Devil’s love ทิ้งรักของนายปีศาจไป - บทที่ 59 ความอ่อนโยนของเสิ่นซิวจิ่น
บทที่ 59 ความอ่อนโยนของเสิ่นซิวจิ่น
ที่ข้างเตียง เสิ่นซิวจิ่นมองหญิงสาวที่นอนอยู่บนเตียง ไป๋ยู่สิงเพิ่งจะตรวจร่างกายเธอเสร็จ
“ไม่ใช่ปัญหาใหญ่” ไป๋ยู่สิงยังคงพูดต่อ “แต่แกเลิกลากเธอไปๆมาๆได้แล้ว วันนี้เธอเจอเรื่องมาไม่น้อยเลย ทั้งจมน้ำ เป็นไข้ เป็นลม สิ่งที่น่าเศร้าที่สุดก็คือตื่นมาเจอนายแล้วก็เป็นลมไปอีกรอบ”
ไป๋ยู่สิงทำเสียง “จุ๊ๆ” “เสิ่นซิวจิ่น ไอความสามารถรังแกคนอื่นของแกนี่ เป็นเลิศจริงๆ”
ประโยคนี้ เห็นได้ชัดว่าแฝงไปด้วยการเสียดสี
สิ่งที่ทำให้ไป๋ยู่สิงงงงันนั่นก็คือ ไอตาเสิ่นกลับไม่ได้ส่งสายตาเยือกเย็นมาให้ตัวเองอย่างทุกที
เฮ้~วันนี้อารมณ์ดีชะมัด
กล่างอีกนัยหนึ่งก็คือ ตัวเองจะใช้โอกาสที่หาได้ยากนี้สั่งสอนไอเจ้าเพื่อนยากนี่ซะหน่อย ใครจะไปรู้ว่าการรอให้ไอตาเสิ่นนี่พูดดีๆด้วยแบบนี้จะต้องรอถึงปีมะโว้โน้นแหนะ
“นี่ ไหนว่ามาดิ หลังจากที่ฉันไปแล้ว แกทำอะไรเธอกันแน่”
ฉึบ!
เขามองไปที่ไป๋ยู่สิงราวกับมีดคมที่เยือกเย็น แต่ก็ไม่ทำให้ไป๋ยู่สิงหยุดพูดได้ “เอ่อ…ไม่พูดก็ไม่พูด” ไป๋ยู่สิงทะเลาะไปก็กรีดกรายนิ้วชี้ไปด้วย ราวกับเพื่อให้บรรยากาศไม่ตึงเครียด “เกลียดจริงๆ~มันน่าตกใจวะจริงๆ~”
วิธีที่ไป๋ยู่สิงพูดนั้นดูกลับตาลปัตร ทำให้สีหน้าของชายหนุ่มที่อยู่บนเตียงยิ่งเย็นชา เขาหันหน้าพลางมองมาทันที “ไป๋ยู่สิง แกไปได้แล้ว”
“ไอสัตว์!แกนี่พอถึงเวลาจะใช้ฉันก็คะยั้นคะยออยู่ได้ แต่พอหมดประโยชน์ก็ถีบหัวส่งกันเนี่ยนะ เสิ่นซิวจิ่น ฉันไม่เคยเจอใครโหดเหี้ยมเท่าแกอีกแล้ววะ”
เสิ่นซิวจิ่นถอนหายใจ “ยู่สิง แกกลับไปพักผ่อนเถอะ วันนี้แกเหนื่อยมามากแล้ว” เขายกมือขึ้นมองดูนาฬิกา “พรุ่งนี้แกต้องตระเวนในวอร์ดเลยไม่ใช่ไง เพราะแบบนี้ไง ถ้าแกอยู่ที่นี่ต่อจะมีเวลาไม่กี่ชั่วโมงเองนะ”
เอ่อ…จู่ๆก็รู้สึกถึงความอบอุ่น สำหรับคนอื่นแล้วอาจเป็นเรื่องยากที่จะได้เห็นความอบอุ่นของเสิ่นซิวจิ่น ไป๋ยู่สิงสัมผัสได้ว่าท่าทีของเสิ่นซิวจิ่นเปลี่ยนไปในสองวินาทีให้หลัง แต่ในใจก็รู้สึกได้ถึงความอ่อนโยน
คนภายนอกจะรู้เพียงว่าเสิ่นซิวจิ่นที่มีอำนาจมากล้นจะหยิ่งโอหังและถือตัว แต่ความจริงแล้ว มีเพียงพี่น้องด้วยกันเท่านั้นที่จะเข้าใจความอ่อนโยนของเสิ่นซิวจิ่น จนบางครั้งก็ไม่สามารถสังเกตได้
ไป๋ยู่สิงมองไปที่เจี่ยนถงที่นอนอยู่บนเตียง จู่ๆภายในใจก็เกิดความรู้สึกบางอย่าง เขาหันหน้ามองไปที่ชายหนุ่มที่อยู่ด้านข้างอย่างสงสัย…เป็นไปไม่ได้หรอกหน่า
ความอ่อนโยนของเสิ่นซิวจิ่น?
