Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร - บทที่ 1124 : การประลองของสองตระกูล!!
- Home
- Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร
- บทที่ 1124 : การประลองของสองตระกูล!!
ในยุทธภพย่อมมีกฏเกณฑ์ของยุทธภพกฏเกณฑ์ต่างๆ เหล่านี้ก็ล้วนแล้วแต่กำหนดขึ้นมาเพื่อลดความขัดแย้งของเหล่าชาวยุทธ และใช้เพื่อการตัดสินความแค้นของทั้งสองฝ่าย..
กฏเกณฑ์โบราณที่เฉินจิ้งเฉวียนเสนอนั้นก็คือการประลองยุทธที่ใช้ชีวิตเป็นเดิมพัน!
การประลองยุทธโดยวิธีนี้..เป็นวิธีการที่ใช้สะสางความแค้นระหว่างตระกูล หรือระหว่างสำนักต่างๆ หากสองฝ่ายมาถึงจุดที่ไม่สามารถเจรจาตกลงกันได้ และไม่อาจทนอยู่ร่วมโลกกันได้อีกต่อไป ก็มักจะแก้ปัญหาด้วยการประลองยุทธ และจะต่อสู้กันจนกว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะเสียชีวิต..
และในเมื่อตระกูลเฉินกับตระกูลหลิงต่างก็มีความแค้นจนยากที่จะร่วมโลกกันได้เฉินจิ้งเฉวียนจึงได้เสนอให้ทั้งสองตระกูลตัดสินปัญหาด้วยวิธีนี้!
การปะลองยุทธโดยมีชีวิตเป็นเดิมพันนี้มีกฏที่เคร่งครัดก็คือ.. หากทั้งสองฝ่ายตกลงกันแล้ว ทั้งคู่ก็จะต้องทำตามกฏกติกาในการต่อสู้อย่างเคร่งครัด และหากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งฝ่าฝืนไม่ทำตามกฏกติกา ก็จะต้องถูกเหล่าชาวยุทธรุมประนาม จนถึงกระทั่งว่าผู้ใดจะลงมือสังหารก็ไม่มีความผิด..
หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องต้องกันและตกลงว่าจะใช้วิธีประลองยุทธโดยมีชีวิตเป็นเดิมพันเช่นนี้ ไม่ว่าฝ่ายใดจะเป็นฝ่ายชนะ หรือฝ่ายใดจะพ่ายแพ้ หลังจากสิ้นสุดการประลอง.. ความแค้นทุกอย่างก็จะต้องยุติลงด้วยทันที!
ในเมื่อเลือกวิธีการได้แล้วต่อมาก็คือการเลือกสถานที่ และเวลา ส่วนเรื่องสักขีพยานในการประลองนั้นจะมีหรือไม่มีก็ได้ แล้วแต่จะตกลงกัน..
การประลองโดยใช้ชีวิตเป็นเดิมพันนั้นสามารถใช้ตัดสินปัญหาของเหล่าชาวยุทธได้ในทุกๆเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของชื่อเสียง เรื่องผู้หญิง เรื่องผลประโยชน์ เรื่องความแค้นส่วนตัว หรือปัญหาอื่นๆอีกมากมาย
และหากฝ่ายใดเป็นผู้ชนะก็ย่อมได้ครอบครองทุกสิ่งทุกอย่างของผู้แพ้ ส่วนผู้แพ้นั้นจะได้รับผลเพียงอย่างเดียวเท่านั้นคือ.. ความตาย!
ในระหว่างที่รอคอยให้ถึงกำหนดนัดหมายนั้นต่างฝ่ายต่างก็มีสิทธิ์ที่จะเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการประลองได้ แต่ในช่วงเวลาก่อนที่จะถึงการประลองยุทธนั้น ทั้งสองฝ่ายห้ามต่อสู้กัน หรือยั่วยุกันอย่างเด็ดขาด หากพบว่าฝ่ายใดจงใจยั่วยุ หรือเป็นฝ่ายเริ่มลงมือก่อน ฝ่ายนั้นก็จะถูกปรับให้เป็นฝ่ายแพ้ทันที!
