Complete Martial Arts Attributes – คุณสมบัติแห่งนักสู้ - ตอนที่ 101
บทที่ 101: หนูน่าเกลียดจริงๆ!
ทวีปซินหวี่!
การแสดงออกของหวังเต็งเปลี่ยนไปเล็กน้อย นับตั้งแต่เขากลายเป็นนักสู้ เขาก็รู้ว่าเขาจะต้องไปที่ทวีปซินหรูไม่ช้าก็เร็ว
ผมจะพิจารณาอย่างรอบคอบ เขาตอบฝีเทียนเต่
ตกลง ฉันหวังว่าเธอจะยังอยู่ในตงไห่นะ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลทางธุรกิจหรือเรื่องส่วนตัวตงไห่ก็ยังต้องการนักสู้ที่แข็งแกร่งกว่านี้! สู่เทียนเต๋กล่าวต่อ
หวังเต็งพยักหน้า เขาไม่ได้ให้คําตอบในทันที
ฝูเทียนเต่ไม่ได้พูดอะไรต่อไปเมื่อเขาเห็นปฏิกิริยาของหวังเต็ง เขายืนขึ้นและพูดว่า หลังจากการสมัครจบลงเธอก็จะมีเวลามากกว่าหนึ่งเดือนก่อนที่เธอจะเปิดเรียน ฉันจะช่วยเธอในการค้นหาทีมนักสู้ขนาดเล็กในสถาบันสอนศิลปะการต่อสู้จากนั้นเธอก็จะสามารถเข้าร่วมมันได้ในภายหลังและมุ่งหน้าไปยังทวีปซินหวี่
เร็วขนาดนั้นเลยหรอ! หวังเต็งรู้สึกประหลาดใจ
ไม่มีเวลาให้เสียเวลาบนเส้นทางแห่งศิลปะการต่อสู้ หากเธอก้าวเร็วขึ้น เธอก็จะสามารถนําหน้าคนอื่นได้หลายก้าวเธอไม่ต้องการที่จะขยายระยะห่างระหว่างคนอื่นอย่างงั้นหรอ? ผู้เทียนเต่ยิ้มและถาม
เห็นได้ชัดว่าคําพูดของฝูเทียนเต่นั้นถูกใจหวังเต็ง
ขยายระยะห่างระหว่างเขากับ
หวังเต็งเหวี่ยงคนไปข้างหลังเขาหลายคนแล้ว และนี่ก็เป็นเวลาที่ดี คนอื่นๆให้มากขึ้นไปอีก
นอกจากนี้ในฐานะที่เป็นคนขี้โกง มันก็จะน่าอายมากถ้าเขายังจะถูกคนอื่นแซงหน้า
ทวีปซินหวูเป็นสถานที่ที่อันตรายหรือเปล่า? หวังเฉินกั่วอดไม่ได้ที่จะถาม
ทันทีที่เขากลายเป็นนักสู้ อันตรายก็มักจะตามเขาไปเสมอ เขาจะไม่สามารถกําจัดมันได้เว้นแต่เขาจะอยู่ยงคงกระพัน และเมื่อถึงเวลานั้นมันก็จะไม่มีอันตรายอีกต่อไป
ฝูเทียนเต่มองไปที่หวังเฉินกั่ว เขาไม่ได้ปลอบใจหวังเฉินกั่ว แต่เขาเลือกที่จะเปิดเผยความจริงออกไป
หวังเฉินถั่วยังถามเขาต่อ อย่างนี้ถ้าเขายังไม่เป็นนักสู้ มันก็จะเป็นอันตรายต่อเขาใช่ไหม?
หวังเฉินกั่วนึกถึงประสบการณ์ล่าสุดของเขาในทันที ถ้าหวังเต็งไม่ใช่นักสู้ สถานการณ์ของเขาในตอนนี้ก็คงจะแย่กว่านี้ตระกูลหวังอาจจะต้องประสบกับวิกฤตครั้งใหญ่ในขณะนี้
อันตรายนั้นเป็นสิ่งที่สามารถพบเจอได้เสมอ
พวกเขาไม่เคยปลอดภัย!
