Chaotic Lightning Cultivation โกลาหลแห่งอัสนีบาต - ตอนที่ 304.2
บทที่ 304: ศาลเจ้าที่ยิ่งใหญ่ทั้งเก้า (2)
เป็นจริงเช่นนั้น มีผู้ฝึกตนกำลังบินมาจากระยะไกล ชั่วพริบตาเขามายืนอยู่ตรงหน้าของซ่งจงและฉุ่ยจิ้งทันที เสื้อคลุมสีดำสนิทบ่งบอกว่าเป็นนักบวชลัทธิเต๋าอยู่ในระดับจินตันขั้นกลาง เมื่อมาถึงเขาถามออกไปทันที “พวกเจ้าเป็นใคร?”
“ข้าและศิษย์พี่เดินทางมาเพื่อเป็นสาวกของสำนักแห่งนี้” ฉุ่ยจิ้งกล่าวพร้อมกับหยิบตราหยกลับออกมาพร้อมกล่าวต่อ “ข้ากำลังจะไปหาท่านอาจารย์”
นักบวชลัทธิเต๋าในชุดดำเห็นฉุ่ยจิ้งนั้นอยู่ในระดับปฐมภูมิเท่านั้น แต่กลับเรียกแทนตนอย่างไร้มารยาท ถ้าหากไม่ใช่เพราะใบหน้าที่งดงามเช่นนั้น แน่นอนว่าเขาก็คงจะหงุดหงิดในทันที จากนั้นเขาตรวจสอบยันต์หยกลับที่นางแสดงออกมาพร้อมอุทานด้วยรอยยิ้ม “โอ้ เจ้าเป็นศิษย์ของเทพธิดาเหมยฮวางั้นหรือ ข้าต้องขออภัยด้วย ขออภัยจริงๆ!”
“ไม่ต้องทำเช่นนั้น!” ฉุ่ยจิ้งรีบกล่าวห้ามอย่างรวดเร็ว
จากนั้นบุรุษชุดดำหันไปหาซ่งจงพร้อมกล่าว “แล้วน้องชายผู้นี้ล่ะ?”
“ข้าคือซ่งจง!” ซ่งจงตอบกลับอย่างสุภาพ
“ซ่งจง!” ใบหน้าของเขาเปลี่ยนสีเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก “เจ้าน่ะหรือที่ทำลายสำนักพันปีศาจและหอเฉวียนจี้จนสิ้นซาก ซ่งจงผู้นั้นน่ะหรือ?”
ซ่งจงได้ยินเช่นนั้นพร้อมกับเผยรอยยิ้มขื่นขมออกมา “อ่า ดูเหมือนว่าจะใช่นะ ทุกคนรู้งั้นหรือว่าเป็นข้า?”
“หืม เรื่องเจ้าน่ะหรือ?” บุรุษชุดดำกล่าวต่ออย่างไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไรดี “เจ้ารู้หรือไม่ว่าหอเฉวียนจี้นั้นขอให้เราจับกุมเจ้า อีกทั้งยังไปร่วมมือกับสำนักพันปีศาจเพื่อจัดการเจ้าอีกด้วย แต่สำนักเสวียนเทียนไม่คิดทำเช่นนั้น จึงทำให้พวกเราทะเลาะกัน ไม่มีผู้ใดมีความสุขเลยกับเรื่องเช่นนี้! และเพื่อมอบความยุติธรรมให้กับเจ้า อาวุโสหงนั้นได้ขอให้สำนักตัดแขนของนักบวชฮัวอวิ๋น สำนักเสวียนเทียนนั้นไม่เคยมีบทลงโทษที่รุนแรงเช่นนี้มายาวนานกว่าหลายพันปี แต่เรื่องราวเกิดขึ้นอีกครั้งเพราะเจ้า! ตอนนี้ชื่อเสียงของเจ้าในสำนักงานใหญ่เสวียนเทียนนั้นโด่งดังอย่างมาก มันก้องอยู่ในหูของทุกคน!”
