Chaotic Lightning Cultivation โกลาหลแห่งอัสนีบาต - ตอนที่ 304.3
บทที่ 304: ศาลเจ้าที่ยิ่งใหญ่ทั้งเก้า (3)
ด้วยคำอธิบายของมาดามหงนั้นทำให้ซ่งจงเข้าใจรายละเอียดของสำนักงานใหญ่เสวียนเทียน เดิมทีนั้นมันต่างจากสำนักเสวียนเทียนอย่างมาก เพราะสำนักเสวียนเทียนนั้นจะมีประตูสองชั้นสำหรับด้านในและนอก แต่สำนักงานใหญ่เสวียนเทียนนั้นแบ่งออกถึงเก้าชั้นอย่างละเอียด อีกทั้งพวกเขายังมีการจัดการดูแลภายในแบบอิสระ มีเพียงชื่อของแต่ละศาลเท่านั้นที่ถูกตั้งไว้โดยผู้นำของพื้นที่นั้นๆ
อีกทั้งเหล่าศาลหลักต่างๆยังมีการปกครองที่เป็นอิสระจากสำนัก พวกเขาล้วนแต่มีโรงกลั่น โถงสำหรับเล่นแร่แปรธาตุ แม้แต่การบริหารธุรกิจในส่วนของพื้นที่ตนเองได้อย่างไร้ขีดจำกัด
โดยส่วนใหญ่แล้วในแต่ละศาลหลักจะมีความขัดแย้งกับกลุ่มอื่นอยู่บ้างเช่นกัน เมื่อพวกเขาขัดผลประโยชน์และไม่สามารถเจรจาต่อรองได้ ถึงความจริงพวกเขาจะไม่ตั้งใจจะเป็นปฏิปักษ์ แต่ด้วยเรื่องเช่นนี้จึงไม่อาจหลีกเลี่ยงการโต้เถียงได้เลย อีกทั้งถ้าหากสามารถร่วมเป็นมิตรสหายมีผลประโยชน์ร่วมกัน พวกเขาจะสนับสนุนและค้ำจูนกันอย่างราบรื่น
นอกจากนี้ตำแหน่งของผู้นำศาลหลักยังสามารถสืบทอดกันได้ ยกตัวอย่างเช่นศาลอัคคีในตอนนี้ที่ซ่งจงนั้นยืนอยู่ เป็นตระกูลหงที่ดูแลอยู่ ซึ่งผู้นำก็คืออาวุโสลุงหง อีกทั้งยังเต็มไปด้วยเหล่าสาวกอีกมากมายที่อยู่ภายในตระกูลนับร้อยชีวิต ศิษย์เหล่านี้ล้วนแต่เป็นผู้ที่ภักดีต่อตระกูลและอุทิศทุกสิ่งให้กับครอบครัวตนเอง เช่นนี้ศาลอัคคีจึงเป็นศูนย์รวมของตระกูลหงไปโดยปริยาย ทุกคนจะต้องช่วยกันดูแลมันอย่างเต็มกำลัง
ยังมีอีกสามตระกูลที่ร่วมดูแลด้วยกันก็คือตระกูลฮัว ซึ่งเป็นตระกูลของนักบวชฮัวอวิ๋น อีกทั้งตระกูลจางและตระกูลฉุ่ย!