ด้วยประสบการณ์ของเขา เขาก็เข้าใจตรรกะนี้โดยธรรมชาติ เขาทําได้เพียงถอนหายใจอย่างลับๆ
ก็ใช่ ไม่ต้องไปส่งฉันนะ
ฝเทียนเต่โบกมือและขับรถออกไป
หวังเฉินกั่วและหลี่ซิ่วเหม่ยก็เงียบลงในทันทีเมื่อเห็นฝูเทียนเต๋ออกไป มันเป็นเรื่องดีที่ลูกชายของพวกเขากลายเป็นนักสู้ อย่างไรก็ตาม พวกเขาก็ยังคงกังวลเกี่ยวกับอันตรายที่ลูกของพวกเขาต้องเผชิญ
พวกเขารู้สึกเหมือนพ่อแม่ที่ส่งลูกไปต่างประเทศ พวกเขาดีใจที่ลูกสามารถเข้ามหาวิทยาลัยดีๆได้แต่เมื่อลูกของพวกเขาจากไปพวกเขาก็จะแอบบ่นและคอยจี้จี้ และลับหลังพวกเขาก็จะแอบปาดน้ําตาอย่างลับๆ
บางทีนี่อาจจะเป็นเรื่องปกติของผู้ปกครอง
พ่อแม่ อย่ามองราวกับว่าลูกชายของพวกคุณเพิ่งตายไปสิ ผมยังมีชีวิตอยู่นะ หวังเด็งกล่าวด้วยน้ําเสียงที่ทําอะไรไม่ถูก
โธ่เอ๊ย ทําไมลูกถึงพูดอะไรที่มันเป็นลางร้ายอย่างงนี้เล่า หลี่ซิ่วเหม่ยกล่าว
หวังเป็นกั่วถอนหายใจยาว เขาพูดอย่างอารมณ์ดีว่า ลูกโตขึ้นแล้ว ลูกไม่เพียงแต่จะแข็งแกร่งขึ้นเท่านั้นแต่ลูกยังเป็นผู้ใหญ่มากขึ้นแล้วด้วย ลูกสามารถสงบสติอารมณ์ได้ต่อหน้าอาจารย์ใหญ่ของสถาบันสอนศิลปะการต่อสู้ทั้งสามแห่งลูกสามารถช่วยเหลือครอบครัวในยามวิกฤตได้ และทรัพย์สินของลูกก็มีมากกว่าพ่อแล้วดังนั้นในฐานะพ่อของลูกพ่อก็รู้แล้วว่ามันไม่มีอะไรต้องกังวลพ่อแค่หวังว่าลูกจะให้ความสําคัญกับชีวิตของลูกก่อนเสมอไม่ว่าลูกจะทําอะไรก็ตาม
ผมเข้าใจแล้วครับพ่อ หวังเต็งนั่งฟังอยู่เงียบๆ จากนั้นเขาก็ขยิบตาให้หวังเฉินกั่วและพูดว่า ยังไงก็ตามพ่อทําไมมันถึงฟังดูเหมือนว่าพ่อจะอิจฉาเล็กน้อยล่ะ?พ่ออิจฉาทรัพย์สินพันล้านของผมหรอ? อยากได้เงินไปใช้สักหน่อยไหมล่ะ?
ไอ้เด็กเหลือขอนี่! หวังเฉินถั่วยกขาขึ้นและเตะหวังเต็ง
เด็กโง่คนนี้
เขาหมายถึงอะไร อิจฉา? พ่อของแกอายุมากแล้วนะ ฉันก็มีอัตตาของฉันเหมือนกัน!
