Campione! ศึกฮาเร็มล้มทวยเทพ - ตอนที่ 1
เป็นเรื่องน่าพิศวงไม่น้อยที่สีสันของท้องฟ้าซึ่งได้มองจากต่างแดนนั้น ดูต่างออกไปจากภาพที่เคยเห็นจนน่าแปลก
ตอนนี้ ทิวทัศน์ที่คุซานางิ โกโดได้เห็นผ่านหน้าต่างของสนามบินไม่ใช่ภาพของท้องฟ้าอันแสนอึมครึมและขมุกขมัวของประเทศญี่ปุ่น หากแต่เป็นท้องฟ้าของประเทศฝั่งละตินที่ทั้งเป็นสีครามสดใสและกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา
เมื่อลองกวาดสายตาไปรอบข้างก็จะพบกับผู้คนจากหลากหลายประเทศ หลากหลายเชื้อชาติเดินกันขวักไขว่ เป็นภาพที่พบได้ไม่บ่อยนักในประเทศญี่ปุ่น
——ที่นี่คือสนามบินฟิอูมิชิโน่
หรือรู้จักกันในชื่อสนามบินเลโอนาร์โด ดา วินชี สนามบินนานาชาติที่ตั้งอยู่ ณ กรุงโรม เมืองหลวงของประเทศอิตาลี
สาเหตุที่โกโดมาอยู่ที่นี่ไม่ได้เพราะมาทัศนศึกษากับโรงเรียนแต่อย่างใด เพราะแบบนั้น ต่อให้ลองเดินหาตัวนักเรียนมัธยมปลายชาวญี่ปุ่นในสนามบินแห่งนี้ ก็คงจะเจอแต่โกโดเพียงคนเดียวเท่านั้น
“กะว่าจะไม่มาเหยียบที่นี่อีกสักครึ่งปีแล้วเชียว”
โกโดบ่นพึมพำเช่นนั้นขณะทอดสายตาไปยังอาคารผู้โดยสารซึ่งเนืองแน่นด้วยฝูงชนที่เดินสวนกันไปมาอย่างไม่หยุดหย่อน
หลังจากโคลงเคลงอยู่บนเครื่องบินกว่า 12 ชั่วโมงในที่สุดก็มาถึงอิตาลีจนได้ และด้วยความเหนื่อยล้าจากการนั่งอยู่กับที่เป็นเวลานานบวกกับอาการเจ็ทแลคทำให้ตอนนี้ร่างกายรู้สึกหนักอึ้งจนไม่อยากขยับไปไหน
“ว่าแต่ยัยนั่นยังชอบทำอะไรตามใจเหมือนเดิมเลยแฮะ ไม่ถงไม่ถามความสมัครใจคนอื่นเขาสักคำ… ถึงจะโดนมาจนชินแล้วก็เถอะ”
โกโดพยายามกลั้นหาว ขณะเดียวกันก็สอดส่องสายตาไปยังฝูงชนเพื่อมองหาคนคุ้นหน้า
ลักษณะของคนที่เขากำลังตามหา จะว่ายังไงดี เอาเป็นว่าค่อนข้างเด่นสะดุดตา
เรือนผมสีทองงดงามที่ชวนให้จินตนาการถึงมงกุฎ ใบหน้าเข้ารูปสะสวยยิ่งกว่าหญิงสาวคนไหนที่เคยพบเห็น นอกจากนี้ยังเปี่ยมไปด้วยความอวดดีและถือตัวราวกับจะบอกว่าการที่คนรอบข้างจะหันมาสนใจตัวเธอนั้นเป็นเรื่องธรรมดาระดับสามัญสำนึกอยู่แล้ว
เป็นเจ้าของเรือนร่างที่มองปราดเดียวก็รู้เลยว่าเป็นใคร
