Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร - บทที่ 1028 : หนิงหลิงยู่เข้าสู่ขั้นเซียงเทียน!
- Home
- Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร
- บทที่ 1028 : หนิงหลิงยู่เข้าสู่ขั้นเซียงเทียน!
ครึ่งชั่วโมงต่อมาตี้เสี่ยวอู๋ก็พาทุกคนเข้าสู่ถนนหลินเจียง..
ทางด้านทิศเหนือของถนนหลินเจียงนั้นเป็นแม่น้ำส่วนสองข้างทางยังคงเป็นอาคารบ้านเรือนที่เก่าซอมซ่อไม่ต่างจากเมื่อก่อน..
หลังจากที่ถูกหลิงหยุนรื้อสำนักงานตั้งแต่คราวนั้นจนถึงตอนนี้กู่เหลียนเฉิงก็ไม่สามารถทำการรื้อถอนบ้านเรือนที่เก่าทรุดโทรมบนถนนหลินเจียงได้อีกเลย แม้แต่บริษัทอสังหาริมทรัพย์อื่นๆ ก็ไม่มีใครกล้าที่จะริเริ่มความคิดนี้อีก!
ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิมไม่ต่างจากก่อนหน้านี้เพียงแต่อารมณ์ความรู้สึกของหลิงหยุนนั้นเปลี่ยนไป นั่นเพราะเวลานี้ความทรงจำ และความรู้สึกเก่าๆของหลิงหยุนได้กลับคืนมาแล้ว..
เขาจำได้แม้กระทั่งว่าโรงเรียนอนุบาลที่เขาเคยเรียนนั้นอยู่ที่ใหนรวมทั้งโรงเรียนมสมัยประถม และมัธยมต้นอีกด้วย..
เพื่อนเล่นในสมัยเด็กสถานที่ที่เคยชกต่อยกับเพื่อน ลุงจ้าวขายขนมปัง รวมทั้งเจ้าของร้านก๋วยเตี๋ยวที่ใจดีที่คอยดูแลตนเอง..
ระหว่างทางที่ขับผ่านไปนั้นหลิงหยุนก็ระลึกถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่เคยเกิดขึ้นกับตนเองในอดีต..
และเมื่อมาถึงหน้าคลินิกประชาชนของนางฉินจิวยื่อหลิงหยุนก็ลูบแผ่นหลังของหนิงหลิงยู่อย่างอ่อนโยนพร้อมกับกระซิบว่า
“หลิงยู่..ถึงบ้านแล้ว!”
หลิงหยุนเงยหน้าขึ้นมองอาคารเตี้ยๆที่เวลานี้ถูกทุบจนเหลือเพียงซากปรักหักพัง และรกร้าง..
หลิงหยุนจ้องมองสภาพบ้านที่ตนเองอยู่มาตั้งแต่เกิดก็ถึงกับกำศิลากลั่นวิญญาณในมือไว้แน่น และแทบอยากจะฆ่ากู่เหลียนเฉิงกับเถียนป๋อเตาให้ตาย..
“เซียนเอ๋อ..เจ้ารออยู่ที่นี่ก่อน ข้ากับหลิงยู่จะเดินไปดูรอบๆ” หลิงหยุนเดินลงจากรถพร้อมกับหันไปสั่งไป๋เซียนเอ๋อ
ไป๋เซียนเอ๋อเองก็ดูเหมือนจะเข้าใจอารมณ์ความรู้สึกของหลิงหยุนได้ดีนางจึงนั่งอยู่ในรถอย่างว่าง่าย..
หลิงหยุนและหนิงหลิงยู่เดินดูรอบๆบ้านที่พังราบเป็นหน้ากองด้วยความรู้สึกที่ไม่ต่างกัน ทั้งคู่ต่างก็นิ่งเงียบไม่พูดไม่จากันครู่ใหญ่ จนกระทั่งหลิงหยุนเป็นฝ่ายถามขึ้นทำลายความเงียบ..
