Chaotic Lightning Cultivation โกลาหลแห่งอัสนีบาต - ตอนที่ 304.1
บทที่ 304: ศาลเจ้าที่ยิ่งใหญ่ทั้งเก้า (1)
เมื่อได้ยินซ่งจงกล่าวเช่นนั้น ฉุ่ยจิ้งตกตะลึงในทันที นางรู้ว่าถ้าหากสมบัติวิญญาณทั้งสองชิ้นนี้ไร้เครื่องหมายของนักบวชเต๋าปีศาจแล้ว ถ้าเช่นนั้นแสดงว่ามันจะไม่ใช่สมบัติของนักบวชเต๋าปีศาจอีกต่อไป ในตอนนี้เท่ากับว่ามันกลายเป็นสมบัติที่ไม่มีเจ้าของอีกครั้ง ซึ่งผู้ที่สามารถลบเครื่องหมายบนสมบัติวิญญาณเหล่านี้ได้จะต้องเป็นผู้ที่ระดับสูงกว่าสองถึงสามของเจ้าของเดิม แต่ทว่าเจ้าของเดิมนั้นอยู่ในระดับเฟินเสิน ซึ่งเป็นไปไม่ได้เลยที่ทั้งสองจะสามารถลบมันออกได้เอง!
กล่าวก็คือถ้าหากเป็นอุปกรณ์วิเศษของผู้ฝึกตนระดับปฐมภูมิ จะต้องใช้ผู้ฝึกตนระดับหยวนหยินเพื่อลบออก แต่สมบัติวิญญาณของผู้ฝึกตนระดับเฟินเสินนั้นเป็นสิ่งที่ทรงพลังและมีชีวิตจิตวิญญาณ ซึ่งสิ่งของคุณภาพสูงเช่นนี้ อย่างน้อยจะต้องใช้ผู้ฝึกตนระดับต้าเชิ่งจึงจะดีที่สุด
แต่ในตอนนี้ระฆังทองแดงเพียงแค่เปล่งประกายลำแสงสีทองออกมา เพียงเท่านี้ตราประทับของผู้ฝึกตนระดับเฟินเสินถึงกับถูกลบไปอย่างสมบูรณ์ ฉุ่ยจิ้งกล่าวออกมาอย่างไม่เชื่อสายตาตนเอง “ศิษย์พี่ซ่ง นี่เรื่องจริงงั้นหรือ?”
“เจ้าลองดูมันด้วยตาของเจ้า!” ซ่งจงกล่าวเช่นนั้น พร้อมกับยื่นสมบัติทั้งสองให้นางตรวจสอบ ฉุ่ยจิ้งรับไว้ในมือพร้อมกับตรวจสอบมันอย่างระมัดระวัง จากนั้นนางอุทานออกมา “เป็นเช่นนั้นจริงๆ ตราประทับของนักบวชเต๋าปีศาจระดับเฟินเสินได้ถูกลบไปแล้ว สมบัติวิญญาณทั้งสองนี้เต็มไปด้วยความโกลาหลแปลกๆ อีกทั้งพวกมันยังดูเหมือนว่าบาดเจ็บและไม่สามารถวิ่งหนีไปไหนได้เลย! โอ้ แปลกประหลาดเหลือเกิน!”
ฉุ่ยจิ้งนึกภาพเหตุการณ์บางอย่างออก นางร้องออกมาทันที “ศิษย์พี่ซ่ง สถานการณ์เช่นนี้พวกมันยังคงสับสนและไม่รู้ว่าผู้ใดเป็นเจ้านาย เช่นนี้เราจะสามารถควบคุมพวกมันได้ง่ายกว่าเดิมหรือไม่?”
“ข้าก็ไม่แน่ใจนะ” ซ่งจงกล่าวออกมาอย่างไม่มั่นใจ “ข้าว่าที่เจ้าพูดมามันก็มีเหตุผล ถ้าเช่นนั้นเรามาลองกันเถอะ!”
