Chaotic Lightning Cultivation โกลาหลแห่งอัสนีบาต - ตอนที่ 306.2
บทที่ 306: ไข่มุกจันทรา (2)
ความจริงแล้วสองสามีภรรยาตระกูลหงทั้งสองนั้นรู้อยู่แล้วว่าซ่งจงเป็นที่นิยมอย่างมากในหมู่ผู้ฝึกตน เพราะทั้งสองเองก็เพิ่งจะแลกเปลี่ยนสิ่งของกับเขาไปเมื่อสองสามวันที่แล้ว อย่างไรก็ตามพวกเขานั้นไม่คิดว่าสิ่งนี้จะเป็นความผิดอาญาใดๆภายในสำนัก หลังจากที่ซ่งจงได้เปิดเผยว่าตนเองครอบครองวัสดุจำนวนมากทำให้เหล่าผู้ฝึกตนระดับหยวนหยินสามารถเก็บวัสดุได้ครบตามต้องการ อีกทั้งซ่งจงยังมีวัสดุที่พวกเขาต้องการอยู่เสมอ จ้าวสำนักนั้นได้เห็นว่าการปรับแต่งอาวุธได้มีเพิ่มมากขึ้นในช่วงนี้ ซึ่งคาดว่าอีกไม่กี่ปีข้างหน้าจะมีอาวุธระดับเจ็ดอย่างน้อยหนึ่งโหลที่พร้อมใช้งาน ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะสามารถช่วยให้สำนักเสวียนเทียนแข็งแกร่งขึ้น ไม่ว่าจะคิดอย่างไรนี่ย่อมเป็นความดีไม่ใช่ความผิด
อาวุโสหงคิดเรื่องนี้อยู่ครู่หนึ่งพร้อมกล่าวกับซ่งจงว่า “บางทีพวกเราอาจจะคิดมากเกินไป มันอาจจะเป็นการเรียกตัวไปรับคำชมก็เป็นได้”
“หวังว่าจะเป็นเช่นนั้น!” ซ่งจงเผยรอยยิ้มขื่นขมออกมาอย่างช่วยไม่ได้ แม้ว่าเขาจะพูดออกมาเช่นนั้นแต่ความจริงแล้วเขายังกังวลอย่างมากเช่นเดิม เขาเกรงกลัวว่าอาจจะต้องบอกกล่าวถึงต้นกำเนิดของวัสดุเหล่านี้ ถ้าหากเวลานั้นมาถึงเขาก็คงไม่มีอะไรจะกล่าวออกไปเช่นกัน ถ้าหากจะทำได้ก็คงเพียงแค่ใช้สถานะเจ้าชายแห่งทะเลตะวันออกนั้นมาปกป้องตนเองเท่านั้น แต่ทว่าแร่หรือวัสดุบางชนิดซ่งจงก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะอธิบายมันได้อย่างไร!
ในขณะที่ยังกังวล เขายังคงบินตามสองสามีภรรยาไปเรื่อยๆ ในที่สุดเขาก็มาถึงโถงหลักของสำนัก หอคอยสูงเสียดฟ้ารายล้อมไปด้วยต้นไม้นานาพรรณ ป่าที่หนาแน่นเต็มไปด้วยกลิ่นไอสังหารไร้ที่สิ้นสุด! สิ่งนี้เป็นสถาปัตยกรรมชั้นเยี่ยม อีกทั้งมันยังมีอาวุธพิเศษซ่อนไว้อีกมากมาย น่าเสียดายที่ซ่งจงไม่รู้..
ทั้งสามได้เดินทางมาถึงแต่ทว่าพวกเขาทั้งหมดถูกหยุดโดยทหารด้านหน้า สองสามีภรรยาตระกูลหงล้วนแต่ไม่เข้าใจ สถานะของพวกเขานั้นสูงส่งและอยู่ในระดับหยวนหยิน แต่กลับเป็นซ่งจงคนเดียวเท่านั้นที่สามารถเข้าไปได้ ทั้งหมดงงงวยในทันที แล้วซ่งจงก็ถูกทหารพาตัวเข้าไปด้านใน
สองสามีภรรยามองซ่งจงที่หายตัวเข้าไปในอาคารด้วยสายตาที่ไม่เข้าใจ คิ้วของทั้งสองขมวดติดกันแน่นด้วยความเป็นห่วง
“เหมือนว่านี่จะไม่ใช่เรื่องเล็กๆแล้วล่ะ! มิฉะนั้นคงไม่ปิดกั้นคนนอกเช่นนี้!” อาวุโสหงกล่าวออกมาอย่างกังวล “เจ้าคิดว่ามีอะไรที่พอจะเป็นไปได้บ้างไหม?”
