Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร - ตอนที่ 687
บทที่ 687 : สะกดเลือดแวมไพร์!
หลิงหยุนสั่งให้พอลกับเจสเตอร์ออกไปรอข้างนอก และให้ทั้งคู่จัดการสตาร์รถทั้งสองคันรอไว้
เกาเทียนหลงเองก็พบกุญแจรถของตนเองที่จอดอยู่ในโรงรถพอดีจึงจัดการเปิดประตูโรงรถเข้าไปขับรถหรูคันใหญ่ที่อยู่ด้านในออกมา เกาเทียนหลงอุ้มร่างของเกาจิ้นสง เกาซิงฉาง และแม่ของเขาเข้าไปไว้ในรถ พร้อมกับพูดด้วยน้ำตา..
“ท่านปู่ท่านพ่อ ท่านแม่.. อภัยให้ข้าด้วย..”
ส่วนสมาชิกตระกูลเกาที่เหลืออีกเจ็ดคนก็ถูกนำเข้าไปไว้ในรถสองคนที่จอดอยู่ด้านหน้าซึ่งมีพอลกับเจสเตอร์เป็นคนขับ ส่วนเกาเทียนหลงขับรถคันใหม่ไปด้วยตัวเอง แต่หลิงหยุนไม่ได้ตามเข้าไปนั่งในรถด้วย เขาแอบตามคุ้มครองรถทั้งสามคันไปจนกระทั่งถึงบ้าน..
นอกเหนือจากไวน์ชั้นเยี่ยมในห้องเก็บของแล้วตระกูลเกาไม่มีอะไรสูญหายมากนัก มีเพียงกล้องวงจรปิดทั่วบ้าน และระบบรักษาความปลอดภัยต่างๆที่ถูกทำลายเท่านั้น ดังนั้นหลิงหยุนจึงไม่ต้องสวมหน้ากากปิดบังใบหน้าตั้งแต่ไปจนกระทั่งกลับออกมา
ตลอดทางกลับบ้านนั้นไม่มีศัตรูติดตามพวกเขามาแม้แต่คนเดียว และทุกคนก็กลับถึงบ้านอย่างปลอดภัย..
ภายในบ้าน..หลิงหยุนใช้กระแสจิตพูดกับเกาเทียนหลงว่า..
-ต่อให้พวกเขาเป็นคนที่เจ้ารักแต่ตอนนี้พวกเขาต่างก็ไม่สามารถโดนแสงอาทิตย์ได้ เจ้าคงต้องให้พวกเขาทั้งหมดไปอยู่ที่ห้องใต้ดินแล้วล่ะ!–
เกาเทียนหลงเข้าใจดีจึงได้แต่พยักหน้าเงียบๆ
ทั้งสี่คนช่วยกันพาบุคคลอันเป็นที่รักของเกาเทียนหลงไปที่ยังห้องใต้ดินจากนั้นหลิงหยุนจึงหันไปถามพอลกับเจสเตอร์ว่า
“พวกเขา..ต้องดื่มเลือดจริงๆงั้นรึ”
พอลกับเจสเตอร์พยักหน้าพร้อมกับตอบไปว่า“ใช่แล้วเจ้านายที่เคารพ.. แวมไพร์อย่างพวกเราต้องดื่มเลือดเช่นเดียวกับที่มนุษย์ต้องกินข้าวเมื่อหิว มันเป็นสัญชาติญาณ..”
หลิงหยุนถึงกับพูดไม่ออก..เขาหันไปมองเกาเทียนหลงที่กำลังจ้องมองญาติพี่น้องทั้งสิบคนด้วยสีหน้าที่เจ็บปวดใจ
จนกระทั่งถึงตอนนี้..เกาจิ้นสงและเกาซิงฉางยังคงดิ้นรนไม่หยุด แววตาของพวกเขาเริ่มหม่นลง และยังคงจำเกาเทียนหลงไม่ได้!
“หลิงหยุน..เจ้าต้องหาทางช่วยพวกเขาให้ได้.. นอกจากเฉินเฉินแล้ว ข้าก็เหลือแค่พวกเขาทั้งสิบคนนี้!”
เกาเทียนหลงพูดไปพลางเช็ดน้ำตาไปพลางในใจรู้สึกเจ็บปวดไม่น้อย..
“เจ้าวางใจได้..ทันทีที่ข้าหาวิธีรักษาพวกเขาได้ ข้าจะจัดการทันที แต่ตอนนี้.. จำเป็นต้องให้พวกเขาดื่มเลือดก่อน..”
หลิงหยุนหันไปสั่งพอลกับเจสเตอร์“เร็วเข้า.. พวกเจ้าสองคนไปนำเลือดในกระบอกของพวกเจ้ามาให้พวกเขาดื่มแก้กระหายเสียก่อน..”