ส่วนอื่นที่นอกเหนือจากนี้ก็จะอยู่ในศาลหลักอื่นๆและไม่ใช่มรดกของตระกูลอัคคี มันเป็นเพียงความสัมพันธ์แบบสาวกร่วมสำนักเท่านั้น พวกเขาไม่มีสัมพันธ์ทางสายเลือดหรือจำเป็นต้องรักษาความใกล้ชิดต่างๆไว้ ดังนั้นสำนักงานใหญ่เสวียนเทียนจึงแบ่งทุกตระกูลออกเป็นเก้าส่วนใหญ่ๆ ไม่ว่าจะแข็งแกร่งหรืออ่อนแอ ทุกคนก็จะต้องดูแลตระกูลของตนเองอย่างสุดความสามารถ ไม่ว่าจะยากจนหรือร่ำรวยก็อยู่ที่การจัดการภายในตระกูลตนเองเท่านั้น
สำนักงานใหญ่เสวียนเทียนนั้นมีประวัติศาสตร์ที่ยาวนานกว่าแสนปี หลายปีที่ผ่านมาผลงานของพวกเขาชัดเจนในเรื่องของความแข็งแกร่ง อีกทั้งยังมีชื่อเสียงอย่างมากเมื่อออกไปสู่โลกภายนอก การขัดแย้งเล็กน้อยภายในสำนักนั้นถือได้ว่าไม่มากนักแต่ก็เป็นอุปสรรคในการติดต่อเจรจา บรรยากาศภายในสำนักเสวียนเทียนนั้นคล้ายคลึงกันแทบจะทุกหนแห่ง เสาทุกเสาของพวกเขาเป็นหินอ่อนเรียงรายไปทั่วบริเวณ แม้ว่าจะไม่เหมือนกันสักทีเดียว แต่ก็นับว่ามีความคล้ายคลึงกันอย่างมาก
แต่ในเร็วๆนี้กระแสภายในสำนักได้เปลี่ยนไปอย่างมาก นั่นเป็นเพราะชื่อเสียงของซ่งจง หลังจากที่นักบวชฮัวอวิ๋นกลับมายังสำนัก เขาถูกตัดแขนโดยอาวุโสทันทีเนื่องจากความโกรธแค้น ความสัมพันธ์ของตระกูลหงและตระกูลฮัวนั้นต่างเคยสนิทสนมอย่างมาก แต่ตอนนี้ทั้งสองแตกหักออกจากกันโดยสิ้นเชิง ทั้งสองฝ่ายในตอนนี้ต่างไม่ลงรอยกันและคอยหาเรื่องกันอยู่เสมอ
ตระกูลหงนั้นไม่พอใจที่ตระกูลฮัวทำกับศิษย์ร่วมสำนักเช่นนี้ แต่ตระกูลฮัวนั้นไร้เหตุผลอย่างมาก พวกเขากล่าวว่าตระกูลหงนั้นโหดเหี้ยม อีกทั้งยังเอาแขนของนักบวชฮัวอวิ๋นไปทำลายอย่างไร้ความเมตตาต่อสหายร่วมสำนัก
ความจริงแล้วอาวุโสหงและนักบวชฮัวอวิ๋นนั้นความแข็งแกร่งไล่เลี่ยกันมาเนิ่นนาน แต่ทว่าหลังจากที่อาวุโสหงออกจากการฝึกฝนแบบปิดครั้งล่าสุด เขาพัฒนาไปไกลมาก ซึ่งเขาลืมในจุดนี้ไปเสียสนิท เช่นนั้นเมื่อออกมาเขาจึงกลายเป็นพายุที่พัดกระหน่ำนักบวชฮัวอวิ๋นอย่างรุนแรง ซึ่งพายุอารมนั้นได้สร้างโศกนาฏกรรมอย่างช่วยไม่ได้ ด้วยความโกรธแค้นเช่นนั้น ความเป็นมิตรสหายยาวนานกว่าหลายร้อยปีได้ถูกทำลายลง แล้วเรื่องอะไรที่อาวุโสหงจะต้องคืนแขนให้กับนักบวชฮัวอวิ๋น?
