Chaotic Lightning Cultivation โกลาหลแห่งอัสนีบาต - ตอนที่ 303.2
บทที่ 303: ดาบมังกรทมิฬ (2)
ซ่งจงนั้นเพิ่มการโจมตีขึ้นอีกเท่าตัว เช่นนี้จึงทำให้นักบวชเต๋าปีศาจสูญเสียการควบคุมทันที หลังจากที่เขาบาดเจ็บสาหัส ร่างกายของเขานั้นย่ำแย่อย่างมาก เขาไม่สามารถจะดึงพลังของสมบัติวิญญาณมาใช้ได้อย่างเต็มกำลัง อีกทั้งเรือมังกรทองคำนั้นทรงพลังอย่างยิ่ง ซึ่งในตอนนี้เขาแทบจะต้านไม่ไหวแล้ว จึงทำได้เพียงกัดฟันและอดทนอยู่เช่นนั้น พร้อมกับค่อยๆถอยหนีอย่างแนบเนียน
แต่ถึงอย่างไรแม้ว่านักบวชเต๋าปีศาจพยายามที่จะหลบหนี แต่ทว่าเรือมังกรทองคำที่ทรงพลังเช่นนี้ย่อมไม่ปล่อยให้เขารอดพ้นไปได้ เขารู้ว่าเขาไม่อาจหลบหนีมันได้เลย แต่ก็ยังเก็บกลั้นความกลัวเอาไว้ไม่กล้าที่จะแสดงออกมา ภายใต้สถานการณ์ที่วิกฤติเช่นนี้ เขาทำได้เพียงตะโกนออกมาอย่างบ้าคลั่ง “ซ่งจง เรานั้นไม่เคยเป็นศัตรูกันมาก่อน อีกทั้งในอนาคตก็ด้วยเช่นกัน ถ้าหากในวันนี้เจ้าปล่อยข้าไป ข้าจะซาบซึ้งในน้ำใจของเจ้าตราบชั่วชีวิต!”
หลังจากที่ซ่งจงได้ยินเช่นนั้น เขาลูบคางตนเองเบาๆพร้อมกล่าวว่า “เจ้านั้นไร้เกียรติ แต่สามารถแสดงความจริงใจให้ข้าเห็นได้”
“ด้วยความซื่อสัตย์ทั้งหมดที่ข้ามี!” นักบวชเต๋าปีศาจตะโกนออกไปอย่างรวดเร็ว
“ข้าต้องการดาบมังกรทมิฬในมือเจ้าน่ะ” ซ่งจงพูดออกไปอย่างเฉยเมย
“อะไรนะ?” นักบวชเต๋าปีศาจได้ยินเช่นนั้นตื่นตระหนกทันทีพร้อมกล่าวต่อ “นี่เป็นสมบัติวิญญาณที่ข้าชอบมาก เจ้าแลกเปลี่ยนอย่างอื่นได้หรือไม่? อ่าแหวนหยกเขียวนี่ล่ะเป็นไง? มันเป็นสมบัติวิญญาณเช่นกัน อยู่ในระดับหกอีกด้วย ซึ่งดีกว่าดาบมังกรทมิฬนี่นะ!”
