Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร - บทที่ 1000 : ตัวอะไร?
ภายในบ้านเลขที่-1..
ฝ่ามือของซือกงวู่จี๋ที่แนบอยู่บนหน้าอกของเฉี่วยหยิงกงนั้นได้เปลี่ยนเป็นสีแดงคล้ายเลือด และท่ามกลางความมืดมิด รอบตัวของเขาก็เกิดเป็นวงรัศมีสีแดงเจิดจ้า เห็นได้ชัดว่าเขากำลังใช้พลังมารในตัวขจัดพิษในร่างกายของเฉี่วยหยิงกง..
มือซ้ายของเฉี่วยหยิงกงที่ถูกเจ้าทองอ้วนกัดจนเกิดอาการชามานานนั้นค่อยๆ ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ที่ผ่านมามือของเขาไม่เพียงแค่ชาเท่านั้น แต่ฝ่ามือยังบวมเปล่งราวกับอุ้งตีนหมี และแขนข้างซ้ายทั้งแขนก็บวมราวกับแครอทอ้วนๆ อีกทั้งยังได้เปลี่ยนเป็นสีทองจางๆด้วย
แต่เวลานี้สีทองจางๆค่อยๆ เลือนหายไปอย่างรวดเร็ว เหลือเพียงบริเวณข้อมือไปจนถึงปลายนิ้ว และสามารถมองเห็นการเปลี่ยนแปลงนี้ด้วยตาเปล่า
นั่นเพราะพิษในร่างของเฉี่วยหยิงกงนั้นได้ถูกขับให้ไปรวมอยู่ที่ฝ่ามือทั้งหมดแล้ว และเหลือเพียงขั้นตอนสุดท้ายเท่านั้น..
เวลานี้ท่านจินราชันย์นักฆ่าซึ่งได้รับบาดเจ็บที่หน้าอกเพราะยันต์เตโชที่ไป๋เซียนเอ๋อซัดใส่นั้นก็กำลังรับการรักษาจากราชันย์นักฆ่าอีกคน เพื่อเตรียมพร้อมเข้าสู่การต่อสู้ในรอบสุดท้าย..
ส่วนอีกมุมหนึ่งของบ้านนั้น..ไป๋เซียนเอ๋อก็กำลังนั่งขัดสมาธิ และกำลังฟื้นฟูพลังของตนเองอยู่
ฉินตงเฉี่วยในฐานะเสาหลักของบ้านกำลังยืนถือกระบี่ไว้ในมือ และด้านข้างของนางนั้นเป็นแวมไพร์กลายร่างสองตน ซึ่งก็คือพอลกับเจสเตอร์นั่นเอง และเวลานี้ทั้งสามคนก็กำลังยืนอยู่ด้านหน้าเพื่อปกป้องทุกคน..
ฉินตงเฉี่วยไม่คิดที่จะถามอะไรซือกงวู่จี๋อีกในเมื่อไม่มีประโยชน์ที่จะดึงเวลา นางก็ไม่จำเป็นต้องเปลืองน้ำลายอีกต่อไป..
ในขณะที่หนิงหลิงยู่เหมี่ยวเสี่ยวเหมา และคนอื่นๆ นั้น หลังจากที่หายตกใจก็รีบพากันเข้าไปช่วยหวังเฟยฮู๋ เพราะเวลานี้หวังเฟยฮู๋นับว่าได้รับบาดเจ็บสาหัสมาก เรียกได้ว่าเท้าข้างหนึ่งได้ก้าวเข้าสู่ประตูของยมบาลแล้ว แต่ด้วยอานุภาพของยันต์บำบัดที่หลิงหยุนปลุกเสกนั้น ทำให้สามารถยื้อชีวิตของหวังเฟยฮู๋มาจากความตายได้..
ท่ามกลางความสงบนิ่งของทั้งสองฝ่ายฝ่ายหนึ่งกำลังรักษาพิษ ส่วนอีกฝ่ายหนึ่งกำลังรักษาชีวิตคน..