“หลิงยู่..พี่ใหญ่คนก่อนกับพี่ใหญ่คนนี้ เธอชอบคนใหนมากกว่ากัน”
หนิงหลิงยู่ได้ฟังคำถามของหลิงหยุนก็ถึงกับสั่นสะท้านอย่างรุนแรง!
แต่ถึงกระนั้นก็รีบปกปิดอารมณ์ความรู้สึกที่พลุ่งพล่านอยู่ในใจดวงหน้างดงามนั้นเหม่อมองออกไปไกล ก่อนจะพูดขึ้นออกไปอย่างไม่ตรงกับใจ..
“พี่ใหญ่ก็คือพี่ใหญ่..ทำไมต้องมีคนก่อนกับคนนี้ด้วยล่ะ”
หลิงหยุนยิ้มจนเห็นฟันขาวและลักยิ้มบุ๋มลึก ก่อนจะพูดขึ้นว่า “เด็กโง่.. ตอบตามความรู้สึกจริงๆของเธอสิ!”
หนิงหลิงยู่ถึงกับสั่นสะท้านอีกครั้งเธอส่ายหน้าไปมาจนผมสีดำยาวสลวยราวน้ำตกนั้นปลิวไสว และใบหน้างดงามก็เปื้อนไปด้วยน้ำตา..
“พี่ใหญ่..!”
หลิงหยุนหัวเราะพร้อมกับยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาให้กับหนิงหลิงยู่แล้วพูดขึ้นว่า “เอาล่ะ.. ไม่อยากตอบก็ไม่ต้องตอบ! แต่ว่า.. พี่จะจัดการกับคนที่งอน และโกรธพี่มาตลอดหกปียังไงดีนะ”
หนิงหลิงยู่หน้าแดงก่ำและรีบหันหน้าหนีพร้อมกับร้องตะโกนออกมา “ฉันไม่สนใจพี่แล้ว!”
หลิงหยุนก้าวไปข้างหน้าพร้อมกับใช้สองมือจับไหล่หนิงหลิงยู่ไว้เบาๆและอธิบายว่า
“หลิงยู่..พี่ใหญ่เข้าใจดีว่าเพราะอะไรเธอถึงต้องทำแบบนั้น เพียงแต่ตอนนั้นเธอยังไม่รู้ว่า.. ตั้งแต่พี่เกิดมานั้น เส้นลมปราณหยางเจี่วยของพี่ได้ถูกทำลาย และจะสามารถมีชีวิตอยู่ได้ไม่เกินยี่สิบปี..”
หนิงหลิงยู่ชะงักและเงยหน้าขึ้นจ้องมองใบหน้าของหลิงหยุนอยู่เนิ่นนาน..
จู่ๆภาพในวัยเด็กของหลิงหยุนตั้งแต่มัธยมต้น มัธยมปลาย เรื่อยมาจนถึงในวันที่หลิงหยุนถูกสายฟ้าเทวะสีทองฟาดใส่ร่างต่อหน้าหนิงหลิงยู่ ก็ปรากฏขึ้นเป็นฉากๆอยู่ตรงหน้า..
จากนั้นหนิงหลิงยู่จึงก้มหน้าลงพร้อมกับระเบิดน้ำตาออกมาด้วยความเสียใจ..
“พี่ใหญ่..ฉันขอโทษ ฉันเสียใจที่ทำไปแบบนั้น ตอนนั้นฉันไม่รู้ว่าเพราะอะไรจู่ๆพี่ถึงได้เปลี่ยนไปแบบนั้น เปลี่ยนเป็นคนอ่อนแอ แล้วก็ไม่สู้คน ฉันแค่คิดว่า.. พี่ไม่ควรเป็นแบบนั้น..”
“แต่ถึงแม้พี่จะเปลี่ยนไปขนาดใหนพี่ก็ยังคงปกป้องฉันอยู่ตลอดเวลาด้วยวิธีของพี่เอง! แม้ว่ามันจะเป็นวิธีที่ฉันไม่ชอบเลยก็ตาม..”
