Chaotic Lightning Cultivation โกลาหลแห่งอัสนีบาต - ตอนที่ 301.2
บทที่ 301: ค่ายกลที่น่าขบขัน (2)
ประวัติศาสตร์ของสำนักค่ายกลนั้นยาวนานกว่าห้าพันปี ซึ่งพวกเขานั้นก่อตั้งมายาวนานมากกว่าสำนักเสวียนเทียน สำนักพันปีศาจ หรือแม้แต่หอเฉวียนจี้ แม้ว่าพวกเขาจะมีประวัติมาอย่างยาวนาน แต่ทว่าไม่ได้เต็มไปด้วยผู้เชี่ยวชาญ สำนักค่ายกลนั้นเป็นเพียงสำนักขนาดกลางเท่านั้น ยังไม่อาจเทียบกับสำนักเสวียนเทียน สำนักพันปีศาจหรือสำนักใหญ่อื่นๆได้
ในตอนนี้สำนักค่ายกลนั้นตื่นขึ้นมาจากการที่สำนักพันปีศาจเข้าร่วมมือ เช่นนั้นประตูของพวกเขาจึงตื่นเต้นผิดไปจากปกติ แม้ว่าสิ่งที่พวกเขาทำมันจะเป็นการยั่วยุให้ซ่งจงไปเยี่ยมเยือนก็ตาม สำนักค่ายกลนั้นพร้อมที่จะเข้าร่วมกับสำนักพันปีศาจและยินดีช่วยเหลืออย่างยิ่ง แน่นอนว่าสิ่งที่พวกเขาได้รับเป็นของกำนัลจะต้องคุ้มค่า
ในความเป็นจริงแล้ว เมื่อนักบวชเซือหมัวนั้นส่งคำเชิญสำนักภายในเทือกเขาใหญ่ทั้งหมด แน่นอนว่าพวกเขาถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมา แม้ว่างานแต่งงานเช่นนี้จะไม่ได้สำคัญสักเท่าไหร่นัก แต่เพราะว่านางสนมของนักบวชเซือหมัวเป็นสิ่งที่อาจทำให้เกิดสงครามได้อีกครั้ง เช่นนี้การแต่งงานจึงไม่ใช่สิ่งที่ทำให้ผู้ใดตื่นเต้นได้เลย เพราะว่าเขานั้นมีสนมอยู่แล้วถึงสามคน จะแต่งเพิ่มอีกสองคนก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรนัก
แต่ปัญหาก็คือนางสนมทั้งสองคนที่กำลังจะถูกเพิ่มเข้ามาในครอบครัวของเซือหมัวนั้นเกี่ยวข้องกับซ่งจง ในตอนแรกซ่งจงนั้นถูกซุ่มโจมตีโดยตาเฒ่าเฟิง และในเวลานั้นเขามีเพียงคู่หมั้นที่ทรยศเขาเท่านั้น แต่ถ้าหากผู้ใดอยู่ในเหตุการณ์ก็จะรู้ได้ว่าทั้งซูหยู่และซูหยุนนั้นจงรักภักดีต่อเขาอย่างมาก ดังนั้นจึงไม่แปลกที่ผู้อื่นจะคิดว่าซ่งจงนั้นมีความสัมพันธ์กับหญิงสาวทั้งสอง เพราะเขาพานางให้หนีไปด้วยกัน
แต่นักบวชเซือหมัวนั้นตั้งใจที่จะแต่งงานกับหญิงสาวทั้งสองโดยไม่เปลี่ยนแปลง เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ต้องการจัดงานเลี้ยงอะไรนี้ทั้งนั้น แต่ทว่าเป็นเพราะเขาต้องการที่จะพบกับซ่งจง!
โดยเฉพาะหอเฉวียนจี้ที่ลงนามยืนยันความจริงให้กับเซือหมัว พวกเขานั้นตื่นเต้นเสียยิ่งกว่าผู้จัดงานนี้ ราวกับว่างานเลี้ยงฉลองคราวนี้ ทั้งสองสำนักได้ยุติความแค้นที่มีต่อกันมายาวนานนับพันปีไว้ก่อนชั่วคราว เหมือนกับว่ามันไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาก่อน! สุนัขจิ้งจกตนนี้สามารถเปลี่ยนใจของพยัคฆ์ให้กลับกลายเป็นแมวได้อย่างไร? แม้ว่าในจดหมายจะไม่ได้มีข้อความบังคับให้ซ่งจงต้องมาร่วมาน แต่ทว่าสิ่งที่บังคับให้เขาต้องมานั่นก็คือชื่อของหญิงสาวทั้งสอง!