“ไม่ได้” ซ่งจงปฏิเสธอย่างเด็ดขาดพร้อมกล่าวต่อ “เพราะว่าสตรีของข้านั้นครอบครองกระบี่เฟิงหมิง ข้าต้องการเอาดาบมังกรทมิฬไปมอบให้กับนางเพื่อเป็นของขวัญเล็กๆน้อยๆ! อ่า ใช่ ข้าต้องการดาบนั่นเท่านั้น”
แท้จริงแล้วจุดประสงค์ของซ่งจงนั้นไม่ใช่ดาบมังกรทมิฬแม้แต่น้อย เขาคิดเพียงแค่ต้องการปิดช่องทางหนีของนักบวชเต๋าปีศาจเท่านั้น เพราะซ่งจงนั้นจำได้อย่างชัดเจนเมื่อครั้งที่เขาพบกับกระบี่เฟิงหมิง มันมีความเร็วถึงหนึ่งหมื่นสองพันหน่วย ซึ่งเป็นความเร็วที่น่ากลัวมาก ถ้าหากเป็นเช่นนั้นเขาจะสามารถหลบหนีไปได้ด้วยดาบมังกรทมิฬอย่างแน่นอน ซึ่งซ่งจงไม่ต้องการเช่นนั้น
ดังนั้นเพื่อไม่ให้เขาหลบหนีไปได้ ซ่งจงจึงวางแผนที่จะยึดเอาสมบัติเขามาก่อน จากนั้นซ่งจงจึงคิดที่จะหนี
นักบวชเต๋าปีศาจนั้นไม่ได้โง่เขลา เขากลัวว่าจะถูกซ่งจงหลอกลวงเพื่อยึดเอาดาบมังกรทมิฬไป แต่จากนั้นเขาก็คิดได้อย่างรวดเร็วว่าดาบมังกรทมิฬนั้นเป็นอาวุธโจมตีที่มีพลังมาก ความสามารถของมันสามารถใช้หลบหนีได้ด้วยความเร็วกว่าแปดพันหน่อย ซึ่งสามารถเทียบเท่ากับเรือมังกรทองคำ แต่ในตอนนี้เขาไม่สามารถหลบหนีได้เพราะร่างกายของเขาบาดเจ็บสาหัส อีกทั้งในตอนนี้เขาอยู่ใกล้กับเรือมังกรทองคำอย่างมาก ถ้าหากหยุดการโจมตีไว้ได้สักครู่หนึ่ง เขาอาจจะหนีพ้น ดังนั้นมันก็ยังคุ้มค่าที่จะเสี่ยงแม้ว่าจะดูอันตรายสักหน่อย
เมื่อคิดได้เช่นนั้น นักบวชเต๋ากล่าวออกมา “ยอดเยี่ยม ในวันนี้ข้าคงเป็นผู้โชคร้ายสินะ ซ่งจงถ้าหากเจ้านั้นหยุดการโจมตีไว้สักพันลี้ ข้าจะมอบดาบมังกรทมิฬให้กับเจ้า”
หึ นักบวชเต๋าปีศาจกล่าวออกไปเช่นนั้นพร้อมกับยิ้มอยู่ภายในใจ ข้าอยากจะรู้นักถ้าหากข้าวิ่งหนีไปพร้อมกับดาบมังกรทมิฬ เจ้าจะวิ่งไล่ตามข้ายังไงนะ!
แม้ว่าคำพูดของนักบวชเต๋าปีศาจจะดูดีเพียงใด แต่น่าสงสารที่ซ่งจงไม่สนใจพร้อมกล่าวต่อ “ไม่ให้ตามท่านแล้วข้าจะไปตามใครล่ะ? ถ้าหากเจ้าวิ่งหนีไปไกลแล้วข้าจะติดต่อท่านได้อย่างไร? ท่านน่ะส่งดาบมาให้ข้าก่อนดีกว่า แล้วข้าจะปล่อยพวกท่านไป!”
“แล้วถ้าหากเจ้าได้ดาบมังกรทมิฬไปแล้ว แต่ยังไม่เลิกไล่ยิงพวกข้าเช่นนี้ล่ะ? พวกข้าไม่ต้องตายตกเป็นผีเฝ้าป่างั้นหรือ?” นักบวชเต๋าพูดออกมาด้วยความหงุดหงิด
“ไอ้จิ้งจอกบัดซบ นี่ท่านคิดว่าคนอย่างข้าจะสามารถไร้ยางอายได้ดั่งเช่นท่านงั้นหรือ?” ซ่งจงกล่าวออกมาอย่างดื้อรั้น “สำนักเสวียนเทียนนั้นเป็นสถานที่ที่ข้าเกิดมา เมื่อไหร่กันที่สำนักของข้านั้นไร้ยางอาย? ท่านต่างหากที่เป็นปีศาจชั่วร้ายอีกทั้งยังไร้เกียรติ สามารถทำทุกอย่างได้เพื่อผลประโยชน์ไร้ความสัตย์จริงในคำพูดของตนเอง!”
