจโกลาหลอยู่ข้างบนนั้นด้วย!”
ผู้สอบสวนอีกคนไม่สามารถสงบสติอารมณ์ได้อีกต่อไป เป้าหมายเดิมของพวกเขา คือปีศาจโกลาหลซึ่งยากที่จะรับมืออยู่แล้ว แต่ตอนนี้มีกลุ่มผู้วิเศษด้วย แม้ว่าพวกเขาจะมีผู้สอบสวนมากกว่านี้เป็นสองเท่า พวกเขาก็ยังไม่สามารถจัดการกับเรื่องนี้ได้
เหนือสิ่งอื่นใด พวกเขาไม่สามารถลอบสังหารได้ในตอนนี้!
เขารีบลุกขึ้นและห้ามฉัตตะที่ไร้เหตุผล เขายอมแพ้ในการปกปิดตัวตนของเขาไปแล้ว ท้ายที่สุดพวกเขาทั้งหมดปลอมตัวอยู่
ด้วยเหตุนี้ผู้สอบสวนอีกสองคนจึงนําฉัตตะออกไปโดยใช้กําลัง
“ทุกท่าน ขอบคุณทุกท่านที่ช่วยเหลือ เจโรน่านําสุราข้าวไรย์มาให้ทุกคน ไม่คิดเงิน สําหรับผู้วิเศษที่ไม่ดื่มสุรา ให้นําน้ําผลไม้หวานมาให้พวกเขา”
หลังจากที่ผู้สอบสวนทั้งสามคนจากไป โจชัวก็โค้งคํานับทุกคนที่ยืนขึ้นเพื่อปกป้องโรงเตี้ยมใจหิน จากนั้นเขาก็หันไปที่พนักงงานเสิร์ฟและตะโกนให้นางนําเครื่องดื่มมาให้ทุกคน
“ไม่ ไม่ ไม่ ท่าน เราไม่อยากได้ของฟรี เป็นแพ็คการ์ดฟรีแทนได้ไหม?” คนแคระที่เพิ่งนั่งลงตะโกน
โจชัวยิ้มและส่ายหัว เขาไม่ตอบคนแคระ โชคดีที่คนแคระคนนั้นแค่ล้อเล่นกับเขาเหมือนกัน เขากลับไปเล่นเกมที่ยังไม่จบต่อทันที
เหล่าผู้วิเศษพูดคุยกันเองก่อนจะกลับไปนั่งที่ของตนเอง
ส่วนโจชัว เขาเดินไปหาเมสซาและนั่งลงตรงหน้านาง นางมีการแสดงออกที่ซับซ้อนมากบนใบหน้าของนาง
“ท่านหญิงเมสซา เป็นไปได้ไหมที่เจ้าจะบอกข้าสักเล็กน้อยเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างชายสามคนนั่นกับเจ้า… หรือพวกเขาคือนักบวชเทมพลาร์”
โจชัวสังเกตเห็นใบหน้าที่ไม่คุ้นเคยทั้งสามนั้นทันทีจากคําเตือนของเมสซาที่นางเตือนโดยไม่รู้ตัว
โจชัวรู้สึกไม่สบายใจกับพวกเขา โจชัวเคยรู้สึกแบบเดียวกันกับดาร์กเอลฟ์มาก่อน
“ข้าไม่รู้”
เมสซาหันหัวของนางไปรอบๆ นางมีสีหน้าละอายเล็กน้อย
แม้ว่านางจะรู้ตัวและถือว่าโจชัวเป็นคนดี แต่นางก็ยังไม่อาจบอกโจชัวว่าสามคนนั้นเป็นใครในศาสนจักรของพวกนาง และบอกว่าพวกเขามาเพื่อลอบสังหารเจ้า!
เมสซารู้สึกละอายใจเมื่อนึกถึงคําพูดเหล่านั้น
“ในเมื่อเจ้าไม่ยอมตอบ ข้าก็ไม่คิดบังคับเจ้าเช่นกัน”
โจชัวสามารถเดาได้แล้วว่าเหตุใดชายสามคนจึงมาที่นี่
เนื่องจากสามคนนี้มีกลิ่นอายเหมือนกับดาร์คเอลฟ์ เป็นไปได้มากว่าพวกเขาจะมีความสามารถเช่นเดียวกับดาร์คเอลฟ์ตัวนั้น
“มาดามเมลิน่า ได้โปรดดูแลสถานที่นี้ต่อที่ ข้าจะไปที่ถนนกระรอกกับไทลืนและชิริ”
โจชัวมองเวลา ถึงเวลาถ่ายทํา “ลีออง : เพชฌฆาตมหากาฬ” อีกครั้งแล้ว
“เจ้าฝากข้าได้เลย โจชัว รถม้ารออยู่ข้างนอกแล้ว” เมลิน่ากล่าว
โจชัวพยักหน้า เขาไม่ใส่ใจกับอัศวินหญิงที่ดูหดหู เขา ไทลืนและชิริขึ้นรถม้าที่มาดามเมลิน่า เตรียมไว้ให้
“ดูเหมือนศาสนจักรจะส่งคนมากําจัดเจ้า เจ้าไม่คิดจะอยู่ในโรงเตี้ยมเพื่อสังเกตสิ่งต่างๆ สักระยะจริงๆหรอ?”
ซิริปิดประตูรถม้า จากเรื่องตลกในโรงเตี้ยมก่อนหน้านี้ และบทสนทนาระหว่างโจชัวกับเมสชา นางเดาได้แล้วว่าสามคนนั้นมาเพื่ออะไร
“ข้างนอกปลอดภัยกว่าจริงๆ”
โจชัวเปิดเผยรอยประทับบนมือของเขาให้ชิริดู มันเป็นรอยประทับของดยุคแห่งกระดูก
ในฐานะปีศาจโกลาหล โจชัวไม่ใช่แกะที่ซ่อนตัวอยู่หลังรั้วเพื่อรอให้ผู้คนมาเหยียบย่ําเขา นอกเหนือจากพลังเวทย์พิเศษของเขาที่สามารถทําให้เวทย์มนตร์ของผู้วิเศษใช้ไม่ได้แล้ว โจชัวยังมีพลังที่ดยุคแห่งกระดูกมอบให้เขาอีกด้วย
“ไม่น่าจะมีปัญหาสําหรับวิญญาณคู่ที่จะปรากฏในถนนกระรอก ท้ายที่สุดสมาคมเนโครแมนเซอร์ก็อยู่ที่นั่น”
กลิ่นอายความตายค่อยๆเติมเต็มรอยประทับบนมือของโจชัว เอลฟ์ที่นั่งอยู่ในรถม้าเดียวกันกับที่โจชัวซุกตัวและตัวสั่นอยู่ที่มุมหนึ่ง