Bringing Culture to a Different World - ตอนที่ 139
ตอนที่ 139 สมจริง
ต่อมาในภาพยนตร์ ฉากที่ลีอองและมาทิลด้าอยู่ด้วยกันทําให้คาออสฟื้นความรู้สึกตอนดู โฉมงามกับอสูร
เหตุผลหลักว่าทําไมคาออสถึงถูก โฉมงามกับเจ้าชายอสูร” ดึงดูด เพราะในฐานะเจ้าชายจากประเทศแห่งเหล็กเขามีภาระหนักมากมายในชีวิตจนทําให้เขาหายใจไม่ออก
“โฉมงามกับเจ้าชายอสูร” สร้างโลกที่สวยงามสําหรับเขา คาออสพบความรู้สึกนั้นอีกครั้งในภาพยนตร์เรื่องนี้
เรื่องราวที่อบอุ่นและแสนหวานนี้ทําให้คาออสลืมความไม่สบายใจก่อนหน้านี้ทั้งหมดไป บางทีภาพยนตร์เรื่องนี้อาจจะจบลงอย่างมีความสุข?
แต่ตอนจบของภาพยนตร์ก็ยืนยันอีกครั้งว่าโลกไม่ได้สวยแบบนั้น เมื่อผู้บังคับใช้กฎหมายมาข่มขู่ลีออง มันก็ถึงคราวเคราะห์ของมือสังหารผู้นี้
เมื่อดูมาถึงจุดนี้แล้ว นายพลเฟร็ดก็ไม่ง่วงนอนอีกต่อไป เวลาที่เขาได้รับคําเชิญจากชนชั้นสูงของฟารัคซี่ให้มาชมละครเวที เขาจะผล็อยหลับไปภายในสองหรือสามนาที่เสมอ
เหตุผลนั้นเป็นเพราะว่าเขารู้สึกว่าการแสดงของละครเวทีเป็นเรื่องที่ปลอมเกินไป
ถ้าเป็นอัศวินสองคนถือดาบและสวมชุดเกราะต่อสู้กันบนเวที นายพลเฟร็ดคงจะสนุกกับการแสดงและปรบมือให้กับพวกเขามากกว่า
แต่ภาพยนตร์เรื่อง “ลีออง เพชฌฆาตมหากาฬ” ได้เติมเต็มความเข้าใจของนายพลเฟร็ดที่มีต่อ “การแสดง” อย่างสมบูรณ์
สิ่งที่เขาเห็นไม่ใช่เรื่องราวสมมติแต่อย่างใด เขาเชื่อจริงๆว่านักฆ่าปีศาจลีอองมีอยู่จริง
เป็นคนที่อาศัยอยู่ตามลําพังในโรงแรมอพาร์ตเมนต์เล็กๆ บนถนนถนนกระรอกที่มีกระถางต้นไม้หนึ่งต้น แม้ว่าชายคนนั้นจะเป็นนักฆ่าที่เก่งกาจ แต่เขาก็ยังอดทนพอที่จะพับเสื้อผ้าอย่างเป็นระเบียบ และดื่มนมเต็มแก้วทุกวัน เขาจะไปที่โรงละครเล็กๆ บนถนนกระรอก และชมการแสดงละครเวทีที่น่าอึดอัดใจด้วยตัวเขาเอง
ทั้งหมดนี้ไม่ต้องสงสัยเลยว่าทําไมนายพลเฟร็ดถึงไม่ประทับใจในการแสดงละครเวทีที่จะแต่งหน้าเต็มและพูดแบบผู้หญิง
ลีอองเป็นปีศาจจริง เป็นปีศาจที่มีเลือดและเนื้อ แต่เขาไม่ใช่คนน่ารังเกียจอย่างที่ศาสนจักรว่า!