นักบวชเต๋าปีศาจถูกด่าโดยซ่งจงเช่นนี้ ทำให้ใบหน้าของเขาแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำด้วยความอับอายทันที
ซ่งจงไม่สนใจสีหน้าของนักบวชเต๋าปีศาจแต่อย่างใด เขาตะโกนออกไป “ข้าไม่ไหวจะสุภาพแล้ว เจ้านั้นเป็นตัวบัดซบจริงๆ คำพูดสวยหรูที่พ่นออกมานั้นละอายใจบ้างหรือไม่? เจ้าน่ะหรือจะมอบดาบมังกรทมิฬให้กับข้าเมื่อมีโอกาสได้วิ่งหนีไป? ถ้าหากเจ้าไม่ส่งมันมาให้ข้า เช่นนั้นข้าก็คงไม่มีทางเลือกนอกจากทิ้งระเบิดเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ ดูซิว่าจะอดทนได้นานแค่ไหน!”
คำพูดที่ซ่งจงกล่าวออกมาล้วนแต่ทิ่มแทงหัวใจของนักบวชเต๋าปีศาจได้อย่างเจ็บปวด เดิมทีเขาต้องเผชิญกับคลื่นสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์มากมายจากเรือมังกรทองคำ แม้ว่าเขาจะมีสมบัติวิญญาณคอยสนับสนุนถึงสามชิ้น แต่ในตอนนี้ปราณจิตวิญญาณของเขาใกล้จะหมดแล้ว เมื่อเวลานั้นมาถึง เขาก็จะถูกสังหารอย่างง่ายดาย
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ นักบวชเต๋าไม่มีทางเลือกนอกจากจะเชื่อฟังซ่งจง เขาเห็นซ่งจงสะบัดมือเช่นนั้น เขารีบตะโกนออกมาด้วยความหวาดกลัว “พอ พอแล้ว เจ้าอ้วน เจ้าชนะ ได้โปรดหยุดการโจมตีเถอะ ข้ายอมมอบดาบมังกรทมิฬแล้ว!”
“ฮ่าฮ่า ก็เท่านั้น!” ซ่งจงเผยรอยยิ้มออกมาด้วยความสนุกสนาน จากนั้นเขาหยุดยิง ในเวลานี้นักบวชเต๋าปีศาจนั้นอ่อนล้าอย่างมาก ร่างกายของเขาเต็มไปด้วยเหงื่อ เหล่าสาวกของเขานั้นใบหน้าซีดขาวด้วยความกลัวจนถึงขีดสุด
ในเวลานี้นักบวชเต๋าปีศาจไม่ได้มีเวลาสนใจเหล่าสาวกของตนเท่าไหร่นัก เขาหยิบยาอายุวัฒนะออกมาเพื่อจัดการกับตนเองและรีบเช็ดเหงื่อบนใบหน้าอย่างยากเย็นพร้อมกล่าวออกไปด้วยสีหน้าที่หดหู่ “ซ่งจง ข้าจะมอบดาบมังกรทมิฬให้กับเจ้า แน่ใจนะว่าเจ้าจะไม่ผิดสัญญา?”
“เจ้าสามารถเชื่อใจตราหยกทองที่ปักบนหน้าอกข้าว่าสำนักเสวียนเทียนได้ แล้วเจ้ามั่นใจหรือไม่ว่าดาบมังกรทมิฬนี้สามารถแลกเปลี่ยนได้?” ซ่งจงกล่าวออกมาอย่างเคร่งเครียด
เมื่อเห็นว่าซ่งจงหยิบปายหยกของสำนักเสวียนเทียนออกมา ภายในหัวใจของนักบวชเต๋าปีศาจรู้สึกเชื่อมั่นขึ้นมา เพราะว่าใบหน้าของสำนักใหญ่ชอบธรรมนั้นไม่อาจถูกทำลายได้ เกียรติเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างมาก เมื่อพวกเขาเอ่ยปากสัญญา พวกเขาจะไม่มีวันผิดคำพูด แต่ช่างโชคร้ายที่นักบวชเต๋าปีศาจนั้นลืมไปว่าซ่งจงถูกนักบวชฮัวอวิ๋นขับไล่ออกจากสำนักเสวียนเทียนแล้ว อีกทั้งเขายังไม่ได้รับกลับเข้าสำนักเพราะเขายังไมได้เดินทางกลับไปที่สำนักเพื่อยืนยันตัวตนเลย