อย่างไรก็ตามแม้ว่าเรื่องนี้จะสร้างความเข้าใจผิดในสองตระกูลอย่างมาก แต่อาวุโสหงก็ไม่คิดจะอธิบายหรือแก้ตัวใดๆ ในฐานะที่เขาเปรียบเสมือนกับบิดาของผู้ให้กำเนิดซ่งจง เขาดูแลสาวกผู้นั้นมายาวนานกว่าร้อยปี เช่นนั้นเขาจะไม่มีสิทธิ์โกรธแค้นงั้นหรือ? ดังนั้นเมื่อเขาได้รับรู้เรื่องราวทั้งหมด เขาไม่รีรอให้ผู้ใดอธิบายเพิ่มเติม อาวุโสหงลงมือจัดการกับนักบวชฮัวอวิ๋นทันที
หลังจากที่มาดามหงกล่าวอธิบายสถานการณ์ในตอนนี้โดยสังเขป นางเดินออกไปด้านหน้าเล็กน้อยพร้อมกล่าวต่อ “เด็กน้อยเอ๋ย สถานการณ์ในสำนักตอนนี้มันซับซ้อนเกินกว่าจะเข้าใจได้ แต่หนทางของเจ้านั้นยังไปได้อีกไกลนัก อีกทั้งทุกสิ่งยังบอกว่าเจ้าจะต้องอยู่ที่นี่ ตระกูลหงนั้นแน่นอนว่าเป็นครอบครัวของเจ้าอย่างแท้จริง แม้ว่าตระกูลฮัวจะเป็นศัตรูกับเจ้า แต่พวกเราหาได้สนใจเรื่องนั้นไม่ ในตอนนี้พวกเราก็ไม่ได้สนใจพวกเขาเช่นกัน เจ้าไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับศาลหลักอื่นๆที่มีปัญหากับเจ้าแม้แต่น้อย เอาล่ะ ในสถานที่แห่งนี้มีห้องโถงหลักอยู่สองแห่ง และในอนาคตเจ้าจะต้องใช้มัน”
“มันคือห้องอะไร?” ซ่งจงรีบถาม
“สถานที่แรกนั้นเป็นห้องโถงสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งเหมาะกับผู้ฝึกตนประเภทสายฟ้า ภายในนั้นมีทักษะการฝึกฝนสายฟ้าทุกรูปแบบของสำนักเสวียนเทียน เจ้าเป็นผู้ฝึกตนประเภทสายฟ้า ถ้าหากต้องการเรียนรู้ทักษะใหม่ๆ แน่นอนว่ามันเหมาะกับเจ้ามาก” มาดามหงกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม “บุคคลที่รับผิดชอบดูแลหนังสือเหล่านั้นและเหมาะที่จะเป็นอาจารย์ของเจ้าได้นั้นมีความสัมพันธ์ที่ดีกับพวกเรา และพวกข้าได้จัดการเรื่องนี้ให้เจ้าแล้ว!”
ซ่งจงนั้นรู้ว่าสามีภรรยาทั้งสองคนนี้นั้นพยายามที่จะรักษาชื่อเสียงของเขาเอาไว้ อีกทั้งยังเป็นห่วงเป็นใยเขาอย่างมาก เช่นนั้นเขาไม่กล้าที่จะละเลยพร้อมแสดงการขอบคุณทันที “ศิษย์ขอขอบคุณมาดามอย่างมาก!”
“ทำตัวสบายๆเถิดเด็กน้อย เราเป็นครอบครัวเดียวกัน เจ้าไม่ต้องสุภาพเช่นนั้นก็ได้!” มาดามหงกล่าวต่อ “ในส่วนของสถานที่อีกแห่งนั้น เจ้าจะต้องใส่ใจกับมันมากเป็นพิเศษ นั้นคือราชวังเหมยฮวา อย่ามองว่าประชากรของสถานที่นั้นมีเพียงหยิบมือ แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้แข็งแกร่งเท่าใดนัก แต่อิทธิพลนั้นกว้างขวางและแข็งแกร่งอย่างยิ่ง สำนักเสวียนเทียนนั้นให้ความสำคัญกับพวกเขาอย่างมาก ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นการที่เขาไม่ขุ่นเคืองเจ้าจะเป็นเรื่องที่ดีที่สุด!”
ซ่งจงได้ยินเช่นนั้น อดไม่ได้ที่จะร้องออกมา “ไม่สามารถทำได้เลยงั้นหรือ? พวกเขามีสถานะที่สูงกว่าศาลหลักหรือไม่?”