“ลองดูงั้นเหรอ? มันจะเป็นการทดสอบแบบไหนกัน?” ฉุ่ยจิ้งกล่าวออกมาอย่างสงสัย
“เฮ้ เจ้าเอานี่ไปลองแล้วกัน!” ซ่งจงกล่าวเช่นนั้นพร้อมกับหยิงธงอัสดงจันทรามา จากนั้นเขากล่าวว่า “ธงนี่ข้าจะมอบมันให้กับหญิงสาวทั้งสองคนนั้น เป็นการปลอบใจพวกนาง ส่วนแหวนหยกเขียวนี้ข้ามอบมันให้กับศิษย์น้อง”
“โอ้ ท่านช่างใจกว้างยิ่งนัก!” ฉุ่ยจิ้งได้ยินเช่นนั้น ใบหน้าของมันเปลี่ยนเป็นสีแดงพร้อมกล่าวต่อ “แต่ว่าข้านั้นไม่ได้ทำอะไรเลย ข้าจึงไม่สามารถรับสิ่งของจากสงครามนี้ไว้ได้หรอก” เมื่อกล่าวเช่นนั้น นางยื่นแหวนหยกเขียวกลับคืนให้ซ่งจง
“อ้าว!” ซ่งจงเห็นเช่นนั้น เขาขมวดคิ้วทันทีพร้อมกล่าวต่อ “ศิษย์น้อง ความสัมพันธ์ของเรานั้นมาไกลถึงขั้นนี้แล้ว เหตุใดเจ้ายังต้องคิดเล็กคิดน้อยเช่นนี้ด้วย?”
“ความสัมพันธ์อะไรกันที่พวกเรามี?” ฉุ่ยจิ้งได้ยินเช่นนั้น นางไม่สามารถควบคุมอารมณ์หึงหวงได้จึงกล่าวออกมา “ดั่งเช่นหานปิงเอ๋อน่ะหรือ? หรือว่าซูหยู่และซูหยุนที่มีความสัมพันธ์กับท่าน?”
“เฮ้ เจ้าหึงข้าเหรอ?” ซ่งจงเผยยิ้มกว้างเห็นฟันครบสามสิบสองซี่ทันที
“ไร้สาระ!” ฉุ่ยจิ้งโต้กลับทันควัน
“อ่า เอาล่ะ ข้าพูดเรื่องจริงนะ!” ซ่งจงกล่าวพร้อมกับยื่นแหวนหยกเขียวให้กับฉุ่ยจิ้งอีกครั้ง เขาจ้องตาของนางพร้อมกล่าวต่อ “ศิษย์น้อง เจ้ารู้หรือไม่ว่านี่คือหัวใจของข้า!”
ฉุ่ยจิ้งรับรู้ได้ว่าซ่งจงนั้นกล่าวออกมาด้วยความจริงใจ เมื่อเห็นเขากล่าวเช่นนี้ แล้วหญิงสาวเช่นนางจะกล่าวอะไรได้อีก? นางจึงถอนหายใจออกมาอย่างช่วยไม่ได้พร้อมกล่าวต่อ “เฮ้อ ข้าเกรงว่าข้าจะต้องติดหนี้ท่านไปตลอดชีวิต”
จากนั้นฉุ่ยจิ้งรับสมบัติชิ้นนั้นมาอย่างช้าๆ ซึ่งการกระทำเช่นนี้ของนางทำให้ซ่งจงรู้สึกดีใจอย่างมากที่เขายังสามารถรักษาสัมพันธ์ที่ดีกับฉุ่ยจิ้งไว้ได้อยู่ ความสัมพันธ์ฝึกฝนแบบคู่ร่วมกันของพวกเขายังไม่หายใจ สภาวะทางจิตใจของทั้งสองยังผูกพันธ์กันอย่างเหนียวแน่น
หลังจากที่ฉุ่ยจิ้งได้รับสมบัติแล้ว นางเผยรอยยิ้มพร้อมจับผมของตนเองเบาๆและกล่าวว่า “เหตุการณ์ดำเนินล่วงเลยไปไกลมากแล้ว ในตอนนี้สำนักพันปีศาจคงไม่หยุดยั้งที่จะตามล่าท่านอย่างแน่นอน เช่นนี้ท่านควรจะรีบไปที่สำนักงานใหญ่เพื่อแสวงหาสถานที่ปลอดภัยโดยเร็วที่สุด!”