นักบวชเต๋าปีศาจนั้นไม่รู้ว่าซงจงจะโกงเขาด้วยเหตุผลอะไร เขาจึงไม่คิดอะไรพร้อมกับปลดผนึกที่ดาบมังกรทมิฬ จากนั้นเขาใช้ปราณจิตวิญญาณส่งมันเพื่อไปยังเรือมังกรทองคำ
ซ่งจงรับดาบมังกรทมิฬมาจากนั้นเขาตรวจสอบมันและพบว่ามันไร้จิตวิญญาณราวกับดาบที่ตายไปแล้ว ถ้าหากเปิดใช้งานมันอีกครั้ง จะสามารถเรียกคืนวิญญาณของมันให้กลับมาได้
แน่นอนว่าด้วยความแข็งแกร่งของซ่งจงในตอนนี้ เขาไม่สามารถเปิดมันได้อย่างแน่นอน
แต่ทว่าจ้าวสำนักแห่งสำนักเสวียนเทียนทั้งสองนั้นจะต้องทำได้ เขาจะต้องดีใจอย่างมากที่ศิษย์ของเขานำพาสมบัติวิญญาณมาให้
มันเป็นสมบัติที่ควรค่าแก่การครอบครองอย่างมาก แต่ผู้ที่ครอบครองนั้นจะต้องถูกเลือกและมีพลังมากพอที่จะควบคุมมัน แต่สมบัติวิญญาณนั้นเกลียดชังผู้ที่ใช้ความรุนแรงในการควบคุมมันอย่างยิ่ง ถ้าหากเป็นเช่นนั้นมันยังสามารถละทิ้งตนเองและหายสาบสูญไปก็ย่อมทำได้ เช่นนี้ผู้ฝึกตนระดับสูงย่อมไม่ทำเช่นนั้นอย่างแน่นอน พวกเขาจะไม่บังคับให้มันยอมรับถ้าหากไม่เต็มใจ
สำหรับดาบมังกรทมิฬนี้ ควรจะมอบมันให้กับหงหยิงซึ่งนางเป็นคู่ของซ่งจง ในตอนนี้นักบวชเต๋าปีศาจนั้นผนึกวิญญาณของมันไว้แล้ว เป็นไปได้สูงมากถ้าหากมันตื่นขึ้นมา มันจะมองที่หงหยิงเป็นคนแรก ซึ่งทำให้ซ่งจงรู้สึกสบายใจขึ้นมานิดหน่อย
หลังจากที่นักบวชเต๋าปีศาจมอบดาบมังกรทมิฬให้กับซ่งจงไปแล้ว ภายในหัวใจของเขาสิ้นหวังอย่างมาก จากนั้นเขากล่าวออกมาเบาๆ “ซ่งจง ถ้าเช่นนั้นข้าสามารถไปได้หรือยัง?”
“แน่นอน ต้องเป็นเช่นนั้นแน่นอน!” ซ่งจงเผยรอยยิ้มกว้าง “ขอบคุณสำหรับของขวัญนะ!”
“เหอะ!” นักบวชเต๋าปีศาจถอนหายใจยาวออกมาพร้อมกับหยิบดาบบินจักรพรรดิออกมา
ฉุ่ยจิ้งเห็นเช่นนั้นอดไม่ได้ที่จะกล่าวออกมาด้วยความแปลกใจ “ท่านคิดจะปล่อยเขาไปจริงๆงั้นหรือ?”
“หืม เจ้ากล่าวเรื่องอะไร!” ซ่งจงกล่าวออกมาพร้อมรอยยิ้ม จากนั้นเขาเดินออกไปที่หัวเรือมังกรทองคำ
ฉุ่ยจิ้งมองเห็นว่าเขากำลังสูดอากาศอยู่ที่หัวเรือ จากนั้นบรรยากาศก็เปลี่ยนไปทันที ปากมังกรขนาดใหญ่ด้านหน้าได้เปิดออกปรากฏลูกบอลสีม่วงขึ้นมาทันที ปืนใหญ่หวงหลงถูกเปิดใช้งานแล้ว!
นักบวชเต๋าปีศาจที่เพิ่งออกไปได้สักครู่ เขารู้สึกถึงความผันผวนของอากาศและกลิ่นอายแปลกๆ เขาจึงหันหลังกลับมาพร้อมกับเห็นรูปร่างประหลาดของเรือมังกรทองคำ จากนั้นใบหน้าของเขาซีดขาวพร้อมตะโกนออกมาอย่างโกรธแค้น “ไอ้ก้อนไขมัน ไอ้สารเลว!”
