Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร - บทที่ 1136 : ยันต์ระดับเจ็ด และภูษานักรบ!
- Home
- Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร
- บทที่ 1136 : ยันต์ระดับเจ็ด และภูษานักรบ!
หลังจากบอกลาเย่ซิงเฉินแล้วหลิงหยุนก็เดินจากมาอย่างไม่ลังเล แม้เขาจะมีช่วงเวลาแห่งความสุขกับเย่ซิงเฉิน แต่ก็ยังมีเรื่องการประลองรอให้เขากลับไปจัดการอยู่ จึงไม่มีเวลาอยู่เล่นเป็นเด็กกับเย่ซิงเฉินต่อไป..
นับจากวันที่รับคำท้าประลองของเฉินจิ้งเฉวียนจนถึงตอนนี้เวลาก็ได้ผ่านไปสามวันแล้ว หากนับตามปฏิทินจันทรคติวันนี้ก็คือวันที่ 19 กรฏาคม และเป็นวันที่ 24 สิงหาคมตามปฏิทินสากล จึงมีเวลาเหลืออีกเพียงแค่หนึ่งอาทิตย์ก็จะถึงวันท้าประลองแล้ว..
หลิงหยุนจึงเหลือเวลาในการเตรียมการไม่นานนักเขาจำต้องเร่งมืออย่างรีบด่วน หลังจากที่เจสเตอร์พาบินออกจากหุบเขาไปถึงถนนแล้ว หลิงหยุนจึงเรียกรถของตนเองออกมาจากแหวนจักรวาล และรีบขับเข้าในตัวเมืองทันที
ระหว่างทางที่ขับรถกลับไปนั้นหลิงหยุนเอาแต่นิ่งเงียบไม่พูดไม่จา ทำให้บรรยากาศในรถค่อนข้างอึมครึม นั่นเพราะตลอดทางนั้นเขาเอาแต่ครุ่นคิดถึงการเตรียมการของตระกูลเฉินกับตระกูลซันแล้ว ก็ได้แต่รู้สึกหนักใจไม่น้อย..
หลิงหยุนสัมผัสได้ว่า..เขาไม่เพียงแค่เผชิญหน้ากับสองตระกูลใหญ่ แต่ดูเหมือนจะมีศัตรูที่ทรงพลังกว่าแอบอยู่ในที่มืดอีก!
ยิ่งไปกว่านั้น..ศัตรูในที่แจ้งอย่างตระกูลเฉินกับตระกูลซัน ก็ได้สร้างความกดดันให้กับหลิงหยุนไม่น้อย เพราะฝ่ายนั้นมียอดฝีมือขั้นเหนือธรรมชาติอย่างน้อยถึงสิบสองคน ตลอดทางหลิงหยุนจึงเฝ้าแต่ครุ่นคิดหาวิธีการว่าจะสู้กับยอดฝีมือเหล่านั้นเช่นใด และจากนี้ไปต้องเตรียมการอะไรบ้าง?
ถึงแม้จะรู้สึกกดดันแต่การร่วมมือระหว่างตระกูลเฉินกับตระกูลซัน ก็ได้สร้างแรงกระตุ้นให้กับจิตวิญญาณนักสู้ในตัวของหลิงหยุนได้เป็นอย่างดี!
ในช่วงเวลาที่เหลืออีกเจ็ดวันนั้นหลิงหยุนเชื่อว่าต่อให้เขาต้องใช้หยดเสินหยวนไปบ้าง แต่เขาเชื่อว่าก่อนถึงวันประลอง ตนเองจะสามารถกลั่นหยดเสินหยวนได้ไม่น้อยว่าสามร้อยหยด และนั่นก็เพียงพอที่จะรับมือกับยอดฝีมือที่มีพลังเหนือธรรมชาติทั้งสิบสองคนได้แล้ว!
หลิงหยุนค่อนข้างมั่นใจว่าจะสามารถรับมือกับศัตรูในที่แจ้งได้แต่เขากำลังนึกกังวลกับเหตุการณ์ และสิ่งที่ไม่อาจคาดเดาได้ที่จะเกิดขึ้นจากศัตรูในที่ลับต่างหาก..
