Chaotic Lightning Cultivation โกลาหลแห่งอัสนีบาต - ตอนที่ 302.1
บทที่ 302: หนึ่งข้อความกับศัตรูทั้งสอง! (1)
ด้านนอกของประตูสำนักค่ายกล มีบุรุษแห่งลัทธิเต๋ารูปร่างสูงใหญ่ยืนอยู่ด้านหน้า แม้ว่าเขาจะอยู่ในระดับจินตันและดูเหมือนไร้พิษสงใดๆ แต่ทว่าบุคคลรอบข้างล้วนแต่ทำตัวแปลกประหลาดออกไป ทั้งหมดได้แต่ยืนเฝ้าระวังอยู่ไกลๆ ไม่มีผู้ใดกล้าที่จะเข้าใกล้เขาแม้แต่น้อย
การมาถึงของซ่งจงทำให้อาวุโสหลายคนตื่นเต้น เขาอยู่ในระดับจินตันเท่านั้น แต่สามารถสั่นสะเทือนโลกของผู้ฝึกตนได้อย่างเหลือเชื่อ ในที่สุดการเดินทางที่แสนยาวนานของเขาก็ได้สิ้นสุดลง ตอนนี้เขามาถึงหน้าประตูของสำนักค่ายกลอย่างเงียบเชียบ เมื่อเขามาถึงแล้ว เขาเฝ้ารออยู่ที่ด้านหน้าประตู เขารู้ว่าอีกฝ่ายนั้นเฝ้ารอเขาอย่างใจจดจ่อและคงไม่ทำให้เขาต้องรอนาน
แน่นอนว่าเป็นเช่นนั้น เวลาผ่านไปเพียงชาถ้วยหนึ่งยังไม่ถึงครึ่ง ผู้ฝึกตนมากมายหลายร้อยกรูกันออกมาด้านนอกอย่างเต็มกำลัง ส่วนใหญ่ล้วนแต่อยู่ในระดับจินตันทั้งสิ้น
ในขณะนั้นอาวุโสสองคนเดินออกมาอยู่ตรงหน้าของซ่งจง เขาคือนักบวชเต๋าปีศาจและเทพธิดาทูตน้ำแข็ง ทั้งสองส่งสายตาให้ซ่งจงอย่างเย็นชา นักบวชเต๋าปีศาจเปิดฉากกล่าวออกมาก่อนว่า “เจ้าน่ะหรือราชาปีศาจ ซ่งจง?”
“ข้าคือซ่งจง แต่ข้าไม่ใช่ราชาปีศาจ!” ซ่งจงกล่าวตอบอย่างนิ่งเฉย “ท่านต้องการให้ข้ามา ข้าก็ยืนอยู่ตรงนี้แล้ว ไหนล่ะซูหยู่และซูหยุ่น? ส่งนางมาให้ข้า!”
“เหอะ!” นักบวชเต๋าปีศาจสบถออกมาในลำคอ เขาต้องการจะใช้โอกาสนี้เพื่อปั่นหัวซ่งจงเล็กน้อย
แต่ทันใดนั้นเทพธิดาภูติน้ำแข็งกล่าวตัดบทอย่างเย็นชา “ส่งนางให้เขา!”
เมื่อเห็นว่าเทพธิดาภูติน้ำแข็งนั้นพยายามที่จะรักษาคำพูดเช่นนั้น นักบวชเต๋าปีศาจอดไม่ได้ที่จะหงุดหงิดและต้องการที่จะบ่นนางสักหน่อย อย่างไรก็ตามแม้ว่าเขาจะเกลียดการแทรกแซงของนาง แต่ทว่าเขาก็ไม่อยากที่จะมีปัญหากันในภายหลัง ถ้าหากเขาดื้อรั้นที่จะทำในสิ่งที่ต้องการต่อไป นั่นอาจจะเป็นการยั่วยุให้นางโกรธได้และมันไม่ใช่สิ่งที่เขามุ่งหวังเลยแม้แต่น้อย
เพื่อที่ให้งานสำเร็จ แม้ว่าจะโกรธก็จะต้องอดทนเพื่อผ่านไปให้ได้ จากนั้นเขาสะบัดมือพร้อมปรากฏแสงสีฟ้าออกมา ร่างของหญิงสาวทั้งสองถูกโยนให้กับซ่งจงอย่างว่าง่าย จากนั้นเขากล่าวออกมาอย่างเยือกเย็น “ไอ้ก้อนไขมัน นี่คือบุคคลที่เจ้าต้องการและสถานที่แห่งนี้จะเริ่มคิดบัญชีกับเจ้านับตั้งแต่เวลานี้ไป!”