พอลกับเจสเตอร์มองหน้ากันก่อนจะหันไปอ้อนวอนหลิงหยุนว่า“แต่เจ้านายที่เคารพ.. เลือดของพวกเราสองคนเหลืออยู่ไม่มากนัก หากให้พวกเขาดื่ม คงไม่มีเหลือพอให้พวกเราสองคนดื่มในคืนนี้..”
หลิงหยุนขมวดคิ้วพร้อมกับตอบไปว่า“พวกเจ้าไม่ต้องห่วง.. ในเมื่อพวกเจ้าอยู่กับข้า ข้าจะไม่ปล่อยให้พวกเจ้าต้องหิวกระหายอย่างแน่นอน ตราบใดที่ไม่ใช่เลือดมนุษย์ ข้าจะให้พวกเจ้าดื่มจนพอใจ!”
ทันทีที่ได้ยินคำตอบของหลิงหยุนเจสเตอร์กับพอลก็ดีใจอย่างมาก ทั้งคู่รีบวิ่งออกจากห้องใต้ดินไปหยิบกระบอกเลือดในรถสีเงินของตนเองมาทันที
หลังจากที่พอลกับเจสเตอร์กลับมาพร้อมกระบอกเลือดพวกเขารวมทั้งเกาเทียนหลงต่างก็ช่วยกันป้อนเลือดให้คนตระกูลเกาดื่ม หลิงหยุนสั่งให้เกาเทียนหลงเฝ้าทุกคนอยู่ที่ห้องใต้ดินไปก่อน ส่วนเขากลับขึ้นไปด้านบนพร้อมกับแวมไพร์ทั้งสองตน
“ข้าจะออกไปคิดหาหนทางรักษาพวกเขา..”หลิงหยุนออกไปพร้อมกับร้องสั่งเกาเทียนหลงให้อยู่เฝ้าคนในครอบครัว
หลิงหยุนนั่งขัดสมาธิอยู่บนโซฟาภายในบ้าน..
เรื่องแรก..หลิงหยุนคิดหาวิธีแก้ปัญหาเรื่องเลือดที่จะต้องนำมาให้เหล่าแวมไพร์ทั้งสิบสองตนได้ดื่มกัน เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไร เขาจะไปขอซื้อเลือดสดๆจากโรงฆ่าสัตว์สักเจ็ดสิบหรือแปดสิบกิโลกรัม แล้วนำกลับมาให้พวกนั้นดื่ม
เรื่องที่สอง..หลิงหยุนครุ่นคิดหาวิธีที่จะเรียกจิตวิญญาณความเป็นมนุษย์ของสมาชิกตระกูลเกากลับมา โดยเฉพาะเกาจิ้นสงกับเกาซิงฉาง เพื่อให้สามารถพูดคุยสื่อสารกันได้ หลิงหยุนจะได้ถามถึงรายละเอียดต่างๆได้
และสุดท้ายและสำคัญที่สุดก็คือ..เขาจะต้องหาทางสืบให้ได้ว่าตอนนี้เกาเฉินเฉินอยู่ที่ใหนกันแน่ เพื่อที่จะได้รีบหาหนทางช่วยเหลือเธอออกมาให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะในใจของหลิงหยุนนั้นเป็นห่วงความปลอดภัยของเธออย่างมาก..
‘เนตรปีศาจ..สะกดจิต.. ควบคุมจิตใจ..’
หลิงหยุนนั่งขัดสมาธิและหลับตาครุ่นคิดอยู่นานแต่จู่ๆสมองของเขาก็ฉุกคิดอะไรขึ้นมาได้ ดวงตาของเขาเบิกโพลงพร้อมกับร้องอุทานออกมาอย่างดีใจ..
“ใช่แล้ว..เหตุการณ์วุ่นวายจนข้าลืมสมบัติล้ำค่าชิ้นนี้ไปเสียสนิท!”
ต่อหน้าเกาเทียนหลงนั้นแม้ว่าหลิงหยุนจะยังคงมีท่าทีสงบนิ่งอยู่ตลอดเวลา แต่ภายในจิตใจนั้นกลับกระวนกระวายอย่างมากจนลืมคิดถึงสมบัติล้ำค่าที่ตนเองครอบครองอยู่
ไม่เพียงสมบัติล้ำค่าอย่างศิลาเกลาใจเท่านั้นแต่เขายังมียันต์ชำระจิตที่ปลุกเสกมาด้วย!
ยันต์ชำระจิตนั้นชื่อของมันก็บ่งบอกอยู่แล้ว่าทำให้คนผู้นั้นกลับมามีสติหรือตื่นไม่เพียงใช้รักษาผู้ที่มีอาการป่วยทางจิตหรือคนบ้าเท่านั้น และประสิทธิผลของมันก็อัศจรรย์อย่างน่าเหลือเชื่ออีกด้วย!