หวังเต็งหัวเราะและหลบการเตะ ผมไปก่อนแล้ว! เขาวิ่งออกไปจากประตู
คําพูดของฝูเทียนเต่นั้นทําให้หวังเต็งรู้สึกกดดัน เขาจําเป็นต้องปรับปรุงทุกอย่างที่เขาสามารถปรับปรุงได้ก่อนที่จะไปที่ทวีปซินหวี่
ณ สถาบันสอนศิลปะการต่อสู้จีซิน
ป้ายสีแดงแขวนอยู่เหนือทางเข้าหลัก
ยินดีต้อนรับหวังเต็ง ปราชญ์ชั้นยอดแห่งการสอบศิลปะการต่อสู้ของตงไร่สู่สถาบันสอนศิลปะการต่อสู้จีซินของเรา
หวังเต็งลงมาจากรถและยืนอยู่ที่ทางเข้าหลัก เขาจ้องมองไปที่ป้ายด้วยความงุนงง ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกอับอายอย่างไม่น่าเชื่อ
ฝูเทียนเต่เคลื่อนไหวเร็วมากจริงๆ เขาแค่ออกไปก่อนครึ่งชั่วโมงเท่านั้น แต่ป้ายเวรนี่ก็สามารถห้อยอยู่เหมือทางเข้าหลักได้แล้ว
หรือว่าเขาจะเตรียมมันไว้ล่วงหน้ากันนะ?
หวังเต็งรีบก้มศีรษะและแสร้งทําเป็นไม่เห็นอะไรเลย เขาคลานเข้าไปในรถของเขาและขับเข้าไปในสถาบันสอนศิลปะการต่อสู้
รถของเขาถูกพบเห็นบ่อยครั้งในสถานศึกษา นอกจากนี้ป้ายนี้ก็ยังแขวนอยู่ที่นั่น แม้แต่ยามก็ยังรู้ว่าเขาเป็นใครและปล่อยให้เขาเข้าไปโดยตรง
เมื่อรถขับเข้าไป ยามที่ยืนอยู่ข้างหลังก็เริ่มพูดคุยกัน นั่นคือปราชญ์ชั้นยอดแห่งการสอบศิลปะการต่อสู้ใช่ไหม? นั่นแหละเขา มันต้องเป็นเขาแน่ๆ ฉันได้ยินมาว่าอาจารย์ใหญ่ของเราถึงกับไปหาเขาเป็นการส่วนตัวก่อนที่อาจารย์ใหญ่จะคว้าเขากลับมาจากน้ํามือของไปเหลียงและเหล่ยติง ว้าว… หวังเต็งไม่รู้ว่ายามกําลังพูดถึงเขา หลังจากที่เขาจอดรถแล้วเขาก็มาถึงชั้นสามของอาคารฝึก
เขาสามารถเข้าไปในอาคารนักสู้ได้แล้ว แต่เขาก็ยังต้องการไปเยี่ยมอาคารฝึกเป็นครั้งสุดท้าย
ณ ชั้นสาม
ทันทีที่หวังเต็งขึ้นมา หลายคนก็จ้องมองมาที่เขา จากนั้นทั้งห้องก็เงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะได้ยินเสียงสนทนาที่แผ่วเบา หวังเต็ง! ปราชญ์ชั้นยอดแห่งการสอบศิลปะการต่อสู้! ฉันไม่นึกเลยว่ามันจะมีเสื้อซ่อนอยู่ในหมู่พวกเรา! …
จางเส้าหยางและเผิงไห่รู้จักหวังเต็ง ดังนั้นพวกเขาจึงรีบเข้าไปและเริ่มพูดคุยแสดงความประหลาดใจ
พวกเขาทั้งหมดเป็นศิษย์นักสู้มืออาชีพ แต่พวกเขาก็ยังคงดิ้นรนอยู่ในขั้นสูงเท่านั้น และพวกเขาก็ไม่รู้ด้วยว่าเมื่อไหร่พวกเขาถึงจะกลายเป็นนักสู้
อย่างไรก็ตาม หวังเต็งก็ได้กลายเป็นปราชญ์ชั้นยอดในการสอบศิลปะการต่อสู้ไปแล้ว เขาจะสามารถเลือกม หาวิทยาลัยชั้นนําอะไรก็ได้ทั้งในและนอกประเทศ เขาจะได้รับทรัพยากรจํานวนมากในอนาคตและมันก็จะเป็น เรื่องของเวลาเท่านั้นก่อนที่เขาจะเป็นนักสู้
อนาคตของเขาสดใส แต่พวกเขานั้นไม่แน่นอน
แค่คิดเรื่องนี้มันก็ทําให้พวกเขามีอารมณ์ที่ซับซ้อนแล้ว ความอิจฉาริษยาไม่เพียงพอที่จะบรรยายความรู้สึกของพวกเขาในตอนนี้
หวังเด็งพูดคุยกับคนที่เขาคุ้นเคย จากนั้นพวกเขาก็กลับไปฝึกต่อ