หลังจากที่ซ่งจงได้ยินเช่นนั้น เขาไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ออกมาที ดูเหมือนทุกหนแห่งจะเดือดร้อนไปทั่ว แต่ฉุ่ยจิ้งในเวลานั้นทำได้เพียงยกมือปิดรอยยิ้มที่งดงามนั้นเอาไว้อย่างเงียบๆ
บุรุษชุดดำนั้นรู้ว่าเขาพูดมากเกินไปแล้ว เขารีบหยุดพร้อมหัวเราะแก้เขิน “ฮ่าฮ่า อย่าถือสาข้าเลย ก็เป็นเช่นนี้เสมอ เจ้ากำลังมองหาอาวุโสอยู่ใช่หรือไม่? มากับข้าเถิด!”
เมื่อกล่าวออกมาเช่นนั้น เขาบินนำซ่งจงและฉุ่ยจิ้งที่ด้านหน้าพร้อมกับไม่ลืมที่จะอธิบาย “สำนักงานใหญ่เสวียนเทียนนั้นมีศาลหลักเก้าแห่ง ทุกแห่งนั้นจะมีผู้ดูแลอยู่ สถานที่อื่นๆนอกจากนั้นคือราชวังรอง ศิษย์น้องฉุ่ยจิ้ง ท่านอาจารย์ของเจ้านั้นอยู่ในราชวังดอกเหมย ซึ่งอยู่ห่างไกลออกไปห้าพันลี้” หลังจากกล่าวเช่นนั้นเขาชี้ไปยังทิศทางที่ห่างไกลออกไป
จากนั้นบุรุษชุดดำหันกลับมากล่าวกับซ่งจง “ศิษย์น้องซ่งจง เจ้าก็คงจะมองหาอาวุโสหงสินะ พวกเขาอยู่ที่ราชวังอัคคี ซึ่งอยู่ห่างออกไปสี่พันลี้ทางนั้น” เมื่อกล่าวเสร็จเขาชี้ไปที่ทิศทางของราชวังอัคคี
หลังจากที่เข้าสู่เส้นทางแล้ว เขากล่าวต่อ “สถานที่แห่งนี้ไม่มีกฏอะไรที่เลวร้ายนัก พวกเจ้าสามารถเดินไปตามเส้นทางได้เลยโดยที่ข้าไม่ต้องนำทาง!”
ซ่งจงและฉุ่ยจิ้งที่ได้ยินเช่นนั้น พวกเขารู้ได้ทันทีว่าบุรุษผู้นี้มาเพื่อบอกทางเท่านั้น จากนั้นทั้งสองรีบกล่าวคำลาทันที แล้วทั้งสองก็หันหน้าบอกลากันเพื่อพบกันใหม่ในอนาคตอันใกล้ก่อนที่จะแยกย้ายกันไปตามทางของตน
หลังจากที่ทั้งสองแยกออกจากกัน ซ่งจงบินไปด้วยดาบบินจักรพรรดิอย่างบ้าคลั่ง เขาพบเจอผู้ฝึกตนมากมายที่ทักทายเขาตลอดทาง ทุกคนต่างดีใจในการกลับมาของเขา
อย่างไรก็ตาม ซ่งจงนั้นแข็งแกร่งกว่าผู้คนที่อยู่ตรงนี้มาก ระดับต่ำที่สุดของสถานที่แห่งนี้คือระดับปฐมภูมิ มีผู้ฝึกตนระดับจินตันอยู่มาก แต่บุคคลที่ดูจะมีความแข็งแกร่งนั้นล้วนอยู่ในระดับหยวนหยินทั้งสิ้น
เวลาผ่านไปไม่มากนัก ซ่งจงบินมาไกลกว่าสี่พันลี้ อีกเพียงนิดเดียวเขาจะถึงจุดหมาย ในตอนนี้เขามองเห็นอาคารมากมายสวยงามเต็มไปด้วยสถาปัตยกรรมที่งดงามตั้งตระหง่าน บนยอดเขาต่างๆจะมีราชวังที่ดูยิ่งใหญ่และโอ่อ่าอย่างมาก พื้นที่ทุกย่อมหญ้าเต็มไปด้วยความเขียวขจี ทำให้บรรยากาศดูสดชื่นอย่างยิ่ง