“อืม ข้าเข้าใจ” ซ่งจงพยักหน้าตอบกลับ “คงไม่มีเรื่องอื่นที่ข้าต้องทำอีกแล้วในตอนนี้ ทุกคนปลอดภัยดี เช่นนั้นข้าจะเข้าไปสารภาพเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นภายในทะเลตะวันออก จากนั้นข้าจะไปหาเจ้าที่สำนักเสวียนเทียน”
“ควรเป็นเช่นนั้น ถ้าอย่างนั้นข้าขอตัวก่อน” ฉุ่ยจิ้งกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม จากนั้นนางหายตัวไปอย่างเงียบเชียบโดยไม่กล่าวคำลาใดๆเพิ่มเติม
หลังจากที่ฉุ่ยจิ้งจากไปแล้ว ความรู้สึกเคว้งคว้างได้เกิดขึ้นภายในหัวใจของซ่งจงชั่วขณะ เขากลับสู่สภาวะปกติอย่างรวดเร็วพร้อมกับบินไปที่เรือมังกรทองคำอีกครั้ง
หลายวันถัดมา ซ่งจงกลับมาที่ทะเลตะวันออกอีกครั้ง เป็นอีกครั้งที่เขาสร้างความตกใจให้แก่ผู้คนรอบข้าง ผู้ฝึกตนระดับจินตันสามารถจัดการกับผู้ฝึกตนระดับเฟินเสินจนราบคาบงั้นหรือ? เหลยซานเอ๋อและอาวุโสเอ๋าเทียนจ้องมองซ่งจงด้วยความแปลกใจ เดิมทีพวกเขาคิดว่าจักรพรรดิของตนนั้นแข็งแกร่งมาก แต่ไม่เคยคาดคิดว่าจะเป็นบุคคลที่แข็งแกร่งได้มากถึงเพียงนี้ พลังของเขาน่ากลัวเกินไปแล้ว!
ซ่งจงไม่อาจกล่าวอะไรออกมานอกจากคำลา แต่เพราะว่าเขาแข็งแกร่งเกินกว่าจะอยู่ในทะเลแคบๆนี้ เหลยซานเอ๋อและอาวุโสเอ๋าจึงไม่กล้าที่จะยื้อเขาไว้ อย่างไรก็ตาม พวกเขาบอกกับซ่งจงว่าต้องการที่จะทำงานต่อ เช่นนี้ซ่งจงจึงมอบหมายให้อาวุโสเอ๋าเทียนดูแลทุกสิ่งในนามของเขา!
หน้าที่ของอาวุโสเอ๋าเทียนคืออะไร การรวบรวมสมบัติพังๆงั้นหรือ? ถ้าหากซ่งจงไม่ได้กลับมา แล้วจะส่งไปให้เขาอย่างไรล่ะ?
สำหรับเหลยซานเอ๋อ ซ่งจงมอบหมายในนางดูแลเกาะแห่งนี้ในรัศมีสามถึงสี่พันลี้ อีกทั้งนางไม่ได้อยู่ในขั้นหกอีกแล้ว ซึ่งหากเป็นเช่นนั้น นางคงไม่สามารถจะทำหน้าที่นี้ได้
ก่อนที่ซ่งจงกำลังเดินทาง เขาให้ซูหยู่และซูหยุนจัดการธงคู่นั้นให้ได้ เวลาผ่านไปหลายวันกว่าพวกนางจะทำสำเร็จ ในตอนนี้พวกนางเป็นผู้ฝึกตนระดับปฐมภูมิที่ได้รับสมบัติวิญญาณ ซึ่งนั่นหมายความว่าความสามารถของพวกนางนั้นไร้ขีดจำกัดแล้ว!