ในตอนแรกพวกเขาคิดว่าทุกคนนั้นอยู่ในระดับเดียวกัน แต่หลังจากที่เห็นหวังเต็งลอยขึ้นไปบนฟ้าพวกเขาก็ไม่กล้าที่จะชักช้อีต่อไปแล้วพวกเขาจะต้องพยายามอย่างหนักในการฝึกฝนเพื่อไม่ให้อยู่ล้าหลังคนอื่นๆไปมากกว่านี้
นอกจากนี้ หวังเต็งก็ยังคงฝึกฝนอย่างหนักเช่นกันแม้ว่าเขาจะกลายเป็นปราชญ์ชั้นยอดไปแล้ว!อย่างนี้แล้วพวกเขาจะมัวอยู่เฉยได้อย่างไรกัน? เห้อ! หวังเต็งถอนหายใจดังๆแล้วแสร้งทําเป็นฝึกซ้อมในความเป็นจริงเขากําลังเก็บฟองสบู่ค่าคุณสมบัติ
ความแข็งแกร่ง*3
ความเร็ว*2
ความรู้แจ้ง*0.2
เวลาหายไปในพริบตาและไม่นานก็ค่ํา
ในที่สุดความรู้แจ้งของหวังเต็งก็มาถึง 100 คะแนน!
แถบค่าความรู้แจ้งเปลี่ยนไปอย่างช้าๆ
ความรู้แจ้ง: อาณาจักรแห่งจิตวิญญาณ (0/100)
ในเวลาเดียวกัน หวังเต็งก็สามารถสัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงในใจของเขา เขารู้สึกว่าความเข้าใจในคัมภีร์ทักษะและเทคนิคการต่อสู้ต่างๆ ของเขานั้นดีขึ้นมาก
เขาจ้องไปที่หน้าต่างค่าคุณสมบัติของเขา จากนั้นเขาก็สังเกตเห็นว่าแถบคัมภีร์และเทคนิการต่อสู้ของเขานั้นมีคะแนนเพิ่มขึ้นมาสองสามคะแนน
คัมภีร์: คัมภีร์เพลิงแดง (รากฐาน 35/100), คัมภีร์เหมันเร้นลับ (รากฐาน 25/100), ทักษะดินโล่ปฐพี (รากฐาน 29/100)
เทคนิคการต่อสู้: เทคนิคการต่อสู้ขั้นพื้นฐาน (หมัด ดาบ มีด ฟุตเวิร์ค กระบองขั้นผู้รู้แจ้ง)ทักษะธนูขั้นพื้นฐาน (พื้นฐาน) ปืนกังฟู (พื้นฐาน 3/10) ทักษะดาบเพลิงคิริน (พื้นฐาน 59/100) หมัดปีศาจเหมันต์พื้นฐาน 31/100)
มันมีเพียงปืนกังฟูของเขาเท่านั้นที่เพิ่มขึ้นมาหนึ่งจคะแนน นอกนั้นก็จะเพิ่มขึ้นมาอย่งน้อยสองคะแนน
อาณาจักรแห่งจิตวิญญาณ!อาณาจักร! หวังเต็งตกอยู่ในภวังค์
เขาพยายามหเก็บฟองสบู่ค่าความรู้แจ้งขึ้นมาอีกครั้ง แต่เขาก็ตระหนักได้ว่าพวกมันไม่มีผลกระทบต่ออาณาจักรแห่งจิตวิญญาณของเขาแต่อย่างใด
หวังเต็งออกจากสถาบันสอนศิลปะการต่อสู้หลังจากบรรลุเป้าหมายของเขา
ตามที่คาดไว้ หลังจากครบ 100 คะแนน ค่าความรู้แจ้งของเขาก็เปิดการเปลี่ยนแปลง สิ่งนี้ทําให้หวังเต็งรู้สึกสงสัยว่าหากเข้าใจความรู้แจ้งอาณาจักรแห่งจิตวิญญาณในตอนนี้ ผลการฝึกของเขามันก็จะเป็นยังบ้าง
เขารู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย
เขาตั้งตารอค่าคุณสมบัติพลังวิญญาณของเขาซึ่งกําลังจะแตะ 100 เช่นกัน เขาต้องการไปให้ถึงโดยเร็วที่สุด
น่าเสียดายที่เขายังทําไม่ได้ในตอนนี้
หวังเต็งกลับไปที่บ้านของเขา เมื่อเขาไปถึงทางเข้าเขตที่อยู่อาศัย เขาก็เห็นธงสีแดงเด่นอีกอันแขวนอยู่เหนือประตู ขอแสดงความยินดีกับผู้อาศัยในเขตของเรา หวังเต็ง สําหรับการเป็นปราชญ์ชั้นยอดแห่งการสอบศิลปะการต่อสู้! เขาปิดหน้าของเขาอย่างควบคุมไม่ได้ทําไมสิ่งนี้ถึงมีอยู่ทุกที่กัน!