……
หลิงหยุนกลับไปถึงคฤหาสนต์ตระกูลหลิงราวแปดโมงครึ่งและรีบตรงไปยังสวนชั้นที่ห้าทันที!
ค่ายกลหลุมพลังของหลิงหยุนนั้นนับว่าทรงพลังยิ่งนักเพราะเพียงแค่สามวันภายในบ้านตระกูลหลิงก็อุดมสมบูรณ์ไปด้วยพลังชีวิตเข้มข้น ซึ่งเหนือกว่าที่บ้านเลขที่-1 ในเมืองจิงฉูมาก
หลิงหยุนสัมผัสได้ถึงพลังชีวิตเข้มข้นรอบๆตัวจึงได้แต่พยักหน้าและยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจ จากนั้นจึงเรียกหลิวเทวะวิญญาณออกมาปลูกไว้ที่เดิม..
หลังจากที่เปิดจิตหยั่งรู้ออกสำรวจดูรอบๆหลิงหยุนก็พบว่าเหล่ากุ่ยกำลังฝึกวิชาอยู่พอดี เขาจึงบอกเหล่ากุ่ยผ่านกระแสจิตให้มาพบตนเองที่สวน และเหล่ากุ่ยก็รีบมาในทันทีเช่นกัน!
หลิงหยุนยิ้มให้พร้อมกับพูดขึ้นว่า“เหล่ากุ่ย.. ท่านให้คนนำเอาเมล็ดสมุนไพรพลังชีวิตมาให้ข้าได้แล้ว ข้าจะต้องเริ่มปลูกเมล็ดพันธุ์เหล่านั้นก่อน!”
แต่เหล่ากุ่ยกลับมีท่าทีลังเลเล็กน้อยก่อนจะถามเสียงเบา “ผู้นำตระกูล.. แต่นี่เป็นกลางฤดูร้อนพอดี อากาศเช่นนี้จะเหมาะแก่การปลูกสมุนไพรพลังชีวิตงั้นรึ!”
หลิงหยุนยิ้มพร้อมบอกเหล่ากุ่ยไปว่า“เหล่ากุ่ย.. เรื่องนั้นท่านไม่ต้องเป็นห่วง ข้าย่อมมีวิธีของข้า ท่านให้คนนำเมล็ดพันธุ์มาให้ข้าได้เลย!” ในเมื่อเขามีวิชาพฤกษาขจียังจะต้องสนใจว่าเวลานี้เป็นฤดูที่เหมาะสมหรือไม่อีกงั้นหรือ
เมล็ดพันธุ์ที่ท่านหมอเสี่ยวส่งมาให้หลิงหยุนนั้นมีมากมายถึงสิบกว่าชนิดและทั้งหมดก็ล้วนแล้วแต่เป็นเมล็ดพันธุ์สมุนไพรที่หาได้ยากยิ่งบนโลกใบนี้..
หลิงหยุนจัดการเปิดกระสอบที่บรรจุเมล็ดพันธุ์ออกและพบว่าภายในมีเมล็ดพันธุ์ถุงเล็กๆ บรรจุอยู่มากมายหลายชนิด
เหล่ากุ่ยเห็นเมล็ดพันธุ์มากมายถึงเพียงนั้นก็ถึงกับเวียนหัวและร้องถามหลิงหยุนว่า “ผู้นำตระกูล.. เมล็ดพันธุ์มากมายขนาดนี้ สวนก็ใหญ่มาก ท่านจะปลูกคนเดียวไหวงั้นรึ”
เพราะต่อให้มีคนงานช่วยก็ต้องใช้เวลาสองวันเป็นอย่างน้อยจึงจะปลูกเสร็จ แต่หลิงหยุนกลับยิ้ม และตอบเหล่ากุ่ยไปว่า..
“เอาน่า..ท่านคอยดูก็พอ!”