อย่างที่กล่าวไปแล้ว สิ่งที่ทําให้นายพลเฟร็ดมีความเพลิดเพลินมากที่สุดก็คือฉากต่อสู้ของภาพยนตร์ ระดับความตื่นเต้นในการเผชิญหน้าระหว่างปืนวิเศษในภาพยนตร์ไม่ด้อยไปกว่าการดวลในเวทีของประเทศแห่งเหล็กที่แชมเปี้ยนอัศวินจะต่อสู้กันเองด้วยชีวิต
ฉากที่เต็มไปด้วยเลือดนั้นดูสมจริงยิ่งกว่าละครเวทีที่ไม่มีเลือดไหลออกมาจากคนตาย
แต่ไม่ว่าภาพยนตร์จะยอดเยี่ยมขนาดไหน มันก็จะต้องจบลงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
เมื่อปีศาจถูกรายล้อมไปด้วยกองทัพผู้บังคับใช้กฎหมาย เขาปลอมตัวเป็นผู้บังคับใช้กฎหมายและกําลังจะหนีออกจากโรงแรมอพาร์ตเมนต์ ในเวลานั้นนายพลเฟร็ดมีความหวังว่าเขาจะสามารถหลบหนีได้
น่าเสียดายนับตั้งแต่มาทิลด้าได้พบกับลีออง ภาพยนตร์เรื่องนี้ถูกกําหนดให้จบลงด้วยโศกนาฏกรรม
เมื่อลีอองเดินอย่างเซื่องซึมออกจากโรงแรมอพาร์ตเมนต์ ความปรารถนากับโลกภายนอกปรากฏขึ้นในดวงตาของเขา รวมถึงเด็กสาวตัวเล็ก ๆ ที่รอเขาอยู่ข้างนอก
ด้วยเหตุนี้ผู้ชมทั้งหมดจึงคิดว่าเขาหลบหนีได้สําเร็จ และกําลังวางแผนที่จะละทิ้งอาชีพเดิมของเขาเพื่อใช้ชีวิตตามปกติกับนางเอก แม้แต่คาออสก็ยังคิดแบบนั้น
แต่ในขณะนั้นวายร้ายของภาพยนตร์เรื่องนี้ สแตนส์ฟิลด์ก็ได้เจอตัวลีอองทันทีที่เขากําลังจะเดินออกไป เขาเดินตามลีออง แล้วหยิบอาวุธออกมา เล็งไปที่ลีอองและยิงโดยใช้เวทย์มนตร์
ในขณะนั้นฉากนั้นก็ตัดไปที่มุมมองของลีออง เขายืนโซเซและจากนั้นก็หมดแรงล้มลงกับพื้น
เขาอยู่ใกล้กับโลกใหม่นั้นมาก เขาเพียงต้องการก้าวไปข้างหน้าอีกก้าวเพื่อกลับไปอยู่เคียงข้างเด็กสาว แต่ในท้ายที่สุดเขาก็ทรุดตัวลงบนแอ่งเลือด และทําได้เพียงจ้องมองออกไปอย่างไร้เรี่ยวแรง
“นี่…”
คาออสมีความปรารถนาที่จะลากผู้บังคับใช้กฎหมายชื่อสแตนส์ฟิลด์ออกจากภาพยนตร์และสั่งสอนบทเรียนให้เขา แม้ว่าเขาจะยอมรับว่าคนร้ายคนนี้มีเสน่ห์แบบพิเศษ แต่เขาก็ยังรู้สึกว่าเขาต้องการจะเอาชนะ
เมื่อนักฆ่าปีศาจพูดประโยคสุดท้าย และดึงห่วง การระเบิดก็เกิดขึ้นทั่วทั้งฉาก
ขณะที่นายพลเฟร็ดมองฉากระเบิดบนหน้าจอ ปากของเขาก็ขยุบขยิบ ดูเหมือนเขาจะต้องการจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ไม่ได้พูด
คาออสผู้ไม่ได้ร้องไห้ในฉากใด ๆ ของภาพยนตร์เรื่องนี้ คาออสผู้รักษาภาพลักษณ์ของผู้ชายไว้ตอนดู โฉมงามกับเจ้าชายอสูร” กลับร้องไห้ขึ้นมา
เขาไม่รู้ว่าเขาร้องไห้ทําไม เขาไม่สามารถหยุดน้ำตาที่ไหลออกมาจากดวงตาได้ สตรีสูงศักดิ์ที่นั่งอยู่ข้างๆ เขาหยิบผ้าเช็ดหน้าของนางออกมาเช็ดน้ำตาและสะอื้นไห้อย่างเปิดเผย
“คาออส! ข้าสอนอะไรเจ้า! เมื่อเจ้าออกจากเมืองบิสมาร์ก ของเหลวชนิดเดียวที่ได้รับอนุญาตให้ไหลออกจากดวงตาของเจ้าคือเลือด!”