หวังเต็งไม่รู้ว่าข่าวที่เขาได้กลายเป็นปราชญ์ชั้นยอดแห่งการสอบศิลปะการต่อสู้นั้นได้แพร่กระจายไปทั่วทุกซอกมุมของตงไห่แล้ว มันไม่เพียงเท่านั้น เขายังคงถูกหยิบยกให้เป็นตัวละครที่ควรเอาเป็นแบบอย่าง
ขณะที่เขาเตรียมจะออกจากรถ เขาก็เห็นร่างเล็กๆที่ป้อมยามกําลังพูดคุยกับเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย
ร่างนั้นดูแปลกมาก ร่างนั้นถูกปกคลุมด้วยเสื้อผ้าอย่างมิดชิดและสวมหมวกเบสบอล หมวกได้ปิดบังใบหน้าของร่างนั้นจนไม่สามารถเห็นใบหน้าได้ มันเหลือเพียงดวงตาคู่หนึ่งเท่านั้นที่สว่างไสวและถูกเผยให้เห็น
เนื่องจากวันนี้อากาศร้อน ดังนั้นมันจึงดูแปลกมากที่จะมีคนแต่งตัวแบบนี้
เขาได้ยินการสนทนาของพวกเขาอย่างแผ่วเบา คุณกําลังจะบอกว่าคุณมาที่นี่เพื่อตามหาใครสักคนอย่างงั้นหรอ? แต่ในเมื่อคุณแต่งตัวแบบบนี้ เราก็ไม่สามารถให้คุณเข้าไปได้หรอกนะ เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยขมวดคิ้วและพูด ฉันกําลังมองหาหวังเต็ง! เสียงของคนแปลกหน้านั้นฟังดูคุ้นเคยเป็นอย่างมากมันนุ่มและโปร่งสบาย หึมปราชญ์ชั้นยอดแห่งการสอบศิลปะการต่อสู้ใช่ไหม? หลายคนก็กําลังมองหาเขาในตอนนี้แล้วคุณคิดว่าเราให้ทุกคนเช้ไปพบเขาไหม? เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยตอบอย่างไม่ใส่ใจ แต่ฉันรู้จักเขานะ ร่างนั้นพูด ทุกคนที่มาที่นี่ก็พูดแบบเดียวกันนี่แหละเราไม่รู้หรอกนะว่าใครพูดความจริงเอาล่ะไปได้แล้วอย่ามารบกวนงานของเรา ในที่สุดเจ้หน้าที่รักษาความปลอดภัยก็เริ่มไล่คนคนนั้นออกไป
หวังเต็งขับรถเข้าไปใกล้และลดกระจกรถลง เขาลองเสี่ยงโชค ชั่วเซีย! พี่เขย! ร่างนั้นพูดออกมาอย่างเบาๆ
มันมีความประหลาดใจในน้ําเสียงของเธอ เธอดูเหมือนจะถอนหายใจด้วยความโล่งอกแต่มันก็ดูจะไม่ใช่ในเวลาเดียวกัน นายน้อยหวัง! เมื่อยามเห็นหวังเต็งเขาก็อุทานอย่างตกใจคนแปลกหน้าคนนี้รู้จักหวังตั้งจริงๆด้วยและคนๆนี้ก็ถึงกับเรียกเขาว่าพี่เขย เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยสบตากัน หนึ่งในนั้นรีบพูดว่า เราไม่รู้… ทันทีที่เขาจะพูดจบหวังเต็งก็โบกมือและตอบว่า ไม่เป็นไรมันเป็นหน้าที่ของคุณอยู่แล้วเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยรู้สึกโล่งใจในทันทีพวกเขายิ้มและกล่าวว่า ขอยินดีด้วยที่คุณได้เป็นปราชญ์ชั้นยอดแห่งการสอบศิลปะการต่อสู้! ขอบคุณ! หวังเต็งขอบคุณพวกเขาและถามหลินซัวเซียว่า ทําไมเธอถึงได้หนีออกมาคนเดียวกัน… ลืมมันไปเถอะขึ้นรถก่อน หลินซัวเซียขึ้นไปบนรถ จากนั้นเจ้าหน้ารักษาความปลอดภัยก็ปล่อยให้พวกเขาเข้าไปในทันที
หวังเต็งถามขณะขับที่รถเข้าไปในเขตบ้านพัก บอกฉันมาทําไมเธอถึงมาที่นี่? หลินซัวเซียขมวดคิ้วบางๆของเธอและพูดว่า ฉันรู้สึกว่าอากาศรอบตัวของฉันมันเริ่มเหนียวและอึดอัดอีกครั้งฉันอยากจะพบพี่… อืมตอนนี้ฉันรู้สึกสบายใจขึ้นแล้ว หวังเต็งหัวเราะในใจ
ในตอนนี้เขาก็ได้เก็บฟองสบู่ที่ลอยอยู่รอบๆหลินซัวเซียขึ้นมาแล้ว
ร่างปีศาจดอกบัวพิษ*10
พลังฟอร์สธาตุพิษ*7
หลินซัวเซียมองไปที่หวังเต็งด้วยดวงตาที่สดใสของเธอ
หวังเต็งไม่ได้พูดอะไรเพิ่มเติม เขาถามว่า พี่สาวของเธอรู้หรือเปล่าว่าเธอมาหาฉัน เธอไม่รู้ หลินซัวเซียกล่าวอย่างเฉยเมย
หวังเต็งรู้สึกปวดหัวขึ้นมาในทันที เขาหยิบโทรศัพท์ออกมาแล้วกดเบอร์โทรของหลินซัวหานเขาส่งโทรศัพท์ของเขาให้หลินซัวเซีย นี่ บอกพี่สาวของเธอซะ ไม่อย่างนั้นแม่และพี่สาวของเธอก็จะต้องเป็นห่วงอย่าแน่นอน หลินซัวหานกําลังทํางานพิเศษของเธอเพื่อหาเงินมาใช่คืนหวังเต็งให้เร็วที่สุด
เธอไม่ได้คาดคิดมาก่อนว่าเธอจะได้รับโทรศัพท์จากแม่หลินโดยบอกว่าหลินซัวเซียนั้นหายตัวไปเธอรู้สึกกังวลใจมากจนไม่รู้ว่าจะต้องทําอย่างไร
สิ่งนี้เคยเกิดขึ้นสองสามครั้งในอดีต แต่นั่นคือตอนที่หลินซัวเซียยังเด็กและยังไม่เข้าใจสถานการณ์เมื่อเวลาผ่านไปเธอก็ค่อยๆยอมรับชะตากรรมและอยู่บ้านอย่างเชื่อฟัง
หลายปีผ่านไป แต่ตอนนี้หลินซัวเซียก็ได้หายปอีกครั้ง
ทําไมกัน?
ทําไมอยู่ๆเธอถึงได้หายไปกัน?