นักบวชเต๋าปีศาจนั้นพ่นคำหยาบคายออกมามากมาย แต่น่าเสียดายที่ไม่มีเวลาให้เขามากพอ เพราะในตอนนี้ปืนใหญ่หวงหลงนั้นพร้อมแล้ว ในเวลานั้นเองซ่งจงนั้นกักเก็บพลังของลูกบอลสีม่วงไว้หนึ่ง เขายิงมันออกไปเพียงลูกเดียวเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม เพียงแค่นัดเดียวก็สามารถกำจัดคนพวกนี้ได้อย่างเหลือเฟือแล้ว ไม่ต้องกล่าวถึงสาวกนับร้อยนั่นว่าจะสามารถหลบหนีได้ แม้แต่นักบวชเต๋าปีศาจที่เป็นผู้นำก็ไม่สามารถทำสิ่งใดได้ในตอนนี้ เขาไม่กล้าที่จะตะโกนด่าซงจงอีกต่อไป เขารวบรวมพลังทั้งหมดเพื่อใช้หลบหนีอย่างมีความหวัง แม้ว่าจะเป็นหวังที่ริบหรี่อย่างมากก็ตาม
ด้วยระยะเพียงเท่านี้ จะสามารถวิ่งหนีการโจมตีที่มีพลังเช่นนั้นได้งั้นหรือ? ดังนั้นเมื่อการยิงได้เกิดขึ้น เหล่าผู้ฝึกตนของสำนักพันปีศาจนับร้อยคนนั้นตายตกไปโดยสมบูรณ์ พวกเขาไม่มีโอกาสแม้แต่จะกรีดร้องออกมาด้วยซ้ำ แต่ทว่านักบวชเต๋าปีศาจนั้นอยู่ในระดับเฟินเสิ่น แน่นอนว่าทักษะการหลบหนีของเขาไม่ธรรมดา แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็สามารถรอดมาได้แบบลมหายใจเฮือกสุดท้าย
แต่ก่อนที่เขาจะได้พักหายใจอีกครั้ง เรือมังกรทองก็มาอยู่ใกล้เขาเสียแล้ว จากนั้นซ่งจงตะโกนออกมา “โอ้ นี่มันไม่ใช่นักบวชเต๋าปีศาจแห่งสำนักพันปีศาจงั้นหรือเนี่ย โธ้ ข้าได้พบเจอกับปีศาจร้ายตัวใหญ่เสียแล้ว”
เมื่อนักบวชเต๋าปีศาจได้ยินเช่นนั้น เขาโกรธจัดทันที จากนั้นเขาถามออกมาอย่างแค้นเคือง “ซ่งจง เจ้ายังมีเกียรติอยู่หรือไม่? เจ้าเองไม่ใช่หรือที่ปล่อยข้าออกมา!”
“งั้นหรือ? เป็นเช่นนั้นจริงหรือ?” ซ่งจงแสร้งทำเป็นโง่งมพร้อมกล่าวต่อ “อืม อาจจะเป็นเช่นนั้น แล้วถ้างั้นเจ้ามีหลักฐานอะไรล่ะที่บอกว่าข้าปล่อยเจ้าไป?”