แต่จนถึงตอนนี้ เธอคนนั้น——เอริก้า บรันเดลลี่ก็ไม่มีท่าทีว่าจะปรากฏตัวออกมา
จริงอยู่ที่รอบตัวตอนนี้เต็มไปด้วยคนมากหน้าหลายตา มีตั้งแต่นักธุรกิจในชุดสูท แบ็คแพคเกอร์ ไปจนถึงกลุ่มคนที่มองแวบเดียวก็รู้เลยว่าเป็นคณะทัวร์ของนักท่องเที่ยว แต่ทั้งที่เป็นเช่นนั้นคนที่ควรอยู่ที่นี่อย่างเอริก้ากลับไม่โผล่มาให้เห็นแม้แต่เงา
…ว่ากันว่าคนอิตาลีบางคนมีนิสัยเสียตรงที่ชอบมาไม่ตรงเวลานัด
แต่ในกรณีของเอริก้า พฤติกรรมอย่างการมาสายคงไม่เกี่ยวกับเรื่องวัฒนธรรมหรือภูมิหลังทางเชื้อชาติแต่น่าจะมาจากความเกียจคร้านไม่เอาใจใส่ของเจ้าตัวเองเสียมากกว่า
นี่เป็นความจริงที่โกโดได้รู้ซึ้งอย่างถึงทรวงจากช่วงเวลาหลายเดือนที่ได้รู้จักกัน
แถมยิ่งไปว่านั้น ไม่เพียงแต่จะทำตัวเลินเล่อ เธอยังชอบเอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง จะทำอะไรก็มักเอาแต่ความสะดวกของตัวเองเข้าว่า เป็นเด็กสาวที่เอาแต่ใจตัวเองอย่างถึงที่สุด
เรื่องที่จู่ ๆ ก็โทรศัพท์มาหาเมื่อวานก็เช่นกัน
“นี่โกโด ฟังนะ ตอนนี้ตารางของฉันยังว่างอยู่ ถ้าอยากมาหาล่ะก็ตอนนี้แหละเหมาะที่สุดเลยล่ะ——ก็เพราะอย่างนั้นแหละ พรุ่งนี้เตรียมบินไฟลท์เช้ามาที่นี่ได้เลยนะ ถึงแล้วเดี๋ยวไปรับเองจ้ะ”
ทันทีที่รับสาย ยังไม่ทันได้เกริ่นอะไรประโยคดังกล่าวก็ลอยออกมาจากหูโทรศัพท์
เวลาตอนนั้นคือช่วงเย็นวันศุกร์ของปลายเดือนพฤษภาคม
“ก่อนอื่นเลย คำว่า ‘ก็เพราะอย่างนั้นแหละ’ ของเธอนี่มันโผล่ออกมาจากไหนมิทราบ? เธอจะสะดวกตอนไหนหรืออยากทำอะไรยังไงก็ไม่เห็นจะเกี่ยวกับฉันซะหน่อย ที่สำคัญนะ ทางนี้เองก็มีธุระเหมือนกัน ถ้าอยากหาอะไรทำฆ่าเวลาล่ะก็ไปหาคนอื่นเถอะ”
จู่ ๆ ก็พูดบ้าอะไรออกมากันเนี่ยยัยคนนี้
โกโดตอบกลับอย่างเย็นชาขณะกำลังเก็บของเตรียมตัวกลับจากโรงเรียน
“ก็ฉันรู้สึกอยากเจอนายขึ้นมานี่นา ถ้าอยากเจอก็ต้องทำแบบนี้อยู่แล้วไม่ใช่เหรอ? อีกอย่าง ทางนั้นเองก็น่าจะป่วยรักจนคิดถึงฉันใจแทบขาดแล้วด้วย ดูยังไงนี่ก็เป็นแผนที่ฟังดูเข้าท่าไม่ใช่รึยังไง?”