สำหรับหานหลิงเฟิงนั้นน่าอิจฉาอย่างไม่มีใครเทียบ เพราะซ่งจงนั้นจะไม่เลือกปฏิบัติกับใครคนใดคนหนึ่ง เขาจะปฏิบัติกับทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน เพราะฉะนั้นสมบัติขั้นเก้าของกลุ่มพันธมิตรทะเลตะวันออก เขามอบให้นางนั่นก็คือ กระจกลี้สวรรค์!
แม้ว่ามันจะเป็นสมบัติวิเศษไม่ใช่สมบัติวิญญาณ แต่ระดับขั้นของมันนั้นสูงมาก ซึ่งมันมีโอกาสที่จะสามารถเลื่อนขั้นเป็นสมบัติวิญญาณได้ ซึ่งมันเหมาะกับนางมาก นางจะค่อยๆใช้เวลาเรียนรู้มันและรอคอยให้มันกลายเป็นสมบัติวิญญาณอย่างช้าๆ
เมื่อถึงวันที่มันกลายเป็นสมบัติวิญญาณ วันนั้นมันก็จะเป็นสมบัติของนางโดยสมบูรณ์ไม่ต้องทดสอบสิ่งใด เช่นนี้นางจึงไม่ได้เรียกร้องอะไรจากซ่งจงมากพร้อมกับรับสิ่งนี้ไว้อย่างยินดี จากนั้นนางได้เข้าสู่การฝึกฝนแบบปิดอีกครั้ง
ซ่งจงมองเห็นความแข็งแกร่งของนาง เขาจึงมองหาดอกบัวแห่งองค์ประกอบทั้งห้าอย่างเงียบๆ เพื่อเพิ่มโอกาสให้กับนางได้ฝึกฝนอย่างรวดเร็วและเต็มไปด้วยเส้นทางที่ราบรื่น
หลังจากที่ทำทุกอย่างเสร็จสิ้นแล้ว ซ่งจงไม่กล้าที่จะชักช้าอีกต่อไป เขารีบไปพบกับเหลยซานเอ๋อและอาวุโสเอ๋าเพื่อกล่าวคำลา หนทางต่อไปของเขาคือไปยังสำนักเสวียนเทียน!
ผ่านมาหลายวัน ซ่งจงนั้นมาถึงสำนักเสวียนเทียนแล้ว หลังจากนั้นเขาไปพบกับฉุ่ยจิ้งทันที พร้อมกับมองเห็นค่ายกลป้องกันที่ถูกสร้างขึ้นมาใหม่ มันยิ่งใหญ่กว่าเดิมมาก สิ่งที่ซ่งจงเสียใจเพียงอย่างเดียวในตอนนี้คือเขามาไม่ทันที่จะกล่าวคำลากับฉิงเฟิงซีและเจ้าลิง ทั้งคู่นั้นอยู่ในการฝึกฝนแบบปิด เช่นนี้ซ่งจงจึงไม่มีโอกาสได้พูดคุยกับพวกเขา
หลังจากที่ซ่งจงจากไปไม่นาน ผู้ฝึกตนระดับเฟินเสินได้บุกมาที่ทะเลตะวันออกนับสิบ พวกเขาสังหารอสูรกายนับล้านตัว จากนั้นคาดคั้นความจริงจากพวกมันแต่ก็ไม่ได้รับคำตอบว่าซ่งจงไปไหน ดังนั้นพวกเขาจึงล้วงความลับจากในสมองของเหล่าอสูรเหล่านั้นจึงได้รู้ว่าซ่งจงนั้นมุ่งหน้ากลับสำนักเสวียนเทียน