ในการประลองนั้น..จะประลองเดี่ยว หรือประลองเป็นกลุ่มก็ย่อมได้ รูปแบบการประลองก็ขึ้นอยู่กับทั้งสองฝ่ายจะตกลงร่วมกัน และในการประลองแบบกลุ่มนั้น ทั้งสองฝ่ายก็สามารถเชิญยอดฝีมือจากข้างนอกมาร่วมประลองด้วยได้ อีกทั้งในระหว่างต่อสู้นั้นใครมีไพ่อะไรในมือก็สามารถนำออกมาใช้ได้อย่างเต็มที่!
และผลของการประลองในครั้งนี้ย่อมหมายถึงความเป็นความตายของสมาชิกในตระกูลและฝ่ายแพ้จะต้องยินยอมมอบทุกอย่างให้กับผู้ชนะตามแต่ที่ผู้ชนะเรียกร้อง!
ทุกวันนี้ความแค้นระหว่างตระกูลเฉินกับตระกูลหลิงได้เดินมาถึงจุดที่ไม่สามารถแก้ไข หรือเจรจากันได้อีกแล้ว จึงจำเป็นต้องตัดสินด้วยวิธีนี้เท่านั้น!
ยิ่งไปกว่านั้นทั้งตระกูลหลิงและตระกูลเฉินต่างก็เป็นตระกูลใหญ่ที่มีผู้คนนับหน้าถือตา หนำซ้ำเฉินจิ้งเฉวียนเองก็เป็นเจ้าหน้าที่ของหน่วยนภา การแก้ปัญหาทั้งสองตระกูลด้วยวิธีนี้จึงนับว่าเป็นผลดีต่อทั้งสองฝ่าย..
หลิงลี่ได้ฟังข้อเสนอของเฉินจิ้งเฉวียนแล้วก็ถึงกับนิ่งไปนานก่อนจะถามขึ้นว่า “จะประลองแบบใหน”
เฉินจิ้งเฉวียนยิ้มเยาะมุมปากก่อนจะตอบหลิงลี่ไปว่า “แน่นอนว่าต้องเป็นแบบที่ป่าเถื่อนที่สุดน่ะสิ!”
การประลองในแบบนี้..ต่างฝ่ายต่างก็สามารถเชิญยอดฝีมือข้างนอกมาร่วมประลองได้ หนำซ้ำยังสามารถใช้ไพ่ทั้งหมดในมือได้โดยไม่ผิดกติกา และที่สำคัญคือเดิมพันด้วยชีวิต! หากผู้ประลองถูกสังหารตาย จะไม่นับว่าเป็นความผิด.. เช่นนี้แล้วจะไม่เรียกว่าป่าเถื่อนได้อย่างไรกันเล่า
มีหรือที่หลิงลี่จะไม่รู้ว่าเฉินจิ้งเฉวียนนั้นต้องการใช้วิธีนี้ทำลายและขุดรากถอนโคนตระกูลหลิง!
และวิธีการประลองเช่นนี้ตระกูลเฉินย่อมได้เปรียบตระกูลหลิงมากมาย..
นั่นเพราะเฉินจิ้งเฉวียนทำงานในหน่วยนภามานานกว่าสามสิบปีย่อมมีสหายในหน่วยนภาอยู่มากมายที่สามารถตายแทนกันได้ หนำซ้ำยอดฝีมือที่อยู่ในหน่วยนภาส่วนใหญ่ ก็ล้วนแล้วแต่อยู่ในขั้นที่สามารถใช้พลังเหนือธรรมชาติได้แล้วทั้งสิ้น!
นอกจากนั้นแล้ว..ตระกูลเฉินยังมีสายสัมพันธ์กับชาวญี่ปุ่น และชาวตะวันตกอย่างแน่นแฟ้นด้วย หากตระกูลเฉินเชิญยอดฝีมือเหล่านั้นมา ตระกูลหลิงจะเอาอะไรไปสู้ได้เล่า
แม้ว่าบรรดาสมาชิกตระกูลหลิงจะได้รับปราณอมตะเสวียนหวงจนสามารถพัฒนาเข้าสู่ขั้นเซียงเทียนกันจนหมดแล้ว แต่นั่นก็เป็นเพียงแค่การเริ่มต้นเท่านั้น การที่ตระกูลหลิงจะผงาดขึ้นได้จริงๆนั้น ยังต้องอาศัยเวลาอีกระยะหนึ่ง..