หากใช้ศิลาเกลาใจร่วมกับยันต์ชำระจิตและมังกรคำราม..หลิงหยุนไม่เชื่อว่าเขาจะไม่สามารถเอาชนะการสะกดจิตจากเนตรปีศาจได้
เมื่อคิดได้เช่นนี้แววตาของหลิงหยุนก็เป็นประกายขึ้นมา และรีบวิ่งกลับไปที่ห้องใต้ดินทันที
อาจเป็นเพราะสาเหตุที่เกาเทียนหลงหลบหนีออกมาได้เฉินเจี้ยนกุ่ยจึงต้องหาทางควบคุมคนในตระกูลเกาให้ได้ ด้วยการดื่มเลือดคนตระกูลเกาแทบทั้งหมดเพื่อให้ตนเองสามารถพัฒนาขึ้นอีกขั้นภายในเวลาอันรวดเร็ว จะได้สามารถใช้เนตรปีศาจสะกดจิตควบคุมสมาชิกตระกูลเกาที่เหลืออีกสิบคนไม่ให้ไปใหน
หลังจากที่หลิงหยุนลงไปที่ห้องใต้ดินเขาก็บอกกับเกาเทียนหลงว่าตนเองคิดหาวิธีรักษาทุกคนได้แล้ว จะให้เริ่มรักษาใครก่อนดี
เกาเทียนหลงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงรีบร้องบอกว่า“ท่านพ่อ.. ท่านพ่อมีตำแหน่งเป็นผู้นำตระกูล..”
หลิงหยุนเข้าใจความกังวลและสีหน้าเจ็บปวดของเกาเทียนหลงดีเพราะหลิงหยุนเองก็ยังไม่รู้ว่าจะเกิดอันตรายที่คาดไม่ถึงระหว่างการรักษาหรือไม่ อีกทั้งหากหลิงหยุนสามารถทำการรักษา และปลุกจิตวิญญาณแห่งความเป็นมนุษย์ขึ้นได้จริงๆ พ่อของเกาเทียนหลงจะรู้สึกเจ็บปวดมากเพียงใด?
ทั้งสิบคนล้วนแล้วแต่เป็นญาติพี่น้องใกล้ชิดของเกาเทียนหลงดังนั้นหากจำเป็นต้องเจ็บปวดหรือเสียสละ เขาจึงเลือกที่จะให้พ่อของเขาเป็นผู้ที่แบกรับไว้แทนคนอื่นๆ และหลิงหยุนเองก็เข้าใจความคิดของเกาเทียนหลงดี
ก่อนที่จะเริ่มทำการรักษาเกาซิงฉางนั้นหลิงหยุนได้หันไปพูดกับเขาว่า “เกาเทียนหลงจำเป็นต้องพึ่งพาท่าน ท่านจะต้องไม่เป็นอะไร วางใจได้.. ข้าจะพยายามอย่างสุดความสามารถ”
สีหน้าของเกาเทียนหลงเคร่งเครียดอย่างมากในเวลานั้นเขาเดินเข้าไปใกล้ร่างของเกาซิงฉางที่ตอนนี้เหงื่อออกท่วมตัวไปหมด..
หลิงหยุนไม่พูดอะไรอีกเขาย่อตัวลงและเรียกกระบี่มังกรขาวออกมา จากนั้นจึงเริ่มตวัดกระบี่ไปมา หลิงหยุนใช้มังกรคำรามพร้อมกับใช้ปลายกระบี่มังกรขาวกรีดลงไปที่ลำคอของเกาซิงฉาง
หลิงหยุนพบว่าที่ลำคอของเกาซิงฉางนั้นมีเลือดไหลออกมาไม่มากนักและบาดแผลค่อยๆสมานเข้าหากันอย่างช้าๆ แม้ว่าจะไม่สมานเร็วเท่าพอลกับเจสเตอร์ แต่มันก็สมานกันจนหายดี..
หลิงหยุนเรียกศิลาเกลาใจออกมาและจัดการใช้ปลายแหลมของศิลาเกลาใจจิ้มลงไปที่บาดแผลนั้น
หลังจากผ่านไปนาน..หลิงหยุนก็สังเกตุเห็นว่าสายตาของเกาซิงเฉิงนั้นค่อยๆหายจากอาการเหม่อลอย..
“นับว่ายังมีหนทาง..”
หลิงหยุนยิ้มมุมปากเกาเทียนหลงเองก็ยิ้มอย่างมั่นใจ ยันต์ชำระจิตอยู่ในมือของหลิงหยุนแล้ว เขาสะบัดมือปิดยันต์ลงบนศรีษะของเกาซิงฉาง จากนั้นจึงใช้มังกรคำรามสั่งยันต์ให้ทำงาน!
