Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร - ตอนที่ 577
บทที่ 577 : พบเหล่ากุ่ยอีกครั้ง!
หลิงหยุนเห็นเฉิงเมี่ยนเดินนำเฉิงเทียนและจ้าวฝัวหมี่ซึ่งเป็นพ่อแม่ของเธอมา
วันนี้เฉิงเมี่ยนสวมชุดกระโปรงอย่างสวยงามหากเธอไม่มัวแต่แต่งหน้าแต่งตัวนานมากจนเกินไป ครอบครัวของเธอก็คงจะมาถึงคลีนิคตั้งนานแล้ว
เมื่อรถของเฉิงเทียนมาถึงนั้นถนนที่อยู่หน้าคลีนิคของหลิงหยุนก็คลาคล่ำไปด้วยรถรามากมาย และการจราจรก็เคลื่อนตัวได้ช้ายิ่งกว่าหอยทาก ทุกคนในรถต่างก็ตกใจกับเกิดเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ราวกับว่าที่นี่กำลังมีงานเฉลิมฉลองขนาดใหญ่ เฉิงเมี่ยนและครอบครัวจึงได้แต่จอดรถไว้ไกลๆ และเดินเท้าเข้ามาแทน
“นี่แค่งานเปิดคลีนิคจริงๆน่ะเหรอ!”
ระหว่างทางที่เดินไปนั้นเฉิงเทียนก็เอาแต่พร่ำบ่นประโยคเดิมซ้ำๆกับเฉิงเมี่ยน จนเธอเองก็คร้านที่ตอบอีก..
เมื่อเฉิงเมี่ยนเห็นหลิงหยุนที่ยืนอยู่ข้างถนนเธอก็รีบบิดเอวไปมาก่อนจะวิ่งตรงเข้าไปหาอย่างรวดเร็ว
“หลิงหยุน!”
เฉิงเมี่ยนร้องเรียกหลิงหยุนด้วยท่าทางมั่นอกมั่นใจแต่จะว่าไปใครก็ตามที่ถือเงินจำนวนห้าร้อยล้านไว้ในมือเพื่อนำมาให้ผู้อื่น ก็คงรู้สึกมั่นใจไม่ต่างจากเฉิงเมี่ยนอย่างแน่นอน
เมื่อหลิงหยุนได้ยินเสียงเรียกของเฉิงเมี่ยนเขาก็ได้แต่คิดในใจว่าน้องสาวของภรรยาคนนี้ช่างเปิดเผยเสียจริงๆ
สำหรับหลิงหยุนแล้วเขาไม่เคยรู้สึกอะไรกับเฉิงเมี่ยนเลยแม้แต่น้อย แม้เขาจะไม่ชอบเฉิงเมี่ยนนัก แต่ก็ไม่ถึงกับเกลียด อีกทั้งเฉิงเมี่ยนเองก็เป็นน้องสาวของเฉิงเม่ยเฟิง จึงไม่จำเป็นที่เขาจะต้องรู้สึกเกลียดชังเธอ
แต่ทันทีที่หลิงหยุนเห็นเฉิงเมี่ยนเงางดงามของหญิงสาวอีกนางหนึ่งก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าเขาทันทีเช่นกัน หลิงหยุนยังคงคิดถึงเฉิงเม่ยเฟิงอยู่ตลอดเวลา..
หลิงหยุนคิดเสมอว่าหากเขาไม่ลงไปที่ก้นหลุมยักษ์ในคืนนั้น เฉิงเม่ยเฟิงก็คงไม่ถูกแม่ชีอารามจิ้งซินนำตัวไป เขาจึงเป็นผู้ที่ต้องรับผิดชอบในเรื่องนี้!
หลิงหยุนจึงต้องพยายามฝึกบ่มเพาะพลังอย่างหนักเพื่อให้ความแข็งแกร่งของตนนั้นก้าวหน้ามากยิ่งขึ้น และพร้อมที่จะไปนำตัวเฉิงเม่ยเฟิงกลับมาให้เร็วที่สุด!
และต้องกลับมาอย่างปลอดภัยเท่านั้น!
หลิงหยุนไม่สนใจว่าอารามจิ้งซินจะเป็นอะไรเขาไม่เคยมองอารามจิ้งซินอยู่ในสายตาด้วยซ้ำไป ในเมื่อตัวเขาเองก็เป็นถึงเซียนหมออมตะ และเป็นผู้บ่มเพาะตนที่แท้จริง!