ด้วยเหตุนี้หลิงลี่จึงมองว่าการประลองตามข้อเสนอของเฉินจิ้งเฉวียนนั้นเป็นการเสี่ยงเกินไปสำหรับตระกูลหลิง มันไม่ต่างจาการเดิมพันด้วยการกระโดดลงมาจากตึกสูง และเสี่ยงเอาว่าจะมีชีวิตรอดหรือไม่รอด!
หลิงลี่ไม่เห็นด้วยกับข้อเสนอของเฉินจิ้งเฉวียนและมีท่าทีลังเลไม่กล้าตัดสินใจ หลิงลี่รู้ว่าเฉินจิ้งเฉวียนนั้นมองออกว่าตระกูลหลิงเพิ่งจะฟื้นตัว และยังต้องการเวลาในการสร้างความแข็งแกร่งอีกสักระยะหนึ่ง เขาจึงไม่เปิดโอกาสให้ตระกูลหลิงได้มีเวลาตั้งตัว..
“ทำไม!ตระกูลหลิงหวาดกลัวตระกูลเฉินของข้างั้นรึ? เมื่อครู่ทายาทตระกูลหลิงยังยะโสโอหังไล่ทำร้ายคนตระกูลเฉินอยู่เลยไม่ใช่รึ?”
หลังจากพูดจาเยาะเย้ยถากถางหลิงลี่ที่ดูเหมือนจะไม่ยอมรับข้อเสนอแล้วเฉินจิ้งเฉวียนก็ได้แต่ยืนนิ่งอย่างภูมิอกภูมิใจ..
–ท่านปู่..รับคำท้าของมันไปได้เลย!-
ระหว่างที่หลิงลี่กำลังลังเลใจอยู่นั้นหลิงหยุนก็ร้องบอกหลิงลี่ผ่านกระแสจิตให้รับคำท้าของเฉินจิ้งเฉวียน!
–หลิงหยุน..เจ้ายังไม่เข้าใจเงื่อนไขในการประลองครั้งนี้ดี! นี่คือการประลองที่ใช้ชีวิตเป็นเดิมพัน หนำซ้ำยังสามารถเชิญยอดฝีมือจากข้างนอกมาช่วยได้ หากรับคำท้าไปตระกูลหลิงของเราต้องพ่ายแพ้ และสูญเสียครั้งใหญ่อย่างแน่นอน!-
–ท่านปู่..ตระกูลหลิงกับตระกูลเฉินต่างก็อยู่ในจุดที่ไม่อาจอยู่ร่วมโลกกันได้แล้ว ถึงแม้ท่านปู่จะไม่รับปาก ตระกูลหลิงย่อมต้องเกิดการสูญเสียครั้งใหญ่อยู่ดี!-
หลิงหยุนนั้นคิดต่างจากหลิงลี่เพราะเขาคิดไปไกลกว่านั้น..
ในเมื่อตัวเขาเองยังสามารถสังหารเฉินเจี้ยนจื่อเฉินเจี้ยนห่าว เฉินไห่ซาน และคนของตระกูลเฉินอีกมากมายหลายคนได้ แล้วเหตุใดเฉินจิ้งเฉวียนจะทำเช่นเดียวกันกับที่เขาทำไม่ได้เล่า เฉินจิ้งเฉวียนสามารถสั่งยอดฝีมือมาจับคนตระกูลหลิงไป และลงมือสังหารเมื่อใดก็ย่อมได้เช่นกัน!
อีกทั้งรอบตัวเฉินจิ้งเฉวียนนั้นก็รายล้อมไปด้วยยอดฝีมือที่เก่งกาจมากมาย..
ก่อนหน้านี้หลิงหยุนตัวคนเดียว..หากจะมีใครสักคนที่เขารัก และต้องปกป้องนั้น ก็เห็นจะมีแต่หนิงหลิงยู่เพียงคนเดียวเท่านั้น!
แต่ตอนนี้..หลิงหยุนกลับเข้าตระกูลหลิง และกราบไว้บรรพชนแล้ว เขาจึงไม่ใช่ตัวคนเดียวดังเช่นเมื่อก่อน เขามีครอบครัวอันเป็นที่รัก และหากเฉินจิ้นเฉวียนคิดจะแก้แค้น ตระกูลหลิง ตระกูลหลิงก็ย่อมตกอยู่ในความหายนะอยู่ดี!
เช่นนี้แล้วไม่เท่ากับคนตระกูลหลิงต้องสูญเสียใหญ่หลวงเช่นกันหรือหรือเพียงแต่ช้า หรือเร็วเท่านั้นเอง..