“ไม่ได้คิดถึงสักกะนิด ขอร้องล่ะช่วยเลิกพูดเหมือนฉันหลงเธอหัวปักหัวปำแบบนั้นจะได้มั้ย… ที่สำคัญ พวกเราเพิ่งเจอกันเมื่อสองอาทิตย์ก่อนเอง นับจากตอนนั้นยังไม่ทันถึงครึ่งเดือนด้วยซ้ำนะ? โตเกียวกับมิลานก็อยู่กันคนละซีกโลก ได้เจอกันบ่อยขนาดนี้ก็ถือว่าแปลกจะแย่แล้ว”
ก่อนอื่นต้องค่อย ๆ โน้มน้าวอย่างใจเย็น
เพราะเริ่มชินนิสัยเอาแต่ใจชนิดไม่สนโลกของเธอคนนี้ขึ้นมาแล้ว จึงรู้ว่าไม่ควรพูดรีบอะไรไม่เข้าท่าจนไปเข้าทางของอีกฝ่ายเข้า
“ใช่ แย่เลยแหละ ไม่ได้เจอหน้ากันตั้งครึ่งเดือนเชียวนะ โธ่ โกโดผู้น่าสงสาร ต้องอยู่ห่างจากคนรักอย่างฉันแบบนี้คงจะปวดใจมากเลยสินะ… ไม่ต้องห่วง ฉันเตรียมแผนรับมือเรื่องนี้ไว้เรียบร้อยแล้ว ตั้งหน้าตั้งตารอไว้ได้เลย แต่ก่อนอื่นเรามาคุยเรื่องโปรแกรมของพรุ่งนี้กันก่อนดีกว่า…”
แต่เอริก้าก็ยังคงพูดต่อได้อย่างหน้าตาเฉย ไม่สนใจเหตุผลที่ยกให้มาเลยสักนิด
สมแล้วที่เป็นเด็กสาวผู้ทำอะไรไม่เคยสนโลกโดยกำเนิด ทางนี้พูดอะไรไปก็ไม่ยักจะฟังเลยสักคำ
“พอเลยเอริก้า ถ้าโทรมาเพราะอยากคุยเรื่องตารางว่างของอีกฝ่ายแล้วค่อยนัดเจอกันตอนสะดวกล่ะก็ว่าไปอย่าง แต่ขืนยังพูดอะไรไม่มีเหตุผลแบบนี้ต่อฉันจะวางสายแล้วนะ”
“ว้าว สมแล้วที่เป็นโกโดของฉัน คนที่กล้าปฏิเสธคำขอเดทจากฉันได้ก็คงมีแต่คนแบบนายนี่แหละ… คิดว่างั้นน่ะนะ เพราะนอกจากโกโดแล้วยังไม่เคยพูดแบบนี้กับผู้ชายคนอื่นเลยเนี่ยสิ”
เอริก้าตอบกลับมาอย่างติดตลก
โกโดถึงกับขมวดคิ้ว ยัยคนนี้ รู้ทั้งรู้ว่าคำตอบจะออกมาแบบไหนแต่ก็ยังถามออกมาอีกนะ
ยังนิสัยไม่ดีเหมือนเคยเลยแฮะ… แต่ก็นะ ว่ากันตามตรง ต่อให้รู้ธาตุแท้ของเธอคนนี้ก็คงมีผู้ชายไม่น้อยที่หน้ามืดตามัวยอมไหลตามน้ำไปกับคำขอเอาแต่ใจนั่น
“ถ้างั้นขอพูดใหม่อีกครั้งก็แล้วกัน… คุซานางิ โกโด ช่วยมาที่อิตาลีหน่อยจะได้มั้ย ฉันมีเรื่องสำคัญที่ยังไงก็ต้องขอยืมกำลังของนาย เรื่องคราวนี้ลำพังแค่พลังของฉันคนเดียวคงจัดการลำบาก เพราะงั้นช่วยคิดดูให้ดีนะ แล้วก็ ที่พูดไปทั้งหมดไม่ใช่คำโกหกแน่นอน เอริก้า บรันเดลลี่คนนี้ ขอเอาเกียรติเป็นประกันเลย”
แต่จู่ ๆ เอริก้าก็พูดออกมาเช่นนั้นด้วยน้ำเสียงจริงจัง