“ฮี่ฮี่ แน่นอนว่าไม่ แต่มันก็มากพอ!” มาดามหงเผยรอยยิ้มออกมาพร้อมกล่าวต่อ “เหตุผลนั่นเพราะราชวังเหมยฮวานั้นถูกปกครองด้วยเทพธิดาเหมยฮวาที่สามารถทำนายทุกสิ่งอย่างได้ ดังนั้นเมื่อพวกเราจำเป็นต้องดำเนินการพิธีศักดิ์สิทธิ์ใดๆ เราจะเป็นต้องให้นางช่วยทำนายบางอย่างให้ ในตอนนี้เจ้านั้นมีความสัมพันธ์กับฉุ่ยจิ้งนับว่าเยี่ยมมาก ซึ่งนางคือทายาทเพียงคนเดียวของเทพธิดาเหมยฮวา!”
“อะไรนะ?” ซ่งจงได้ยินเช่นนั้น เขาร้องออกมาอย่างตื่นเต้น “เทพธิดาเหมยฮวานั้นเป็นอาจารย์ของฉุ่ยจิ้งไม่ใช่หรือ? เหตุใดนางจึงกลายเป็นผู้นำราชวังเหมยฮวาได้”
“ฮ่าฮ่า เด็กโง่เอ๋ย แล้วใครบอกเจ้าว่าเทพธิดาเหมยฮวาไม่ใช่ผู้นำของราชวังเหมยฮวา?” มาดามหงกล่าวออกมาอย่างเอ็นดู
“หืม?” ซ่งจงได้ยินเช่นนั้น เขายังไม่เลิกสงสัย “ก็เมื่อครู่ท่านกล่าวไว้ว่าผู้นำของสถานที่ต่างๆนั้นต้องอยู่ในระดับเฟินเสินไม่ใช่หรือ?”
“เป็นเงื่อนไขของศาลอื่นๆที่ต้องเป็นเช่นนั้น อย่างไรก็ตามสถานการณ์ของราชวังเหมยฮวานั้นพิเศษกว่า เพราะว่ามันเป็นลิขิตแห่งสวรรค์ วิชาที่พวกเขาฝึกฝนนั้นไม่ใช่ว่าจะหาผู้ใครมาก็ได้ สิ่งนี้ทำให้พวกเขาไม่มีผู้ฝึกตนระดับเฟินเสินมาเป็นผู้นำ เทพธิดาเหมยฮวาจึงจำเป็นจะต้องรับหน้าที่นี้แม้ว่าอยู่ในระดับหยวนหยินเท่านั้น” มาดามหงตอบกลับ
“เป็นเช่นนั้นน่ะเอง” ซ่งจงขมวดคิ้วพร้อมกล่าวต่อ “แต่ศิษย์ยังไม่เข้าใจ ทำไมเทพธิดาเหมยฮวาจึงไม่ได้นั่งอยู่ในสถานที่แห่งนี้เพื่อออกคำสั่ง แต่ทว่ากลับไปอยู่ในสำนักเสวียนเทียนสาขาย่อยแทน?”
“อ่า เรื่องนั้นมันยาวน่ะ” มาดามหงถอนหายใจออกมาพร้อมกล่าวต่อ “มันเป็นความลับอย่างมาก และข้าไม่ควรที่จะบอกใครตามอำเภอใจน่ะ อย่างไรก็ตามข้ารู้ดีว่าเจ้านั้นเป็นคนที่ปากหนักและเก็บความลับได้ ข้าคิดว่าบางทีหลังจากที่เจ้ารู้แล้วอาจจะแก้ไขวิกฤติบางอย่างได้เช่นกัน ดังนั้นข้าจะบอกกล่าวกับเจ้า แต่ทุกอย่างเป็นความลับห้ามเจ้าปากสว่างเด็ดขาดนะเด็กน้อยเอ๋ย!”