ในที่สุดคำพูดมากมายก็พร่างพรูออกจาปากของหนิงหลิงยู่และน้ำตาก็ไหลพรากออกมาจากดวงตาทั้งสองข้าง เธอสะอึกสะอื้นจนสั่นไปทั้งร่าง..
หลิงหยุนถอนหายใจพร้อมกับเอื้อมมือไปเช็ดน้ำตาที่ไหลอาบแก้มให้อย่างอ่อนโยนก่อนจะยิ้มและพูดขึ้นว่า
“เธอยังจำได้มั๊ยตอนอายุสิบสอง.. พี่ถูกคนชกกลับมาจนหน้าบวม เธอไม่เพียงเยาะเย้ยถากถางพี่ แต่ยังแลบลิ้นปลิ้นตาใส่พี่ด้วย พี่ยังจำได้ว่าแม่ไม่คุยกับเธอเป็นอาทิตย์!”
หนิงหลิงยู่ถึงกับอึ้งไปอีกครั้ง!
ใบหน้าของเธอซีดเผือดและจ้องมองหลิงหยุนพร้อมกับถามขึ้นว่า “พี่ใหญ่.. นี่.. นี่ความทรงจำของพี่กลับคืนมาแล้วเหรอ พี่.. พี่จำทุกอย่างได้แล้วจริงๆเหรอ?”
ในโลกใบนี้..มีความลับที่ไม่สามารถพูดได้เสมอ!
หนิงหลิงยู่เองก็เช่นกัน..มีเรื่องหนึ่งที่ดูเหมือนว่าเธอจะไม่สามารถพูดมันออกมาได้ ถามใครก็ไม่ได้ และบอกใครยิ่งไม่ได้..
ซึ่งก็คือเรื่องที่หลิงหยุนเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือแต่กลับต้องสูญเสียความทรงจำทั้งหมดไป..
เขาและเธอเป็นเพื่อนในวัยเด็กเป็นพี่ชายน้องสาวที่เติบโตมาด้วยกัน หลังจากที่หลิงหยุนเปลี่ยนไปอย่างมาก แต่ก็ต้องสูญเสียความทรงจำที่เคยมี แม้ว่าเธอจะปกปิดเรื่องนี้ไว้กับตัวเอง แต่มันก็คือความจริงที่เธอต้องยอมรับ!
ตั้งแต่ที่หลิงหยุนเปลี่ยนเป็นผู้ชายที่แข็งแกร่งและเก่งกาจไปทุกด้านนั้น เขาก็ไม่เคยพูดถึงเรื่องในอดีตอีกเลย ไม่เคยเลยสักครั้ง!
และนี่คือความเจ็บปวดของหนิงหลิงยู่หากวันนี้หลิงหยุนไม่พาเธอกลับมาที่นี่ หนิงหลิงยู่ก็คงจะรู้สึกเจ็บปวดเพราะเรื่องนี้ไปตลอดชีวิต และเรื่องนี้ก็เปรียบเสมือนหนามแหลมที่คอยทิ่มแทงใจเธอ..
หนิงหลิงยู่รู้สึกมาตลอดว่าเธอยังไม่มีโอกาสได้ทำอะไรเพื่อไถ่โทษให้กับพี่ใหญ่ผู้อ่อนแอเพราะยังไม่ทันที่จะได้เข้ามหาวิทยาลัยด้วยซ้ำไป ทุกอย่างในครอบครัวก็เปลี่ยนไปในทางที่ดีราวกับความฝัน! และความเปลี่ยนแปลงทั้งหมดนั้นเกิดขึ้นได้เพราะหลิงหยุน.. แต่ก็ต้องแลกมาด้วยความทรงจำของเขาที่หายไป!