ซ่งจงพบกับผู้คนแถวนั้น เขารีบถามทางทันที จากนั้นเขาพบสถานที่ที่อาวุโสหงอาศัยอยู่ซึ่งห่างออกไปไม่ไกลนัก มันเป็นราชวังเล็กๆเรียงกันอยู่หลายสิบตึก ภายในสถานที่แห่งนั้นดูเหมือนจะมีผู้คนอาศัยอยู่ร้อยกว่าชีวิต เมื่อซ่งจงมาถึง ทหารรับใช้เฝ้าประตูระดับปฐมภูมิไม่กล้าที่จะชักช้า เขารีบพาซ่งจงเข้าไปด้านในทันที
หลังจากที่เดินผ่านห้องโถงเล็กมากมาย ซ่งจงเข้ามาถึงด้านในของโถงหลัก เขาพบกับสองสามีภรรยาอย่างรวดเร็ว เช่นนั้นซ่งจงไม่กล้าที่จะเพิกเฉย เขารีบทำความเคารพทั้งสองทันที
หลังจากที่คุยกันเล็กน้อย อาวุโสหงทั้งสองมองซ่งจงด้วยใบหน้าที่พึงพอใจ
อาวุโสหงกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม “ว่าไงเด็กน้อย เจ้ามีอะไรจะนำเสนอบ้างไหม?”
“หืม?” ซ่งจงได้ยินเช่นนั้น เขาแปลกใจพร้อมกล่าวต่อ “มีอะไรผิดปกติงั้นหรือ ข้าพลาดสิ่งใดหรือไม่? หรือฉุ่ยจิ้งยังไมได้บอกอะไรข้า?”
อาวุโสหงกล่าวออกมาอย่างรวดเร็ว “ไร้สาระ พวกข้ายังไม่ได้รับข่าวใดๆของเจ้าอีกเลยตั้งแต่เราแยกจากกันในคราวนั้น อีกทั้งฉุ่ยจิ้งก็ไม่ได้บอกกล่าวสิ่งใดกับพวกข้าเลย”
“อืม นั่นเป็นเพราะนางอาจจะอยากให้พวกท่านรู้สึกประหลาดใจ!” ซ่งจงเกาหัวเล็กน้อยพร้อมกล่าวต่อ “เมื่อไม่นานมานี้ศิษย์ได้ทำเรื่องเล็กๆน้อยๆนิดหน่อย จึงทำให้เสียเวลาไปเล็กน้อย”
แม้ว่าซ่งจงจะกล่าวว่าเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย แต่สองสามีภรรยากลับไม่คิดเช่นนั้น พวกเขารีบถามไถ่อย่างรวดเร็วว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง
ซ่งจงไม่กล้าที่จะปกปิดเรื่องเหล่านั้น เขาเลยเล่าเหตุการณ์ที่เขาทำลายเรือยักษ์ของสำนักพันปีศาจและหอเฉวียนจี้ พร้อมทั้งปล่อยเทพธิดาภูติน้ำแข็งให้มีชีวิตรอดไป แต่เขาจับนักบวชเต๋าปีศาจเป็นเชลยในตอนนี้
สองสามีภรรยาได้ยินเช่นนั้น พวกเขาตกอยู่ในสภาวะโง่งมทันที อาวุโสหงกล่าวออกมาด้วยความตกใจ “เจ้าบอกว่าเจ้าสามารถจับเชลยซึ่งเป็นผู้ฝึกตนระดับเฟินเสินได้งั้นหรือ? เฮ้ เด็กน้อย พลังของเจ้านั้นมากเพียงใด?!”