เสียงของหลิงหยุนนั้นกังวานใสและชัดเจนเขาใช้มังกรคำรามสะกดทุกคนที่อยู่ภายในห้อง จากนั้นแสงสีเขียวสว่างวาบก่อนจะค่อยๆ ซึมหายเข้าสู่ศรีษะของเกาซิงฉาง!’
ร่างกายของเกาซิงฉางสั่นเทิ้มและดวงตาทั้งคู่ของเขาก็เริ่มเปล่งประกายเจิดจ้า..
โอกาสที่ดีเช่นนี้หลิงหยุนไม่ยอมปล่อยให้พลาดอย่างเด็ดขาด!เขารีบใช้มังงกรคำรามร้องสั่งเกาซิงฉาง “จงตื่นขึ้น!”
สิ้นเสียงสั่งการของหลิงหยุนเขาก็รีบส่งกระแสจิตบอกเกาเทียนหลงทันที
-เจ้ายังจะนิ่งเฉยอะไรอยู่อีกรีบๆพูดคุยกับพ่อของเจ้าเร็วเข้า!–
เกาเทียนหลงคุกเข่าลงต่อหน้าเกาซิงฉางพร้อมกับพูดออกไปด้วยน้ำตา“ท่านพ่อ.. ข้าเทียนหลง ข้ามาช่วยท่านแล้ว..”
ช่างเป็นภาพที่น่าสะเทือนใจยิ่งนัก..ภายในห้องใต้ดินเต็มไปด้วยบรรยากาศที่เศร้าสลด แม้แต่หลิงหยุนเองยังรู้สึกหดหู่ใจไปกับภาพที่ได้เห็น เขาหันไปจ้องหน้าพอลกับเจสเตอร์พร้อมกับพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา..
“เป็นผลงานของแวมไพร์อย่างพวกเจ้ายังไงล่ะ!”
ทั้งพอลและเจสเตอร์ได้แต่ยืนกระอักกระอ่วนไม่กล้าแม้แต่จะสบตาหลิงหยุน อีกทั้งยังไม่กล้าจะพูดอะไรแม้แต่คำเดียว จึงได้แต่ยืนก้มหน้านิ่ง
ด้วยประสิทธิผลของศิลาเกลาใจยันต์ชำระจิต และมังกรคำรามที่ทำงานร่วมกัน ทำให้หลิงหยุนสามารถทำลายเนตรปีศาจของเฉินเจี้ยนกุ่ยได้!
ยิ่งไปกว่านั้น..ด้วยอานุภาพของศิลาเกลาใจ เลือดแวมไพร์ที่ถูกถ่ายเทลงไปในร่างของเกาซิงฉางก็ถูกสะกดไว้ชั่วคราว เกาซิงฉางไม่เพียงฟื้นคืนสติเท่านั้น แต่ยังจดจำเกาเทียนหลงได้อีกด้วย
“เทียนหลง!นี่เจ้าจริงๆรึ? เจ้ากลับมาได้อย่างไร? รีบหนีไปเร็วเข้า!”
เกาซิงฉางถูกสกัดจุดไว้เขาจึงไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ และทันทีที่ได้เห็นหน้าเกาเทียนหลง เขาก็รีบร้องบอกให้ลูกชายหนีไปโดยที่ไม่ได้คิดถึงตัวเองเลยแม้แต่น้อย
“ท่านพ่อ..นี่ข้าเอง เทียนหลง! ข้าช่วยท่านออกมาแล้ว ท่านไม่ต้องกังวล ท่านปลอดภัยแล้ว!”
เกาเทียนหลงเห็นพ่อของตนเองฟื้นคืนสติแล้วแม้จะรู้สึกแปลกใจอย่างมาก แต่ก็รีบเข้าไปช่วยคลายจุดให้กับเกาซิงฉางทันที
เกาซิงฉางได้ดื่มเลือดไปอย่างเพียงพอแล้วตอนนี้เขาเป็นแวมไพร์ นอกเหนือจากเรื่องการต้องดื่มเลือดแล้ว ทุกอย่างในร่างกายรวมทั้งสมองก็ยังคงเป็นปกติดี จึงไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง..
เมื่อเกาซิงฉางสามารถเคลื่อนไหวได้อิสระแล้วเขาก็ยังไม่ลุกขึ้นทันที แต่หันไปมองคนอื่นๆ แล้วจึงหันกลับมามองลูกชายของตนเองด้วยดวงตาแดงก่ำ
“ท่านพ่อ..เกิดอะไรขึ้นกับท่านกันแน่”
เกาเทียนหลงจ้องมองเกาซิงฉางอย่างเห็นใจพร้อมกับเอ่ยถามออกไป..