ซ่งจงไม่กล้าที่จะละเลยหญิงสาวทั้งสอง เขารีบเข้าไปอุ้มพวกนางทันทีพร้อมกับส่งสัมผัสวิญญาณเข้าไปตรวจสอบในร่างกายว่านางบาดเจ็บตรงไหนหรือไม่พร้อมถามออกไปอย่างกังวล “พวกเจ้าปลอดภัยนะ?”
ทันทีที่ซูหยู่และซูหยุ่นเห็นว่าซ่งจงมาแล้วจริงๆ พวกนางเข้าไปกอดเขาพร้อมกับร่ำไห้ออกมาอย่างน่าเวทนาและกล่าวด้วยน้ำเสียงสะอึกสะอื้น “ท่านไม่ควรมาที่นี่ พวกเขาใช้เราเพื่อที่จะจัดการกับท่าน!”
“ข้ารู้ ข้ารู้ดี!” ซ่งจงรีบกล่าว “ไม่ต้องกลัว แน่นอนว่าทุกอย่างจะราบรื่น ข้ายังพอมีหนทาง! แต่สำหรับเจ้ามีสิ่งใดที่พวกเขารังแกหรือไม่?”
“โชคดีอย่างมากที่ท่านมาได้ทันเวลา ถ้าหากช้าไปมากกว่านี้พวกเราอาจจะถูกนักบวชเซือหมัวข่มขืน!” สองพี่น้องกล่าวออกมาพร้อมกับร้องไห้ไปด้วย
ซ่งจงได้ยินประโยคนั้น เปลวไฟแห่งความโกรธลุกโชนทันที เขาอดไม่ได้ที่จะก่นด่าออกไปอย่างเกรี้ยวกราด “ไอ้สารเลวพวกนี้ไม่ได้ให้พวกเจ้าอยู่เฉยๆก่อนที่ข้าจะมาถึงงั้นหรือ? อะไรคือพวกนางถูกนักบวชเซือหมัวรังแกเช่นนี้? หัวใจแห่งเกียรติยศที่พวกเจ้าภูมิใจนักหนามันถูกทอดทิ้งแล้วอย่างงั้นรึ?!”
ทันทีที่ได้ยินซ่งจงตะโกนออกมาเช่นนั้น ใบหน้าของเทพธิดาภูติน้ำแข็งเปลี่ยนเป็นสีแดงทันที นางไม่สามารถแก้ตัวใดๆ เพราะนางนั้นก็ผิดเช่นกันที่ไม่สามารถห้ามปรามนักบวชเซือหมัวไว้ได้
แต่นักบวชเต๋าปีศาจไม่อาจอดทนฟังคำเช่นนั้นได้ เขาตะโกนออกมาด้วยความโกรธเช่นกัน “ไอ้ก้อนไขมัน แล้วใครบอกให้เจ้ามาช้า? ใครกันที่เป็นคนผิด?”
“เก็บตดสุนัขเจ้าไว้ดมเองเถอะ!” ซ่งจงตะโกนออกมาอย่างเกรี้ยวกราด “ในจดหมายของเจ้านั้นไม่ได้ระบุเวลา แล้วจะกล่าวโทษข้าได้อย่างไร? อีกทั้งข้าเดินทางมาจากทะเลตะวันออกข้ามวันข้ามคืนกว่าเจ็ดแสนลี้ ข้าเพียงมาถึงหลังเที่ยงเพียงเล็กน้อย แล้วอะไรคือกล่าวโทษว่าข้ามาสาย? พวกเจ้านั้นรู้จักคำว่ายางอายบ้างหรือไม่? เหตุผลเพียงแค่นี้ทำให้พวกเจ้าต้องกระทำสิ่งที่หยาบช้าเช่นนี้งั้นหรือ? หรือว่าพวกเจ้านั้นเป็นเพียงสุนัขที่เห่าหอนไปวันๆเท่านั้น?”
ซ่งจงตะโกนก่นด่าพวกเขาอย่างเจ็บแสบโดยไม่ไว้หน้าผู้ใด ผู้คนที่อยู่โดยรอบต่างพากันตกใจกับสิ่งที่ซ่งจงทำ แม้แต่นักบวชเต๋าปีศาจยังไม่อาจอดทนได้ อีกทั้งเขายังอยู่ในระดับเฟินเสิ่น อีกทั้งยังมีผู้ฝึกตนระดับหยวนหยินยืนอยู่ตรงนี้ด้วย แต่ซ่งจงนั้นอยู่ในระดับจินตันเท่านั้น การที่เขาทำเช่นนี้ไม่ต่างอะไรกับการยั่วยุอาวุโส!