ระหว่างที่หลิงหยุนกำลังครุ่นคิดเรื่องของเฉิงเม่ยเฟิงอยู่นั้นเฉิงเมี่ยนก็วิ่งมาถึงหน้าหลิงหยุนพอดี
“ลมอะไรพัดน้องเมียของผมมาถึงที่นี่ได้!แล้วแฟนสุดหล่อของคุณไม่มาด้วยเหรอ?”
ใครๆก็รู้ว่าแฟนของเฉิงเมี่ยนคือเสียเจิ้นเหยินแห่งตระกูลเสียหลิงหยุนจึงอดที่จะเหน็บเธอพร้อมกับหัวเราะออกมาไม่ได้
“นี่..ใครเป็นน้องเมียของนาย! นายยังไม่ได้แต่งงานกับพี่สาวของฉันสักหน่อย!”
พฤติกรรมของเฉิงเมี่ยนนั้นไม่ต่างจากตุ๊กแกกินปูนร้อนท้องเธอรีบประท้วง และแก้ตัวทันที! เพราะเรื่องนี้นับว่าเป็นจุดอ่อนของเฉิงเมี่ยน เธอจึงไม่ต้องการให้ใครพูดเรื่องที่หลิงหยุนกับพี่สาวของเธอชอบพอกัน แล้วก็ไม่ชอบที่จะได้ยินหลิงหยุนพูดเช่นกัน
“ฟังนะ..เสียเจิ้นเหยินไม่ใช่แฟนของฉันแล้ว! ตอนนี้ฉันไม่มีแฟนแล้ว!” เฉิงเมี่ยนรีบแจงสถานะใหม่ของตนเองอย่างรวดเร็ว
และนี่เป็นจุดอ่อนอีกหนึ่งอย่างของเฉิงเมี่ยนเพราะตอนนี้การที่เธอเคยชื่นชอบเสียเจิ้นเหยินกลับกลายเป็นเรื่องน่าอับอายสำหรับเธอไปแล้ว
เสียเจิ้นเหยินนั้นเทียบกับหลิงหยุนไม่ได้เลยแม้แต่น้อย!
“ผมก็แค่ล้อเล่น..ทำไมคุณต้องร้อนตัวขนาดนี้ด้วย” หลิงหยุนตอบยิ้มๆ
จากนั้นเขาก็เลิกสนใจเฉิงเมี่ยนอีกเพราะเฉิงเทียน และจ้าวฝัวหมี่เดินมาถึงพอดี และเมื่อเฉิงเทียนได้เผชิญหน้ากับหลิงหยุนตรงๆเช่นนี้ เขาเองก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรกับหลิงหยุน จึงได้แต่หัวเราะกลบเกลื่อน
จ้าวฝัวหมี่จึงต้องเป็นฝ่ายเปิดบทสนทนา“หลิงหยุน.. พวกเราได้ยินจากเมี่ยนว่าวันนี้เป็นวันเปิดคลีนิคของเธอ ครอบครัวของเราจึงต้องการมาร่วมแสดงความยินดีกับเธอ..”
“ขอบคุณท่านป้ามากครับ!”
หลิงหยุนไม่ได้มีความรู้สึกที่ดีกับเฉิงเทียนนักแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะไม่มีความรู้สึกดีๆให้กับจ้าวฝัวหมี่ด้วย เธอเป็นแม่ของเฉิงเม่ยเฟิง ถึงอย่างไรหลิงหยุนก็ต้องให้ความเคารพและมีมารยาท
“หลิงหยุน..ทำไมวันนี้ถึงมีคนมากมายแบบนี้ล่ะ อย่าบอกนะว่าผู้คนที่เห็นอยู่ทั้งหมดนี้คือ..” จ้าวฝัวหมี่เหลือบมองไปทางคลินิกพร้อมกับเอ่ยถามแทนสามี
หลิงหยุนยิ้มเล็กน้อย“ใช่ครับ..! ผมเองก็คิดไม่ถึงว่าจะมีแขกเหรื่อมามากมายขนาดนี้..”