“ตอนนี้มาช่วยข้าแกะซองเมล็ดพันธุ์ก่อนเร็วเข้า!”
เหล่ากุ่ยเข้ามาช่วยหลิงหยุนฉีกซองเมล็ดพันธุ์ออกและเทกองอยู่กับพื้นจนเสร็จ จากนั้นหลิงหยุนจึงเริ่มใช้จิตหยั่งรู้ของตนเองเผาหยดเสินหยวนกลางหว่างคิ้ว พร้อมกับควบคุมให้เมล็ดพันธุ์บนพื้นดินลอยขึ้น และค่อยๆ เคลื่อนตัวไปยังตำแหน่งที่ตนเองต้องการจะปลูก..
“นั่นล่ะ..”
หลิงหยุนร้องออกมาอย่างพอใจเมื่อเห็นเมล็ดพันธุ์ทั้งหมดบนพื้นลอยขึ้นกลางอากาศและเมล็ดพันธุ์ชนิดเดียวกันก็ลอยไปอยู่รวมกันเป็นกลุ่มๆ ได้อย่างน่าอัศจรรย์
จากนั้นหลิงหยุนจึงใช้จิตหยั่งรู้ของตนเองโยกย้ายเมล็ดพันธุ์ชนิดต่างๆลอยไปอยู่ตามมุมสวนที่ต้องการจะปลูก หลังจากได้ที่หมายเรียบร้อยแล้ว หลิงหยุนจึงควบคุมให้เมล็ดพันธุ์เหล่านั้นร่วงลงสู่พื้นดิน
เมล็ดพันธุ์มากมายต่างก็ร่วงกรูลงสู่พื้นราวกับสายฝนและค่อยๆ แทรกซึมลงไปสู่ผืนดินลึกลงไปกว่าสิบเซ็นติเมตร
สิ้นคำสั่งของหลิงหยุนเหล่าเมล็ดพันธุ์มากมายก็ร่วงลงบนพื้นราวกับสายฝน และเมล็ดทั้งหมดที่ตกลงสู่พื้น ก็เริ่มแทรกซึมลงไปใต้พื้นดินกว่าสิบเซ็นติเมตร
ในเวลาไม่ถึงสิบนาที..ใต้ผืนดินในสวนชั้นที่ห้าและหกของตระกูลหลิง ก็เต็มไปด้วยเมล็ดพันธุ์สมุนไพรพลังชีวิตนานาชนิด
“เหล่ากุ่ย..ท่านกับคนอื่นๆ หลบออกจากพื้นที่สวนทั้งสองนี้ก่อน!”
หลังจากที่ทำการฝังเมล็ดพันธุ์ทั้งหมดเสร็จแล้วหลิงหยุนก็สั่งให้ทุกคนที่นั้นออกไปจากบริเวณสวนทั้งสองก่อน จากนั้นเขาจึงนั่งลงขัดสมาธิอยู่ตรงกลางระหว่างพื้นที่สวนทั้งสอง และเริ่มใช้หยดเสินหยวนร่วมกับวิชาพฤกษาขจี..
จากนั้น..เหล่าเมล็ดพันธุ์ทั้งหมดที่เพิ่งปลูกลงเดินไปเมื่อครู่ ก็เริ่มมีรากงอกหยั่งลงสู่พื้นดินด้านล่าง ตามมาด้วยลำต้นที่ค่อยๆ เติบโตแทงทะลุพื้นดินขึ้นมา และในเวลาไม่นานนัก ภายในสวนทั้งสองของตระกูลหลิงก็เต็มไปด้วยต้นสมุนไพรที่เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วมากมายนับไม่ถ้วน!
“ห๊ะ!นี่มันอะไรกัน!”
เหล่าสมาชิกตระกูลหลิงเห็นเช่นนั้นก็ถึงกับร้องอุทานออกมาด้วยความตกใจและนี่เป็นครั้งแรกที่ทุกคนได้เห็นหลิงหยุนใช้วิชาพฤกษาขจี!