ไม่พอ ยังถึงขึ้นเอา [เกียรติ] ของตัวเองเป็นเดิมพันอีกต่างหาก สำหรับเด็กสาวนามว่าเอริก้า บรันเดลลี่ เกียรติยศนั้นสำคัญยิ่งกว่าอะไรดี พูดถึงขนาดนี้แล้วเรื่องเมื่อครู่คงไม่ใช่เรื่องล้อเล่นแน่
——เฮ้อ ช่วยไม่ได้แฮะ
ได้ยินเช่นนั้นโกโดก็ได้แต่ถอนหายใจ
จริงอยู่ที่เอริก้านั้นเอาแต่ใจ ทำอะไรก็ไม่ค่อยคิดถึงคนอื่น เป็นเด็กสาวนิสัยเสียที่ชอบทำอะไรตามใจตัวเอง แต่ยังไงซะเธอก็เป็นผู้มีพระคุณที่ได้ช่วยชีวิตของเขาเอาไว้หลายครั้งต่อหลายครั้ง
แม้แต่แรกจะเอาแต่ปฏิเสธท่าเดียว แต่อีกฝ่ายยอมพูดถึงขนาดนี้ จะไปปฏิเสธลงได้ยังไงกัน
“…เข้าใจแล้ว จะทำตามที่บอกก็แล้วกัน ถึงแล้วอย่าลืมมารับด้วยล่ะ”
“แหม ตอบได้ชื่นใจจัง ขอให้จิตวิญญาณแห่งอัศวินอวยพรแด่ความกล้าหาญนั้นด้วยเทอญ”
“แล้วฉันต้องทำอะไรบ้างล่ะ? ถ้าเกิดเป็นงานที่ดูน่าสงสัยล่ะก็ฉันขอบายทันทีเลยนะขอบอก”
“แน่นอน นายแค่อยู่แล้วก็ต่อสู้ในฐานะของ[ราชา] ก็เพียงพอแล้ว ที่เหลือเดี๋ยวทางนี้จะจัดการให้เอง… ว่าแต่โชคดีจังที่นายยอมฟังคำขอของฉันง่าย ๆ แบบนี้ เพราะไม่งั้นคงต้องงัด[ไพ่ตาย]ออกมาใช้ แถมถ้าใช้ไปก็คงมีเรื่องลำบากตามมาหลายเรื่องด้วยสิ…”
“ไพ่ตาย?”
เมื่อได้ยินถ้อยคำที่ฟังดูอันตรายของเอริก้า โกโดก็รู้สึกเสียววาบขึ้นมาทันที
“ใช่แล้วจ้ะ ถ้าว่ากันตามจริง ฉันคิดว่าการรับฟังคำอ้อนของฉันเนี่ยก็ถือเป็นความรับผิดขอบของโกโดนะ ตรงนี้มีความเห็นยังไงบ้าง?”
“ไม่มีความเห็นอะไรทั้งนั้นแหละ ที่สำคัญ คำว่าอ้อนเนี่ยเอามาใช้กับเพื่อนมันก็ฟังดูแปลก ๆ อยู่นะ…”
“——ไปแท้ ๆ”
ทันใดนั้น เอริก้าก็พึมพำออกมาด้วยเสียงเบาราวกับกระซิบ
ได้ยินเพียงเท่านั้น ก็ทำเอาโกโดแทบอยากจะลุกหนีออกจากตรงนั้นขึ้นมาทันที เพราะเสียงที่ได้ยินอย่างแผ่วเบานั่น มันคือเสียงกระซิบของปีศาจ ใช่ ปีศาจที่สนุกกับการเล่นกับหัวจิตหัวใจคนอื่นมากกว่าอาหารสามมื้อยังไงล่ะ
“โหดร้าย ทั้งที่เป็นคนพรากเอา [ความบริสุทธิ์] ของฉันไปแท้ ๆ จะบอกว่าลืมเรื่องคืนนั้นไปแล้วเหรอ? ค่ำคืนอันเร่าร้อนของสองเราที่ซิซิเลียน่ะ”
“ตะ ตอนนั้นมันช่วยไม่ได้นี่นา ว่ายังไงดี เรื่องคราวนั้นมันก็ทำไปเพราะผลประโยชน์ของทั้งสองฝ่ายนี่นา…”
“อืม นั่นสินะ ฉันเป็นคนยอมพลีทั้งกายทั้งใจให้นาย ยอมแม้กระทั่งมอบความบริสุทธิ์ให้ แต่ดูโกโดสิ หลังจากตอนนั้นก็เอาแต่ทำตัวเย็นชาใส่กัน… หมดรักกันแล้วงั้นเหรอ?”