แต่ถึงกระนั้นฉินตงเฉี่วยกับทุกคนต่างก็รู้ดีว่าเมื่อใดก็ตามที่ซือกงวู่จี๋ขับพิษออกจากร่างของเฉี่วยหยิงกงได้แล้ว นั่นย่อมหมายถึงเวลาที่การต่อสู้ครั้งใหม่จะเริ่มต้นขึ้น..
“ขอบคุณท่านโอรสพรรคมาร!คิดไม่ถึงจริงๆว่าพิษของดักแด้ทองคำจะร้ายกาจถึงเพียงนี้ ลำพังตัวข้าเพียงคนเดียว คงยากที่จะขับพิษนั่นออกได้!”
เฉี่วยหยิงกงก้มลงมองแขนซ้ายของตนเองเวลานี้มีเพียงนิ้วชี้นิ้วเดียวเท่านั้นที่ยังคงมีสีทอง ส่วนที่เหลือได้ถูกขจัดพิษออกหมดแล้ว จึงได้แต่เอ่ยขอบคุณซือกงวู่จี๋ด้วยความตื่นเต้นดีใจ
ซือกงวู่จี๋ทำเสียงเย้ยหยัน“ก็ไม่แปลกอะไรที่เจ้าจะไม่สามารถขับพิษเองได้ ดักแด้ทองคำตัวนี้เทพธิดาแห่งเผ่าเหมี่ยวเจียง – เหมี่ยวเฟิงหวง เป็นผู้เพาะเลี้ยงมาด้วยตัวเองอย่างยากลำบากนานนับสิบปี พิษของดักแด้ทองคำตัวนี้จึงต้องร้ายกาจเป็นธรรมดา..”
ซือกงวู่จี๋เหลือบมองเจ้าทองอ้วนที่กำลังบินอยู่ไกลๆพร้อมกับหันไปพูดกับเฉี่วยหยิงกงด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“ความจริงท่านนับว่าโชคดีมากที่ดักแด้ทองคำตัวนี้ไม่กัดเข้าที่ลำตัวของท่าน ไม่เช่นนั้นแล้วแม้แต่ข้า หรือแม้แต่เซียนองค์ใด ก็คงช่วยท่านไม่ได้!”
เจ้าทองอ้วนที่บินวนเวียนอยู่เหนือศรีษะของเหมี่ยวเสี่ยวเหมานั้นเมื่อได้ฟังคำพูดของซือกงวู่จี๋ มันก็กระพือปีกเสียงดังใส่ คล้ายกับจะบอกว่ามันกำลังไม่พอใจ..
เจ้าทองอ้วนนั้นช่างเฉลียวฉลาดนักมันสามารถเข้าใจภาษามนุษย์ เมื่อได้ยินซือกงวู่จี๋เอ่ยชมว่าพิษของมันร้ายกาจ ก็ภูมิอกภูมิใจ แต่กลับโมโหเมื่อได้ยินว่าอีกฝ่ายสามารถระงับพิษของตนเองไว้ได้..
ในที่สุดหยดน้ำสีทองเข้มข้นขนาดเท่าเมล็ดข้าวฟ่างก็หยดออกนิ้วชี้ของเฉี่วยหยิงกง และซึมหายลงไปในพื้นดินทันที!
ซือกงวู่จี๋จัดการถอนฝ่ามือออกจากหน้าอกของเฉี่วยหยิงกงจากนั้นจึงเงยหน้ามองไปทางป่าลึกบนเขาไกลๆ ก่อนจะรีบหันหน้ากลับมาอย่างรวดเร็ว
จากนั้นซือกงวู่จี๋ก็หันไปมองแวมไพร์กลายร่างสองตนที่ยืนอยู่ข้างฉินตงเฉี่วยแต่แววตาของเขานั้นกลับสงบนิ่ง ไม่มีแม้แต่ความแปลกใจ หรือตกใจเลยแม้แต่นิดเดียว..
