Devil’s love ทิ้งรักของนายปีศาจไป - บทที่ 17 ยิ่งกว่าอัปยศอดสู
บทที่ 17 ยิ่งกว่าอัปยศอดสู
ซูเมิ่งปรากฏตัวอยู่มุมหนึ่งข้างนอกห้อง เธอเงยหน้าพร้อมกับสายตาอันเฉียบคมของเธอ เธอยกเท้าขึ้นและเดินมาอย่างเงียบๆ “ลู่น่า เธอทำอะไรน่ะ?”
ทันใดนั้นเสียงอันเยือกเย็นก็ดังมาจากด้านหลัง ลู่น่าที่อยู่ด้านนอกห้องก็หันกลับมา หลังจากเห็นแล้วว่าเป็นใคร เธอก็หน้าถอดสีและทำตัวมีพิรุธ “ไม่ ฉันไม่ได้เห็นอะไร…”
ลู่น่าเป็นเจ้าหญิง(สาวนั่งดริ้งก์)ห้อง 606 พวกคุณชายเหล่านั้นไม่ต้องการให้เธอเข้าไปบริการ แต่กลับให้แม่บ้านคนที่พี่เมิ่งพามาทำงานใหม่เข้าไปแทน
ลู่น่าจึงรีบออกมาจากห้องด้วยสีหน้าไม่สู้ดี พอเห็นว่าไม่มีใครอยู่แถวนี้ ลู่น่าจึงค่อยๆแง้มประตูห้องให้เปิดเพียงเล็กน้อย พลางชะโงกหัวแอบมอง พอเห็นภาพนั้น เธอก็ช็อกตาตั้ง ในขณะเดียวกันก็แอบหัวเราะเยาะเจี่ยนถง
ซูเมิ่งยิ้มอย่างเย็นชา สิ่งที่เธอถามก็คือ “เธอกำลังทำอะไร” ไม่ใช่ “เธอมองอะไรอยู่” ไม่ต้องสงสัยเลยว่าลู่น่ากำลังปกปิดอะไรบางอย่าง
“ที่นี่ไม่มีอะไรให้เธอต้องทำแล้ว ไปรับแขกชั้นหนึ่งเถอะ” ลู่น่าดูเหมือนต้องการจะพูดอะไรบางอย่าง ซูเมิ่งชำเลืองตามองเธออีกครั้ง ลู่น่าจึงยอมออกไปจากชั้นหกอย่างไม่เต็มใจ ทว่าในใจเธอยังคงหงุดหงิด…พี่เมิ่งไม่ยุติธรรม เห็นชัดๆว่าเธอเป็นเจ้าหญิงประจำห้อง 606 แต่กลับไม่ให้เธอเข้าไปรับแขกข้างใน
แขกที่มาวันนี้น่าจะเป็นคนมีเงินมีอำนาจ ดูก็รู้แล้วว่าไม่ธรรมดา อีกทั้งแต่ละคนก็ยังหนุ่มยังแน่น นี่ถือว่าเป็นโอกาสทองของเธอ แต่พี่เมิ่งกลับให้ยัยแม่บ้านทำความสะอาดคนนั้นมาทำแทน
ตอนนี้ยังสั่งให้เธอไปต้อนรับแขกที่ชั้นล่างอีก
ลู่น่ากระทืบเท้าออกไปด้วยความโมโห
ซูเมิ่งค่อยๆแง้มประตูออกเล็กน้อย ฉากที่อยู่ข้างในทำให้เธอผู้ซึ่งคุ้นเคยกับภาพร้องรำทำเพลงของคนกลางคืนมานักต่อนักแล้วถึงกับตกตะลึง
ภายในห้อง
“คลานเร็ว! อย่าชักช้า! ยังอยากได้ไหมเงินน่ะ?”