แม้จะพูดจาตัดพ้อเช่นนั้น แต่น้ำเสียงของเอริก้าที่ได้ยินกลับฟังดูราวกับเจ้าตัวกำลังสนุกเต็มที่
ยัยแม่มดเอ๊ย! โกโดสบถออกมาเช่นนั้นในใจ
“เดี๋ยวก่อน อย่าพูดจาใส่ไข่ชวนเข้าใจผิดแบบนั้นเซ่! เดี๋ยวใครมาได้ยินเข้าก็เข้าใจผิดว่าพวกเราสองคนมีความสัมพันธ์กันแบบนั้นจริง ๆ หรอก”
“ก็มีความสัมพันธ์แบบนั้นจริงนี่นา หลังจากตอนนั้นเอง พวกเราก็ได้อิงแอบไออุ่นจากเรือนร่างของอีกฝ่าย แล้วก็ดูดดื่มริมฝีปากของกันและกันไปไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่——”
“อะ ไอ้วิธีพูดจาชวนให้คิดลึกแบบนั้นน่ะช่วยเลิกทีเถอะ ขอร้องล่ะ!”
“เอาล่ะ งั้นต่อไปคือคำถาม คิดว่าจะเป็นยังไงถ้าเกิดฉันเอาเรื่องระหว่างเราเมื่อกี้ไปบอกกับคุณน้องสาวผู้น่ารักของนาย?”
โดนไม้นี้เข้าไป ก็ทำให้โกโดรับรู้ถึงความพ่ายแพ้ของตัวเองทันที
ถึงวิธีพูดของเอริก้าเมื่อครู่จะมีการใส่ไข่จนเกินจริงไปบ้าง แต่หลัก ๆ แล้วก็ไม่ใช่เรื่องโกหกแต่อย่างใด และเพราะแบบนั้น จะให้เรื่องนี้ถึงหูน้องสาวอย่างชิซุกะไม่ได้อย่างเด็ดขาด ปกติก็จู้จี้ขี้บ่นเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ถ้ารู้เรื่องนี้เข้าอีกล่ะก็ได้กลายเป็นเรื่องใหญ่แน่
ตอนนี้แม้จะอยู่ไกลกันคนละซีกโลก แต่ก็เดาได้ไม่ยากว่าตอนนี้เอริก้าคงกำลังยิ้มอยู่เป็นแน่ ภาพของเด็กสาวผู้งามกำลังยิ้มเยาะชอบใจอย่างผู้ชนะลอยเด่นขึ้นมาในหัวของโกโด
“นี่เธอกะจะเอาเรื่องตอนนั้นมาแบล็กเมล์กับน้องสาวฉันเหรอเนี่ย…”
“ไม่ต้องห่วงนะโกโด ตราบใดที่นายยังจงรักภักดีและซื่อสัตย์ต่อฉัน เรื่องนี้จะไม่ไปถึงหูคุณน้องสาวให้รำคาญใจแน่ ขอสาบานด้วยเกียรติของฉันคนนี้เลย”
“เล่นขู่กันซึ่ง ๆ หน้าแบบนี้ยังจะมีหน้ามาพูดเรื่องเกียรติอีกนะแม่คุณ!”