เหล่าผู้เชี่ยวชาญเหล่านั้นไม่รอช้า พวกเขาตามซ่งจงไปที่สำนักเสวียนเทียนทันที แน่นอนว่าคุณชายใหญ่รับรู้ได้ทันทีว่าเรื่องเหล่านี้จะเกิดขึ้น เขาจึงรีบบอกให้ซ่งจงไปที่สำนักงานใหญ่ของเสวียนเทียนโดยเร็วที่สุด จากนั้นเขาจึงบอกกล่าวกับผู้ฝึกตนระดับเฟินเสินเหล่านั้นว่าซ่งจงได้เดินทางไปที่สำนักงานใหญ่เสวียนเทียนเสียแล้ว
แม้ว่าข่าวเหล่านี้จะทำให้ผู้เชี่ยวชาญเหล่านั้นโกรธจัด แต่พวกเขาก็ไม่สามารถทำอะไรได้ เพราะพวกเขาเป็นเพียงผู้ฝึกตนระดับเฟินเสินเท่านั้น ซึ่งไม่สามารถยั่วยุสำนักงานใหญ่เสวียนเทียนได้เลย สำนักพร้อมที่จะสังหารผู้ที่คุกคามสาวกของตนอย่างแน่นอน เมื่อเห็นว่าไม่สามารถทำอะไรได้ ทั้งหมดได้แต่บินกลับสำนักของตนด้วยมือที่ว่างเปล่า
หลังจากที่ซ่งจงและฉุ่ยจิ้งออกจากสำนักเสวียนเทียน ทั้งสองได้พบกับทิวทัศน์ที่สวยงาม ภูเขาใหญ่มีแสงแดดตกกระทบ เปล่งประกายทำให้สบายตาอย่างยิ่ง ราวกับว่าพวกเขานั้นเดินทางมาถึงดินแดนแห่งสวรรค์อย่างไรอย่างนั้น
ซ่งจงรู้สึกว่าดินแดนแห่งนี้อัดแน่นไปด้วยปราณจิตวิญญาณ ซึ่งมันมากกว่าสำนักเสวียนเทียนถึงสามเท่า เขารู้สึกได้ว่ามันเป็นโลกที่เหมาะแก่การฝึกฝนอย่างแท้จริง
ทั้งสองปรับตัวให้เข้ากับบรรยากาศโดยรอบอย่างรวดเร็ว จากนั้นเขาอดไม่ได้ที่จะกล่าวออกมาด้วยความยินดี “เป็นสถานที่ที่ยอดเยี่ยมอะไรเช่นนี้ มันดีเสียยิ่งว่าที่ที่ข้าเคยอยู่เสียอีก!”
“สถานที่แห่งนี้เป็นขุมทรัพย์ของเหล่าผู้ฝึกตนอย่างไม่ต้องสงสัย!” ฉุ่ยจิ้งกล่าวออกมาพร้อมกับยืนมองอย่างมีความสุข
อย่างไรก็ตามซ่งจงมองไปรอบๆ เขาขมวดคิ้วทันทีเมื่อเห็นว่าไม่มีการจัดตั้งเวรยามแต่อย่างใด อีกทั้งยังไม่มีค่ายกลป้องกันใดๆทั้งสิ้น เช่นนี้เขาจึงอดไม่ได้ที่จะกล่าวออกมา “ค่ายกลป้องกันนั้นสำคัญหรือไม่? ทำไมสถานที่แห่งนี้จึงไม่มีมันล่ะ? นี่เราอยู่ในสถานที่ที่แข็งแกร่งจนไม่ต้องมีเวรยามหรือค่ายกลใดๆแล้วงั้นหรือ?”