มันคุ้มค่ากับสิ่งที่เสียไปจริงๆอย่างนั้นหรือ
หนิงหลิงยู่เฝ้าถามคำถามนี้กับตนเองมานับครั้งไม่ถ้วนและเธอเองก็ไม่สามารถตอบได้ว่าหลิงหยุนคนใหนแน่ที่เธอต้องการ
หลิงหยุนนั้นรู้ว่าหนิงหลิงยู่เป็นเด็กสาวที่เฉลียวฉลาดเธอคงต้องสัมผัสได้ถึงความผิดปกตินี้ได้อย่างแน่นอน เพียงแต่ไม่เคยเอ่ยถามออกมาเท่านั้น..
หลิงหยุนไม่ตอบคำถามของหนิงหลิงยู่ตรงๆแต่ชี้ไปตรงตำแหน่งที่เคยตั้งโต๊กินข้าวพร้อมกับพูดขึ้นว่า
“หลิงยู่..เธอยังจำได้มั๊ย เมื่อคราวที่สอบกลางภาคครั้งหนึ่ง เธอสอบได้ที่หนึ่งของโรงเรียน ส่วนพี่สอบได้ที่โหล่ กลับมาบ้านเธอก็มาอวดแม่ต่อหน้าพี่ แต่แม่กลับทำอาหารอร่อยให้พี่กิน แล้วก็ไม่ยอมกินข้าวเย็นร่วมโต๊ะกับเธอ!”
หนิงหลิงยู่นั้นเฉลียวฉลาดการที่หลิงหยุนเลือกที่จะไม่ตอบ และพูดเรื่องนี้ขึ้นมานั้น นับว่าแทนคำตอบได้เป็นอย่างดี เธอจึงไม่ถามเรื่องความทรงจำของเขาอีก และพูดขึ้นว่า
“นั่นน่ะสิ!ก็เพราะแบบนี้ไงล่ะ ฉันถึงได้เข้าใจผิดมาตั้งนานว่าพี่เป็นลูกแท้ๆของแม่..”
จากนั้นสองพี่น้องก็มองหน้ากันนิ่งนาน..ก่อนจะระเบิดเสียงหัวเราะออกมาพร้อมกัน
แต่แล้วในที่สุดหนิงหลิงยู่ก็อดรนทนไม่ได้จึงได้ถามออกมาด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“พี่ใหญ่..แล้วมันเกิดอะไรขึ้นงั้นเหรอ ทำไมจู่ๆพี่ถึงได้ไปวิ่งแบกกระสอบทรายแบบนั้น? พี่บอกฉันได้มั๊ย?”
หลิงหยุนมองหน้าหนิงหลิงยู่ที่ดูจริงจังอยู่ครู่หนึ่ง..จึงร่ายกลอนบทหนึ่งขึ้นมาพร้อมกับยิ้มเล็กน้อย..
ริมฝีปากเล็กๆของหนิงหลิงยู่ถึงกับอ้ากว้างด้วยความตกตะลึงอีกครั้ง..
หลิงหยุนได้แต่คิดในใจว่า..‘ข้าบอกเจ้าได้เพียงเท่านี้ ความจริงบางเรื่องข้าก็ไม่สามารถบอกกับเจ้าได้!’
เวลานี้หนิงหลิงยู่อยู่ในระดับสูงสุดขั้นโฮ่วเทียน-9แล้ว ภายใต้แสงอาทิตย์ที่ร้อนแรง หนิงหลิงยู่ยังคงท่องกลอนบทนั้นซ้ำไปซ้ำมา ระหว่างนั้นพลังปราณซึ่งเกิดจากการฝึกวิชาคลื่นคงคาก็เริ่มหมุนเวียนภายในร่างของหนิงหลิงยู่อย่างรวดเร็ว!
และเวลานี้ภายใต้กายอัปสรของหนิงหลิงยู่พลังอมตะจากพู่กันจักรพรรดิ และสมุดจักรพรรดิ ปราณมังกร และพลังชีวิตจากน้ำ ต่างก็ไหลเวียนไปตามเส้นลมปราณวิสามัญทั้งแปดของหนิงหลิงยู่ราวกับกระแสน้ำที่คลุ้มคลั่งรุนแรง!