และด้วยเหตุนี้เอง ทริปร้อนไปยังอิตาลีก็เป็นอันต้องตกลงไปโดยปริยาย
ไม่พอ หลังจากโกโดกลับบ้านมาเพื่อเก็บสัมภาระสักพัก เขาก็ลองเดินออกไปเปิดกล่องรับจดหมายที่หน้าบ้านดู
…นั่นไงล่ะ มีแอร์เมลส่งมาเรียบร้อยแล้ว
ผู้ส่งก็คงไม่ต้องพูดถึง เอริก้า บรันเดลลี่นั่นเอง
พัสดุด้านในคือตั๋วเครื่องบินเที่ยวจากนาริตะไปกรุงโรม
ไม่ว่าจะพลิกดูมุมไหนก็ไม่พบตราประทับจากไปรษณีย์ เพราะงั้นฟันธงได้เลยว่าคงไม่ได้ส่งมาด้วยวิธีปกติแน่
องค์กรที่เอริก้าสังกัดอยู่นั้นดูเหมือนจะเรียกว่าเป็น [ภาคีอัศวิน] หรืออะไรสักอย่างที่แค่ฟังชื่อก็น่าสงสัยแล้ว เพราะงั้นพัสดุนี่อาจมีคนจากสาขาย่อยที่กรุงโตเกียวของ[ภาคีอัศวิน] ที่ว่านั่นแอบเอามาส่งให้ หรือไม่มันก็อาจส่งตรงมาจากเมืองมิลานเลยก็ได้ ด้วยพลังของสิ่งที่ค่อยไม่น่าพิสมัยเท่าไหร่อย่าง [เวทมนตร์] นั่นเอง
“เอ่อ… ขอโทษนะคะ”
ในขณะที่โกโดกำลังจมอยู่กับห้วงความคิดนั้น จู่ ๆ ก็ได้ยินเสียงใครบางคนเอ่ยทักขึ้นมาด้วยภาษาญี่ปุ่น
เป็นภาษาญี่ปุ่นที่ฟังดูไหลลื่นราวกับออกมาจากปากเจ้าของภาษา
“ผมและดวงตาสีดำ สูงประมาณ 180 เซนติเมตร หน้าตาพอใช้ได้ แต่ก็โดนหักไปยี่สิบแต้มจากที่ชอบทำหน้าบื้อ ๆ… คุณคือ คุณคุซานางิ โกโดสินะคะ”
เมื่อหันไปทางต้นเสียงก็พบกับหญิงสาวผมดำคนหนึ่ง อายุอานามคงมากกว่าโกโดสักสองสามปี
“อาริอันน่า ฮายามะ อญาร์ดี้ ค่ะ เดินทางมารับคุณตามคำสั่งของท่านเอริก้าแล้วค่ะ ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะคะ”
“ทางนี้ก็เช่นกันครับ… ว่าแต่คนต้นคิดคอมเมนต์เสีย ๆ หาย ๆ เมื่อครู่นี้คือยัยเอริก้าสินะครับเนี่ย”
“ใช่แล้วล่ะค่ะ โชคดีจังเลยที่ไม่ได้ทักผิดคน”
แม้จะฟังเหมือนโดนหลอกด่า แต่ดูเหมือนคุณอาริอันน่าคนนี้จะไม่ได้มีเจตนาว่าร้ายอะไร
เธอคลี่ยิ้มมาให้อย่างสุภาพ ส่วนสูงที่อยู่ราว ๆ 160 เซนติเมตรนั้นดูไม่ต่างจากหญิงสาวชาวญี่ปุ่นเท่าไร เป็นคนที่ให้บรรยากาศเรียบร้อยและนิ่มนวล
เป็นหญิงสาวใสซื่อที่ดูไม่มีพิษมีภัย ทำเอาไม่ค่อยอยากเชื่อเลยว่าเป็นคนรู้จักของยัยเอริก้าคนนั้น
แต่ก็ไม่แน่ เห็นหน้าตาท่าทางเรียบร้อยแบบนี้คงไม่ใช่ว่าธาตุแท้เป็นนักสู้สุดแกร่งพลังช้างสาร หรือไม่ก็เป็นอาชญากรตัวเอ้ที่เดินพกอาวุธไปไหนมาไหนอะไรทำนองนั้นหรอกนะ?