“ข้าไม่รู้” มาดามหงสั่นศีรษะพร้อมกล่าวต่อ “แต่ฉันรู้สึกแน่ใจมากว่าเรื่องที่ซ่งจงแลกเปลี่ยนวัสดุระดับสูงเหล่านั้นไม่ได้เกี่ยวข้อง แต่อาจจะเกี่ยวกับตัววัสดุมากกว่า”
“เจ้าว่าพวกเขาสงสัยที่มาของวัสดุเหล่านั้นงั้นเหรอ?”
“แต่มันก็ไม่ควรจะทำเช่นนี้ เหตุใดกันจึงต้องสอบสวนกันแบบลับๆ แต่มันก็เป็นไปได้ที่พวกเขาจะถามซ่งจงออกมาตรงๆ ซ่งจงนั้นมีสถานะเช่นเดียวกับเราทั้งสอง การที่จะรังแกซ่งจงนั้นไม่ใช่เรื่องที่สามารถทำได้ง่ายดาย นอกซะจากว่าเขาจะทำผิดกฏจริงๆ!” ทันใดนั้นมาดามหงกล่าวออกมาอย่างกระทันหัน “หรือว่ามันจะเกี่ยวกับผู้ฝึกตนระดับเฟินเสินสองคนที่ถูกเรียกตัวมาโดยด่วนในวันนี้ล่ะ!”
“เจ้าหมายถึงอาวุโสทั้งสองที่เพิ่งมาถึงงั้นเหรอ?” อาวุโสหงกล่าวออกมา
“อืม!” มาดามหงพยักหน้าทันควัน “นี่เป็นไปได้มากที่สุด!”
“แปลกมาก… ซ่งจงน่ะอยู่เพียงระดับจินตันจะสามารถไปยั่วยุจ้าวสำนักได้อย่างไร?” อาวุโสหงกล่าวออกมาอย่างไม่เข้าใจ “ใช่จ้าวสำนักของสำนักค่ายกลหรือไม่?”
“ไม่น่าจะเป็นไปได้ เพราะครั้งล่าสุดที่พวกเขาล้มเหลวในการจับกุมซ่งจง พวกเขาก็ไม่ได้กล่าวอะไรออกมาเลยแม้ว่าจะมีผิวหน้าที่หนาจัดก็ตาม ยิ่งไปกว่านั้นเรื่องราวของพวกเขานั้นเล็กน้อยอย่างมาก ข้าเดาว่าเป็นเรื่องอื่นซะมากกว่า!”
“เอาล่ะ เราไม่สามารถเดาอะไรได้เลยในตอนนี้ มีแต่ข่าวไม่สำคัญทั้งนั้น” อาวุโสหงกล่าวออกมาอย่างจนปัญญา
“อืม เป็นเช่นนั้น เรากลับกันดีกว่าที่จะมายืนคิดอะไรตรงนี้” มาดามหงยอมจำนนต่อสถานการณ์ ทั้งสองบินกลับที่พักของตนเองในทันที
ซ่งจงได้เดินอยู่ท่ามกลางทหารราวเจ็ดถึงแปดคน สุดท้ายแล้วเขาก็เดินทางมาถึงห้องลับที่เต็มไปด้วยผู้พิพากษาหนาแน่น เมื่อเปิดประตูเข้ามา ซ่งจงตกตะลึงกับภาพตรงหน้าอย่างมาก เขาเห็นจ้าวสำนักสุ่ยเมิ่งหลงนั่งอยู่บนบัลลังก์ใหญ่พร้อมด้วยหงเถิงเฟ่ยที่นั่งอยู่ด้านล่างพร้อมด้วยผู้ฝึกตนหญิงสาวน่ารักสองคนนั่งด้านข้างเขา ทั้งหมดสวมเสื้อผ้าสีดำและทั้งสองเป็นผู้ฝึกตนระดับเฟินเสิน
ซ่งจงนั้นคิดว่าหงเถิงเฟยคงต้องการที่จะพบเขา แต่ทว่าเขาไม่คิดว่าจะได้พบกับสุ่ยเมิ่งหลงด้วย
โดยปกติแล้วสุ่ยเมิ่งหลงนั้นจะมีดวงตาที่ง่วงนอนตลอดเวลา แต่เมื่อเขาเห็นว่าซ่งจงมาถึงดวงดาวของเขาเบิกโพลงขึ้นอย่างร้อนแรงพร้อมกับมองซ่งจงและกล่าวต้อนรับในทันที “ฮี่ฮี่ มาแล้วงั้นเหรอ นั่งเลย นั่งลง!”