ตั้งแต่เริ่มฝึกฝนร่ำเรียนวิชาในพรรคมารนั้นโอรสพรรคมารก็มีโอกาสได้เดินทางไปมาหลายสถานที่ทั่วโลก เพื่อศึกษาเกี่ยวกับเรื่องลี้ลับต่างๆบนโลกใบนี้ แม้แต่เจ้าชายแห่งแวมไพร์ เขาก็เคยพบเจอมาแล้ว มีหรือที่จะตื่นเต้นกับแวมไพร์สองตนที่อยู่ข้างหน้านี้!
ริมฝีปากของซือกงวู่จี๋ขยับไปมาแต่ไม่มีเสียง..เขากำลังสื่อสารกับเฉีวยหยิงกง และราชันย์นักฆ่าทั้งสองผ่านกระแสจิตนั่นเอง
–พวกเราจะสู้กับพวกมันตัวต่อตัวอย่าให้มีใครหนีออกไปจากที่นี่ได้แม้แต่คนเดียว–
จากนั้น..เสียงเย็นชาก็ดังออกมาจากปากของซือกงวู่จี๋ “สังหารพวกมันให้หมด!”
สิ้นเสียงสั่งการของซือกงวู่จี๋ทั้งสองฝ่ายก็หันมาเผชิญหน้ากันอีกครั้ง และต่างฝ่ายต่างก็มุ่งมั่นที่จะสังหารฝ่ายตรงข้ามให้ได้..
ไป๋เซียนเอ๋อลุกขึ้นยืนแล้วกระโดดไปยืนอยู่ตรงหน้าซือกงวู่จี๋ทันที..
ฉินตงเฉี่วยเองก็ถือกระบี่ในมือตรงเข้าประจันหน้ากับเฉี่วยหยิงกงเจ้าสำนักโลหิตมารเช่นกัน
ส่วนพอลกับเจสเตอร์มีหน้าที่รับมือกับราชันย์นักฆ่าทั้งสองคน..
เวลานี้ยอดฝีมือทั้งแปดคน– สี่ต่อสี่! กำลังประมือกันอยู่ท่ามกลางความมืดที่มีเพียงแสงสลัวจากดวงดาว และดวงจันทร์ที่หม่นหมอง..
ภายในบ้านเลขที่-1มีเพียงเสียงร้องตะโกน เสียงอาวุธกระทบกัน เสียงปะทะของหมัดและฝ่ามือ เสียงกิ่งไม้ และต้นไม้แตกหัก รวมทั้งเสียงอื่นๆ ประสมปนเปกันไปหมด แต่โดยรวมแล้วมันคือเสียงต่อสู้กันอย่างดุเดือด และเต็มไปด้วยความรุนแรง..
หากไม่ได้เห็นด้วยตาตัวเองก็คงจะไม่มีใครเชื่อว่าภายในบ้านใหญ่โตหรูหรากลางใจเมืองเช่นนี้ จะมีสภาพที่น่ากลัว และน่าสยอดสยองถึงเพียงนี้ได้!.ไอรีนโนเวล.
ตูม!
ไป๋เซียนเอ๋อใช้ฝ่ามือเพลิงสวรรค์เข้าจู่โจมซือกงวู่จี๋แต่ซือกงวู่จี๋ก็ใช้ฝ่ามือโลหิตเข้าต้านไว้ และทุกครั้งที่ฝ่ามือทั้งสองปะทะกัน กลิ่นคาวเลือดก็คลุ้งกระจายอย่างรุนแรง จนผู้ที่อยู่รอบๆ แทบจะอาเจียนออกมา
พอลกับเจสเตอร์ที่กลายร่างแล้วนั้นร่างกายก็ใหญ่โต และความเร็วก็พุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว ทั้งคู่ต่างก็พุ่งเข้าจู่โจมราชันย์นักฆ่าขั้นเซียงเทียน-8 ทั้งสองคนอย่างไม่รีรอ..