“ศิษย์ผู้นี้ชัดเจนเสมอและจำปฏิบัติตาม!” ซ่งจงกล่าวออกมาด้วยโทนเสียงที่เคร่งเครียด
“ยอดเยี่ยม!” มาดามหงพยักหน้ารับพร้อมกล่าวต่อ “อืม เรื่องราวพวกนี้มันช่างโศกเศร้าอย่างมาก ว่ากันว่าเป็นเรื่องราวที่เลวร้าย!”
หลังจากนั้นมาดามหงได้เล่าเรื่องราวทั้งหมดให้กับซ่งจงฟัง
เดิมทีเมื่อหลายร้อยปีก่อนเมื่อครั้งเทพธิดาเหมยฮวายังเยาว์ นางเป็นหญิงสาวที่เต็มไปด้วยความงดงามและอยู่ที่สำนักเสวียนเทียน รูปลักษณ์ที่สวยงามของนางนั้นเป็นที่ดึงดูดบุรุษมากมายที่มีศักยภาพและรูปงาม สุดท้ายแล้วฉัจริยะแห่งตระกูลฟางกลายเป็นคนรักของเทพธิดาเหมยฮวา เขาเพียงคนเดียวที่ได้ครอบครองหัวใจของนาง
อย่างไรก็ตามวิชาเทวะจันทราวารีที่นางฝึกฝนทำให้นางไม่อาจมีคู่ครองได้ นางจำเป็นจะต้องครองความบริสุทธิ์ไว้ตลอดชั่วชีวิต แต่โชคดีที่บุรุษผู้นั้นเต็มไปด้วยหัวใจแห่งความมั่นคง เขาเป็นผู้ฝึกตนที่เดินตามเส้นทางของสวรรค์อย่างแท้จริง แม้ว่าพวกเขาทั้งสองจะอยู่ด้วยกันแต่ก็ไม่เคยล้ำเส้นใดๆ ความสัมพันธ์ของทั้งคู่นั้นบริสุทธิ์อย่างมาก ทั้งสองเคารพกันและกันเสมอมา
แต่สุดท้ายแล้วโชคชะตาก็นับว่าเป็นสิ่งที่เข้าใจได้ยาก ทั้งสองจำเป็นจะต้องแยกจาก เรื่องมันเกิดขึ้นเมื่อร้อยปีที่ผ่านมา ในเวลานั้นเทพธิดาเหมยฮวานั้นอยู่ในระดับหยวนหยิน จำเป็นจะต้องเป็นผู้นำในสาขาเสวียนเทียนที่กำลังจะเกิดขึ้นมาใหม่ ในตอนแรกนางไม่ต้องการที่จะแยกจากกับคนรักของตนเอง แต่ทว่าทุกอย่างเป็นภารกิจที่จะต้องจัดการและนางถูกเลือก ในตอนนั้นยังมีข้าทั้งสองและนักบวชฮัวอวิ๋นด้วยเช่นกัน
แต่น้องสาวของนักบวชฮัวอวิ๋น นั่นคือฮัวชิงหยุนนั้นได้เป็นผู้นำแห่งหอเฉวียนจี้นานแล้ว ซึ่งนางเป็นเพื่อนเล่นกับเทพธิดาเหมยฮวาเสมอมานับตั้งแต่จำความได้ หลังจากที่โตขึ้นไม่มีใครคาดคิดว่าฮัวชิงหยุนจะหลงรักบุรุษของสหาย
นางคิดว่าเทพธิดาเหมยฮวานั้นไม่มีสิทธิ์ที่จะมีคู่ครองได้และไม่สามารถทำให้บุรุษผู้นั้นมีความสุขได้อย่างแท้จริง นางพยายามเข้าไปเกลี้ยกล่อมเขาอยู่หลายครั้ง ก็ไม่มีครั้งใดเลยที่จะสำเร็จ ความรักที่ทั้งสองมีต่อกันนั้นมากเกินกว่าจะมีอะไรมาแทรก เช่นนี้ฮัวชิงหยุนจึงหงุดหงิดมาก นางโกรธจนไม่สามารถควบคุมตนเองได้ สุดท้ายนางไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากใช้ยาอายุวัฒนะที่ยอดเยี่ยมที่สุดในการจัดการกับเขา!