แล้วความหวังที่จะพาตระกูลหลิงผงาดขึ้นมาอีกครั้งเล่า..ไม่ต้องล่มสลายลงหรอกหรือ
หลังจากที่ฟังคำพูดของหลิงหยุนแล้วจิตใจของหลิงลี่ก็ถึงกับสั่นสะท้าน แต่ในที่สุดหลิงลี่ก็ตอบเฉินจิ้งเฉวียนไปว่า
“ตกลง!ข้ารับคำท้าของเจ้า!”
“ฮ่า..ฮ่า.. เยี่ยมๆ”
ทันทีที่ได้ยินว่าหลิงลี่รับคำท้าเฉินจิ้งเฉวียนก็ถึงกับเงยหน้าขึ้นฟ้าพร้อมกับหัวเราะออกมาเสียงดัง ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“การปะลองช่นนี้ไม่เคยเกิดขึ้นกับเหล่าตระกูลใหญ่มานานหลายปีแล้ว คิดไม่ถึงว่าท้ายที่สุดจะต้องเป็นตระกูลหลิงของเจ้ากับตระกูลเฉินของข้า!”
พูดจบเฉินจิ้งเฉวียนก็จ้องหน้าหลิงลี่พร้อมกับพูดต่อว่า“ถ้าเช่นนั้นการประลองระหว่างพวกเราสองตระกูล จะจัดขึ้นในอีกสิบวันข้างหน้า.. เจ้าคิดเห็นเช่นใด”
การปรากฏตัวของหลิงหยุนในวันนี้ตระกูลเฉินเองก็ไม่ทันได้ระมัดระวังตัว ดังนั้นการประลองในครั้งนี้เฉินจิ้งเฉวียนจึงต้องมีเวลาสำหรับเตรียมการให้พร้อมกว่านี้ แต่เพราะไม่ต้องการให้เวลากับตระกูลหลิงมากนัก จึงตัดสินใจนัดหมายในอีกสิบวันข้างหน้า..
อีกสาเหตุหนึ่งที่เฉินจิ้งเฉวียนต้องการดึงเวลาไปถึงสิบวันนั้นก็เพื่อต้องการให้นินจาญี่ปุ่นซึ่งเป็นสหายของตนเดินทางมาถึงปักกิ่งเสียก่อน!
ในเมื่อรับคำท้าไปแล้วหลิงลี่ก็ไม่ได้สนใจเวลานัก เขาจึงพูดขึ้นว่า “ตกลง.. ถ้าเช่นนั้นการประลองจะถูกจัดขึ้นในสิ้นเดือนนี้!”
จากนั้นหลิงลี่ก็พูดต่อว่า“ในเมื่อเจ้าเป็นผู้กำหนดวันประลอง ข้าก็จะขอเป็นผู้กำหนดสถานที่ประลองเอง!”
ในเมื่อฝ่ายหนึ่งเลือกกำหนดวันประลองไปแล้วการเลือกสถานที่จึงต้องตกเป็นของอีกฝ่ายไปตามธรรมเนียม..
ไม่เช่นนั้น..ตระกูลเฉินก็ดูจะเป็นฝ่ายเอาเปรียบมากเกินไป หากจะเป็นผู้กำหนดทั้งวัน และสถานที่ประลอง!
เฉินจิ้งเฉวียนตอบกลับด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย“ในเมื่อข้ากำหนดวันประลองแล้ว ตระกูลหลิงของเจ้ากำหนดสถานที่ได้เมื่อใด ก็ส่งคนมาแจ้งข้าก็แล้วกัน!”
ในเมื่อตระกูลหลิงยอมรับคำท้าเช่นนี้เฉินจิ้งเฉวียนก็ไม่ต้องการที่จะใส่ใจกับเรื่องหยุมหยิมอีก..
และหากไม่มั่นใจว่าจะได้รับชัยชนะมีหรือที่เฉินจิ้งเฉวียนจะเสนอให้มีการตัดสินปัญหาระหว่างสองตระกูลด้วยวิธีนี้
หลิงลี่ยิ้มเล็กน้อยแล้วจึงถามต่อว่า “แล้วจะประลองกันอย่างไร” Aileen-novel
เฉินจิ้งเฉวียนตอบกลับโดยไม่ต้องคิด“ประลองเดี่ยวสองรอบ และประลองแบบกลุ่มหนึ่งรอบ.. หากฝ่ายใดได้รับชัยชนะสองในสาม ถือว่าฝ่ายนั้นเป็นผู้ชนะการประลอง!”