เวลานี้สวนทั้งสองภายในคฤหาสน์ตระกูลหลิงก็มีสมุนไพรพลังชีวิตที่เติบโตเต็มวัยอยู่มากมาย..
“มันต้องแบบนี้สิ!”
หลิงหยุนยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจและไม่สนใจคนอื่นๆที่ยังคงยืนนิ่งด้วยความตกตะลึง หลิงหยุนกระโดดไปยังสวนชั้นที่เจ็ดต่อทันที ในขณะที่หลิงลี่ หลิงเสี่ยว หลิงเย่ว และคนอื่นๆ ต่างก็กระโดดตามหลิงหยุนไปพร้อมกับจ้องมองเขาด้วยแววตาที่ไม่อยากจะเชื่อ..
“หลิงหยุน..นี่มัน.. นี่..” หลิงลี่ที่ยืนอ้าปากค้างอยู่นานด้วยความตกใจหลังจากที่ไล่ตามหลิงหยุนทันแล้ว เขาจึงรีบร้องถามออกไปทันที แต่ก็ไม่สามารถพูดอะไรได้มากไปกว่านั้น!
หลิงหยุนอธิบายให้หลิงลี่ฟังด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม“ท่านปู่.. นี่คือวิชาพฤกษาขจีที่ข้าฝึกฝนอยู่ หากฝึกจนถึงขั้นหนึ่งก็จะสามารถควบคุมวงจรการเจริญเติบโตของเหล่าแมกไม้ได้!”
“วิชาพฤกษาขจีงั้นรึ!”
ทุกคนในตระกูลหลิงต่างก็หันไปมองหน้ากันด้วยความงุนงงและได้แต่แอบคิดในใจว่า วรยุทธที่พวกเขาฝึกนั้นเทียบไม่ได้จริงๆกับวิชาบ่มเพาะของหลิงหยุน มันช่างน่าอัศจรรย์ยิ่งนัก!
จากนั้น..หลิงหยุนก็บอกกับหลิงลี่ว่า “ท่านปู่.. สามสี่วันนับจากนี้ ข้าจะเก็บตัวเพื่อเตรียมการอะไรบางอย่าง เรื่องราวภายในตระกูลหลิงข้าคงต้องขอให้ท่านปู่จัดการแทน!”
หลิงหยุนไม่อธิบายอะไรมากมายในช่วงโค้งสุดท้ายหนึ่งอาทิตย์นี้ เขาต้องเตรียมตัวให้พร้อมมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ไม่ว่าจะเป็นการเตรียมร่างกาย กลั่นหยดเสินหยวน ปลุกเสกยันต์ และสร้างวัตถุวิเศษต่างๆ
“หลิงหยุน..เจ้าไม่ต้องห่วงเรื่องภายในตระกูล ข้าจะเป็นคนดูแลจัดการให้เอง” หลิงลี่ร้องบอกหลิงหยุนทันที ไอลีนโนเวล
หลังนั้นหลิงหยุนก็เพียงแค่เหลือบมองหลิงเสี่ยวแล้วจึงโบกมือให้เหล่ากุ่ยตามเขาไปยังสวนชั้นที่แปดซึ่งเป็นลานฝึกวิชาของคนตระกูลหลิง..
และนี่คือสถานที่ที่หลิงหยุนจะใช้เป็นสถานที่เก็บตัวเตรียมการต่างๆนั่นเอง..
เมื่อไปถึงแล้ว..หลิงหยุนจึงหันไปสั่งเหล่ากุ่ยว่า “สั่งให้คนนำกระสอบสมุนไพรทั้งหมดมาไว้ในสวนแห่งนี้”
“ท่านช่วยให้คนเตรียมหม้อขนาดใหญ่ให้ข้าสองใบด้วยแล้วก็..”
“อ่อ..แล้วก็ให้คนไปปลุกโม่วู๋เตาให้มาพบข้าที่นี่ด้วย!”