เมื่อนักบวชเต๋าปีศาจได้ยินเช่นนั้น เขาแทบจะกระอักเลือดออกมาทันที! สถานะของเขานั้นอยู่ในระดับที่สูงเกินกว่าจะโดนดูถูกเช่นนี้ได้ แล้วเขาจะสามารถอดทนได้อย่างไรกัน? ภายใต้สถานการณ์ที่น่าอับอายเช่นนี้ถูกเปลี่ยนเป็นความโกรธอย่างรวดเร็ว ภายในใจของนักบวชเต๋าปีศาจต้องการที่จะเอาเลือดของซ่งจงมากู้คืนศักดิ์ศรีของตนให้ได้
อย่างไรก็ตาม เทพธิดาภูติน้ำแข็งจับเขาไว้พร้อมกล่าวออกมา “พวกเราต้องทำหน้าที่ของเราให้ชัดเจน! ในสถานที่แห่งนี้มีคนมากมาย มันน่าอับอายเสียยิ่งกว่าถ้าหากเรารังแกมือใหม่ ถ้าหากเราพลั้งมือสังหารเขา แน่นอนว่าเราจะกลายเป็นตัวตลกสำหรับโลกนี้!”
แน่นอนว่านักบวชเต๋าปีศาจนั้นไม่สนใจชื่อเสียงเหล่านั้นแม้แต่น้อย แต่ทว่าเทพธิดาภูติน้ำแข็งนั้นให้ความสำคัญกับสิ่งเหล่านี้อย่างมาก เช่นนี้นางจึงต้องห้ามเขาไว้ เช่นนี้นักบวชเต๋าจึงไม่อาจขืนคำสั่งของนางได้ เช่นนั้นเขาจึงกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงที่เยือกเย็น “เรื่องที่เจ้าพูดนั้นไร้สาระ แต่ถ้าหากวันหนึ่งข้าพบกับมันอีกครั้ง ข้าจะทำให้ชีวิตของมันนั้นรู้สึกว่าตายไปดีกว่าต้องทนมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้!”
นักบวชเต๋าปีศาจกล่าวออกมาด้วยความเกลียดชัง สีหน้าและท่าทางของเขาแสดงออกถึงความเกลียดซ่งจงถึงไขสันหลัง!
เทพธิดาภูติน้ำแข็งนั้นขี้เกียจจะสนใจเขาอีกต่อไป นางจึงหันไปหาซ่งจงพร้อมกล่าวว่า “เด็กน้อย สุดท้ายแล้วสหายทั้งสองของเจ้าก็กลับคืนสู่อ้อมแขนของเจ้าอย่างไร้อันตรายใดๆ ดังนั้นพวกเราคงไม่ได้ทำผิดสัญญาใช่หรือไม่?”
“หึ!” ซ่งจงพ่นน้ำเสียงเย็นชาออกมา แม้ว่าใจของเขาจะไม่ยอมรับ แต่ทว่ามันก็คือความจริงที่เขาปฏิเสธไม่ได้ เขาพยักหน้ารับพร้อมกล่าว “อืม สมมุติว่ามันไม่มีอะไรผิดพลาดก็แล้วกัน!”
“ยอดเยี่ยม ถ้าหากเป็นเช่นนั้น เราควรจะเลิกพูดถึงมัน!” เมื่อกล่าวเช่นนั้นแล้ว เทพธิดาภูติน้ำแข็งหลุบดวงตาต่ำลงพร้อมกล่าวต่อ “จากนี้เราควรมาคิดหนี้สิ้นที่เราเคยติดค้างกันไว้เมื่อครั้งที่เจ้าทำลายหอเฉวียนจี้กันดีกว่า!”
“อะไร?” ซ่งจงกล่าวออกมาอย่างรังเกียจ “ถ้าหากจะชำระหนี้ได้ ก่อนอื่นก็ต้องเป็นหนี้กันก่อน หอเฉวียนจี้นั้นเป็นผู้บงการสังหารครอบครัวของข้า อีกทั้งยังยืมมือสำนักพันปีศาจให้ลงมือกระทำอย่างโหดเหี้ยม แล้วข้าไม่สามารถชำระหนี้แค้นเหล่านั้นได้งั้นหรือ?”