ในขณะที่ฉินตงเฉี่วยซึ่งนับว่าอ่อนด้อยที่สุดในบรรดาสี่คนนั้นนางก็ได้เรียกยันต์เทวะเหิน และยันต์เกราะออกมาใช้ อีกทั้งยังโคจรดาราคุ้มกายปกป้องร่างกายไว้ และยังมีวิชาตัวเบาอย่างมังกรพรางร่างเพื่อใช้หลบหลีกศัตรู กับเพลงกระบี่นวสังหารสำหรับเข่นฆ่าฝ่ายตรงข้าม!
เฉี่วยหยิงกงนั้นตื่นเต้นอย่างมากเขาอยู่ในระดับเริ่มต้นขั้นเซียงเทียน-8 ในขณะที่ฉินตงเฉี่วยอยู่ในระดับเริ่มต้นขั้นเซียงเทียน-5 เห็นได้ชัดว่าเฉี่วยหยิงกงเป็นฝ่ายได้เปรียบอย่างมาก เขาจึงมองเห็นชัยชนะของตนเองอยู่เพียงแค่เอื้อม..
แต่เมื่อประมือกันนั้น..เฉี่วยหยิงกงก็ถึงกับตกใจจนแทบช็อค นั่นเพราะเขาเพิ่งรู้ตัวว่าตนเองประเมินฉินตงเฉี่วยผิดไปมาก และดูเหมือนว่านางจะแข็งแกร่งกว่าที่เขาคิดไว้..
แม้ว่าวิชาตัวเบาของนางจะไม่ได้เหนือไปกว่าเขานักแต่ร่างกายกลับดูเหมือนจะแข็งแกร่งกว่ามาก ฉินตงเฉี่วยนั้นเป็นผู้หญิง แต่เหตุใดจึงมีร่างกายที่แข็งแกร่งเทียบเท่ายอดฝีมือขั้นเซียงเทียน-8 ได้!
แน่นอนว่าฉินตงเฉี่วยไม่บอกกับเฉี่วยหยิงกงว่าเป็นเพราะนางได้ฝึกวิชาดาราคุ้มกาย!
นอกเหนือจากความแข็งแกร่งของร่างกายแล้วเพลงกระบี่ของฉินตงเฉี่วยก็ทำให้เฉี่วยหยิงกงยากที่จะต้านทานได้เช่นกัน!
นั่นคือเพลงกระบี่นวสังหารที่มีพลังเข่นฆ่ารุนแรงซึ่งหลิงหยุนเป็นผู้ถ่ายทอดให้หากเฉี่วยหยิงกงสามารถรับมือได้ง่ายๆ เขาก็คงต้องเป็นปีศาจแล้ว..
อีกทั้งเฉี่วยหยิงกงเองก็ไม่กล้าที่จะรับกระบี่อ่อนในมือของฉินตงเฉี่วยด้วยเพราะดูเหมือนกระบี่เล่มนั้นจะมีรังสีสังหารพวยพุ่งออกมาอย่างรุนแรง เฉี่วยหยิงกงจึงไม่กล้าใช้มือฝ่ามือทั้งสองข้างของตนเองต้านกระบี่ที่น่ากลัวเล่มนี้..
วิชาดาราคุ้มกายวิชามังกรพรางร่าง วิชากระบี่นวสังหาร กระบี่มังกรขาว ใช้ควบคู่กับยันต์เทวะเหิน และยันต์เกราะ ทำให้การสังหารยอดฝีมือขั้นเซียงเทียน-8 นั้น ไม่ใช่เรื่องที่ยากเย็นสำหรับฉินตงเฉี่วยนัก!
อีกทั้งเวลานี้ฉินตงเฉี่วยก็มีจิตใจที่ฮึกเหิมไม่ต่างจากทหารกล้าในสงครามเวียดนามแม้ก่อนหน้านี้นางจะยังดูไม่มั่นใจนัก แต่ยิ่งต่อสู้ นางก็ยิ่งมีความมั่นใจมากขึ้น แววตาที่มุ่งมั่นจะเอาชนะของนางนั้น จับจ้องอยู่ที่ร่างของคู่ต่อสู้ตรงหน้าเพียงอย่างเดียว!
‘เจ้าเด็กดื้อ..’
