Bringing Culture to a Different World - ตอนที่ 32
โจชัวนั่งอยู่ในรถม้าและเปิดม่านขึ้น มองทั้งสองข้างทาง
รถม้านี่โจชัว “ยืม” มาจากดยุคแห่งกระดูก คนขับรถคือซีนาร์ทในตอนแรก แต่ในขณะที่พวกเขาเข้าสู่อาณาจักรมนุษย์ โจชัวได้ว่าจ้างชาวบ้านเพื่อทำหน้าที่เป็นคนขับรถ ในขณะที่ซีนาร์ทอยู่รอในอาณาจักรดยุค
รถม้าใช้เวลาประมาณสามวันในการออกจากป่าบนภูเขาเพราะถูกขวางด้วยหิมะตกหนัก และในที่สุดคนเดินบนถนนก็มีเพิ่มจำนวนขึ้น
“ การจราจรของมนุษย์ในนอร์แลนด์วุ่นวายมากขนาดนี้เชียวหรือ?”
โจชัวเฝ้าดูฝูงชนบนท้องถนน เห็นรถม้าหรูหลายคัน ระหว่างทางโจชัวยังเห็นกองคาราวานพ่อค้าจำนวนมาก
เพียงจากฉากบนท้องถนนเพียงอย่างเดียวโจชัวก็สามารถจินตนาการได้แล้วว่านอร์แลนด์รุ่งเรืองแค่ไหน
“ การจราจรของมนุษย์? ข้าคิดว่าพวกเขาเป็นผู้ส่งสารจากประเทศต่างๆ โจชัวท่านไม่ได้มาที่นอร์แลนด์เพื่อจุดประสงค์ในการเข้าร่วม ‘นิทรรศการครั้งใหญ่’ ภายในเวลาสองเดือนนี่หรือ?”
เมลิน่าและอินอร์นั่งอยู่ตรงข้ามโจชัวในฐานะแม่ค้า นางเดาความหมายของคำพูดแปลก ๆ จากปากของโจชัวได้ทันที
แม่ค้ามองไปที่กองคาราวานข้างนอก นึกถึงสินค้าของนางที่สูญเสียไป และนางก็ถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้
“ ไม่…ข้าจะไปนอร์แลนด์กับซิริ เพื่อไปเยี่ยมเพื่อน บางทีข้าอาจจะเข้าร่วมในนิทรรศการนี้ภายหลัง”
โจชัวจำชื่อนั้นได้ มีการรวมตัวกันที่คล้ายกันกับบนโลก จักรวรรดิอังกฤษได้จัดงานแสดงสินค้าโลกครั้งแรกในรูปแบบนิทรรศการ ในปีค.ศ.1851 ในเวลานั้นจักรวรรดิที่ดวงอาทิตย์ไม่เคยตกดินได้เชิญประเทศต่างๆทั่วโลกให้มาเข้าร่วม
“ แม้ว่ามันอาจจะขาด ๆ หาย ๆ ไปบ้าง แต่ท่านช่วยเปิดเผยสิ่งที่ท่านวางแผนจะจัดแสดงที่นั่นได้หรือไหม? แน่นอนถ้าไม่สะดวก…”
เมลิน่าได้กลิ่นของโอกาสทางธุรกิจทันที
นับตั้งแต่ที่นอร์แลนด์ออกกฎหมายสิทธิบัตรและลิขสิทธิ์เมื่อสามสิบปีก่อน ผู้วิเศษในนอร์แลนด์ตระหนักดีว่าการพัฒนาพลังของตนเองเพียงอย่างเดียวไม่สามารถเปลี่ยนแปลงโลกได้ ผู้วิเศษที่มีความทะเยอทะยานหลายคนเริ่มศึกษาการผลิตอาร์คาโนเทคและนักเล่นแร่แปรธาตุก็ผุดขึ้นทั่วประเทศ
นั่นทำให้การวิจัยเวทมนตร์ของนอร์แลนด์ก้าวล้ำไปอีกขั้น
แน่นอนว่าประเทศเล็ก ๆ แห่งนี้ที่ประกอบไปด้วยปรมาจารย์ และผู้เชี่ยวชาญ ไม่สามารถเทียบได้กับประเทศใหญ่ ๆ ที่อยู่รอบ ๆ ดังนั้นนอร์แลนด์จึงดำรงตัวเป็นกลางมาโดยตลอด
เหตุผลเดียวที่ประเทศต่างๆไม่กล้าต่อต้านนอร์แลนด์คือที่นี่ต้อนรับคนฉลาดทั้งหมดในโลก และแบ่งปันความรู้กับพวกเขา