“ซ่งจง ข้าไม่รู้เกี่ยวกับเรื่องราวของครอบครัวเจ้า แต่ในเวลานี้ข้ามาเพื่อชำระแค้นที่เจ้าทำลายหอเฉวียนจี้!” เห็นได้ชัดว่าเทพธิดาภูติน้ำแข็งหลีกเลี่ยงที่จะตอบคำถามของซ่งจงอย่างชัดเจน
ในขณะที่นางกล่าวออกมาเช่นนั้น ใบหน้าของนางแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ ความจริงแล้วเรื่องราวเป็นอย่างไร เหตุใดเทพธิดาภูติน้ำแข็งจึงจะไม่ทราบ? มันเป็นเพียงท่าทางของนางเท่านั้นที่แสดงออกมาให้ดูว่านางสับสน สุดท้ายแล้วเรื่องราวทั้งหมดนั้นก็มาจากพวกนางทั้งสิ้น ด้วยวิธีไหนกันที่จะสามารถเอาเลือดของซ่งจงไปล้างความอัปยศให้กับหอเฉวียนจี้ที่ถูกทำลายลงได้? ดังนั้นนางจึงคิดจะหลีกเลี่ยงที่จะตอบคำถามของซ่งจงและพุ่งเป้าหมายไปที่เขาคือผู้ทำลายหอเฉวียนจี้ เช่นนี้จึงจะดีกว่า นางไม่ต้องการพูดถึงปัญหาต้นตอของมันอย่างแท้จริง เพื่อปัดความผิดทั้งหมดให้กับซ่งจงเพียงผู้เดียว!
ซ่งจงนั้นรู้ดีกว่าเทพธิดาภูติน้ำแข็งนั้นลูกเล่นแพรวพราว เขาอดไม่ได้ที่จะกล่าวเย้ยหยันออกมา “หึ การที่เรานั้นรู้ตัวอยู่แล้วว่าสิ่งใดถูกผิด แต่พยายามจะผลักดันให้ผิดกลายเป็นถูกงั้นหรือ ถ้าเป็นเช่นนี้เรากำลังพูดถึงเรื่องอะไรกันอยู่ล่ะ? โยนความผิดทั้งหมดให้กับข้าเพื่อที่ตนเองจะได้เป็นผู้กอบกู้ความยุติธรรมสินะ!”
“ต้องขอโทษถ้าหากข้านั้นไม่สุภาพ!” เทพธิดาภูติน้ำแข็งกล่าวออกมา “เรือมังกรทองคำไม่ใช่ของเจ้างั้นหรือ? ก็มันทำลายหอเฉวียนจี้จนย่อยยับ หึ อย่าให้คิดฝันว่าเรือนั่นจะเป็นอมตะ พวกเราอยู่ที่นี่แล้ว และสามารถปราบปรามมันได้!”
หลังจากนั้นเทพธิดาภูติน้ำแข็งสะบัดมือของนางหนึ่งครั้ง ปรากฏหอขนาดใหญ่เทียบเท่ากับเรือมังกรทองคำ รูปร่างของมันโอ่อ่า มีสีฟ้าขาวสวยงามอย่างยิ่ง มันงดงามราวกับวังขนาดย่อมๆ เสาขนาดใหญ่ของมันแกะสลักเป็นลวดลายของมังกรน่าเกรงขาม แผ่นโลหะขนาดใหญ่เขียนตัวอักษรไว้สามคำ “ราชวังหยกคราม”
เห็นได้ชัดว่านี่คือเรือของหอเฉวียนจี้ที่สามารถเทียบเคียงกับเรือมังกรทองคำได้ ซึ่งสมบัติขนาดใหญ่ของหอเฉวียนจี้นับได้ว่าเป็นสิ่งที่น่าสนใจอย่างมาก สิ่งประดิษฐ์ของพวกเขานั้นล้วนแต่เต็มไปด้วยความลับที่ไม่มีใครล่วงรู้ แม้แต่ซ่งจงก็ไม่รู้เช่นกันว่ามันจะแข็งแกร่งมากเพียงใด เขารับรู้ได้เพียงมันอันตรายมาก!
อย่างไรก็ตามแม้ว่าราชวังหยกครามจะน่าเกรงขามอย่างยิ่ง แต่มันก็คล้ายกับเรือมังกรทองคำอย่างช่วยไม่ได้ อีกทั้งขนาดของมันยังเท่ากันอีกด้วย
ในเวลานั้น นักบวชเต๋าปีศาจที่เห็นว่าเทพธิดาภูติน้ำแข็งปลดปล่อยจิตสังหารออกมา เขากล่าวออกมาอย่างสุขุมเช่นกัน “สำนักพันปีศาจก็มีของขวัญเล็กน้อยมอบให้เจ้าเหมือนกัน!”