แม่น้ำที่อยู่ทิศเหนือของถนนหลินเจียงเริ่มก่อตัวเป็นคลื่นสูงราวกับมังกรตัวใหญ่ ก่อนจะกลายเป็นคลื่นลูกใหญ่ที่สูงกว่าสิบเมตรลูกแล้วลูกเล่า..
ไป๋เซียนเอ๋อเพียงแค่เหลือบมองหนิงหลิงยู่ด้วยหางตาก็รู้ได้ทันทีว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้น นางจึงรีบสร้างค่ายกลลวงตาขึ้นมาทันที!
ขณะเดียวกันนั้น..ตี้เสี่ยวอู๋เองก็วิ่งออกมาจากรถเช่นกัน หลังจากที่ได้ยินเสียงคลื่นในแม่น้ำซัดดังคลืนๆ พลังนู่เตาในร่างของตี้เสี่ยวอู๋ที่ฝึกฝนด้วยกระแสน้ำ ก็พลุ่งพล่านขึ้นในร่างกายของเขาเช่นกัน!
ไป๋เซียนเอ๋อเห็นเช่นนั้นจึงไม่ลังเล และรีบสร้างค่ายกลลวงตาขึ้นทันที เพื่อไม่ให้มีสิ่งใดรบกวนตี้เสี่ยวอู๋ได้!
ทางด้านตะวันออกของเมืองจิงฉูนั้นเป็นทะเลและเวลานี้น้ำทะเลในอ่าวจิงฉู และน้ำในแม่น้ำต่างก็พากันเกิดเป็นคลื่นขนาดใหญ่ซัดครืนๆ อย่างรุนแรง..
ตูม!
หลิงหยุนได้ยินเสียงระเบิดภายในร่างกายของหนิงหลิงยู่และรู้ว่าเส้นลมปราณเยิ่นกับเส้นลมปราณตูของหนิงหลิงยู่นั้นได้เปิดออกแล้ว และในที่สุดเธอก็ได้เข้าสู่ขั้นเซียงเทียนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว!
วิชาคลื่นคงคาของหนิงหลิงยู่สำเร็จขึ้นไปอีกหนึ่งขั้นและเวลานี้น้ำในแม่น้ำจิงฉูเกือบทุกสายต่างก็หมุนเป็นเกลียวขึ้นกลางอากาศพร้อมๆกัน และกลายเป็นสายรุ้งเจ็ดสีที่ส่งผลอย่างมากต่อร่างกายของหนิงหลิงยู่ด้วย!
เวลานี้..ผืนดินในจิงฉูกว่าครึ่งเมืองถึงกับสั่นสะเทือนไปหมด!
หนิงหลิงยู่เข้าสู่ระดับเริ่มต้นขั้นเซียงเทียน-1ได้แล้ว ในขณะที่ตี้เสี่ยวอู๋ข้ามจากระดับสูงสุดขั้นโฮ่วเทียน-6 ไปโฮ่วเทียน-7 และในที่สุดก็ไปหยุดอยู่ที่ระดับสูงสุดขั้นโฮ่วเทียน-9!
เส้นลมปราณเยิ่นกับเส้นลมปราณตูของหนิงหลิงยู่เปิดออกและเอกภพแห่งมนุษย์และสวรรค์รวมเป็นหนึ่งเข้าสู่ขั้นเซียงเทียน-1ได้ในที่สุด..
หนิงหลิงยู่ยังคงนั่งหลับตานิ่งหันหน้าไปทางทิศเหนือ มือเรียวงามทั้งสองข้างกางออก และกำลังอาบพลังชีวิตจากสายรุ้งที่งดงามนั้น..
หนิงหลิงยู่แม้จะยังคงนั่งหลับตาแต่ภาพสายรุ้งที่งดงามบนท้องฟ้า และภาพกระแสคลื่นในแม่น้ำกลับปรากฏขึ้นในห้วงมโนภาพของเธอ เธอสามารถเห็นภาพของคลื่นที่กำลังซัดกระทบฝั่งอย่างรุนแรง และเห็นรถราที่วิ่งไปมาบนถนนหลินเจียงทั้งที่เปลือกตายังคงปิดอยู่..