เจี่ยนถงกัดฟันกัดริมฝีปาก เธอพยายามมองข้ามความเจ็บปวดเข้ากระดูกและเร่งความเร็ว ไม่ทันไรเสื้อผ้าบนตัวเธอก็เปียกโชกไปด้วยเหงื่อ
ตั้งแต่ออกจากคุก แม้จะเดินบนถนนที่ร้อนอบอ้าวในช่วงตอนบ่ายของฤดูร้อน แต่ร่างกายของเธอกลับแห้งสนิทไม่มีเหงื่อสักหยด ทว่าตอนนี้เหงื่อโชกไปทั่วทั้งแผ่นหลัง
“เร็วสิ! คลานมาหาฉันตรงนี้” ในขณะที่คุณชายลี่พูด พรรคพวกที่อยู่รอบข้างต่างหัวเราะชอบใจ ภายใต้การจับจ้องของเสิ่นซิวจิ่น เจี่ยนถงยังคงคลานไปตรงหน้าคุณชายลี่ที่มีอายุราวๆยี่สิบอย่างไรศักดิ์ศรี ท่ามกลางความมืดมิด แววตาของชายหนุ่มราวกับมีพายุหมุนรุนแรงที่กวาดต้อนไปทั่ว
เจี่ยนถง!… ดวงตาของชายคนนั้นลุกเป็นไฟด้วยความโกรธและคำพูดอัดแน่นอยู่เต็มอกโดยไม่สามารถพูดออกมาได้
เสิ่นซิวจิ่นไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าทำไมพอเขาเห็นผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้า ถึงทำให้เขาเกลียดเข้ากระดูกดำ ทั้งละโมบโลภมากต่ำช้า ในใจพลันเดือดดาล
เขายิ่งไม่คิดเลยว่าจุดประสงค์เดิมที่เขาต้องการก็คือทำให้ผู้หญิงคนนี้พบกับความอัปยศอดสู แม้เขาจะบรรลุความประสงค์แล้ว แต่ทำไมเขากลับไม่รู้สึกดีเลยสักนิด
“ไหนเงยหน้าให้ฉันดูหน่อยซิ” คุณชายลี่พูดอย่างแผ่วเบา เสียงของคุณชายลี่ลอยเข้ามาในหูเจี่ยนถง เธอไม่ยิ้ม ไม่โกรธ ไม่โมโห เพียงแค่เงยหน้าขึ้นอย่างเชื่องๆเหมือนตุ๊กตาไม้ที่ไร้ชีวิตจิตใจ พอคุณชายลี่ออกคำสั่ง เธอก็แค่ทำตาม
“บ้าเอ๊ย! นี่มันอะไรเนี่ย!” พรรคพวกที่อยู่ด้านหลังคุณชายลี่ต่างตกใจและหันไปจ้องเจี่ยนถงอย่างพร้อมเพรียง พวกเขาทำเหมือนเจอสัตว์ประหลาด “คุณชายลี่ ผู้หญิงคนนี้ไม่แต่งหน้าก็เหมือนตัวตลก”
“คุณชายลี่ ที่คุณชายเสิ่นพูดก็ถูก เหล้าชั้นดีควรคู่กับหญิงงาม ผู้หญิงอัปลักษณ์แบบนี้มีคุณสมบัติอะไรถึงได้ดื่มเหล้าของคุณชายลี่?” เพื่อนคนอื่นๆเริ่มส่งเสียงโห่ร้อง
เจี่ยนถงก้มหน้าลงพลางถอนหายใจด้วยความโล่งอก…ตราบใดที่เธอไม่ได้ดื่มเหล้า อะไรก็ได้ทั้งนั้น!
ชีวิตของเธอไม่เคยเป็นของเธออีกต่อไปนับจากวินาทีที่เด็กสาวคนนั้นลาจากโลกใบนี้ไป เธอจะไม่ยอมเสี่ยงดื่มเหล้าเป็นอันขาดเพื่อที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป เนื่องจากเธอขาดไตไปหนึ่งข้าง จึงไม่สามารถทนความเจ็บปวดจากการดื่มได้
“ไม่” เด็กหนุ่มเผยรอยยิ้มชั่วร้ายออกมา “ฉันบอกว่าจะให้รางวัลเธอโดยการดื่มหนึ่งแก้ว ยังไงเธอก็ต้องดื่ม ฉันพูดแล้วไม่คืนคำ” ในขณะที่พูดก็ยืนขึ้นต่อหน้าเจี่ยนถง เขาตะคอกลงมาจากด้านบน “ฉันจะให้เธอดื่มเป็นรางวัล ยังไม่เงยหน้าขึ้นอีกเหรอ?”
เมื่อเห็นว่าเจี่ยนถงไม่ยอมขยับ เด็กหนุ่มตัวโตที่ชื่อคุณชายลี่ก็พูดออกมาอย่างไม่พอใจ “ฉันบอกให้เธอเงยหน้า? หูหนวกหรือไง?” มีเสียงหัวเราะที่เยือกเย็นตามมาติดๆ “ต้องให้ฉันเรียกคนมาช่วยไหม?”