ความอ่อนโยนของเสิ่นซิวจิ่นเนี่ยนะ
เขาให้มันกับเจี่ยนถงงั้นเหรอ
“นาย…” ไป๋ยู่สิงลังเลแต่ก็หยุดพูดไป
“ทำไม”
“นายอย่ารังแกเธออีกก็แล้วกัน” ท้ายที่สุด ไป๋ยู่สิงก็ซ่อนสิ่งที่คิดขึ้นได้ในใจโดยที่ไม่ได้พูดมันออกไป
เขารู้จักเสิ่นซิวจิ่นดี ไอเจ้าเพื่อนตายคนนี้ที่ทั้งหัวแข็งและดื้อรั้น จากการที่ตัวเองนั้นเป็นเพื่อนรักเพื่อนตายของไอเจ้านั้นแล้ว ขอบอกเลยว่าแกหลงเสน่ห์ของเจี่ยนถงเข้าเต็มเปา
แต่สุดท้ายก็เกรงว่า…เจี่ยนถงจะยิ่งเจ็บปวดมากขึ้น
ลองนึกภาพ เสิ่นซิวจิ่นที่ทั้งดื้อและจองหอง รู้ตัวแล้วว่าตัวเองมีความรู้สึกให้กับเจี่ยนถง แค่เจี่ยนถงกลับเป็นคนที่ตัวเองเอาไปทิ้งไว้ในที่แบบนั้น สามปีให้หลัง เสิ่นซิวจิ่นจะรับเรื่องนี้ได้จริงๆเหรอ
ไม่ได้หรอก
ไป๋ยู่สิงรู้จักเสิ่นซิวจิ่นเป็นอย่างดี
ทว่า อย่างไรเสียนี่ก็เป็นเพียงแค่การคาดเดาของไป๋ยู่สิงเท่านั้น บางที เขาอาจจะคิดผิดก็ได้
“นายอย่ารังแกเธออีกล่ะ…ฉันหมายถึง ร่างกายที่ปวกเปียกของเธอลากไปลากมาไม่กี่ครั้งก็ต้องพาไปโรงพยาบาลแล้ว เดี๋ยวก็ได้ไปหายมบาลกันพอดี”
ถ้านายเกลียดเธอมากถึงเพียงนี้ เกลียดถึงขั้นที่ว่าอยากจะทรมานเธอเพื่อล้างแค้นให้เซี่ยเวยหมิง อย่างน้อยนายก็ต้องดูแลร่างกายของเธอก่อน ให้เธอยังได้มีชีวิตอยู่ จริงไหม
ไป๋ยู่สิงคิดว่าที่ตัวเองพูดมากมายขนาดนี้ก็น่าจะเพียงพอแล้ว หากยิ่งพูดให้มากความ เดี๋ยวจะกลายเป็นต่อต้านเสียเปล่าๆ เขาโบกมือ “งั้นฉันไปก่อนนะ พรุ่งนี้ต้องตระเวนวอร์ดอีก ฉันต้องกลับไปพักผ่อนสักหน่อย”
เขากลับไปแล้ว ภายในห้องคนไข้ก็เงียบสงัด เมื่อไม่มีเสียงของไป๋ยู่สิง โรงพยาบาลในช่วงกลางคืนกลับมีความเงียบที่ไม่คุ้นเคย
ความเงียบสงบเช่นนี้ แตกต่างจากความเงียบยามที่เขาอยู่บ้านคนเดียวตอนกลางคืน
เสิ่นซิวจิ่นหยิบเก้าอี้ที่มีพนักพิงมานั่งลองข้างๆเตียง
สายตาของเขาจับจ้องไปที่หน้าผากของเธอ
ผ้าพันแผลที่เธอพันอยู่นั้นถูกปกคลุมไปด้วยผมหน้าม้า ในที่สุดเขาก็เห็นมัน
ไป๋ยู่สิงบอกว่า บาดแผลนี้เป็นแผลใหม่ที่ทับแผลเก่า ซึ่งแผลใหม่เกิดในช่วงไม่กี่วันมานี้ ส่วนแผลเก่าคาดว่าน่าจะเกิดนานแล้ว
จู่ๆก็นึกขึ้นได้ว่า บทที่เจอเธอที่ตงหวง ไม่ว่าจะเมื่อไหร่ก็ตาม หน้าผากของเธอจะมีผมหน้าม้าปิดไว้อยู่ตลอด
เขาคิดว่ามันน่าเกลียด และไม่รู้ว่าทำไมเธอถึงชอบไว้ทรงผมน่าเกลียดนี้ด้วย และคิดว่าอาจเป็นทรงผมที่เธอไว้มาตั้งแต่ที่อยู่ในคุก และเธอก็ชินกับมัน