ฮัวชิงหยุนนั้นคิดแต่ว่าเมื่อบุรุษผู้นี้ยอมหลับนอนกับนาง สุดท้ายแล้วเขาจะกลายเป็นคู่ชีวิตของตนเอง แต่เมื่อเขาตื่นขึ้นมา ทุกอย่างพลิกผัน เขาตบฮัวชิงหยุนพร้อมกับจากไปโดยไม่กล่าวคำลาใดๆ เขาจากไปอย่างไร้ร่องรอยไม่แม้แต่จะเอ่ยคำลากับเทพธิดาเหมยฮวา เพราะว่าเขานั้นละอายใจอย่างแท้จริง
ฮัวชิงหยุนนั้นรู้ตัวแล้วว่าได้สร้างปัญญาใหญ่ขึ้น นางจึงรีบใช้ค่ายกลพิเศษเพื่อปกปิดไม่ให้เทพธิดาเหมยฮวารับรู้ความจริง ทำให้การทำนายของนางผิดพลาดและไม่สามารถรับรู้สิ่งที่เกิดขึ้นได้ จากนั้นนางได้ออกเดินทางไปในเส้นทางของตนเองเงียบๆและจากนั้นให้กำเนิดบุตรสาวนามว่าฮัวเฉวียนหวู่
เทพธิดาเหมยฮวานั้นสูญเสียคนรักของตนเองไป นางไม่คิดจะไปที่อื่นนอกจากรอคอยเขาอยู่ที่นี่ เพื่อหวังว่าสักวันเขาจะกลับมาอีกครั้ง ซึ่งผลก็คือผ่านมาแล้วกว่าร้อยปีก็ยังไร้ข่าวใดๆของเขาผู้นั้น
แต่ในขณะนั้นฮัวเฉียนหวู่นั้นต้องกลายเป็นบุตรของฮัวอวิ๋น เพราะว่าฮัวชิงหยุนนั้นไม่ได้แต่งงานกับผู้ใด อีกทั้งยังรู้เห็นเรื่องฮัวเฉียนหวู่ใช้ตาเฒ่าเฟิงเพื่อสังหารครอบครัวของซ่งจง เช่นนี้ภัยพิบัติขนาดใหญ่จึงได้เกิดขึ้น
จากนั้นมาดามหงถอนหายใจอย่างหนัก “สุดท้ายแล้วเทพธิดาเหมยฮวาได้รับรู้ความจริงทุกอย่าง เช่นนั้นทำให้นางโกรธมากและต้องการสั่งสอนฮัวชิงหยุนด้วยตนเอง แต่ด้วยสถานะของนางไม่อาจทำเช่นนั้นได้ นางจึงยืมมือของเจ้าเพื่อจัดการกับหอเฉวียนจี้ แต่ทุกอย่างนั้นบานปลายเป็นเรื่องใหญ่อย่างมาก หลังจากที่เรื่องราวเช่นนั้นเกิดขึ้น นางเกลียดตระกูลฮัวเข้ากระดูกดำและยุติสัมพันธ์ทั้งหมด ในตอนนี้ใบหน้าของตระกูลฮัวภายในสำนักเสวียนเทียนแทบจะไม่เหลือความน่าเชื่อถือใดอีกต่อไป ตระกูลของพวกเขากลายเป็นตัวตลกให้ผู้คนหัวเราะเยาะ!”