ในเวลานั้นเอง..ฉินตงเฉี่วยเพิ่งจะเข้าใจว่าสิ่งที่หลิงหยุนมอบให้กับนางนั้น แม้จะไม่มากมาย แต่ก็เป็นสิ่งที่ใครก็ยากที่จะได้มาง่ายๆ
ภายในบ้านเลขที่-1เวลานี้มีแต่การฟาดฟันใส่กันอย่างไม่หยุดหย่อน..
“โอ้โห..นี่ตื่นเต้นยิ่งกว่าหนังกำลังภายในซะอีก!”
ถังเมิ่งจ้องมองการต่อสู้ในสนามหญ้าทั้งสองฝ่ายต่างก็รวดเร็ว และรุนแรง จนถังเมิ่งรู้สึกว่าดวงตาสองคู่ของเขานั้นไม่เพียงพอที่จะมองภาพทั้งหมดได้ครบ เขาได้แต่ทึ่งจนถึงกับต้องร้องอุทานออกมา จากนั้นจึงหันไปพูดจาเหน็บแนมตี้เสี่ยวอู๋..
“นี่..ฉันเห็นนายฝึกวิชาทุกวัน เมื่อไหร่จะเก่งเหมือนพวกเขาสักที แม้แต่ฉัน.. นายยังปกป้องคุ้มครองไม่ได้เลย!”
ตี้เสี่ยวอู๋กรอกตาดุดันคู่นั้นของตนเองไปมาพร้อมกับกำหมัดทั้งสองข้างไว้แน่นเขากำลังจ้องมองการต่อสู้ตรงหน้า โดยไม่สนใจคำพูดของถังเมิ่ง..
หนิงหลิงยู่หลินเมิ่งหาน เหยาลู่ และคนอื่นๆ เองก็เช่นกัน สายตาของทุกคนต่างก็จับจ้องอยู่ที่การต่อสู้ในสนาม แต่ในขณะเดียวกันก็คอยระมัดระวังการจู่โจมของฝ่ายตรงข้ามไปด้วย
เหมี่ยวเสี่ยวเหมาได้สั่งการให้เจ้าทองอ้วนบินขึ้นไปอยู่เหนือศรีษะของฉินตงเฉี่วยคอยทำหน้าที่คุ้มครองนาง
ส่วนไป๋เซียนเอ๋อนั้นแม้จะต้องประมือกับซือกงวู่จี๋ที่แข็งแกร่งนั้น ก็ยังสามารถรับมือได้ เพราะไม่ต้องคอยกังวลที่จะต้องคุ้มครองคนที่เหลือ ส่วนแวมไพร์ทั้งสองตนนั้นก็ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง..
เหมี่ยวเสี่ยวเหมารู้ดีว่าฉินตงเฉี่วยนั้นเปรียบเสมือนเสาหลักของบ้านและตราบใดที่หลิงหยุนยังไม่กลับมา เธอจะต้องคอยคุ้มครองฉินตงเฉี่วยให้ดีที่สุด..
จนกระทั่งมั่นใจว่าฉินตงเฉี่วยเป็นฝ่ายได้เปรียบคู่ต่อสู้แล้ว..เหมี่ยวเสี่ยวเหมาจึงดึงขลุ่ยที่ทำจากกระดูกออกมา พร้อมกับสั่งให้เจ้าทองอ้วนทำหน้าที่บินคุ้มครองอยู่บนท้องฟ้า..
เหมี่ยวเสี่ยวเหมาแนบขลุ่ยที่ทำจากกระดูกเลานั้นไว้ที่ริมฝีปากและเริ่มเป่า เพียงแต่เสียงที่ออกจากขลุ่ยนั้นกลับไม่ใช่เสียงเพลงที่ไพเราะ แต่มันเป็นเพียงแค่เสียงสั้นยาว และบางครั้งก็เป็นเสียงสูงต่ำ หรือบางครั้งก็ไม่มีเสียงอะไรออกมาเลย..