นั่นนำไปสู่สถานการณ์ที่จักรพรรดิแห่งจักรวรรดิอาจเป็นศิษย์เก่าของโรงเรียนแห่งหนึ่งในนอร์แลนด์ และพ่อของเขาอาจดำรงตำแหน่งศาสตราจารย์ในมหาวิทยาลัยในเมือง
นอกจากนี้“ ใบรับรองการเป็นจอมเวทย์” ของนอร์แลนด์ยังเป็นมาตรฐานที่ทุกประเทศทั่วโลกยอมรับ
อย่างไรก็ตาม สมดุลแท้จริงที่ต่อต้านประเทศต่างๆในโลกนี้คือความจริงที่นอร์แลนด์มีตัวตนที่ทรงพลังอำนาจมากมายอย่างมหาจอมเวทย์
เมลิน่ารู้ความรู้เรื่องเวทมนตร์เพียงผิวเผิน นางรู้อย่างชัดเจนว่าอาร์คาโนเทครูปแบบใหม่มีมูลค่าเท่าใด หากโจชัวมีอุปกรณ์เช่นนี้เมลิน่าก็ไม่จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับสินค้าที่ถูกทำลายของนางเลย
แต่นั่นขึ้นอยู่กับความเต็มใจของโจชัวที่จะมอบเทคโนโลยีเพื่อเปลี่ยนความสูญเสียของนางให้กลายเป็นสินค้า
“การบอกเจ้าไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไร สิ่งที่ข้ากำลังจะแสดงอยู่นี่”
โจชัวชี้ไปที่หัวของเขา แต่แม่ค้าหญิงกลับทำท่าทางสับสน
“ ไม่ต้องกังวล มาดามแจนท์ ข้าจะคุยธุรกิจกับท่านเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม มันจะเป็นธุรกิจที่สร้างรายได้ให้ท่านมากมายมหาศาล”
แน่นอนว่าสิ่งที่โจชัวต้องการแสดงคือหน้าต่างสนทนา เนื่องจากเมลิน่าไม่ได้เรียนรู้เวทมนตร์ของเทพแห่งกฎ นางจึงไม่สามารถเห็นโปรแกรมที่โจชัวเขียนขึ้น
“ ถ้าอย่างนั้นข้าจะรอข่าวดีจากท่าน โจชัว”
เดิมเมลิน่าวางแผนที่จะใช้ประโยชน์จากนิทรรศการโลกเพื่อสร้างโชคในนอร์แลนด์ น่าเศร้าที่ภัยพิบัติที่ไม่คาดฝันได้ทำลายแผนการของนางโดยสิ้นเชิง
นางยื่นมือออกมา สัมผัสผมสีเงินยาวของอินอร์ ตอนนี้ซัคคิวบัสอยู่ในเสื้อผ้าผู้ชาย ผมของเขามัดเป็นหางม้า มันทำให้เขาดูเป็นหญิงสาวที่อ่อนโยนมากยิ่งขึ้น
อย่างไรก็ตาม อินอร์ได้สารภาพชื่อและเพศที่แท้จริงของเขากับเมลิน่า แม้จะรู้อย่างนั้นแต่เมลิน่าก็ยังยอมรับอินอร์อย่างไม่สนใจว่าเขาเป็นใคร และพร้อมที่จะเลี้ยงดูเขาอยู่ดี
การจะอาศัยอยู่ในนอร์แลนด์นั้น การมีบ้านเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอ เมลิน่าต้องการแหล่งรายได้ที่มั่นคง และการทำธุรกิจเป็นสิ่งเดียวที่นางรู้ หากไม่มีเงินทุนหรือสินค้าใด ๆ เมลิน่าก็ไม่มีทางเริ่มต้นได้ แต่คำตอบของโจชัวทำให้นางมีความหวัง แม้จะริบหรี่
ระหว่างการสนทนา รถม้าได้มาถึงประตูเมืองนอร์แลนด์อย่างช้าๆ เมืองนี้ไม่มีกำแพง แต่มีกำแพงเวทย์มนตร์ที่โปร่งใสเข้ามาแทนที่