“เป็นความจริง!” ซ่งจงกล่าวออกมาพร้อมกับดึงเอานักบวชเต๋าปีศาจออกมาจากมิติลึกลับ
ทั้งสองสามีภรรยารีบตรวจสอบร่างของบุคคลผู้นั้นอย่างรวดเร็ว แม้ว่าพวกเขาจะไม่รู้จักนักบวชเต๋าปีศาจตาม แต่ทว่าร่างกายและเส้นลมปราณของเขานั้นบ่งบอกได้ทันทีว่าเขาเป็นผู้ฝึกตนระดับเฟินเสิน
สองสามีภรรยานั้นสูดเอาอากาศเย็นเข้าปอดช้าๆพร้อมกับมองไปที่ซ่งจงอย่างหดหู่ สายตาเช่นนี้ทำให้ซ่งจงรู้สึกละอายใจอย่างมาก
อย่างไม่รู้จะทำอย่างไร อาวุโสหงกล่าวออกมาโดยไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ก่อนดี “ในตอนนี้พวกข้าคงจะแก่มากเกินไปแล้วสินะ! คลื่นลูกใหม่แห่งสำนักนั้นมาแรงเหลือเกิน”
“แต่ดูจากท่าทางของท่าน ข้าคิดว่าพวกท่านยังแข็งแรงอย่างมาก!” ซ่งจงรีบกล่าวปลอบใจทั้งสอง
“เด็กน้อยเจ้ากำลังปลอบโยนข้า! เมื่อเทียบกับเจ้าแล้วข้านั้นเป็นเพียงเศษพลัง!” อาวุโสหงกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้มที่ขมขื่นพร้อมกับส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้ “เฮ้อ เหตุใดกันนะคนที่มีพรสวรรค์เช่นเจ้าจึงต้องถูกไอ้สารเลวฮัวอวิ๋นไล่ออกจากสำนักด้วย บัดซบ ข้าล่ะเกลียดมันเข้ากระดูกดำ!”
มาดามหงเห็นท่าไม่ดีจึงรีบแทรกทันที “เอาล่ะ พอแล้ว เรื่องมันผ่านไปแล้ว อย่าได้กล่าวถึงอีกเลย!”
“ผ่านไปแล้วงั้นเหรอ!” อาวุโสหงยังคงไม่หยุด “ไอ้พวกสารเลวเหล่านั้นมันยังใช้ความสัมพันธ์ของตระกูลตนเองเพื่อป้องกันไม่ให้ซ่งจงกลับเข้ามา พวกมันกดดันจ้าวสำนักของเราจนเขาต้องประกาศว่าจะพิจารณาใหม่อีกครั้ง! เช่นนี้สามารถเรียกว่าเรื่องมันผ่านไปแล้วงั้นหรือ?”
“ฮี่ฮี่ แต่ทว่านักบวชเต๋าปีศาจคนนี้จะทำให้เรื่องราวง่ายขึ้นโดยธรรมชาติ!” มาดามหงกล่าวออกมาอย่างเจ้าเล่ห์ “ตราบใดที่มีสิ่งนี้ เท่ากับว่าเราสามารถตบหน้าของตระกูลฮัวได้อย่างเจ็บแสบ ข้าอยากจะรู้นักถ้าด้วยเหตุผลเหล่านี้ พวกเขาจะหยุดการกลับมาของซ่งจงยังไงอีก!”
“อ่า เป็นเช่นนั้น!” อาวุโสหงกล่าวออกมาอย่างมีความสุข “ถ้าเช่นนั้นเราส่งมอบเขาเลย!”
“ช้าก่อน รอก่อนประเดี๋ยว!” มาดามหงรีบดึงแขนของอาวุโสหงไว้พร้อมกล่าว “ในตอนนี้เรายังไม่ต้องทำเช่นนั้น อีกไม่กี่วันจะถึงวันที่หารือเรื่องนี้อย่างเป็นทางการแล้วไม่ใช่หรือ? เราไม่ควรจะเปิดเผยไพ่ตายในมือเพื่อให้พวกมันตายใจไปก่อน จากนั้นเราค่อยเปิดตัวของนักบวชเต๋าปีศาจผู้นี้ในที่แจ้งให้ประจักษ์แก่สายตาของทุกคนจะดีกว่า!”