ในนั้นเอง โทรศัพท์ของหลินซัวหานก็ดังขึ้น เธอมองไปที่หมายเลขผู้โทรแล้วรับสาย อย่างไรก็ตามมันก็ไม่ใช่เสียงของหวังเต็งที่เธอได้ยิน สวัสดี หลินซัวหานถอนหายใจด้วยความโล่งอกในเวลาเดียวกันเธอก็รู้สึกโกรธจัดและตะโกนคําต่อคํา หลิน! ซัว! เซีย!เธอรู้ไหมว่าแม่กับฉันเป็นห่วงเธอมากแค่ไหน! ๆฉันรู้ หลินซัวหานรู้สึกอึดอัดในอกของเธอ เธอเกือบจะอาเจียนออกมาเป็นเลือด เห้อ… ชั่งเถอะ ฉันจะไม่เกี่ยงกับเธอแล้ว รีบกลับเถอะแม่เป็นห่วงแล้ว! หลินซัวหานพูดอย่างช่วยไม่ได้ ในที่สุดฉันก็สามารถออกมาได้ฉันยังไม่อยากกลับไปตอนนี้ หลินซัวเซียกล่าวอย่างดื้อรั้น เธอไม่เข้าใจร่างกายตัวเองเหรอ… หวังเต็งส่งสัญญาณให้หลินซัวเซียให้เธอส่งโทรศัพท์ให้เขาเมื่อเขาสังเกตเห็นว่าพวกเขากําลังจะทะเลาะกันจากนั้นเขาก็พูดกับหลินซัวหานว่า ในเมื่อเธอไม่เต็มใจที่จะกลับไปงั้นก็ปล่อยให้เธออยู่กับฉันเถอะฉันสบายดีอยู่แล้ว ฉันจะไปรบกวนนายได้ยังไงกัน?นั่งเด็กนั่นเอาแต่ถามฉันว่าทําไมนายถึงยังไม่มาเยี่ยมเธอสักที แต่ฉันไม่คิดเลยว่าเธอจะถึงขั้นไป หานายเอง เอาล่ะ ฉันจะไปที่นั่นแล้วเอาเธอกลับไปเอง หลินซัวหานกล่าวอย่างโกรธเคือง ฉันกําลังจะพาเธอ ไปทานอาหารที่บ้านถ้าเธอต้องการก็มากินด้วยสิ ฉันไม่รังเกียจหรอกนะ เราสามารถรวมตัวกันและสนุกด้วยกันได้ หวังเต็งขยิบตาให้หลินซัวเซียขณะที่เขาพูดด้วยน้ําเสียงสบายๆ
หลินซัวหานพูดไม่ออก เธอตอบหลังจากผ่านไปนานว่า นายกําลังทําให้ฉันโกรธนะ ฉันจะไม่สนใจนายแล้ ว เธอวางสายโดยตรง ตกลง! หวังเต็งยิ้ม เขาพูดกับหลินซัวเซียว่า ไปหาอะไรกินที่บ้านของฉันกันเถอะคืนนี้ฉันจะพาเธอไปเที่ยวที่ไหนสักแห่งที่สนุกๆ ฉันจะต้องไปกินข้าวที่บ้านพี่หรอ? หลินซัวเซียรู้สึกกลัวเล็กน้อ ยในขณะนี้
หวังเต็งจอดรถของเขา เธอไม่กลัวที่จะต้องหนีออกจากบ้านแล้วตอนนี้เธอจะมากลัวอะไรแค่นี้กัน? เขาลงจากรถก่อน
หลินซัวเซียลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่เธอจะลงจากรถในที่สุด เธอเดินตามหลังเขาไปอย่างกล้าๆกลัวๆขณะที่พวกเขาเดินเข้าไปในวิลล่า แม่ครับผมมีแขก หวังเต็งตะโกนไปที่ครัว