“ไม่คิดเลยว่าเรื่องราวจะซับซ้อนมากเพียงนี้” ซ่งจงพ่นลมหายใจออกมายาวเหยียดพร้อมกล่าวต่อด้วยใบหน้าเรียบเฉย “เหตุการณ์เช่นนี้ได้เกิดขึ้นแล้ว แต่แหตุใดตระกูลฮัวยังมีใบหน้าที่จะมาขัดขวางการกลับมาของข้าอีก! อีกทั้งฮัวเฉียนหวู่นั้นก็เป็นส่วนหนึ่งในการทำลายชื่อเสียงของตระกูลเองไม่ใช่หรือ? แม้ว่าในตอนนี้พวกเขาจะไม่ยั่วยุอะไรข้าโดยตรง แต่ถ้าหากพวกเขากล้า แน่นอนว่าข้าก็คงจะไม่มีความเมตตาอะไรทั้งนั้น!”
“ฮ่าฮ่า ข้ารู้ว่าเจ้าทำได้แน่นอน ดังนั้นข้าจึงต้องการให้เจ้ารักษาสัมพันธ์กับเทพธิดาเหมยฮวาไว้ให้ดี” มาดามหงกล่าวต่อ “ฉุ่ยจิ้งนั้นจะเป็นสหายที่ยอดเยี่ยม เทพธิดาเหมยฮวานั้นรักฉุ่ยจิ้งมากและนางจะมองดูเจ้าอยู่เสมอ ในตอนนี้สถานะของนางกับตระกูลฮัวนั้นเปรียบได้เช่นน้ำกับไฟ ดังนั้นเจ้าสามารถขอความช่วยเหลือจากนางได้อย่างแน่นอน!”
“เรื่องนั้น…” ซ่งงกล่าวออกมาจากนั้นเขาหยุด แม้ว่าเขาต้องการจะพูดออกไปเช่นนั้น แต่เขาก็ไม่กล้าที่จะแสดงความไม่ไว้วางใจ ด้วยความสามารถของเขาในปัจจุบันแม้ว่าจะต้องพบเจอกับผู้นำของตระกูลฮัว เขาก็ไม่เกรงกลัวอะไร แล้วเขาจะต้องมองหาที่หลบภัยเพื่ออะไรกัน?
มาดามหงเข้าใจในสิ่งที่ซ่งจงกำลังครุ่นคิดอยู่ภายในใจ นางกล่าวออกมาอย่างอ่อนโยน “เด็กน้อย อย่าดื้อรั้นไปหน่อยเลย! ข้าจะบอกเจ้าว่าอย่าได้คิดว่าผู้นำของตระกูลฮัวนั้นอยู่ในระดับเฟินเสิน ยังมีตระกูลอื่นๆอีกมากที่พวกเขามีความสัมพันธ์กัน พวกเขาพร้อมจะเล่นกับเจ้าเสมอถ้าหากมีเรื่องวุ่นวายเกิดขึ้น เช่นนั้นถ้าหากเจ้านั้นมีเทพธิดาเหมยฮวา เจ้าไม่ต้องเกรงกลัวว่าผู้ใดจะสามารถเข้ามาสร้างความวุ่นวายให้กับเจ้าได้เลย!”
ซ่งจงได้ยินเช่นนั้น เขารู้สึกแปลกใจเล็กน้อย “แต่ตระกูลฮัวนั้นแข็งแกร่งอย่างมาก เทพธิดาเหมยฮวาสามารถปกป้องข้าได้งั้นหรือ?”
“แน่นอนว่าย่อมได้!” มาดามหงกล่าวออกมาอย่างรวดเร็ว “ราชวังเหมยฮวานั้นตั้งอยู่ในสำนักเสวียนเทียน แม้ว่าพวกนางจะไม่มีตระกูลเพื่อสืบทอดสายเลือด แต่ทว่าพวกเขามีการสืบทอดของวิชา เป็นสายสัมพันธ์ของอาจารย์และสาวก สิ่งที่พิเศษเช่นนี้นั้นสำคัญต่อสำนักเสวียนเทียนอย่างมาก ใครก็ตามที่กล้าจะยั่วยุพวกนาง แน่นอนว่าจะกลายเป็นศัตรูต่อผู้อื่นโดยรอบไปอย่างง่ายดาย แม้แต่ตระกูลฮัวก็ยังไม่กล้าที่จะมีปัญหากับเทพธิดาเหมยฮวา!”