หลังจากสั่งงานเหล่ากุ่ยเสร็จแล้วหลิงหยุนก็ได้บอกจินเหยียวผ่านกระแสจิตให้นางมาพบเขาที่นี่เช่นกัน!
นั่นเพราะจินเหยียวเองก็เป็นหญิงชาวเหมี่ยวเจียงจึงแทบไม่ต้องพูดถึงความรู้ในเรื่องสมุนไพร และพิษชนิดต่างๆ ความรู้เหล่านี้ของนางย่อมต้องเหนือกว่าเหมี่ยวเสี่ยวเหมาอย่างแน่นอน!
หลิงหยุนกำลังเตรียมการเพื่อปลุกเสกยันต์และสร้างวัตถุวิเศษ!
………
เหล่าสมาชิกตระกูลหลิงต่างก็ลงมือช่วยกันโยกย้ายกระสอบสมุนไพรจำนวนมากเข้าไปในสวนชั้นที่แปดให้หลิงหยุนด้วยตัวเองและได้คัดแยกสมุนไพรชนิดเดียวกันไปไว้ในกลุ่มเดียวกัน..
สมุนไพรเหล่านี้ได้ดูดซับเอาพลังชีวิตภายในบ้านเลขที่-1ของหลิงหยุนเข้าไปอย่างมากมาย จนแทบจะเรียกได้ว่าเป็นโอสถพลังชีวิตได้แล้ว แต่หลังจากที่ถูกนำไปเก็บไว้ในบ้านหลังเล็กของตระกูลหลิง แม้หลิงหยุนจะได้สร้างค่ายกลหลุมพลังล้อมไว้แล้ว แต่เนื่องจากค่ายกลนั้นเป็นค่ายกลที่สร้างจากหินธรรมดาเท่านั้น พลังชีวิตในสมุนไพรจึงได้ระเหยออกไปบ้างแล้ว
แต่เมื่อสามวันก่อนหน้านี้..หลิงหยุนได้ให้เหล่ากุ่ยนำสมุนไพรทั้งหมดนี้มาไว้ภายในคฤหาสน์ตระกูลหลิงที่มีค่ายกลหลุมพลังชั้นเลิศ สมุนไพรเหล่านี้จึงได้ดูดเอาพลังชีวิตเข้าไปบ้างแล้ว และหลิงหยุนก็จะใช้สมุนไพรเหล่านี้ในการเขียนยันต์ และสร้างวัตถุวิเศษ..
หลังจากนั้น..หลิงหยุนก็ได้เดินเข้าไปในบ้านซึ่งอยู่ในสวนชั้นที่แปด และยกแหวนพื้นที่ในมือซ้ายขึ้นสำรวจดูพร้อมกับคิดในใจว่า แหวนพื้นที่วงนี้ได้ช่วยให้เขารอดพ้นจากความตายมานับครั้งไม่ถ้วนเลยทีเดียว
แต่เวลานี้หลิงหยุนมีแหวนจักรวาลแล้วจึงไม่จำเป็นต้องใช้แหวนพื้นที่อีก เขาจึงเรียกสิ่งของที่อยู่ด้านในออกมาเก็บไว้ในแหวนจักรวาลแทน
ระหว่างที่มองแหวนพื้นที่ในมือนั้นหลิงหยุนก็นึกถึงถังเมิ่งจนต้องยิ้มออกมา และคิดว่าเวลานี้ถังเมิ่งเองก็คงยุ่งไม่ต่างจากตนเองนัก!
หลิงหยุนรู้ว่าที่จิงฉูถังเมิ่งอาจจะช่วยเขาได้มากแต่ที่ปักกิ่งนั้นถังเมิ่งช่วยอะไรเขาไม่ได้เลย แต่หากหลิงหยุนต้องการความช่วยเหลือจากถังเมิ่ง เพียงแค่โทรหาถังเมิ่งก็พร้อมที่จะมาทันที!
สิ่งของที่แน่นจนเต็มแหวนพื้นที่นั้นหลังจากถูกย้ายเข้าไปไว้ในแหวนจักรวาลแล้ว พื้นที่ภายในแหวนจักรวาลยังเหลืออีกมากมาย..