“เป็นเช่นนั้น ฮ่าฮ่า” ฉุ่ยจิ้งกล่าวพร้อมกับหัวเราะออกมาเบาๆ “ศิษย์พี่ซ่ง ท่านอาจจะคิดผิด สถานที่แห่งนี้ไม่ได้ไร้การป้องกัน แต่ทว่าทั้งหมดนี้เป็นป้อมปราการที่แข็งแกร่งต่างหาก! เป็นเพียงท่านที่ไม่เคยชินเสียมากกว่ากับสถานการณ์เช่นนี้!”
“งั้นหรือ?” ซ่งจงรีบตอบกลับพร้อมกับรีบตรวจสอบโดยรอบทันทีด้วยสัมผัสวิญญาณ แต่เขาก็ยังไม่พบอะไรเช่นเดิมพร้อมกับขมวดคิ้วอีกครั้ง “ศิษย์น้อง เจ้าล้อข้าเล่นหรือไม่? ข้าไม่เห็นว่าสถานที่แห่งนี้จะมีการป้องกันใดๆเลย?”
“ฮี่ฮี่ ศิษย์พี่ซ่ง สถานที่แห่งนี้นั้นกว้างใหญ่มาก อีกทั้งยังมีผู้มาเยี่ยมเยียนมากมาย เช่นนั้นการวางป้อมปราการขนาดใหญ่ไว้โดยรอบจะไม่ทำให้ผู้คนแตกตื่นงั้นหรือ?” ฉุ่ยจิ้งกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“แล้วไหนล่ะป้อมปราการที่แข็งแกร่งที่เจ้าว่าเมื่อครู่?” ซ่งจงยังไม่เลิกสงสัย
“มันอยู่ตรงนั้น ในผนังเหล็กทองแดง แต่ทว่าท่านมองไม่เห็นมันหรอก!” ฉุ่ยจิ้งชี้ไปพร้อมกล่าวต่อ “ตรงนั้นรอบๆภูเขา ท่านเห็นวงแหวนใหญ่ที่ล้อมรอบอยู่หรือไม่ พวกมันล้วนแต่เป็นค่ายกลป้องกันที่หนาแน่นและทรงพลังอย่างยิ่ง หากมีผู้ใดกล้าที่จะรุกรานเข้ามาในพื้นที่นั้น แน่นอนว่าค่ายกลป้องกันขนาดใหญ่จะทำงานทันที! ดังนั้นเราที่ยืนอยู่ด้านนอกเช่นนี้ จึงไม่ได้รับผลกระทบจากมันโดยธรรมชาติ!”
ซ่งจงได้ยินเช่นนั้น เขามองตามสถานที่ที่ฉุ่ยจิ้งชี้นิ้วไป จากนั้นเขามองเห็นภาพภูเขาลูกใหญ่อยู่ตรงนั้น ซึ่งห่างไกลออกไปมาก เมื่อเขารู้เช่นนั้น จึงอดไม่ได้ที่จะอุทานออกมา “สิ่งนั้นช่างใหญ่โตมากเหลือเกิน ข้าไม่อยากจะคิดถึงความแข็งแกร่งของมัน ภายในสำนักเสวียนเทียนนั้นว่าแข็งแกร่งมากแล้ว แต่ทว่าค่ายกลป้องกันที่ใหญ่เท่ากับภูเขาเช่นนั้นมันจะต้องแข็งแกร่งมากเท่าไหร่กันนะ ข้าตื่นเต้นเหลือเกิน!”
“ฮี่ฮี่ สถานที่แห่งนี้เป็นโลกแห่งการฝึกฝนระดับสูง ซึ่งมีทรัพยากรมากมาย เหล่าผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่นั้นร่ำรวยอย่างมาก!” ฉุ่ยจิ้งกล่าวออกมา จากนั้นนางหยุดพูดพร้อมเปลี่ยนสีหน้าทันที “มีบางคนกำลังมา!”