“ นอร์แลนด์ถูกสร้างขึ้นบนซากปรักหักพังของอารยธรรมโบราณ กำแพงเวทมนตร์ทำให้นอร์แลนด์กลายเป็นป้อมปราการที่แข็งแกร่งที่สุดในโลก”
นั่นเป็นคำบรรยายที่โจชัวเคยเห็นใน“ ประวัติศาสตร์ของโลก” และเขาต้องได้รับการตรวจสอบก่อนที่จะเข้าสู่พรมแดนของเมือง
เมลิน่าไม่ได้พกสินค้าใด ๆ ติดตัวมาด้วย ดังนั้นจึงเสียภาษีเป็นไม่กี่เหรียญเท่านั้น
อย่างไรก็ตามอัตราภาษีนั้นแพงมากพอสำหรับคนทั่วไป
หลังจากข้ามพรมแดนแล้วพวกเขาก็เดินทางต่อไปอีกสองชั่วโมงผ่านเมืองเล็ก ๆ และหมู่บ้านต่างๆระหว่างทางก่อนที่จะเข้าสู่นอร์แลนด์ ซึ่งเป็นเมืองที่เจริญที่สุดในโลก
โจชัวเปิดประตูและลงจากรถม้า อากาศรอบตัวเขาสดชื่นกว่าอาณาจักรปีศาจมาก สถาปัตยกรรมของเมืองทั้งเมืองมีกลิ่นอายของยุควิกตอเรียในศตวรรษที่ 19 แต่เสื้อผ้าของคนที่เดินอยู่ตามข้างทางดูธรรมดาผสมปนเป
มนุษย์กิ้งก่า คนเร่ร่อน เอลฟ์ คนแคระ โนมส์และก็อบลิน … โจชัวสามารถระบุเผ่าพันธุ์บนท้องถนนได้อย่างง่ายดาย
อย่างไรก็ตา มผู้วิเศษในชุดคลุมมีจำนวนมากที่สุดที่นี่
“ นี่คือที่อยู่ของข้าโจชัว…ถ้าท่านมีข่าวดี ท่านมาพบข้าที่นี่ได้”
เมลิน่าส่งกระดาษแผ่นหนึ่งให้โจชัว ในนั้นเขียนที่อยู่เอาไว้
“ข้าจะไป ข้าหวังว่าเจ้าจะคุ้นเคยกับชีวิตของเมืองนี้โดยเร็วที่สุด”
คำพูดของโจชัวเป็นคำสั่ง แม้ว่าจะฟังดูเหมือนว่าเขาปรารถนาดีก็ตาม อินอร์พยักหน้าตอบรับทันที
โจชัวก็หยิบกระเป๋าเดินทางขึ้นมา และปิดประตูรถม้า
“ เราจะไปที่ไหนกันต่อ?”
เสียงซิริดูเหนื่อยขณะที่นางยืนอยู่ข้างๆโจชัว
ผลการประลองป็องระหว่างการเดินทางทั้งหมดคือ 1: 210 ซิริค่อนข้างแน่ใจว่าโจชัวโกงอย่างแน่นอน แต่นางประท้วงแล้วไม่เกิดผลใดๆ
“ เจ้าไม่ได้บอกว่าเจ้ามาที่นี่เพื่อมาหาน้องสาวของเจ้าหรือ?”
ตอนนี้เมืองนี้กำลังวุ่นวาย และในการค้นหาโรงละครที่ดยุคแห่งกระดูกกล่าวถึงโจชัวจำเป็นต้องหาวิธีที่จะได้แผนที่ของเมืองมาเสียก่อน อย่างไรก็ตามการมีคนท้องถิ่นคอยนำทางเขานั้นมีประโยชน์มากกว่าแผนที่
“ เอ่อ ข้า…”
น่าจะเป็นเรื่องที่น่ายินดีมากสำหรับซิริที่ได้ออกจากอาณาจักรปีศาจ และกลับมายังโลกมนุษย์ แต่เมื่อนางนึกขึ้นได้ว่านางกำลังจะได้เจอพี่สาวของนางในสภาพแบบนี้ ซิริก็ไม่สามารถเงยหน้าขึ้นได้เลย
ซิริจับ “ปลอกคอ” รอบคอของนาง นางหมกมุ่นอยู่กับการเล่นเกมกับโจชัวมากเกินไป จนเกือบลืมไปแล้วว่านางเป็นนักโทษของโจชัว
“ เอาล่ะขอข้าคิดก่อน มันน่าจะอยู่ที่นี่”
นั่นไม่ใช่ครั้งแรกของซิริในนอร์แลนด์ และนางค่อนข้างคุ้นเคยกับพื้นที่โดยรอบของเขตเมือง เมื่อซิริเป็นผู้นำทาง โจชัวจึงเริ่มทัวร์นอร์แลนด์อย่างเป็นทางการ