นิ้วเรียวยาวปัดผมหน้าม้าของเธอไปด้านข้าง เผยให้เห็นรอยแผลทั้งหมด
รอยแผลนี้ ตามคำพูดของไป๋ยู่สิงที่เป็นผู้เชี่ยวชาญได้บอกไว้ว่า พระเจ้าเท่านั้นที่รู้ว่าทำไมผู้หญิงคนหนึ่งถึงสามารถทนกับรอยแผลเป็นที่น่าเกลียดบนหน้า
นิ้วเรียวยาวไม่ได้สัมผัสกับรอยแผลนั่น แต่ค่อยๆแตะลงบนแก้มของเธอ ก่อนนจะไล้ไปทั่วใบหน้าทุกตารางนิ้วของเธอ
ผิวหนังใต้ปลายนิ้วค่อนข้างหยาบ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงความเรียบเนียน เห็นได้ชัดว่าเธอเพิ่งจะอายุยี่สิบต้นๆ ทุกส่วนของร่างกายเธอแสดงให้เห็นถึงความผันผวนของชีวิต
นิ้วมือไล้ไปบนคิ้วที่ไม่ได้ขมวดของเธอ แต่คิ้วของเธอยังมีความเป็นเจี่ยนถงเมื่อสามปีก่อนหน้านี้ อีกทั้งยังมีรอยคล้ำที่ใต้ตาของเธอ ในที่สุดก็เลื่อนมายังริมฝีปากของเธอ มันทั้งหยาบกร้านและไม่อ่อนนุ่มเหมือนหญิงสาวในวันยี่สิบ ทุกส่วนบนร่างกายของเธอถูกสลักไปด้วยร่องรอยของกาลเวลา
สายตาของเขาค่อยๆลดต่ำจนมาหยุดที่ร่างกายของเธอ เขากำลังคิดว่าถ้าตัวเองสามารถผ่าร่างกายของเธอเพื่อดูอวัยวะภายในนั้นได้ อวัยวะพวกนั้นจะมีร่องรอยความผันผวนในชีวิตด้วยหรือเปล่านะ
จู่ๆโทรศัพท์ก็สั่น เสิ่นซิวจิ่นรับสาย“ว่าไง”
“บอสครับ ให้เอาฉินมู่มู่ไปไว้ที่ไหนดีครับ”
“ขายทิ้งไป ฉันไม่อยากเห็นเธออีก” เจี่ยนถงพูดถูก เขาก็เป็นเหมือนหมาป่า หมาป่าที่ต้องกินเลือดกินเนื้อ
“ครับบอส”
เสิ่นยีไม่มีข้อสงสัย และกำลังจะวางสาย
แต่แล้วจู่ๆ
“เดี๋ยว”
“บอสมีอะไรหรือเปล่าครับ”
ชายหนุ่มเหลือบมองหญิงสาวที่นอนอยู่บนเตียง เขาเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ย “ขังเอาไว้ก่อน อย่าฆ่าหรือทำอะไร”
“……” เสิ่นยีนิ่งไปพักหนึ่ง ก่อนจะขานรับอย่างรวดเร็ว “ครับบอส”
เสิ่นยีมองไปที่หญิงสาวที่ตัวสั่นเทา พลางบอกบอดี้การ์ดที่อยู่รอบข้าง “บอสสั่งให้ขังไว้ก่อน อย่าเพิ่งทำอะไรเธอ”
ใบหน้าของฉินมู่มู่ซีดเซียว เธอเข้าไปกอดขาของเสิ่นยีเพื่อร้องขอชีวิต “ทำไมต้องขังฉันด้วย เจี่ยนถง เจี่ยนถงขอให้ไว้ชีวิตฉันแล้วนี่ จะขังฉันไว้ทำไม”
เสิ่นยีขี้เกียจเกินกว่าจะอธิบายให้ผู้หญิงงี่เง่าคนนี้ฟัง เธอคิดว่าเดิมทีเธอควรจะได้อะไรดีๆแบบนี้งั้นเหรอ
ถ้าเทียบกับการตัดสินใจของบอสแล้ว เธอจะมีโอกาสถูกขังไว้งั้นเหรอ
“เจี่ยนถง เจี่ยนถงช่วยขอร้องให้ฉันแล้วใช่ไหม เธอพูดจริงๆใช่ไหม”
“ปล่อย” เสิ่นยีรู้สึกเบื่อหน่ายเต็มทน “ยังจะยืนงงอะไรอยู่อีก เอาเธอไปขัง” เขาพูดกับคนรอบข้างด้วยเสียงที่ดูเย็นชา