ด้วยวิธีเช่นนี้ พวกเขาจะไม่สามารถเรียกซ่งจงมาพบได้อย่างไร? และถ้าหากพวกเขาจะต้องจัดการซ่งจงให้จบสิ้น แน่นอนว่าเซือหมัวจึงเรียกผู้เชี่ยวชาญระดับหยวนหยินจากทุกสำนักให้มาร่วมงานด้วยเช่นกัน ผู้ที่มาร่วมงานนั้นไม่ได้มีแผนที่จะดูงานแต่งงานอะไรทั้งนั้น พวกเขาเพียงแค่อยากรับชมว่าเซือหมัวจะจัดการกับซ่งจงอย่างไร!
ท้ายที่สุดสำนักค่ายกลที่ถูกลืมไปแล้ว กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้งในตอนนี้!
ภูมิประเทศของสำนักค่ายกลนั้นกว้างใหญ่กว่าห้าพันลี้ มันล้อมรอบไปด้วยที่ราบสูงสีเขียวชอุ่ม โดยรอบเต็มไปด้วยไผ่เขียวสูงใหญ่ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ซ่อนพวกเขาไว้จากโลกภายนอกโดยสิ้นเชิง แต่สำนักค่ายกลก็มีอาคารหลักอยู่ตรงกลางภูเขาด้านบนสุดของยอดด้วยเช่นกัน
โดยปกติแล้วสำนักแห่งนี้มีผู้อยู่อาศัยเพียงไม่กี่ร้อยคน ซึ่งอาคารหลักของพวกเขาจะไม่ได้เปิดใช้งาน แต่ทว่าเมื่อถึงวันงานจะมีผู้ฝึกตนมากกว่าหนึ่งหมื่น แน่นอนว่าบรรยากาศของอาคารหลักที่ถูกปิดมานานจะได้เปิดใช้งานเสียที
ภายในห้องโถงหลัก มีผู้ฝึกตนที่เป็นคนสำคัญนั่งอยู่ที่โต๊ะขนาดใหญ่ พื้นที่โดยรอบไม่สามารถเดินไปมาได้อย่างสะดวกนัก ทั้งหมดนี้เป็นผู้ฝึกตนระดับหยวนหยินทั้งสิ้น
นักบวชเซือหมัวที่ใบหน้าราวกับปีศาจร้ายนั่งอยู่ที่หัวโต๊ะ ตอนนี้เขาอยู่ในระดับหยวนหยินขั้นสมบูรณ์แล้ว ใบหน้าเขร่งขรึมนั้นถูกล้อมรอบนั้นถูกแนบข้างด้วยสองบุคคล
หนึ่งคือผู้ฝึกตนระดับหยวนหยินขั้นสุดท้าย เขาเป็นจ้าวสำนักค่ายกล แต่อีกหนึ่งคนคือหญิงสาวใบหน้าสะอาดสะอ้านและดูเรียบง่าย นางเป็นผู้ฝึกตนระดับปฐมภูมิขั้นสุดท้ายเท่านั้น ถ้าหากซ่งจงได้พบกับนางในตอนนี้ เขาสามารถจดจำนางได้อย่างรวดเร็ว เพราะนางคือฉุ่ยจิ้งแห่งสำนักเสวียนเทียน
ถ้าหากเป็นผู้ฝึกตนทั่วไปแล้ว ก็ไม่อาจเข้ามาอยู่ภายในห้องโถงหลักนี้ได้ แต่ทว่าฉุ่ยจิ้งนั้นแตกต่างออกไป เวลานี้นางเป็นคนสำคัญแห่งสำนักเสวียนเทียน
เพราะด้วยเหตุผลของคู่สามีภรรยาตระกูลหง ในเวลานี้สำนักเสวียนเทียน แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้ระบุโดยชัดเจนว่าจะต้องปกป้องซ่งจง แต่ทว่ามีการพูดคุยกันแบบลับๆ เช่นนี้ทำให้ผู้อื่นไม่คาดคิดว่าสำนักเสวียนเทียนคิดจะปกป้องซ่งจง