และจิตหยั่งรู้ของหนิงหลิงยู่ก็ปรากฏขึ้น!
ร่างบอบบางของหนิงหลิงยู่นั้นบางครั้งก็สั่นสะท้านคล้ายคลื่นที่รุนแรง บางครั้งก็สงบนิ่งคล้ายกับสายน้ำที่อ่อนโยน..
ภายใต้อานุภาพของวิชาคลื่นคงคาพลังแห่งชีวิตธาตุน้ำจากแม่น้ำทุกสายในเมืองจิงฉู ได้ไหลหลั่งเข้าสู่ร่างของหนิงหลิงยู่ จนกระทั่งสายรุ้งงดงามค่อยๆสลายตัวไป ทุกอย่างจึงกลับสู่ความสงบเป็นปกติเช่นเดิม..
หนิงหลิงยู่ยังคงนั่งหลับตานิ่งและกำลังเดินวิชาคลื่นคงคาต่อไปอย่างเงียบๆ เพื่อปรับตัวให้เข้ากับขั้นใหม่ของตนเอง..
หลิงหยุนที่คอยดูแลอยู่ข้างๆนั้นเฝ้ามองหนิงหลิงยู่อยู่เงียบๆ เพื่อไม่ให้เป็นการรบกวนเธอ..
หลังจากที่หลิงหยุนได้ความทรงจำกลับคืนเขาจึงตั้งใจที่จะพาหนิงหลิงยู่มาที่นี่ เพื่อจัดการคลายปมบางอย่างในใจให้กับเธอ เพื่อให้เธอสามารถเข้าสู่ขั้นเซียงเทียนได้ด้วยจิตใจที่สงบมั่นคง..
หลิงหยุนซึ่งยืนอยู่ข้างหนิงหลิงยู่เวลานี้เมื่อร่างกายของเขาได้สัมผัสกับพลังชีวิตธาตุน้ำมากมายมหาศาลเข้าไป เขาจึงยิ่งได้รู้ว่าเวลานี้ร่างกายของตนเองนั้นย่ำแย่เพียงใด.Aileen-novel.
หลิงหยุนรู้สึกว่า..เวลานี้ร่างกายของเขานั้นไม่ต่างจากตาข่ายที่ไม่สามารถกักเก็บน้ำไว้ได้ ต่อให้มีพลังชีวิตมากมายเพียงใด ร่างกายของเขาก็ไม่สามารถกักเก็บไว้ได้ และในที่สุดก็ไหลออกหมด..
จุดฝังเข็มทั่วร่างกายของหลิงหยุนนั้นไม่เพียงเหือดแห้งแต่ยังเสมือนมีรูรั่วที่ไม่สามารถกักเก็บพลังชีวิตไว้ได้อีกด้วย!
แม้ว่าจะมีพลังชีวิตธาตุน้ำจำนวนมหาศาลจะไหลผ่านร่างกายของเขาแต่กลับไม่มีผลใดๆ ต่อร่างกายของหลิงหยุนเลยแม้แต่น้อย พลังชีวิตธาตุน้ำเหล่านั้นเพียงแค่ทำให้จุดฝังเข็มต่างๆ เส้นลมปราณ และจุดตันเถียนของเขารู้สึกชุ่มชื่นขึ้นเท่านั้น ไม่มีผลอะไรที่มากไปกว่านี้!
หลิงหยุนรู้สึกว่าร่างกายของตนเองสดชื่นและชุ่มฉ่ำ คล้ายกับคนที่กำลังร้อน และจู่ๆก็มีฝนตกลงมาให้รู้สึกชุ่มฉ่ำ และเย็นชื่นใจเท่านั้น!
“พี่ใหญ่คะ..ฉันรู้สึกว่าคล้ายกับสามารถมองเห็น หรือได้ยินอะไรที่ไกลออกไป.. ฉันเองก็ไม่แน่ใจ”
หลังจากที่ขั้นของหนิงหลิงยู่เสถียรแล้วเธอก็ร้องบอกหลิงหยุนอย่างตื่นเต้นดีใจ..