แต่ในระหว่างที่ทุกคนกำลังจดจ่ออยู่กับการต่อสู้อยู่นั้นไม่มีใครสังเกตเห็นว่าเหล่ายอดฝีมือที่ถูกสังหารตาย และมีบาดแผลตามร่างกายนั้น เลือดในกายกลับไม่แข็งตัว และค่อยๆ ไหลออกจากร่างแทรกซึมลงไปใต้พื้นดิน และเวลานี้เลือดเหล่านั้นก็ค่อยๆ ก่อตัวกลายเป็นควันสีแดงลอยขึ้นมาจากพื้นดิน..
ภายในบ้านเลขที่-1นั้นมีซากศพเกือบร้อยนอนเกลื่อนกลาด และเลือดไหลเจิ่งนองไปหมด อีกทั้งกลิ่นคาวเลือดก็ตลบอบอวลไปทั่วทั้งบริเวณบ้าน..
ควันสีเลือดนั้นรวมตัวกันหนาแน่นมากขึ้นเรื่อยๆก่อนจะค่อยๆพุ่งตรงไปทางโกดังหลังเล็กที่สวนด้านหลัง และพุ่งผ่านประตูโกดังนั้นไป จนเวลานี้ประตูโกดังได้กลายเป็นสีแดงเข้ม..
ภายในห้องเก็บของเล็กๆนั้น.. เฉินเจี้ยนกุ่ยที่นอนอยู่บนพื้นกำลังดิ้นขลุกขลักไปมาอย่างยากลำบาก แต่สีหน้านั้นกลับเต็มไปด้วยความตื่นเต้นดีใจอย่างที่สุด!
เพราะเวลานี้ประคำโลหิตที่ซ่อนอยู่ในจุดตันเถียนของเฉินเจี้ยนกุ่ยก็กำลังถูกกระตุ้น!
และในนาทีนั้นเอง..กลุ่มควันสีเลือดก็พุ่งจากประตูโกดังทะลุเข้าสู่จุดตันเถียนของเฉินเจี้ยนกุ่ยทันที!
ในที่สุดเฉินเจี้ยนกุ่ยก็สามารถลุกขึ้นนั่งได้..เขาหลับตาเดินพลังปราณภายในร่างกาย และด้วยอานุภาพของประคำโลหิต ทำให้เฉินเจี้ยนกุ่ยสามารถเดินวิชามารโลหิตได้สำเร็จ!
เฉินเจี้ยนกุ่ยเดินลมปราณกลับไปกลับมาหลายครั้งและในที่สุดจุดต่างๆภายในร่างกายที่ถูกหลิงหยุนสกัดไว้นั้น ก็ถูกพลังปราณที่หมุนอย่างรวดเร็วภายในร่างกายของเฉินเจี้ยนกุ่ยทลายคลายออกได้!
“ฮ่า..ฮ่า.. ฮ่า..”
เฉินเจี้ยนกุ่ยกางแขนทั้งสองข้างออกและเชือกซึ่งทำจากผ้าแพรไหมดำที่ผูกมัดร่างของเขาไว้นั้นก็ขาดออกทันที!
เฉินเจี้ยนกุ่ยแสยะยิ้มออกมาอย่างเหี้ยมเกรียมแต่มันไม่รีบหนีออกจากโกดังเก็บของเร็วนัก และยังคงนั่งนิ่งทำการเดินลมปราณ เพื่อดูดซับเอากลุ่มควันสีเลือดนั้นเข้าไปในร่างกายเรื่อยๆ
ในขณะเดียวกัน..ลึกไปในป่าทึบบนเขาที่อยู่ด้านหลังบ้านเลขที่-1 นั้น นักบวชซึ่งมีจมูกงองุ้มคล้ายเหยี่ยวคนหนึ่ง ในมือถือกลองเล็กๆ และกำลังเดินออกมาจากป่าลึกที่ซ่อนตัวอยู่
ส่วนด้านหลังของเขานั้น..มีบางสิ่งบางอย่างรูปร่างเตี้ยๆ และบนศรีษะก็มีหมวกไม้ไผ่..