เฉิงเทียนนั้นเป็นนักการตลาดที่เชี่ยวชาญเขามองภาพที่เห็นอยู่ตรงหน้าแล้วก็ได้แต่แอบยิ้มอยู่ในใจโดยไม่พูดอะไรออกมา
เฉิงเทียนนับว่าเป็นนักธุรกิจที่ร่ำรวยที่สุดในเมืองจิงฉูและมักปรากฏตัวตามหน้าทีวีและสื่อต่างๆมากมาย ดังนั้นที่นี่จึงมีคนที่รู้จักเขามากมายเช่นกัน และผู้คนที่รู้จักเขาต่างก็พากันเดินเข้ามาทักทาย
‘ดูเหมือนว่าเมื่อคืนนี้เมี่ยนจะวิเคราะห์ได้ถูกต้องหลิงหยุนช่างมีอำนาจบารมีมากจริงๆ’ เฉิงเทียนได้แต่แอบตกใจ และนึกชมเชยลูกสาวคนเล็กอยู่เงียบๆ
“ด้านนอกมีผู้คนมากมายและค่อนข้างโกลาหลวุ่นวาย เชิญขึ้นไปชั้นสองจะดีกว่าครับ!”
หลิงหยุนรู้ดีว่าเฉิงเทียนนั้นเป็นคนเด่นคนดังของเมืองนี้เขาจึงรีบนำทั้งสามคนขึ้นไปที่ชั้นสองของคลีนิค
เฉิงเทียนเองก็เป็นพ่อของเฉิงเม่ยเฟิงในเมื่อเขาอุตส่าห์มาถึงที่นี่แล้ว หลิงหยุนคงไม่สามารถห้ามปรามเฉิงเทียนให้เลิกพูดมากได้ ไม่เช่นนั้นในวันข้างหน้าหลิงหยุนจะมีหน้าไปพบเฉิงเม่ยเฟิงได้อย่างไร
“หลิงหยุน..ฉันเตรียมของขวัญมาให้นายด้วยนะ! นายอยากดูมั๊ย”
เฉิงเมี่ยนเห็นว่าหลิงหยุนไม่มีท่าทางรังเกียจตนเองแล้วในใจก็ลิงโลดจนแทบรอคอยไม่ได้ จึงรีบร้องบอกหลิงหยุนว่า
“หลิงหยุน..ฉันเตรียมของขวัญมาให้นายด้วยนะ นายอยากดูมั๊ย”
เฉิงเทียนถึงกับหน้าเสีย“ใครเขาพูดเรื่องของขวัญตรงหน้าประตูล่ะ ช่างไม่รู้จักธรรมเนียมเลย!”
เฉิงเทียนเป็นนักธุรกิจเขาย่อมรู้ดีว่าการมอบของขวัญนั้นมีความสำคัญเช่นไร และบ่งบอกถึงความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองฝ่ายอย่างไร? แต่การเปิดขวัญต่อหน้าคนอื่นก่อนจะถึงพิธีมอบของขวัญนั้น มีเพียงเหตุผลเดียวคือต้องการจะโอ้อวด!
ดังนั้น..จนกระทั่งถึงตอนนี้ นอกเหนือจากหลงคุน และหลงหวู่ที่ได้มอบหยกมังกรเขียวให้กับหลิงหยุนเป็นการส่วนตัวอย่างเงียบๆที่ชั้นสองของคลีนิคแล้ว ความจริงแล้วก็ยังมีของขวัญอีกมากมายที่หลิงหยุนยังไม่ได้เห็น ไม่ว่าจะเป็นของขวัญจากท่านหมอเสี่ยว หรือของขวัญจากหลินเมิ่งหาน..
และนั่นก็ไม่ได้หมายความว่าหลินเจิ้งกังและท่านหมอเสี่ยวจะลืมมอบของขวัญให้กับหลิงหยุน
สำหรับจางเม่ยหนวนที่เมื่อพบหลิงหยุนก็รีบนำซองเอกสารการโอนบริษัทขึ้นมามอบให้กับหลิงหยุนต่อหน้านั้นก็เพื่อไม่ต้องการให้ตนเองรู้สึกกระอักกระอ่วนใจว่ามามือเปล่าเท่านั้นเอง
หลิงหยุนเรียกถังเมิ่งให้ออกมาทำหน้าที่นำครอบครัวของเฉิงเทียนขึ้นไปชั้นสองพร้อมกับคิดในใจว่าวันนี้น้าหญิงของเขาคงต้องยุ่งจนหัวหมุนเลยทีเดียว!