“คิดว่าคงพอเดาได้ตั้งแต่ได้ยินชื่อแล้ว ใช่ค่ะ ปู่ของดิฉันเป็นคนญี่ปุ่น คงเพราะแบบนั้นท่านเอริก้าถึงได้มอบหมายให้มาดูแลคุณคุซานางิสินะคะ ส่วนเรื่องชื่อของดิฉันจะเรียกแค่ ‘อันนา’ ก็ได้นะคะ เพื่อน ๆ ทุกคนก็เรียกกันแบบนั้น”
“ถ้างั้นทางนั้นเองก็เรียกผมว่าโกโดเฉย ๆ ก็ได้นะครับ ถึงเพื่อนที่รู้จักจะไม่ได้เรียกกันทุกคน แต่ปกติยัยเอริก้าก็เรียกผมแบบนี้”
“รับทราบแล้วค่ะ คุณโกโด”
อาริอันน่าหัวเราะออกมาเล็ก ๆ อย่างเป็นกันเอง
เป็นภาพที่งดงามและชวนให้ผ่อนคลาย ราวกับดอกลิลลี่ที่พลิ้วไหวอย่างอ่อนช้อยกลางสายลม
เพียงแต่ตั้งแต่ที่เรียกเอริก้าด้วยคำว่า [ท่าน] ก็รู้ได้ทันทีเลยว่าเธอคนนี้ก็เป็นหนึ่งในพวกนั้น กลุ่มคนที่เรียกตัวเองว่าเป็นจอมเวทหรือไม่ก็อัศวินราวกับหลุดออกมาจากคนละยุค
“คุณอันนาเนี่ยดูไม่ค่อยเหมือนพวกเดียวกับเอริก้าเลยนะครับ แบบว่าดูเป็นคนปกติธรรมดาทั่วไป”
“…อ๊ะ กะแล้วเชียว ดูเป็นแบบนั้นสินะคะ? ความจริงแล้วตัวดิฉันน่ะไม่ค่อยมีพรสวรรค์ ตอนนี้ก็ยังเป็นได้แค่เด็กฝึกงานเท่านั้นเองค่ะ ต้องขอขอบพระคุณท่านเอริก้าที่มองเห็นอะไรบางอย่างในตัวดิฉันก็เลยได้มารับใช้ในฐานะลูกน้องใต้สังกัดแบบนี้แหละค่ะ”
จะว่าไปก็จริง คุณอาริอันน่าท่าทางดูซื่อ ๆ ใส ๆ ไม่มีลับลมคมในอะไร
ถ้าบอกว่าเป็นเด็กฝึกงานก็พอเข้าใจได้
“อยู่ใต้สังกัดยัยนั่นนี่… ท่าทางลำบากน่าดูนะครับ คงมีแต่เรื่องอันตรายสินะครับ?”
“อ๊ะ เปล่าเลยค่ะ เรื่องที่ต้องทำก็มีแค่คอยดูแลงานจิปาถะรอบ ๆ ตัวท่านเอริก้าน่ะค่ะ ไม่ค่อยได้เจองานอันตรายอะไร อีกอย่างท่านเอริก้าน่ะแข็งแกร่งมาก ก็เลยได้ช่วยปกป้องอยู่เสมอ ๆ เลยค่ะ”
งานจิปาถะรอบตัว
ไอ้นั่นน่ะ แทนที่จะเรียกว่าเป็นลูกน้องในสังกัด เหมือนจะโดนใช้ให้เป็นเมดมากกว่านะเนี่ย
เอริก้าจอมขี้เกียจคนนั้น ท่าทางคงโยนงานเล็กงานน้อยที่ทำเองก็ได้ให้อันนาจัดการหมดเลยสินะ
…พอคิดได้เช่นนั้น โกโดก็รู้สึกสงสารขึ้นมาจับใจ
ท่าทางเธอเองก็คงเป็นผู้เสียหายจากพฤติกรรมของเอริก้าเหมือนกัน คงต้องสนิทกันไว้หน่อยแล้ว
“แล้วตัวการที่เรียกผมมาเนี่ย ตอนนี้ไปอยู่ที่ไหนซะแล้วล่ะครับ?”
“ตอนนี้ท่านเอริก้ากำลังเข้าร่วมการประชุมสำคัญอยู่น่ะค่ะก็เลยยังมาไม่ได้ ท่านบอกว่าพองานเสร็จเมื่อไหร่จะรีบมาหาทันที เพราะฉะนั้น ระหว่างที่รอนี้เดี๋ยวฉันจะเป็นคนรับหน้าที่ดูแลเองค่ะ”
ให้เป็นหน้าที่ของฉันเองค่ะ ท่าทางของอันนาที่พูดออกมาเช่นนั้นช่างดูพึ่งพาได้เสียจริง
“ว่าแต่คุณอันนาพอจะทราบรึเปล่าว่าผมต้องทำอะไรบ้าง? พอดียัยเอริก้าเรียกผมมาที่นี่แต่ไม่ยอมบอกรายละเอียดเลยสักอย่างว่าต้องทำอะไรก็เลยยังงง ๆ อยู่”
“ต้องขออภัยด้วยค่ะ ดิฉันเองก็ไม่ได้ยินอะไรมาเหมือนกัน รู้เพียงแค่ว่าคุณโกโดเป็นแขกคนสำคัญของท่านเอริก้าให้ดูแลอย่าให้ขาดตกบกพร่องเท่านั้นเองน่ะค่ะ…”
“แค่นั้นเองเหรอครับ? ยัยนั่นไม่ได้บอกเหรอครับว่าผมเป็นใคร?”