“เจ้าคิดเห็นเช่นใด”
หลิงหยุนได้ฟังคำตอบของเฉินจิ้งเฉวียนแล้วก็ตอบรับแทนหลิงลี่ทันที “ตาเฒ่าคร่ำครึ.. ข้ารับคำท้าของเจ้า! และตกลงตามที่เจ้าเสนอ..”
เฉินจิ้งเฉวียนหันไปทางหลิงหยุนทันทีพร้อมกับพูดขึ้นว่า“หลิงหยุน.. ข้ารู้ว่ามรดกตระกูลเฉินตกไปอยู่ในมือของเจ้าแล้ว ในวันประลองเจ้าอย่าลืมนำมันมามอบคืนให้กับตาแก่คร่ำครึอย่างข้าด้วยล่ะ!”
หลิงหยุนรู้ดีว่าเฉินจิ้งเฉวียนหมายถึงประคำโลหิตจึงตอบกลับไปว่า “ข้าย่อมต้องนำติดตัวไปด้วยอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าเจ้าจะมีปัญญาเอามันกลับไปได้หรือไม่เท่านั้น”
เฉินจิ้งเฉวียนตอบกลับด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน“หึ! เจ้าเด็กเมื่อวานซืน.. เจ้าคงจะผยองได้อีกไม่นานนักหรอก! รออีกสิบวัน.. ถึงวันนั้นเจ้าอยากจะร้องไห้ก็คงร้องไม่ออก!”
หลังจากพูดจบ..เฉินจิ้งเฉวียนก็หันไปทางเหล่าสมาชิกตระกูลเฉินพร้อมกับร้องสั่งเสียงดัง “พวกเรากลับ!”
เฉินจิ้งเฉวียนไม่แม้แต่จะถามถึงเฉินเจี้ยนกุ่ยและเฉินเซิน..
และข่าวคราวเรื่องการประลองระหว่างตระกูลเฉินกับตระกูลหลิงในอีกสิบวันข้างหน้าก็ได้แพร่สะพรัดออกไปทันที!
…..
“เหลยเช่ยแห่งหน่วยเทพอินทรีย์คาราวะท่านผู้เฒ่าหลิง..”
หลังจากที่คนตระกูลเฉินกลับออกไปแล้วเหลยเชิ่งก็ได้ก้าวเข้าไปหาหลิงลี่พร้อมกับทำการคาราวะ และทักทายตามมารยาท..
“ตามสบาย..ไม่ต้องพิธีรีตรองอะไรมากนัก!”
หลิงลี่แม้จะอาวุโสกว่าเหลยเชิ่งแต่ก็ไม่ได้เป็นคนเรื่องมากอะไรนัก และได้พูดจากระเซ้าเย้าแหย่เหลยเชิ่งว่า
“เฮ้อ..ตระกูลหลิงของข้าทำให้เจ้าต้องเดือดร้อนอีกแล้วสินะ!”
“ท่านผู้เฒ่าหลิงอย่าได้เกรงใจ..นี่เป็นหน้าที่ของหน่วยเทพอินทรีย์อยู่แล้ว ข้าจะจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อย!”
และคำว่าจัดการให้เรียบร้อยของเหลยเชิ่งนั้นก็คือ..เหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อครู่นั้น จะต้องไม่ไปปรากฏในสื่อ หรือเวปไซต์ต่างๆ นั่นเพราะการประลองกำลังของเหล่าตระกูลใหญ่นั้น จะปล่อยให้หลุดไปสู่สายตาของคนธรรมดาทั่วไปไม่ได้..
ส่วนผู้คนที่อยู่ในเหตุการณ์จริงหน่วยเทพอินทรีย์ย่อมมีวิธีที่จะห้ามไม่ให้พวกเขานำเรื่องที่พบเห็นออกไปแพร่งพราย หรือมีแม้กระทั่งวิธีที่จะจัดการล้างความทรงจำของพวกเขา..
หลิงลี่พยักหน้าพร้อมกับตอบยิ้มๆ“ขอบใจเจ้ามาก!”