ดังนั้นในการสมคบคิดต่อต้านซ่งจงในเหตุการณ์นี้ ทำให้คุณชายใหญ่แห่งสำนักเสวียนเทียนไม่อาจรู้ได้ แต่เขานั้นก็ไม่คิดทำเช่นนั้นเหมือนกัน ซึ่งมันจะส่งผลไม่ดีอย่างมากในอนาคต แม้ว่าสำนักพันปีศาจ แม้ว่าจะไม่สามารถเชื่อใจสำนักพันปีศาจได้ แต่ทว่ากลับมีลายเซ็นของผู้นำแห่งหอเฉวียนจี้ลงชื่อไว้ ซึ่งหมายความว่าทั้งสองสำนักนั้นได้ร่วมมือกันแล้ว แต่เขาไม่อาจทำเช่นนั้นด้วยได้เพราะมันหยาบคายมากเกินกว่าจะรับไหว
อย่างไรก็ตามถ้าหากว่าเขาเดินทางไปงานเลี้ยงด้วยตนเอง แน่นอนว่าเขาจะถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดทันที คุณชายใหญ่ไม่ต้องการพบเจอกับปัญหาเหล่านั้น เช่นนี้เขาจึงไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากไปขอร้องให้ฉุ่ยจิ้งเป็นผู้แทนตน
ประการแรก ซ่งจงและฉุ่ยจิ้งนั้นฝึกฝนแบบปิดร่วมกันมาก่อน ซึ่งหมายความว่าถ้าหากนางไป แน่นอนว่าสำนักไม่เกรงกลัวว่านางจะถูกเข้าใจผิด อีกทั้งฉุ่ยจิ้งยังเป็นศิษย์ของเทพธิดาเหมยฮวา เช่นนี้นางจึงสามารถเป็นตัวแทนของสำนักในการเข้าร่วมพิธีสำคัญต่างๆได้อย่างแนบเนียน ดังนั้นการส่งนางไป เป็นการแก้ปัญหาที่ถูกต้องแล้ว
เดิมทีนั้นฉุ่ยจิ้งรักความสงบ นางไม่ต้องการเข้าร่วมพิธีใดๆ อีกทั้งยังเป็นงานที่เกี่ยวกับเหล่าปีศาจที่น่าเกลียดชัง แต่ทว่าเพราะชื่อของซ่งจงนั้นสำคัญกับหัวใจของนางมากเกินกว่าที่นางจะปล่อยให้เขาเผชิญอันตรายเพียงผู้เดียวได้ ดังนั้นนี่จึงเป็นโอกาสเดียวที่นางจะสามารถช่วยเหลือเขาได้แม้ว่าไม่รู้จะทำอย่างไรก็ตาม
ด้วยป้ายชื่อของสำนักเสวียนเทียน บวกกับสถานะที่เป็นศิษย์ของเทพธิดาเหมยฮวาจึงทำในนางได้นั่งอยู่ร่วมโต๊ะกับบุคคลเหล่านี้อย่างง่ายดาย
แม้ว่านางจะเป็นน้องเล็กภายในงาน แต่ใบหน้าที่เรียบเฉยของนางทำให้ไม่มีผู้ใดกล้าที่จะมายุ่มย่ามหรือทำอะไรไม่เหมาะสม นางไม่ได้ให้ราคากับนักบวชเซือหมัวแม้แต่น้อย อีกทั้งยังไม่สนใจที่จะพูดคุยกับเขาด้วยเช่นกัน แต่นักบวชเซือหมัวก็ไม่กล้าที่จะยุ่งกับนางเช่นกัน ใบหน้าที่เรียบเฉยเช่นนั้น เขาทำได้เพียงมองผ่านไปอย่างช่วยไม่ได้
ในตอนนี้เทพธิดาเหมยฮวานั้นอยู่ภายในเทือกเขาใหญ่ นางกำลังจะเข้าสู่ระดับเฟินเสินในอีกไม่ช้านี้และนางไม่ควรที่จะวอกแวกใดๆ ตอนนี้ภายในจิตใจของนางฟุ้งซ่านและไม่สามารถหาทางออกให้กับความเศร้าของตนเองได้ แม้ว่านางจะอยู่ในระดับหยวนหยินตอนท้ายแล้ว อีกเพียงนิดเดียวนางก็จะสามารถผ่านมันไปได้ แต่แม้เป็นเช่นนั้นความสามารถของนางก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าใคร นางสามารถทำนายอนาคตที่กำลังจะมาถึงได้อย่างแม่นยำ เช่นนี้นางจึงอดไม่ได้ที่จะติดอยู่ในความเศร้าจากอนาคตที่ตนมองเห็น