แม้ว่าสุ่ยเมิ่งหลงจะแสดงท่าทีอบอุ่นออกมา แต่ซ่งจงยังไม่กล้าที่จะประมาทหรือดูหมิ่นเขาเพราะเกรงว่านี่จะกลายเป็นกับดัก เขารีบทำความเคารพ “ข้าน้อยมิกล้า มิกล้าเลย ผู้น้อยอย่างข้านั้นไม่สมควรที่จะนั่ง!”
“โอ้ นั่นคือที่ของเจ้า นั่งลงเลย เราต้องคุยกันนิดหน่อย” สุ่ยเมิ่งหลงกล่าวออกมาสบายๆ
“เช่นนั้นข้าน้อยขอขอบคุณอาวุโสจ้าวสำนัก!” เมื่อซ่งจงเห็นว่าเขาไม่สามารถที่จะหลบเลี่ยงได้เลย ซ่งจงรีบทำความเคารพและรีบนั่งอย่างระมัดระวัง
สุ่ยเมิ่งหลงมองอย่างพอใจพร้อมกล่าวออกมา “อ่า เช่นนั้น!”
จากนั้นเขาลูบเคราเบาๆพร้อมกับเริ่มพูด “ซ่งจง เจ้ามาอยู่ที่นี่สองสามเดือนแล้ว สบายดีนะ?”
“ขอบคุณท่านจ้าวสำนักที่ห่วงใย ข้าน้อยนั้นสุขสบายอย่างมาก!” ซ่งจงกล่าวคำเหล่านี้ออกมาอย่างจริงใจ หลังจากที่เขาได้มาอยู่ที่นี่เขาไม่จำเป็นต้องระแวดระวังอะไรอีกเลย ทุกคนที่นี่เคารพและเป็นมิตรกับเขาอย่างมาก นั่นนับได้ว่าเป็นสวรรค์ของเขาอย่างแท้จริง
สุ่ยเมิ่งหลงนั้นพยักหน้าอย่างพอใจในคำตอบนั้นพร้อมกล่าว “เจ้าคืออัจฉริยะในสำนักของเรา! ไม่เป็นไรเลย มันคือสิ่งที่เจ้าควรจะได้รับ!”
หลังจากนั้นสุ่ยเมิ่งหลงลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะถามออกมาว่า “ซ่งจง ข้าได้ยินมาว่าเจ้าทำการค้าภายในสำนักด้วยการแลกเปลี่ยนวัสดุระดับสูงมากมาย เป็นจริงงั้นหรือ?”
ซ่งจงได้ยินเช่นนั้นเขาคิดในใจ ‘เป็นเรื่องนี้งั้นเหรอ’
ซ่งจงรู้สึกประหลาดใจพร้อมกล่าว “เป็นเรื่องจริงทั้งหมด แต่ทว่าวัสดุเหล่านั้นข้าได้มาอย่างสุจริตและไม่ได้จี้ปล้นผู้ใดมา”
“ฮ่า!” สุ่ยเมิ่งหลงได้ยินเช่นนั้นเขาระเบิดเสียงหัวเราะออกมาทันที หงเถิงเฟยและหญิงสาวทั้งสองก็อดไม่ได้ที่จะยกมือปิดปากเพื่อเก็บเสียงหัวเราะด้วยเช่นกัน
หลังจากนั้นสุ่ยเมิ่งหลงกล่าวออกมาพร้อมรอยยิ้ม “เด็กโง่เอ๋ย เจ้ากำลังกังวลเรื่องอะไรอยู่งั้นเหรอ? อย่าเพิ่งรีบแก้ตัวเลย ไม่ว่าจะถูกหรือผิดข้าจะสามารถทำอะไรเจ้าได้ล่ะ? ถึงแม้เจ้าจะขโมยมาแล้วข้าจะทำอะไรได้งั้นหรือ? เพียงแค่อย่าขโมยจากคนใกล้ตัวก็พอ! ตราบใดที่มันทำให้สำนักของเราแข็งแกร่ง แน่นอนว่าข้ามีความสุขมาก แล้วข้าจะประณามการกระทำของเจ้าได้อย่างไรล่ะ?”
ซ่งจงถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกพร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้ม “อ่า ศิษย์เข้าใจแล้ว!”
“ฮี่ฮี่ เข้าใจก็ดีแล้ว!” จากนั้นสุ่ยเมิ่งหลงเหยียดตัวขึ้นพร้อมกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง “ซ่งจง ที่ข้าเรียกเจ้ามาในครั้งนี้เพียงเพื่อถามบางอย่างน่ะ เจ้ารู้จักสมบัติที่ชื่อไข่มุกจันทราหรือไม่?”