เมื่อกล่าวจบ นักบวชเต๋าปีศาจสะบัดแขนพร้อมกับปรากฏเรือขนาดใหญ่เท่ากับเรือมังกรทองคำ รูปร่างของมันใหญ่โตและมีสีแดงฉาน กำลังลอยอยู่เคียงข้างราชวังหยกคราม เรือลำนี้ดูจะสวยกว่าในเรื่องของสถาปัตยกรรมซึ่งดูละเอียดอ่อนราวกับหญิงสาววัยแรกแย้ม ไม้ที่นำมาสร้างนั้นซ่งจงก็ยังไม่แน่ชัดว่าคือไม้อะไร แต่ทันทีที่มันปรากฏขึ้นมา มันมาพร้อมกับกลิ่นที่หอมดึงดูดใจอย่างยิ่ง ซึ่งยิ่งทำให้ผู้พบเห็นมันเกิดความหลงใหลในเรือลำนี้มากยิ่งขึ้นไปอีก
ที่ด้านบนสุดของเรือยังมีป้ายขนาดใหญ่แปะไว้พร้อมกับตัวอักษรที่ใหญ่เช่นกัน “ละอองทับทิม!”
เมื่อเห็นทั้งสองเผยไพ่ตายของตนเองออกมา ซ่งจงได้แต่ลอบสูดอากาศเย็นเข้าปอดไปอย่างช่วยไม่ได้ ภายในหัวใจของเขาพึมพำ ‘เรือสองลำนี้อันตรายอย่างมาก โชคดีจริงๆที่ข้าพัฒนาเรือมังกรทองคำเป็นขั้นที่สอง ไม่เช่นนั้นมันก็คงไม่สามารถจะต่อสู้กับเรือระดับเดียวกันถึงสองลำได้ เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายวางแผนมาเพื่อที่จะให้เขาเผยไพ่ตายออกมาเช่นกัน มันจะดีงั้นเหรอ? ฮ่าฮ่า แล้วเรือมังกรทองคำที่เพิ่มความสามารถแล้ว ถ้าหากข้านำมันออกมาพวกเขาจะอกแตกตายกันหรือไม่นะ?’ ซ่งจงคิดอยู่ภายในใจ
แน่นอนว่าเทพธิดาภูติน้ำแข็งและนักบวชเต๋าปีศาจไม่รู้ว่าซ่งจงกำลังคิดอะไรอยู่ พวกเขาเห็นว่าซ่งจงจ้องมองเรือทั้งสองอยู่ จากนั้นทั้งคู่ก็อดคิดไม่ได้ว่าซ่งจงนั้นเกรงกลัวสมบัติทั้งสองนี้จนร่างกายแข็งค้างไปแล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงอดไม่ได้ที่จะส่งรอยยิ้มเย้ยหยันออกมาอย่างร่าเริง
นักบวชเต๋าปีศาจไม่รอที่จะให้ซ่งจงได้กล่าวอะไรไร้สาระ เขาเปลี่ยนตำแหน่งของตนเองขึ้นไปอยู่บนเรือพร้อมกล่าวออกมา “ละอองทับทิมลำนี้อดใจไม่ไหวแล้วที่จะได้พบกับเรือมังกรทองคำ!”
เทพธิดาภูติน้ำแข็งกล่าวออกมาอย่างรวดเร็วด้วยเช่นกัน “ซ่งจง อย่ามองแต่เพียงว่าสถานที่แห่งนี้มีเรือยักษ์ถึงสองลำเพื่อจะจัดการเจ้า แต่พวกเรายังเป็นอาวุโสกว่า เจ้าจะยอมต่อสู้ในการแข่งขันที่ช่องว่างมากมายเช่นนี้งั้นหรือ? ข้าว่ายอมแพ้แต่โดยดีจะเป็นการดีที่สุด”
“นี่ท่านพูดจริงงั้นหรือ?” ซ่งจงกล่าวออกมาพร้อมกับมองพวกเขาด้วยท่าทีประหลาดใจ
“แน่นอนว่าจริง!” เทพธิดาภูติน้ำแข็งกล่าวออกมาอย่างเหยียดหยาม “ต่อหน้าคนมากมายเช่นนี้ เจ้าคิดว่าข้าจะสามารถพูดเรื่องไร้สาระได้งั้นหรือ?”
“หึ!” ซ่งจงเผยรอยยิ้มกว้างพร้อมกล่าวต่อ “เหมือนว่าท่านกำลังเย้ยหยันบุรุษแห่งลัทธิเต๋าอยู่นะ แม้ว่าท่านจะพูดความจริง แต่ทว่าสหายของท่านนั้นคงจะไม่ได้รักษาเกียรติดั่งเช่นท่านหรอก ดังนั้นข้าก็คงไม่สามารถเชื่อถือสิ่งใดได้อีกต่อไป!”