นอกจากฉุ่ยจิ้งแล้ว ยังมีบุคคลอื่นที่น่าสนใจเช่นกัน คนหนึ่งเป็นบุรุษวัยกลางคนอายุประมาณสามสิบ เขาดูคล้ายกับมนุษย์ แต่ทว่าพลังที่เล็ดลอดออกมาจากร่างกายของเขาแข็งแกร่งอย่างมาก ซึ่งนั่นทำให้ไม่มีผู้ใดต้องการเข้าใกล้เขา
ถัดมาเป็นหญิงสาวใบหน้าราวกับหิมะที่เยือกเย็น นางอยู่ในชุดคลุมสีฟ้าและท่าทางการนั่งราวกับเป็นภูเขาน้ำแข็งตั้งอยู่ภายในห้อง ใบหน้าของนางเรียบเฉยไร้ความรู้สึกใดๆ มีเพียงความหนาวเย็นเท่านั้นเมื่อเผลอไผลไปสบตาด้วย
หญิงสาวที่มาพร้อมกับความหนาวเหน็บผู้นี้ ถ้าหากซ่งจงได้พบเจอ เขาจะสามารถจดจำนางได้ทันที นางคือผู้ที่ครอบครองดาบเทวะวิญญาณเหมันต์ หานปิงเอ๋อ! บุคคลทั้งสองแม้ว่าจะไม่ได้ร่วมกับสำนักพันปีศาจ แต่ด้วยสถานะที่สูงส่งและพลังอันแข็งแกร่งของทั้งคู่ ทำให้เซือหมัวไม่อาจมองข้ามได้และจะต้องต้อนรับอย่างยอดเยี่ยม
และยังมีบุรุษอีกสองคนซึ่งถือได้ว่าเป็นมือซ้ายและขวาของเซือหมัว แม้ว่าเขาจะไม่ได้รับการยกย่องมากนัก แต่ทั้งสองได้รับคำสั่งให้เป็นผู้สังหารซ่งจง!
แต่ความจริงแล้วทั้งสองไม่คิดเช่นนั้น พวกเขาไม่คิดจะสังหารผู้ฝึกตนระดับจินตัน เพราะมันเป็นการหยามเกียรติของพวกเขาอย่างมาก
แต่เมื่อทั้งสองเห็นความสัมพันธ์ของซ่งจงและสำนักเสวียนเทียน จึงไม่อาจปฏิเสธได้แม้แต่น้อย เพราะถ้าหากพวกเขาสามารถสังหารซ่งจงได้ ทั้งสองสำนักก็ไม่มีอะไรต้องเกรงกลัวสำนักเสวียนเทียนว่าจะสร้างปัญหาเพิ่มอีกในอนาคต
อย่างไรก็ตามแม้ว่าจะมีคำสั่งมาเช่นนั้น เหล่าผู้ฝึกตนชอบธรรมและผู้ฝึกตนชั่วร้ายนั้นไม่สามารถอยู่ร่วมกันได้ ถ้าหากต้องการให้เหล่าผู้เชี่ยวชาญของทั้งสองสำนักนี้ร่วมมือกันอย่างจริงจังนั้นเป็นเรื่องที่ไม่อาจเกิดขึ้นได้เลย ในตอนนี้พวกเขานั่งอยู่ร่วมกัน ซึ่งเต็มไปด้วยบรรยากาศที่อึดอัด แม้แต่หานปิงเอ๋อยังรับรู้ได้ถึงความเป็นปฏิปักษ์ของผู้ที่อยู่ร่วมกันในห้องนี้อย่างชัดเจน
แม้แต่ผู้ฝึกตนระดับเฟินเสิ่นอีกสองคนยังไม่สามารถเก็บงำความรู้สึกที่อึดอัดนี้ไว้ได้เช่นกัน
เช่นนี้บรรยากาศการแต่งงานในเช้าวันนี้จึงเต็มไปด้วยความอึดอัดและเงียบสนิท!
แน่นอนว่านักบวชเซือหมัวนั้นไม่มีความสุขแม้แต่น้อยภายใต้บรรยากาศเช่นนี้ มันไม่ใช่งานแต่งงานที่ควรจะสุขสม แต่กลับเป็นงานศพที่เต็มไปด้วยความเศร้าโศกและอึมครึม!