“ไข่มุกจันทรา…” ซ่งจงได้ยินเช่นนั้น เขาขมวดคิ้วแน่นพร้อมกับค่อยๆนึก หลังจากที่ค้นภายในสมองจนหมดสิ้นเขาเผยรอยยิ้มขมขื่นออกมาพร้อมกล่าวว่า “ศิษย์ต้องขอโทษอาวุโสอย่างมาก ข้าไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน ไม่เคยมีหรือได้เห็นและครอบครองใดๆ!”
เมื่อซ่งจงกล่าวออกมาเช่นนั้น สุ่ยเมิ่งหลงแสดงใบหน้าที่ผิดหวัง แต่ถึงอย่างไรเขาเผยยิ้มอย่างรวดเร็วพร้อมกล่าวต่อ “ไข่มุกจันทรานั้นเป็นวัสดุล้ำค่าที่หาได้ยากเย็นยิ่ง ในตอนนี้ภายในสำนักของเราล้วนแต่ไม่มีผู้ใดครอบครองมันเลย หนทางเดียวก็คือต้องถามจากเจ้าเท่านั้น”
ซ่งจงได้ยินเช่นนั้นรู้สึกประหลาดใจทันที “แต่มันไม่สามารถค้นพบได้โดยง่ายและเป็นสิ่งของที่ล้ำค่าเช่นนั้น การมาถามไถ่จากศิษย์นั้นผิดพลาดหรือไม่ ศิษย์เป็นเพียงผู้ฝึกตนระดับจินตันเท่านั้นเอง?”
“ฮี่ฮี่ พวกเรารู้ดีว่าเจ้าเป็นผู้ฝึกตนระดับจินตัน แล้วข้าก็รู้อยู่แล้วว่าเจ้าคงไม่มีไข่มุกจันทราอยู่ในมือหรอก อีกทั้งจุดประสงค์ของเรานั้นไม่ได้เรียกเจ้ามาเพื่อขอวัสดุชิ้นนี้ แต่เราจะขอให้เจ้าช่วยเหลือเรา!” สุ่ยเมิ่งหลงเผยรอยยิ้มออกมา
“?” ซ่งจงได้ยินเช่นนั้น เขาแสดงใบหน้าที่อยากรู้อยากเห็นออกมาทันที “ท่านพูดเหมือนกับว่ารู้ว่าไข่มุกจันทราอยู่ที่ไหน!”
“เป็นเช่นนั้น!” สุ่ยเมิ่งหลงพยักหน้า
“!” ซ่งจงไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากฝืนยิ้มออกมาอย่างขื่นขม “ท่านต้องล้อข้าเล่นแน่ๆ ถ้าหากว่าท่านรู้ตำแหน่งของมันจริงๆ ทำไมจึงไม่ไปด้วยตนเอง? ทำไมจึงให้ศิษย์ไปล่ะ?”
“เพราะว่าปัญหาบางอย่างน่ะ พวกเราไม่สามารถเข้าไปในนั้นได้มีเพียงเจ้าคนเดียวเท่านั้น!” สุ่ยเมิ่งหลงกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงลุ่มลึก “ด้วยพรสวรรค์ของเจ้า เราจึงอยากจะขอความช่วยเหลือ!”
“สหายน้อย… ไข่มุกจันทรานั้นสำคัญกับเรามาก พวกเราขอร้องให้เจ้าช่วยพวกข้าด้วยเถิดหนา” หญิงสาวทั้งสองที่นั่งอยู่ตรงนั้นอดไม่ได้ที่เอ่ยปากร้องขอด้วยตนเอง
“ตราบใดที่เจ้าช่วยเหลือพวกเราในครั้งนี้ พวกเราตระกูลสุ่ยจะยอมเป็นหนี้บุญคุณของเจ้า!” หญิงสาวอีกคนกล่าวออกมา
“สุ่ยเจีย?” หลังจากที่ซ่งจงได้ยินเช่นนั้น เขาตระหนักอะไรได้บางอย่างพร้อมกล่าวออกมา “หนึ่งในสี่ตระกูลเก่าแก่ของสำนักเสวียนเทียนงั้นเหรอ?”
“อ่า ใช่แล้ว!” สุ่ยเมิ่งหลงพยักหน้าพร้อมกล่าว “ยอดเยี่ยม พวกเราคือสุ่ย!”
ซ่งจงตกใจอย่างมากพร้อมถามออกไปทันที “อาวุโส… นี่มันเรื่องอะไรกัน?”
_____________________________________