อาวุโสหงได้ยินเช่นนั้น เขากล่าวออกไปอย่างตื่นเต้น “จริงด้วย โธ่ภรรยาข้าช่างเจ้าเล่ห์ยิ่งนัก”
หลังจากที่มาดามหงได้ยินเช่นนั้น นางไม่ได้ดีใจกับคำชมของเขาพร้อมทั้งทุบลงไปที่หลังของอาวุโสหงโดยตรงพร้อมถามว่า “อะไรคือเจ้าเล่ห์งั้นหรือ? เจ้าไม่เคยทำเช่นนี้?”
“ข้ากำลังยกย่องเจ้าอยู่นะ!” อาวุโสหงกล่าวออกมาพร้อมรอยยิ้มเจื่อนๆ
“หยุดพูดไร้สาระและจงอยู่เฉยๆ!” มาดามหงมองค้อนพร้อมหันไปหาซ่งจงและกล่าวต่อ “เด็กน้อย ตอนนี้เจ้าอยู่ที่นี่แล้ว มีแผนจะทำอะไรต่อรึเปล่า?”
ซ่งจงได้ยินเช่นนั้น เขาส่ายหัวพร้อมกล่าว “ข้ามาที่นี่เพื่อหลบหนี แล้วจะต้องมีแผนต่อจากนี้ด้วยงั้นหรือ? ข้าจะอยู่ตรงนี้ตราบใดที่มันปลอดภัย!”
“ฮี่ฮี่ เจ้านี่พูดจาราวกับท้อแท้ยิ่งนักหนุ่มน้อย!” มาดามหงกล่าวออกมาพร้อมรอยยิ้ม “ด้วยความแข็งแกร่งและจิตใจที่ดีงามของเจ้า จะทำให้เจ้าพัฒนาได้อย่างไร้ขีดจำกัดในพื้นที่แห่งนี้อย่างแน่นอน!”
ซ่งจงได้ยินเช่นนั้น เขารู้ได้ทันทีว่ามาดามหงนั้นมีจิตใจที่จะช่วยเหลือเขา เช่นนั้นเขาคำนับอย่างหนักแน่น “ได้โปรดชี้แนะศิษย์ด้วย!”
“ฮี่ฮี่” มาดามหงพยักหน้าพร้อมกล่าวต่อ “ข้านั้นไม่สามารถชี้แนะเจ้าได้ แต่ข้ารู้จักบุคคลที่สามารถทำเช่นนั้นได้!”
“ศิษย์จะตั้งใจฟังอย่างสุดความสามารถ!” ซ่งจงรีบกล่าวตอบ
“จงฟังให้ดี!” มาดามหงเปลี่ยนโทนเสียงเป็นทุ้มต่ำ “ความจริงแล้วด้วยความแข็งแกร่งของเจ้านั้นไม่ยากเลยที่จะตั้งหลักอยู่ในสถานที่แห่งนี้ แต่ทว่าเจ้านั้นไร้พรรคพวกและมิตรสหาย เช่นนี้จึงเป็นการลำบากสักเล็กน้อย อย่างแรกที่ข้าจะแนะนำเจ้าก็คือ เจ้าจะต้องตามหาอาจารย์ของตนเอง!”
“ตามหาอาจารย์งั้นหรือ?” ซ่งจงขมวดคิ้วพร้อมกล่าวต่อ “ศิษย์นั้นไม่คุ้นเคยกับสถานที่แห่งนี้ แล้วจะไปหาจากที่ใด?”
“ฮี่ๆ ไม่ต้องกังวล เราสามารถช่วยเจ้าได้!” มาดามหงกล่าวออกมาด้วยดวงตาที่เปล่งประกาย “แต่ทว่าเจ้านั้นเป็นผู้ฝึกตนประเภทสายฟ้า ซึ่งสาขานี้มีหลายแขนงแตกแยกออกไป มันไม่ง่ายนักที่จะหาอาจารย์ให้กับเจ้า”
“อืม เป็นเช่นนั้น!” อาวุโสหงกล่าวออกมาด้วยความขื่นขม “เมื่อคราวก่อนเจ้าสามารถสังหารตาเฒ่าเฟิงได้ อีกทั้งยังสามารถต่อต้านผู้ฝึกตนระดับหยวนหยินถึงแปดคนได้อย่างไม่ยากลำบาก เช่นนั้นเราจึงคิดว่าความสามารถของเจ้านั้นเทียบเท่ากับผู้ฝึกตนระดับหยวนหยิน เช่นนี้ข้าจึงคิดว่าการหาอาจารย์ที่อยู่ในระดับเฟินเสินก็คงจะเพียงพอสำหรับเจ้า แต่ในตอนนี้เจ้าเพียงคนเดียวสามารถจัดการผู้ฝึกตนระดับเฟินเสินได้ถึงสองคน อีกทั้งยังจับเป็นมาได้หนึ่งคน เช่นนั้นผู้ฝึกตนระดับเฟินเสินคนไหนจะมีใบหน้าหยาบกร้านมากพอจะเสนอตัวเป็นอาจารย์ให้กับเจ้าล่ะ?”