ไม่มีใครรู้ว่าซ่งจงจะมาถึงเมื่อไหร่ พิธีการที่ควรจะเริ่มในตอนเช้าตรู่ แต่บัดนี้ดวงอาทิตย์คล้อยลอยมาถึงตอนบ่ายก็ยังไม่ได้เริ่มสิ่งใด ไม่มีแม้เสียงใดๆ
ถ้าหากยึดความหลักประเพณี ในตอนนี้คู่บ่าวสาวควรจะต้องเริ่มเข้าพิธีแล้ว แต่แผนการไม่ใช่การแต่งงาน แต่เป็นซ่งจง! ซึ่งทุกคนไม่รู้ว่าเขาจะมาเมื่อไหร่และไม่มีใครกล้าจะดำเนินการไปก่อน
เทพธิดาภูตน้ำแข็งที่ได้รับคำสั่งให้สังหารซ่งจงนั้นเริ่มจะไม่ใส่ใจกับเหตุกาณ์เช่นนี้ อีกทั้งนางยังไม่ได้เข้าร่วมการต่อสู้กับอสูรกายนับล้าน จึงไม่จำเป็นที่นางจะต้องมานั่งอยู่ตรงนี้ด้วยซ้ำ ความอึดอัดทำให้นางไม่สามารถควบคุมตนเองได้ พร้อมกับเอ่ยปากออกมาด้วยความโกรธ “อืม นี่มันเรื่องอะไรกัน? ไอ้เด็กตัวเหม็นนั่นไม่ได้อยู่ที่นี่งั้นหรือ? ข้าคิดว่ามันไม่ใช่สุภาพบุรุษมากมายอะไรนักหรอกที่จะยอมให้หญิงสาวสองคนนี้นำความตายมาให้!”
นักบวชเซือหมัวส่งสายตาปรามนางทันทีเพื่อให้นางหยุดพูดอะไรเช่นนี้ อย่างไรก็ตาม บุรษอีกคนกล่าวออกมาอย่างเย้ยหยัน “อย่างน้อยข้าก็สามารถค้นพบทางออกของปัญหาได้ แล้วเจ้าล่ะทำอะไรได้บ้าง? เจ้าเคยทำอะไรนอกจากส่งเสียงดังในสถานที่แห่งนี้อีกหรือไม่?”
“เจ้าพูดอะไร?” เทพธิดาภูตน้ำแข็งโต้ตอบด้วยความขุ่นเคือง
เขาตอบกลับนางทันทีด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำและเย็นชา “ที่ข้ากล่าวไปเมื่อครู่ เจ้าไม่ได้ยินงั้นหรือ?”
ในตอนนี้ถ้าหากอาวุโสระดับเฟินเสิ่นไม่สามารถก้าวข้ามเรื่องส่วนตัวไปได้ อาจจะทำให้นักบวชเซือหมัวและผู้คนจากหอเฉวียนจี้ที่อยู่ในระดับหยวนหยินมีปัญหากันได้ ท้ายที่สุดแล้วงานเลี้ยงเช่นนี้จะจบลงด้วยการเผชิญหน้าของเหล่าผู้เชี่ยวชาญเสียเอง ถ้าหากทุกสิ่งนั้นดำเนินไปได้ด้วยดี แน่นอนว่าผู้ฝึกตนระดับเฟินเสิ่นนั้นจะโชคดี แต่ทว่าถ้าหากทุกอย่างไม่เป็นอย่างที่หวัง ผู้ฝึกตนระดับหยวนหยินจะต้องแบกรับความโชคร้ายทั้งหมด!
ในตอนนี้นักบวชเซือหมัวเห็นว่าท่าไม่ดีแล้ว เขารีบเร่งกล่าวออกมา “อาวุโสทั้งสองอย่าได้ใส่ใจเรื่องเล็กน้อยเลย ในตอนนี้เราจะต้องคิดเกี่ยวกับวิธีจัดการกับซ่งจงก่อน! มันเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด!”
“ใช่แล้ว!” ผู้ฝึกตนระดับหยวนหยินแห่งหอเฉวียนจี้รีบทักท้วงเพื่อให้เทพธิดาภูตน้ำแข็งของนางหยุดปากลง “ท่านอาจารย์ ถ้าหากเราไม่สามารถปราบปรามซ่งจงได้ มันจะเป็นความอัปยศครั้งยิ่งใหญ่ของพวกเรา พวกเราไม่สามารถขำขันกับเรื่องของสำนักที่ถูกทำลายได้!”
________________________________________________________