“นี่ข้าต้องหาพยานงั้นหรือ? แล้วเหตุใดจึงไม่ร่างเอกสารขึ้นมาเลยหล่ะ?” นักบวชเต๋าปีศาจกล่าวออกมาอย่างเหลืออด
“แล้วเจ้ามีพยานส่วนตัวหรือไม่ล่ะ?” ซ่งจงกล่าวออกมาอย่างเฉื่อยชา
“มีหลักฐานบ้าอะไรกัน ก็สาวกของข้านั้นตายตกกลายเป็นผุยผงไปจนหมดสิ้นแล้ว เจ้าคิดจะปลุกผีขึ้นมาหรืออย่างไรกัน?”แล้วในตอนนี้ซ่งจงนั้นยืนอยู่ด้านข้างฉุ่ยจิ้ง แต่ทว่าฉุ่ยจิ้งน่ะหรือจะช่วยเหลือปีศาจเช่นเขา? เห็นได้ชัดว่าซ่งจงนั้นทำเรื่องชั่วร้ายนี้โดยสมบูรณ์แล้ว
ซ่งจงเห็นว่านักบวชเต๋าปีศาจนั้นไม่มีแรงที่จะวิ่งหนีอีกต่อไป พร้อมทั้งด่าทอซ่งจงพร้อมกับน้ำตาที่เริ่มซึมออกมาด้วยความคับแค้นใจ ซ่งจงเห็นเช่นนั้นอดไม่ได้ที่จะกล่าวเย้าแหย่ “โอ้ เจ้านั้นไม่สามารถเป็นพยานให้กับตนเองได้ อีกทั้งยังไม่มีพยานส่วนตัวด้วยงั้นหรือเนี่ย ข้าแค่บอกเจ้าว่าเชื่อในเกียรติของสำนักเสวียนเทียนหรือไม่? ซึ่งสิ่งนั้นมันน่ารังเกียจอย่างยิ่งสำหรับข้า ในตอนนี้ข้าทำได้เพียงสู้เพื่อตัวข้าเองและข้าจะสู้จนกว่าเจ้าจะตายในวันนี้!”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น นักบวชเต๋าปีศาจโกรธจัดจนน้ำตาไหลอาบแก้มทั้งสอง เขาชี้นิ้วที่สั่นเทาไปที่ซ่งจงอย่างเคียดแค้นพร้อมกล่าวว่า “แม้ว่าข้าจะอยู่จะในสำนักชั่วร้าย แต่ข้าก็ไม่เคยเห็นผู้ใดหน้าด้านเช่นเจ้ามาก่อน!”
ด้วยคำพูดของนักบวชเต๋าปีศาจ ฉุ่ยจิ้งที่ยืนอยู่ด้านข้างซ่งจงยังอดไม่ได้ที่จะละอายใจ แต่ซ่งจงนั้นไม่ได้แยแสคำพูดเหล่านั้นพร้อมกล่าวต่อ “ไอ้สารเลว เจ้ายังมีหน้ามาพูดเกี่ยวกับยางอายอีกงั้นหรือ? แล้วที่เจ้าจับกุมหญิงสาวสองคนไว้เพื่อล่อลวงให้ข้ามาตายที่นี่นั้นเรียกว่าอะไรกัน? มันไม่น่ารังเกียจกว่าอย่างงั้นหรือ?”
เมื่อซ่งจงกล่าวออกมาเช่นนั้น นักบวชเต๋าปีศาจอดไม่ได้ที่จะเงียบ เขาไม่สามารถเถียงได้เลยในส่วนนี้
ซ่งจงนั้นเกียจคร้านที่จะเถียงกับเขาต่อ เขากระโดดไปที่ปากกระบอกปืนพร้อมกับควบคุมให้มันเล็งไปที่นักบวชเต๋าปีศาจ จากนั้นกล่าวออกมาอย่างเย่อหยิ่ง “นักบวชเต๋าปีศาจเอ๋ย ในตอนนี้ข้าจะเลิกใช้เรือมังกรทองคำเพื่อกลั่นแกล้งเจ้าก็ได้ แต่เราจงมาสู้กันดั่งเช่นสุภาพบุรุษเถิด!”
เมื่อนักบวชเต๋าปีศาจได้ยินว่าซ่งจงจะหยุดยิงและไม่ใช้พลังของเรือมังกรทองคำ ดวงตาของเขาเปล่งประกายออกมาพร้อมกับรอยยิ้มที่เย้ยหยันทันที “เด็กน้อย ถ้าหากเจ้าต้องการแสดงความเป็นบุรุษที่แท้จริงอย่างนั้นก็ย่อมได้! เรามาสู้กัน!”
เมื่อกล่าวจบธงศักดิ์สิทธิ์และแหวนหยกเขียวในตอนนี้เริ่มเปล่งพลังออกมาเพื่อปกป้องนักบวชเต๋าปีศาจอีกครั้ง
ซ่งจงนั้นไม่ยอมที่จะแสดงความอ่อนแอเช่นกัน เขาสะบัดมือเพื่อเรียกระฆังทองแดงออกมา ในตอนนี้ปรากฏระฆังทองแดงขนาดใหญ่อยู่เหนือศีรษะของซ่งจง แสงสีทองลึกลับเปล่งประกายออกมา พลังของมันทำให้บรรยากาศโดยรอบอึดอัดชวนให้หายใจติดขัด ในเวลาเดียวกันแม่มดเทวะทั้งเก้าได้ปรากฏตัวแนบข้างของซ่งจงด้วยเช่นกัน…