หลี่ซิ่วเหมียวิ่งออกไปในทันที สายตาของเธอจับจ้องไปที่หลินซัวเซีย นี่คือ? น้องสาวของเพื่อนร่วมโต๊ะของผมน่ะ ผมพบเธอระหว่างทางดังนั้นผมเลยชวนเธอมากินอาหารฟรี หวังเต็งกล่าวอย่างสบายๆ น้องสาวของเพื่อนร่วมโต๊ะของลูกหรอ? สมองของหลี่ซิ่วเหม่ยหมุนไปหนึ่งรอบก่อนที่เธอจะเข้าใจ นั่งสิๆทําไมเธอถึงสวม ชุดหนาขนาดนี้กัน? หลี่ซิวเหมยมองไปที่หวังเต็งและตอบอย่างลังเลว่า ใบหน้าของหนู… มันน่าเกลียดมาก ทําไมคนหนุ่มสาวอย่างพวกเธอถึงมักคิดว่าพวกเธอน่าเกลียดกัน? ป้าคิดว่าการเป็นตัวของตัวเองนั้นดีที่สุดนะ หลี่ซิ่วเหม่ยพูดอย่างไม่ใส่ใจ แต่หนูน่าเกลียดมากจริงๆนะคะ คุณป้า หลินซัวเซียพยายามทําให้พูดให้เธอเชื่อให้มากที่สุด ไม่เป็นไร นี่คือบ้านของเรามันไม่มีใครอยู่รอบๆหรอกรีบถอดหน้ากากออกได้แล้ว อากาศมันร้อนนะ หลี่ซิ่วเหม่ยกล่าว
หลินซัวเซียหันกลับไปมองหวังเต็งอีกครั้ง เขาส่งกําลังใจให้เธอ
หลินซัวเซียกัดฟันของเธอและในที่สุดเธอก็ถอดหน้ากากที่ปิดใบหน้าของเธอไว้ครึ่งหนึ่ง
หลี่ซิ่วเหม่ยหยุดหายใจไปชั่วครู่ เธอรู้สึกตกใจมาก เธอต้องการลูบหัวของหลินซัวเซียเพื่อปลอบโยนเธอ อย่า! หลินซัวเซียรีบหลบอย่างรวดเร็ว แม่ ร่างกายของซัวเซียนั้นค่อนข้างพิเศษคนธรรมดาไม่สามารถแตะต้องเธอได้และที่ใบหน้าของเธอเป็นแบบนี้ก็เพราะร่างกายของเธอนั้นมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวอย่างไรก็ตามฉันก็พบวิธีรักษาแล้ว หวังเต็งอธิบาย ร่างกายพิเศษ? แม่ไม่เข้าใจเรื่องแบบนี้หรอกนะ แต่มันก็ดีแล้วที่ลูกพบวิธีแก้ปัญหาหลี่ซิ่วเหม่ยพยักหน้าเบาๆ นั่งก่อนแล้วก็กินผลไม้นี่สิแม่จะล้างจานก่อนจากนั้นเดี๋ยวเราก็มากินข้าวกัน
คืนนั้นหลินซัวเซียทานอาหารเย็นที่บ้านของหวังเต็ง
เมื่อหวังเฉินกั๋วกลับมาจากบริษัทของเขา เขาก็ต้องตกใจเมื่อพบว่ามันมีคนอื่นที่บ้านของเขาปฏิกิริยาของเขาเหมือนกับหลี่ซิ่วเหม่ยเมื่อเธอเห็นหลินซัวเซียครั้งแรก อย่างไรก็ตามเขาก็ไม่ได้แสดงท่าทีรังเกียจใดๆต่อเธอเขาแสดงเพียงแค่ความสงสารในตัวหญิงสาวแทน
ผู้ใหญ่สองคนกระตือรือร้นที่จะเอาอกเอาใจหลินซัวเซียเป็นอย่างมาก
หลังอาหารเย็น หวังเต็งก็พาหลินซัวเซียออกไปและพาเธอขับรถเที่ยวไปรอบๆอย่างไร้จุดหมาย พวกเขาเล่นกันอย่างสนุกสนาน เขาต้องการให้หลินซัวเซียได้รับอากาศบริสุทธิ์
หลินซัวหานโทรหาเขาสองสามครั้ง แต่หวังเต็งก็ไม่ได้รับสาย
เมื่อเป็นเวลาเกือบเที่ยงคืนหวังเต็งได้พาหลินซัวเซียไปที่โรงพยาบาลจิตเวชย่านชานเมืองด้านตะวันตก
หลินซัวเซียรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อยเธอพบว่ามันสนุกมากที่จะแอบเข้ามาในสถานที่เช่นนี้