“แม้จะมีเส้นผ่าศูนย์กลางเพียงแค่ห้าสิบเมตรแต่ก็สูงถึงยี่สิบห้าเมตร เท่ากับตึกสูงแปดถึงสิบชั้นเลยทีเดียว!”
จากนั้น..หลิงหยุนก็นำพู่กันขนาดต่างๆกว่าสิบด้าม กระดาษสีเหลือง ถุงใส่ชาดสีแดง และถุงเลือดสุนัขดำอีกสองถุง เลือดสุนัขดำทั้งสองถุงนี้คือเลือดของสุนัขทั้งสองตัวที่อยู่ในบ้านเลขที่-1 มันดูดซับเอาพลังชีวิตภายในบ้านเข้าไปทุกๆวัน เลือดของมันจึงนับว่าเหนือกว่าเลือดของสุนัขธรรมดามากนัก
ส่วนพู่กันนั้นใช้สำหรับเขียนอักขระกระดาษเหลืองสำหรับทำกระดาษเขียนยันต์ ชาดและเลือดสุนัขดำใช้สำหรับทำหมึก..
“แหวนวงนี้ไม่มีประโยชน์กับข้าอีกแล้วไว้ค่อยคืนกลับให้ถังเมิ่ง ใหนๆก็เป็นแหวนของเจ้าอยู่แล้ว!”
หลิงหยุนพึมพำกับตัวเองและถอดแหวนพื้นที่เข้าไปเก็บไว้ในแหวนจักรวาล จากนั้นหลิงหยุนก็เดินออกจากบ้านไปยังสนามด้านนอก..
เวลานี้ทั้งเหล่ากุ่ยโม่วู๋เตา และจินเหยียว ต่างก็มารออยู่ที่สนามเรียบร้อยแล้ว..
“ท่านน้าจินเหยียว..”ทันทีที่หลิงหยุนเดินออกมาพบจินเหยียว เขาก็รีบเอ่ยทักทายทันที หลังจากที่จินเหยียวได้พักผ่อนไปสองสามวันแล้วเวลานี้ร่างกายของนางก็เข้าสู่ความสมบูรณ์สูงสุด และรู้สึกว่าจะสามารถเข้าสู่ขั้นต่อไปได้อยู่ตลอดเวลา..
จินเหยียวเพียงแค่ยิ้มให้กับหลิงหยุนและไม่พูดอะไรมาก แต่โม่วู๋เตาที่ไม่ได้หลับได้นอนมาทั้งคืนนั้นถึงกับร้องโวยวายเสียงดัง
“หลิงหยุน..เจ้าจะปลุกข้าขึ้นมาทำไมกัน! เมื่อคืนเจ้านอนหลับสบายตลอดทั้งคืน แต่ข้ากลับต้องนั่งตากลมอยู่ท่ามกลางหุบเขา เจ้าปล่อยข้ากลับไปนอนเถอะนะ!”
โม่วู๋เตาพูดไม่ผิดนักเพราะหลิงหยุนได้นอนหลับในห้องของเย่ซิงเฉินไปนานถึงห้าชั่วโมง..
หลิงหยุนทำเสียงดุ“โม่วู๋เตา.. เจ้าเลิกคร่ำครวญได้แล้ว ที่ข้าเรียกเจ้ามาก็เพื่อประโยชน์ของเจ้าเองทั้งนั้น!”
โม่วู๋เตานั้นเป็นนักพรตเต๋าเขาจึงมีพื้นฐานในการกลั่นโอสถ และเขียนอักขระอยู่แล้ว หลิงหยุนจึงต้องการสอนโม่วู๋เตาในเรื่องนี้เพิ่มเติม
เหล่ากุ่ยที่ยืนดูอยู่ถึงกับหัวเราะออกมาและถามหลิงหยุนว่า “ผู้นำตระกูล.. ท่านยังต้องการอะไรเพิ่มอีกหรือไม่”
หลิงหยุนพยักหน้าพร้อมกับสั่งว่า“ท่านให้คนไปเตรียมถ่าน และต้มน้ำเตรียมไว้!”