“ใช่ค่ะ… หรือว่า ความจริงแล้วคุณโกโดเป็นคนใหญ่คนโตสุด ๆ เพียงแต่ดิฉันไม่ทราบเองอะไรทำนองนั้นรึเปล่าคะ?”
“ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกครับ ถ้าพูดง่าย ๆ ก็ยังอยู่ในขอบเขตที่เรียกว่าเป็นนักเรียนมัธยมปลายจากญี่ปุ่นที่ถูกเอริก้าลากมาอิตาลีโดยไม่เต็มใจได้แล้วกันครับ”
ถึงจะพูดแบบนั้น ปัญหาก็คือตัวตนจริง ๆ ของเขาไม่ใช่อะไรที่สามารถจัดแจงได้ง่าย ๆ แบบนั้น
แต่นี่ก็ไม่ใช่เรื่องที่จำเป็นต้องป่าวประกาศให้ใครรู้ โกโดจึงไม่ได้พูดอะไรต่อ
“อ๊ะ มายืนคุยกันในที่แบบนี้คงจะไม่ดีสินะคะ เข้าเมืองกันเถอะค่ะ คุณโกโดมาที่โรมเป็นครั้งแรกสินะคะ?”
“ครับ ก็นะ ตอนที่เอริก้าเรียกตัวมาคราวก่อน ไม่มีเวลาว่างให้ไปไหนเลยนี่ครับ”
“รอบนี้พอจะมีเวลาว่างอยู่นิดหน่อยนะคะ เพราะท่านเอริก้าบอกมาว่าจนกว่าจะติดต่อไปก็เชิญทำตัวตามสบายได้เลยน่ะค่ะ เพราะงั้นเดี๋ยวดิฉันจะขออาสานำเที่ยวเองค่ะ เตรียมรถไว้เรียบร้อยแล้วด้วย”
“รถเหรอครับ… ถ้าเป็นพวกBMWที่มาพร้อมกับพนักงานขับรถเนี่ยผมขอผ่านนะครับ พอดีไม่ค่อยชินกับอะไรแบบนั้นเท่าไหร่น่ะ”
ถ้าเอริก้าบอกว่าจะเตรียมรถให้ทีไรส่วนใหญ่ก็มักลงอีหรอบนั้นทุกที
เมื่อคราวก่อนพอลองถามไปเจ้าตัวก็บอกว่าแทบไม่ได้ใช้งานรถสาธารณะอย่างพวกรถบัสหรือรถไฟฟ้าเลยก็เลยกลายเป็นแบบนั้น หวังว่าอันนาคงไม่ทำเหมือนกันหรอกนะ…
“ไม่หรูหราขนาดนั้นหรอกค่ะ คนขับก็คือดิฉันเองด้วย ไว้ใจได้เลยค่ะ”
อันนาคลี่ยิ้มให้ ก่อนจะก้าวเดินออกไป
เห็นเช่นนั้นโกโดก็รู้สึกประทับใจ ถ้านับว่านี่คือเซนส์ในการเลือกคนของเอริก้าแล้ว อันนาถือว่าเหมาะสมกับหน้าที่ต้อนรับอย่างเหมาะเหม็งเลยไม่ใช่รึยังไงกัน
ทั้งคอยเอาใจใส่ในรายละเอียดยิบย่อยต่าง ๆ ที่สำคัญ เรื่องที่เยี่ยมที่สุดคงเป็นจุดดูเป็นคนธรรมดาสามัญนี่แหละ
…และหลังจากนั้นเพียงไม่นานนัก โกโดก็ได้รู้ซึ้งว่าความประทับใจดังกล่าวเป็นเพียงการด่วนสรุปไปเท่านั้น
========================================================
Campione! I เทพเจ้าผู้นอกรีต