เจี่ยนถงถูกรั้งศีรษะให้เงยหน้าขึ้น วินาทีต่อมาก็มีเสียงเทน้ำดังขึ้น เหล้าที่อยู่ในมือคุณชายลี่ได้เทลงบนใบหน้าเจี่ยนถงจนหมดแก้ว เนื่องจากไม่ทันได้เตรียมตัวตัวเตรียมใจ เธอจึงสำลักออกมาทางจมูกและปาก บางส่วนไหลเข้าไปในตา เจี่ยนถงไออย่างรุนแรง ใบหน้าเปลี่ยนเป็นสีขาว
คุณชายลี่วางแก้วคริสทัลไว้บนโต๊ะ และยิ้มอย่างโหดเหี้ยม “แต่สภาพเธอเป็นแบบนี้ก็ไม่น่าให้ดื่มจริงๆ ฉันก็เลยให้รางวัลได้แค่นี้ ”
ในขณะที่พูดก็หันไปหัวเราะกับคนรอบข้างพลางโบกไม้โบกมือ “ฉันพูดคำไหนคำนั้น วันนี้เธอทำให้ฉันมีความสุขจริงๆ” พอพูดเสร็จก็โยนเงินให้เจี่ยนถงห้าหมื่นหยวน และตะคอกอย่างเย็นชา “ได้เงินเเล้วยังไม่รีบไสหัวไปอีก? ฉันเห็นเธอบ่อยๆเข้าปวดลูกตาไปหมดแล้ว”
เงินฟาดมาที่หน้าเจี่ยนถงและหล่นลงพื้น เจี่ยนถงยังคงคลานสี่ขาอยู่บนพื้น เธอเอื้อมมือที่สั่นเทาจวนจะไม่มีแรงเก็บธนบัตรพวกนั้นขึ้นมาจากพื้น
“ฉันสั่งให้เธอลุกขึ้นแล้วเหรอ?”
เจี่ยนถงกำลังจะขยับ เด็กหนุ่มร่างใหญ่ที่ชื่อคุณชายลี่พูดอย่างออกมาแล้วหัวเราะอีกครั้ง
เมื่อเก็บธนบัตรทั้งหมดยัดเข้าไปในกระเป๋าชุดตัวตลกตัวใหญ่ เจี่ยนถงก็หลุบตาลงและคลานกับพื้น
“เฮ้! กระดิกหางด้วย!”
เจี่ยนถงสั่นเล็กน้อย จากนั้น…
ค่อยๆยกมือขวา ขาขวา มือซ้าย และขาซ้าย แล้วส่ายสะโพก…
เธอคลานสี่ขาออกจากห้องนั้นท่ามกลางความอัปยศอดสูและเสียงโห่ร้องทั่วทั้งห้อง
และตั้งแต่ต้นจนจบเธอไม่ได้มองผู้ชายที่ซ่อนตัวอยู่ในความมืดบนโซฟาอีกเลย
……
เมื่อประตูห้องปิดลง เสียงเจี๊ยวจ๊าวที่อยู่ด้านหลังก็ถูกตัดออกไปโดยสิ้นเชิง ในเวลาเดียวกันเจี่ยนถงก็เหมือนโดนพรากบางสิ่งไป
มันคืออะไร เจี่ยนถงเองก็ไม่รู้ แต่เธอรู้ว่าตัวเองไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว…อันที่จริงไม่เหมือนเดิมมาตั้งนานแล้ว เพียงแค่ว่าวันนี้เป็นเหมือนฟางเส้นสุดท้ายที่ถูกดึงออกมา
มีมือมือหนึ่งยื่นเข้ามา ฉันช่วยเธอ
เจี่ยนถงถอยกลับราวกับถูกไฟไหม้ เธอเงยหน้าขึ้น “พี่เมิ่ง…” พอตั้งสติได้เธอก็มองคนที่อยู่ตรงหน้า เธอเรียกด้วยน้ำเสียงที่น่าสงสารและเงียบไปสักพัก ซูเมิ่งมองผู้หญิงตรงหน้าที่พยายามฝืนยิ้มอย่างเข้มแข็งเพื่อพูดกับตัวเองว่า “ฉันไม่เป็นไร”
ซูเมิ่งชะงักเล็กน้อย จะไม่เป็นอะไรได้อย่างไรล่ะ?
“ฉันสบายดี” หญิงสาวผู้ต่ำต้อยพูดย้ำด้วยความหนักแน่น
ซูเมิ่งชะงักอีกครั้ง…ตรงไหนที่เรียกว่าดี? ดีตรงไหน!
เธอนึกอยากจะตะคอกใส่หน้าเจี่ยนถง แต่ก็ต้องกลืนคำพูดเหล่านั้นเข้าไปและไม่พูดอะไรออกมาสักคำ
“พี่เมิ่ง เงินพวกนี้…” เจี่ยนถงพิงตัวข้างกำแพงเพื่อพยายามพยุงตัวเองไม่ให้ล้ม เธอควักเงินจำนวนหนึ่งออกมาจากกระเป๋าชุดตัวตลกที่ได้มาจากการขาย “ความอัปลักษณ์” เธอพูดต่ออีกว่า “พี่เมิ่ง รบกวนคุณช่วยนำเงินไปเข้าบัตรธนาคารนี้ให้หน่อยสิคะ”
ซูเมิ่งมองเธอหยิบบัตรธนาคารของเธอที่เสิ่นซิวจิ่นให้ไว้ออกมาจากกระเป๋า…ด้วยเหตุอันใดกันแน่ถึงทำให้คนคนหนึ่งพกบัตรธนาคารติดตัวตลอดเวลาแบบนี้?
————