เป็นเวลานานแล้วที่นายพลเฟร็ดไม่เห็นศิษย์ของเขาร้องไห้แบบนี้ นับตั้งแต่เขาเสร็จสิ้นการฝึกฝนของประเทศแห่งเหล็ก เมื่ออายุได้สิบขวบคาออสได้ลบความรู้สึกขี้ขลาดทั้งหมดออกไปจากตัวเขา
คาออสเลือกที่จะเงียบ สาเหตุเพราะภาพยนตร์ยังไม่จบ
ภาพยนตร์เรื่องนี้ดําเนินต่อไปจนกระทั่งมาทิลด้าตัวละครสําคัญแบกกระถางต้นไม้ เป็นต้นไม้ในกระถางที่ถือองปลูกไว้ และค่อยๆ ฝังมันลงบนพื้นอย่างช้าๆ ราวกับแทนที่ร่างกายที่แท้จริงของลีออง
“ข้าคิดว่าเราจะไม่เป็นไรที่นี่ ลีออง”
เมื่อนางพูดคําเหล่านั้น เพลงจบ “Shape Of My Heart ก็เริ่มดังขึ้น
ท่าทางเย็นชาของนายพลเฟร็ดสั่นเล็กน้อย ในที่สุดเขาก็หลับตาลงด้วยความเสียใจสุดซึ้ง
ในช่วงเวลานี้เองที่คาออสสังเกตเห็นหยดน้ำตาที่ไหลลงมาบนใบหน้าของนายพลเฟร็ด
เขาไม่เคยคิดเลยว่าคนอย่างอาจารย์ของเขาจะหลั่งน้ำตาจากการดูการแสดง
เพลง “Shape Of My Heart” เริ่มก้องกังวานไปทั่วห้องโถง บรรยากาศที่น่าเศร้าคละคลุ้งเต็มห้องโถง ไม่เพียงแต่สตรีสูงศักดิ์ที่นั่งข้างคาออสที่กําลังสะอื้นไห้ แทบไม่มีใครในหมู่ผู้ชมที่สามารถกลั้นน้ำตาได้
เมื่อเครดิตตอนจบเริ่มปรากฏรายชื่อนักแสดงก็เริ่มทยอยปรากฏบนหน้าจอ
ไฟในโถงแสดงเปิดขึ้นอีกครั้ง ผู้ชมแทบทุกคนลุกขึ้นจากที่นั่ง
เมื่อเสียงปรบมือหยุดลง จู่ๆ ก็มีเสียงกรีดร้องดังขึ้นในหมู่ผู้ชม
“สแตนส์ฟิลด์! ทําไมเจ้าถึงยังไม่ตาย!”
คนที่กรีดร้องเป็นเด็กสาวตัวน้อย ที่ดูเหมือนจะอายุเพียงสิบสามหรือสิบสี่เท่านั้น นางนั่งข้างเซอร์ไวส์เซนาสเช่ที่แสดงเป็นสแตนส์ฟิลด์
เซอร์ไวเซนาสเช่บังเอิญสวมชุดเดียวกันกับตัวละครในภาพยนตร์ของเขา เพราะเขาได้ยินมาว่านักแสดงทุกคนจะต้องขึ้นเวทีเพื่อกล่าวสุนทรพจน์หลังจากภาพยนตร์จบ
ดูเหมือนว่าเด็กสาวที่นั่งอยู่ข้างๆ เขาหมกมุ่นอยู่กับภาพยนตร์มากเกินไป หรือบางที่ภาพยนตร์เรื่องนี้ก็ดูสมจริงเกินไป เด็กสาวเริ่มท่องคาถาเวทย์จากเทพสายฟ้าและการลงทัณฑ์
เมื่อพิจารณาจากความผันผวนของเวทย์มนตร์ คาถาของนางค่อนข้างแข็งแกร่งทีเดียว
“เจ้าหนู นั่น… เป็นแค่ภาพยนตร์!”
เซอร์ไวเซนาสเช่ตกตะลึงในทันที จู่ๆ เขาก็นึกถึงสิ่งที่โจชัวเตือนเขาก่อนที่พวกเขาจะเริ่มถ่ายทําภาพยนตร์
“เมื่อเจ้าเล่นเป็นตัวละครนี่แล้ว เจ้าต้องระวังตัวเวลาเดินตามถนนตอนกลางคืน”