แต่แล้วเหลยเชิ่งก็พูดขึ้นว่า“ท่านผู้เฒ่าหลิง.. แต่เรื่องนี้ข้าในฐานะหัวหน้าหน่วยเทพอินทรีย์ คงต้องรายงานเหตุการณ์ทั้งหมดที่ิเกิดขึ้นอย่างละเอียด..”
หลิงลี่ได้ฟังจึงรีบโบกมือพร้อมกับตอบไปว่า“เจ้าไม่จำเป็นต้องปิดบังอะไรให้ตระกูลหลิงทั้งนั้น ต้องรายงานอย่างไรก็รายงานไป!”
“ต่อให้เจ้าอยากจะช่วยปิดบังก็คงยากที่จะทำได้!”
“ขอบคุณท่านผู้เฒ่าหลิงที่เข้าใจ!”เหลยเชิ่งร้องบอกพร้อมกับโน้มคำนับหลิงลี่อีกครั้ง..
ตั้งแต่มาถึงจนกระทั่งตอนนี้..เหลยเชิ่งปฏิบัติต่อคนตระกูลหลิงอย่างมีมารยาทมาโดยตลอด แต่ไม่ใช่เพราะเห็นว่าตระกูลหลิงกำลังจะกลับมาแข็งแกร่ง หรือเพราะเห็นว่าตระกูลหลิงเพิ่งบดขยี้ตระกูลซัน และท้าทายตระกูลเฉิน แต่ทั้งหมดนั้นเล้วนมีสาเหตุมาจากหลิงหยุน!
หลิงหยุนก้าวเท้าเข้าไปหาเหลยเชิ่งพร้อมกับหยิบโอสถที่นำติดตัวมาด้วยออกมาสามเม็ดแล้วยื่นให้กับเหลยเชิ่ง..
ตั้งแต่หลิงหยุนรู้จักเหลยเชิ่งนั้นเขารับรู้มาตลอดว่าที่ผ่านมาเหลยเชิ่งได้ช่วยเหลือตนมากมายหลายครั้ง อย่างน้อยๆก็ช่วยตามเช็ดล้างให้ทุกครั้งหลังจากที่เขาก่อเรื่อง สำหรับหลิงหยุนแล้ว.. คนเช่นนี้คือคนที่เขาสมควรต้องตอบแทน!
“นี่มัน..”
ทันทีที่รับโอสถหลงหลิงมา..เหลยเชิ่งก็สัมผัสได้ถึงพลังชีวิตที่รุนแรง เขาจึงรู้ว่านี่คือโอสถล้ำค่า และได้แต่อ้ำๆอึ้งๆ
หลิงหยุนถึงกับหัวเราะออกมาเมื่อเห็นท่าทางของเหลยเชิ่งจึงได้พูดจากหยอกเย้า “เจ้ากินเข้าไปเถิดน่า! มันไม่ใช่ยาพิษแน่นอน! และรับรองว่าหลังจากที่เจ้ากลืนโอสถนี่เข้าไป เจ้าจะต้องพัฒนาขึ้นอย่างน้อยสามระดับเชียวล่ะ..”
เหลยเชิ่งร้องออกมาอย่างตกใจ“อานุภาพสูงส่งถึงเพียงนั้นเชียวรึ ถ้าเช่นนั้นโอสถนี่คงจะมีราคาแพงมาก..”
ก่อนที่หลิงหยุนจะเดินทางมาปักกิ่งนั้นเขาได้ปรุงโอสถมาจำนวนมาก หนึ่งในนั้นก็คือโอสถหลงหลิงกว่าร้อยเม็ด..
หลิงหยุนจึงตอบกลับไปยิ้มๆ“ถ้าเจ้าเกรงใจนักก็คืนข้ามา.. ข้าจะได้เก็บไว้ใช้เอง!”
เหลยเชิ่งได้ยินเช่นนั้นจึงรีบระล่ำระลักตอบกลับไปทันที“ไม่.. ไม่เลย.. ข้ายินดีรับไว้!’
ระหว่างที่ตอบหลิงหยุน..เหลยเชิ่งก็รีบกำโอสถทั้งสามเม็ดไว้ในมือแน่น! เหลยเชิ่งติดอยู่ที่ระดับสูงสุดขั้นเซียงเทียน-1 มานานหลายปี เมื่อมีโอกาสที่จะสามารถพัฒนาได้เช่นนี้ มีหรือที่เขาจะไม่รีบฉกฉวยไว้..