“สิ่งนั้นเรียกว่าจิตหยั่งรู้..เธอสัมผัสได้ไกลแค่ใหน”
“เอ่อ..ดูเหมือนจะราวเจ็ดหรือแปดร้อยเมตรได้ แม้กระทั่งแม่น้ำที่อยู่ไกลมากๆ ฉันก็รู้สึกว่าสัมผัสได้บ้าง เพียงแต่ไม่ชัดเจนแจ่มแจ้งนัก..”
หลิงหยุนได้ฟังถึงกับหัวเราะออกมาเสียงดัง“ไม่เลวเลย! เพิ่งจะเข้าสู่ขั้นเซียงเทียน แต่กลับมีจิตหยั่งรู้เกิดขึ้นแล้ว!”
หลิงหยุนเข้าสู่ขั้นปฐมชี่จิตหยั่งรู้ของเขาก็ขยายไปไกลถึงหนึ่งกิโลเมตร แต่จิตหยั่งรู้ของหนิงหลิงยู่นั้นสัมผัสได้ไกลถึงเจ็ดแปดร้อยเมตร จึงนับว่าไม่ธรรมดาเลยทีเดียว!
หลิงหยุนรู้ดีว่า..หากเทียบกับขั้นการฝึกกำลังภายในของชาวยุทธภพในโลกใบนี้ หนิงหลิงยู่ก็อยู่ในขั้นเซียงเทียน แต่เพราะหนิงหลิงยู่ฝึกบ่มเพาะตนตามวิชาที่หลิงหยุนถ่ายทอดให้ เวลานี้จึงนับได้ว่าเธออยู่ในขั้นพลังชี่เช่นเดียวกับหลิงหยุน..
ไม่เช่นนั้นแล้ว..หนิงหลิงยู่ซึ่งอยู่เพียงแค่ระดับสูงสุดขั้นโฮ่วเทียน-8 คงจะไม่สามารถบังคับกระแสน้ำที่มีขนาดเท่ามังกรตัวใหญ่ถึงสองตัวได้..
วิชาคลื่นคงคานับเป็นวิชาบ่มเพาะที่ทรงอานุภาพมากวิชาหนึ่ง..
หลิงหยุนเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้านิ่งเงียบเวลานี้น้องสาวของเขาเพิ่งจะผ่านเข้าสู่ขั้นเซียงเทียน และสามารถได้ยินเสียงแม่น้ำที่อยู่ไกลออกไปได้อย่างชัดเจน ย่อมแสดงให้เห็นว่าในร่างกายของหนิงหลิงยู่นั้นมีเบญจธาตุที่แข็งแกร่งมาก..
จากนั้นหลิงหยุนก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้จึงหันไปยิ้มให้หนิงหลิงยู่พร้อมกับถามขึ้นว่า
“หลิงยู่..เธอจำได้มั๊ยว่าเพราะอะไรท่านแม่ถึงตั้งชื่อให้เธอว่าหลิงยู่”
หนิงหลิงยู่ตอบกลับอย่างมีความสุข“ในวันที่ฉันเกิดมีฝนตกหนัก แล้วฉันก็ป่วยหนักหาสาเหตุไม่ได้จนแม้แต่แม่ก็หมดทางรักษา แม่จึงต้องฝ่าสายฝนไปขอพรกับพุทธองค์ที่วัดหลิงเจี๋วย แล้วจากนั้น…”
แน่นอนว่าหลังจากนั้น..นางฉินจิวยื่อก็ได้ช่วยชีวิตของหลิงหยุนไว้ และพากลับไปที่บ้านด้วย!
หลิงหยุนตัดสินใจที่จะยังไม่บอกความลับที่เกิดขึ้นในวัดหลิงเจี๋วยคืนนั้นให้กับหนิงหลิงยู่รู้จึงได้แต่ยิ้มพร้อมกับพูดต่อว่า
“จากนั้นท่านแม่ก็เลยตั้งชื่อเธอว่าหลิงยู่..”