ซ่งจงไม่คิดว่าการที่เขาจับตัวนักบวชเต๋าปีศาจมาจะสร้างปัญหาให้กับเขามากมายเช่นนี้ เขาทำได้เพียงเผยรอยยิ้มจางๆพร้อมกล่าวว่า “แล้วข้าต้องทำอย่างไรงั้นหรือ?”
“ต้องทำอะไรน่ะเหรอ? ในกรณีเช่นนี้เจ้าอาจจะต้องมองหาอาจารย์ที่อยู่ในระดับเลือนจือ!” อาวุโสหงกล่าวออกมาอย่างมีอารมณ์ “แต่ผู้ฝึกตนระดับเลือนจือนั้นไม่สามารถพบเจอได้โดยง่ายดาย อีกทั้งในสำนักงานใหญ่เสวียนเทียนนั้นเขาเป็นผู้ฝึกตนประเภทน้ำ ซึ่งแน่นอนว่าเขาไม่สนใจเจ้า เหล่าอาวุโสเลือนจือคนอื่นๆเราก็ไม่รู้จักเขาเลย เช่นนี้มันน่ากดดันมากจริงๆ”
ซ่งจงได้ยินเช่นนั้นเขาละอายใจจนไม่อาจทนต่อไปได้ จากนั้นเขากล่าวออกมาว่า “ถ้าหากเป็นเช่นนั้น ลืมเรื่องนี้ไปเถิด! ข้าจะฝึกฝนด้วยตนเอง เรื่องของอาจารย์นั้นให้โชคชะตาได้พาไปแล้วกัน ข้าไม่สนใจแล้ว!”
“ฮ่าฮ่า เจ้าช่างใจร้อนเสียจริง อย่าเพิ่งถอดใจเลย แต่ลืมมันไปก่อนก็ได้!” มาดามหงกล่าวออกมา “แท้จริงแล้ว ข้าอยากจะบอกว่าในตอนนี้เจ้านั้นสำคัญต่อสำนักงานใหญ่เสวียนเทียนอย่างมาก อยากให้เจ้ารู้ไว้ว่าสหายคือใครและศัตรูคือใคร”
ซ่งจงได้ยินเช่นนั้น เขางุนงงทันทีพร้อมถามต่อ “มีสิ่งใดงั้นหรือ? สำนักเสวียนเทียนนั้นมีศัตรูเป็นผู้ใด?”
“อ่า….” มาดามหงสูดหายใจเข้าพร้อมกล่าวต่อ “ผู้คนมากมายอยู่รวมกัน ล้วนแต่เป็นสายน้ำแห่งมิตรภาพ แต่ทุกหนแห่งย่อมมีศัตรูอยู่ในนั้น ไม่ว่าที่ใดก็จะมีความคับแค้นในใจและที่แห่งนั้นจะมีศัตรู นี่คือความจริงที่ไม่อาจหลีกเลี่ยง”
“ศิษย์เข้าใจในเหตุผลนี้!” ซ่งจงรีบกล่าวต่อ “ท่านจงบอกมาเถิดว่าใครกันที่เป็นศัตรู?”
“เจ้าจงฟังให้ดี!” มาดามหงกล่าวต่ออย่างเคร่งขรึม “ประการแรก ข้าต้องบอกเรื่องราวเกี่ยวกับสำนักเสวียนเทียนให้เจ้าได้รู้เสียก่อน…”