แต่ถึงกระนั้นเขาเองก็เข้าใจดีว่าในเมื่อตนเองรับของกำนัลจากหลิงหยุนเช่นนี้ ในวันข้างหน้าคงต้องช่วยเหลือหลิงหยุนเป็นการตอบแทนอย่างแน่นอน..
และยังไม่ทันไร..หลิงหยุนก็เอื้อมมือไปตบบ่าเหลยเชิ่ง พร้อมกับพูดขึ้นด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“ท่านเล่ย..ข้ายังต้องอยู่ปักกิ่งอีกหลายเดือน ระหว่างนี้อาจต้องของให้ท่านช่วยอำนวยความสะดวกบางเรื่องให้กับข้าจะได้หรือไม่”
เหลยเชิ่งถึงกับถอนหายใจและตอบกลับไปอย่างช่วยไม่ได้“หากอยู่ในอำนาจหน้าที่ของข้า ข้าก็ยินดีช่วย! แต่หากนอกเหนือความรับผิดชอบของข้า ข้าก็คงไม่อาจช่วยเจ้าได้..”
หลิงหยุนหัวเราะเสียงดังพร้อมตอบกลับไปทันที“เรื่องนั้นข้ารู้.. ข้าไม่ขอให้เจ้าทำเรื่องที่นอกเหนือหน้าที่ความรับผิดชอบแน่!”
หลิงลี่ที่ยืนฟังอยู่ครู่ใหญ่จึงพูดขึ้นว่า“เหลยเชิ่ง.. นี่ก็สายมากแล้ว พวกเราคงต้องเข้าไปเคารพหลุมศพบรรพชนก่อน!”
จากนั้นหลิงลี่จึงเดินนำเหล่าสมาชิกตระกูลหลิงเข้าไปในสุสานเพื่อทำการเคารพหลุมศพบรรพชน..
เหลยเชิ่งยืนมองเหล่าสมาชิกตระกูลหลิงที่เดินจากไปพร้อมกับพึมพำเบาๆ
“อีกไม่นานตระกูลหลิงคงต้องผงาดขึ้นมาอย่างแท้จริงเมื่อถึงเวลานั้นปักกิ่งคงต้องเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่..”
……
“หลิงหยุน..ความจริงแล้วสุสานดั้งเดิมของบรรพบุรุษตระกูลหลิงไม่ได้อยู่ที่นี่ แต่เพิ่งจะย้ายมารุ่นทวดของเจ้า..”
ระหว่างที่เดินเข้าไปภายในสุสานหลิงลี่ก็ได้บอกเล่าเรื่องราวต่างๆที่คิดว่าหลิงหยุนจำเป็นต้องรู้ให้เขาฟัง
ความจริงแล้วหลิงหยุนต้องการจะถามเรื่องสุสานดั้งเดิมของตระกูลหลิงเช่นกันเพื่อจะได้สืบหาต้นกำเนิดของหลิวเทวะวิญญาณ แต่เพราะเวลานี้ไม่ใช่เวลาจะมาถามรายละเอียดในเรื่องเหล่านี้ หลิงหยุนจึงล้มเลิกความคิดที่จะถาม..
“หลิงหยุน..เจ้านำมรดกตระกูลหลิงออกมา!”
นี่เป็นครั้งแรกที่หลิงหยุนได้มาเคารพหลุมศพบรรพชนหลิงลี่จึงได้สั่งให้หลิงหยุนหลิวเทวะวิญญาณซึ่งเป็นมรดกตระกูลหลิงมาด้วย
หลังจากที่นำออกมาแล้วหลิงหยุนก็นำหลิวเทวะวิญญาณไปปักลงดิน และพลังชีวิตธาตุไม้ก็ถูกปลอดปล่อยออกมามากมาย และเมื่อเหล่าต้นไม้รอบๆได้รับพลังชีวิตธาตุไม้เข้าไป ก็แตกกิ่งก้านใบออกมาทันที!
หลังจากที่หลิงลี่นำสมาชิกตระกูลหลิงสวดมนต์และเคารพหลุมศพบรรพชนแล้ว เขาก็พูดขึ้นว่า..
“หลิงหยุน..พวกเรากลับกันเถิด!”
“จากนี้ไปตระกูลหลิงคงต้องเตรียมตัวให้พร้อมที่สุดสำหรับการประลองยุทธกับตระกูลเฉินในครั้งนี้!”
��