และก็เป็นเช่นนั้นจริงๆฉินตงเฉี่วยต้อนรับหลินเจิ้งกังเป็นคนแรก ตามมาด้วยท่านหมอเสี่ยว หลิวลี่ กงเสี่ยวลู่ และตอนนี้ก็มีครอบครัวของเฉิงเทียนอีก ฉินตงเฉี่วยจึงยุ่งมากจนแทบอยากจะหลบหนีออกไป
หากเป็นเรื่องการต่อสู้ฉินตงเฉี่วยไม่เคยหวาดหวั่น และไม่เคยถอย! แต่นางไม่คุ้นเคยกับเรื่องการต้อนรับแขกเหรื่อ และพิธีการที่ยุ่งยากเช่นนี้
ฉินตงเฉี่วยยุ่งมากจนในที่สุดเหยาลู่เหลียงเฟิงอี้ และแม้แต่จางเม่ยหยวน และหลี่หงเม่ยก็ต้องขึ้นไปช่วยต้อนรับด้วยเช่นกัน
หลิงหยุนเองก็อยากจะเรียกให้กงเสี่ยวลู่ที่อยู่ชั้นสองออกมาช่วยแต่เธอก็เป็นถึงครูประจำชั้นของเขา ส่วนหลิวลี่ก็ท้องโตเดินเหินลำบาก
“เฮ้อ..หาเฉิงเม่ยเฟิงไม่ถูกแม่ชีแห่งอารามจิ้งซินนำตัวไปแล้วล่ะก็ นางคงจะมีความสุขมากที่ได้เห็นภาพในงานวันนี้..”
หลิงหยุนมองครอบครัวของเฉิงเทียนที่กำลังเดินเข้าไปในคลีนิคด้วยอารมณ์พลุ่งพล่านและในใจก็รู้สึกโกรธอารามจิ้งซินอย่างมาก
“โอสถไร้ใจงั้นรึ!รอให้ข้าปรุงโอสถหยิน-หยางได้ก่อน ถึงตอนนั้นข้าจะดูว่าคนของอารามจิ้งซินจะทนได้เพียงใด!” หลิงหยุนกัดฟันพูดอย่างเคียดแค้น
หลิงหยุนเป็นกังวลอย่างมากในครั้งนี้เขาต้องการให้ญ้าหยาง และหญ้าหยินทำหยิน-หยาง
“นั่นอะไร!”
ระหว่างที่หลิงหยุนกำลังครุ่นคิดเรื่องของเฉิงเม่ยเฟิงอยู่นั้นจิตหยั่งรู้ของเขาก็ได้สำรวจพบกับอะไรบางอย่าง..
“พ่อหนุ่ม..ไม่ได้พบกันตั้งเดือน เจ้าลืมข้าไปแล้วหรือยัง”
จู่ๆเหล่ากุ่ยก็ปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าหลิงหยุน เขาเดินเอามือไขว้หลังตรงเข้าไปหาหลิงหยุนช้าๆ พร้อมกับถุงธรรมดาๆในมือ
สีหน้าของหลิงหยุนเปลี่ยนเป็นมีความสุขอย่างมากขึ้นมาทันทีเขาร้องทักทายเหล่ากุ่ยออกมาด้วยความตื่นเต้น
“เหล่ากุ่ย..นี่ท่านหายไปใหนมา ไม่มีการส่งข้อความมาบอกข้าด้วย รู้หรือไม่ว่าข้าเป็นห่วงท่านแทบแย่! ข้าคิดว่าท่านตายไปแล้วเสียอีก!”
แม้ว่าหลิงหยุนจะดูตื่นเต้นอย่างมากแต่เหล่ากุ่ยนั้นกลับตื่นเต้นมากยิ่งกว่า! แววตาของเหล่ากุ่ยเป็นประกายด้วยความตื่นเต้น แต่น้ำตาของเขากลับถูกเก็บซ่อนไว้ สายตาที่เหล่ากุ่ยมองหลิงหยุนนั้น ไม่ต่างจากปู่ที่กำลังมองดูหลานชายของตนเอง จากนั้นจึงเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่เปี่ยมไปด้วยความเมตตา
“ดูเหมือนเจ้าจะสูงขึ้นแล้วก็ผอมลงเล็กน้อย! แต่ร่างกายกลับดูแข็งแกร่งมาก!”