หนิงหลิงยู่ยิ้มและได้แต่แอบคิดว่า ‘ดูเหมือนพี่ใหญ่จะจำทุกอย่างได้แล้วจริงๆ!’
เพียงแต่หนิงหลิงยู่ไม่ทันสังเกตเห็นว่าเวลานี้หลิงหยุนกำลังเงยหน้าขึ้นมองไปบนท้องฟ้า และในแววตาของเขานั้นก็ไม่อาจคาดเดาได้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ เพราะมีทั้งแววตาดื้อรั้น เหยียดหยัน และสิ้นหวัง..
การมาจุติใหม่อีกครั้งคือชะตากรรมจริงๆอย่างนั้นหรือ
หลิงหยุนยังคงคลางแคลงใจกับพายุฝนที่ตกหนักในวันที่หนิงหลิงยู่เกิด..
หลังจากนิ่งไปครู่ใหญ่หลิงหยุนก็ถอนสายตากลับ และเอื้อมมือไปลูบไหล่ของหนิงหลิงยู่อย่างอ่อนโยน แล้วจึงพูดขึ้นว่า
“กลับกันดีกว่า..ตอนนี้ชาวบ้านแถบถนนหลินเจียงคงตกอกตกใจกันใหญ่แล้ว ดูสิ! น้ำท่วมถนนเต็มไปหมดเลย..”
หนิงหลิงยู่เห็นทุกอย่างผ่านจิตหยั่งรู้แล้วเธอแลบลิ้นออกมาพร้อมกับพูดอย่างรู้สึกผิด..
“พี่ใหญ่คะ..ฉันทำให้ทุกคนเดือดร้อนไปหมด ฉันควรทำยังไงดี”
หลิงหยุนหัวเราะพร้อมกับตอบไปว่า“ทำยังไงน่ะเหรอ มาให้พี่จับตีก้นซะดีๆ!”
หนิงหลิงยู่หน้าแดงแต่ในใจนั้นกลับเปี่ยมไปด้วยความสุข..
ระหว่างที่เดินกลับไปนั้นหลิงหยุนก็ถามขึ้นว่า“หลิงยู่.. ถ้าพี่จำไม่ผิด ก่อนที่จะเข้าห้องสอบเอนทรานซ์ พวกเราพนันกันไว้ว่าถ้าใครได้คะแนนต่ำกว่าจะต้องบอกความลับของตนเองให้อีกฝ่ายรู้ใช่มั๊ย..”
“พี่เป็นฝ่ายชนะ..ตอนนี้เธอต้องทำตามสัญญาบอกความลับกับพี่ได้แล้ว!”
หนิงหลิงยู่ที่หน้าแดงอยู่แล้วกลับยิ่งแดงมากขึ้นไปอีกเธอก้มหน้าลงและเม้มริมฝีปากแน่นก่อนจะตอบไปว่า
“เอ่อ..ฉันยังพูดตอนนี้ไม่ได้!”
หลิงหยุนเห็นท่าทางเหนียมอายของหนิงหลิงยู่จึงได้แต่เย้าแหย่ “ทำเป็นอาย!”
สองพี่น้องเดินคุยกันไปหัวเราะไปจนกระทั่งมาถึงที่รถหลิงหยุนจึงเอ่ยปากถามไป๋เซียนเอ๋อถึงตี้เสี่ยวอู๋..
ไป๋เซียนเอ๋อเห็นหนิงหลิงยู่กับตี้เสี่ยวอู๋สามารถพัฒนาขั้นได้เช่นนี้ก็มีความสุขอย่างมากนางยิ้มออกมาพร้อมกับตอบไปว่า..
“หลังจากที่เข้าสู่ระดับสูงสุดขั้นโฮ่วเทียน-9แล้ว ก็ดูเหมือนจะหยุดนิ่งอยู่เช่นนั้น..”