เหล่ากุ่ยตบบ่าหลิงหยุนพร้อมตอบกลับด้วยความตื่นเต้นดีใจแต่ภายในใจนั้นกำลังสะอื้นจนไม่อาจพูดอะไรออกมาได้มากนัก
เวลานี้ตระกูลหลิงกำลังเผชิญกับเรื่องเศร้าและความทุกข์แสนสาหัส เหล่ากุ่ยจำต้องทำเหมือนไม่รู้สึกอะไรเพื่อเป็นการปลอบโยนหลิงลี่ แต่เมื่อได้มาพบกับหลิงหยุนอีกครั้งในวันนี้ เขาจึงอดที่จะนึกถึงความอเนจอนาถที่ตระกูลหลิงต้องเผชิญอยู่ไม่ได้ และอดที่จะนึกถึงหลิงลี่ที่ตอนนี้ผมขาวโพลนไปทั้งศรีษะ และหลิงเสี่ยวที่หายตัวไปไม่ได้เช่นกัน
หลิงหยุนไม่เข้าใจว่าเพราะเหตุใดเหล่ากุ่ยจึงต้องตื่นเต้นดีใจมากมายถึงเพียงนี้ที่ได้พบกับเขาหลิงหยุนรู้เพียงแค่ว่าเหล่ากุ่ยนั้นดีกับตนเองอย่างมาก !
“เหล่ากุ่ย..อาการบาดเจ็บของท่านหายเกือบแปดสิบเปอร์เซ็นต์แล้ว ครั้งนี้ท่านจะหนีข้าไปใหนอีกไม่ได้แล้วนะ ท่านต้องรอจนกว่าข้าจะรักษาอาการของท่านให้หายดีเสียก่อน!” หลิงหยุนทำเสียงตำหนิเหล่ากุ่ย..
เหล่ากุ่ยพยายามควบคุมและสงบสติอารมณ์ของตนให้กลับคืนสู่ปกติ จากนั้นจึงยิ้มให้กับหลิงหยุนพร้อมกับยื่นถุงในมือให้ แล้วพูดกับเขาว่า
“ข้าไม่ได้หนีไปใหนข้ารู้ว่าทันทีที่เจ้ากลับจากทะเล ก็จะต้องเริ่มเปิดคลีนิค ก็เลยไปหาของขวัญมาให้เจ้ายังไงล่ะ! เรื่องน่ายินดีเช่นนี้ข้าจะพลาดได้อย่างไร?”
“ก็แค่คลินิกเล็กๆท่านจะไปสนใจเรื่องหาของขวัญทำไมกัน ขึ้นไปดื่มชาที่ชั้นสองกันก่อน..”
พูดจบหลิงหยุนก็เป็นผู้นำเหล่ากุ่ยขึ้นไปที่ชั้นสองของคลินิกด้วยตัวเองและได้แนะนำเหล่ากุ่ยให้ทุกคนรู้จัก
ฉินตงเฉี่วยเคยพบกับเหล่ากุ่ยครั้งหนึ่งและรู้ว่าชายชราผู้นี้เสี่ยงเป็นเสียงตายมากับหลิงหยุน นางจึงค่อนข้างนับถือ และรักษามารยาทกับเหล่ากุ่ยมาก
หลิงหยุนเดินออกมาจากคลีนิคอีกครั้งก็พบกับหลงเทียนเจียวเข้าพอดีหลงเทียนเจียวมาพร้อมคณะทั้งหมดสี่คน แต่ละคนล้วนมีอายุอานามไม่ต่ำกว่าสี่สิบหรือห้าสิบปี และเพียงแค่เห็นก็สามารถรู้ได้ว่าทุกล้วนแล้วแต่เป็นผู้มีอำนาจบารมีทั้งสิ้น
แต่ถึงกระนั้นแต่ละคนที่เดินตามหลงเทียนเจียวมานั้นต่างก็เดินค้อมหลังจนตัวงอเป็นกุ้ง
‘นี่เจ้ายังอยู่ในจิงฉูอีกงั้นรึคงอยากจะหน้าบวมอีกกระมัง?!’ หลิงหยุนได้แต่นึกเย้ยหยันอยู่ในใจ
“พี่หยุน..ยินดีกับการเปิดคลินิกสามัญชนอย่างเป็นทางการ ขอให้ท่านร่ำรวยๆ!”
ทันทีที่ได้พบหลิงหยุนหลงเทียนเจียวก็รีบสาวเท้าเข้ามาหาพร้อมกับยกมือขึ้นทำการคาราวะ และพูดคุยด้วยอย่างสนิทสนม!