……
หลังจากที่เตรียมของที่จำเป็นทั้งหมดครบแล้วหลิงหยุนก็สั่งไม่ให้ใครเข้ามารบกวนอีก และเข้าไปในบ้านพร้อมกับโม่วู๋เตาและจินเหยียวทันที
ระหว่างที่หลิงหยุนปลุกเสกยันต์ระดับหกนั้นเขาก็ได้อธิบายให้กับโม่วู๋เตาและจินเหยียวฟังอย่างละเอียด เพื่อให้ทั้งคู่ได้เรียนรู้การปลุกเสกยันต์ไปด้วย
ทั้งคู่นั้นคนหนึ่งเป็นศิษย์สำนักเหมาซานที่เลื่องชื่อส่วนอีกคนเป็นหญิงเผ่าเหมี่ยวเจียงที่เชี่ยวชาญด้านสมุนไพร ประกอบกับมีปรมาจารย์ด้านการปลุกเสกยันต์เช่นหลิงหยุน ทำให้ทั้งสามคนสามารถทำงานร่วมมือกันได้เป็นอย่างดี
แรกๆจินเหยียวกับโม่วู๋เตาก็ยังไม่คุ้นเคยนัก แต่เมื่อเวลาผ่านไปเรื่อยๆ ทั้งคู่ก็คุ้นเคยกับการปลุกเสกยันต์ทุกขั้นตอนของหลิงหยุน จนแทบไม่ต้องให้หลิงหยุนคอยกำกับอีกแล้ว..
แต่มีอย่างหนึ่งที่ทั้งคู่ยังไม่สามารถเรียนรู้ได้ในเวลาอันรวดเร็วนั่นก็คือการเขียนอักขระบนยันต์แต่ละประเภท..
…..
หลิงหยุนใช้เวลาสามวันไปกับการปลุกเสกยันต์และได้ยันต์มาหลากหลายชนิด ระหว่างทำการปลุกเสกยันต์นั้นหลิงหยุนได้ใช้หยดเสินหยวนร่วมด้วย ยันต์ของหลิงหยุนที่ปลุกเสกในครั้งนี้จึงเป็นยันต์ระดับเจ็ดทั้งสิ้น และพลานุภาพของยันต์ระดับเจ็ดนั้นก็เหนือกว่าระดับหกมากมายหลายเท่านัก!
ยิ่งไปกว่านั้น..นอกเหนือจากยันต์แล้ว หลิงหยุนก็ได้ใช้เวลาหนึ่งวันไปกับการสร้างวัตถุวิเศษ และครั้งนี้วัตถุที่หลิงหยุนสร้างขึ้นในครั้งนี้ก็คือภูษานักรบ..
หลิงหยุนถ่ายเทพลังหยิน–หยางในร่างกายผ่านกระบี่เหินเงาธนูและจัดการสลักค่ายกลเกราะลงไปบนชุดผ้าแพรไหมดำทั้งสามชุด และจัดการวาดสัญลักษณ์รูปเมฆาไว้บนชุด เพียงเท่านี้หลิงหยุนก็ได้วัตถุวิเศษเป็นภูษานักรบแล้ว!
ภูษานักรบของหลิงหยุนเสมือนหนึ่งเสื้อเกราะที่แข็งแกร่งมากว่าผ้าแพรไหมดำหลายเท่านัก!
สี่วันต่อมา..ในเย็นวันที่ 27 สิงหาคม หลิงหยุน จินเหยียว และโม่วู๋เตาก็ออกจากการเก็บตัวเตรียมการภายในบ้าน!
นับจากวันที่รับคำท้าประลองของเฉินจิ้งเฉวียนจนถึงตอนนี้เวลาก็ได้ผ่านไปสามวันแล้ว หากนับตามปฏิทินจันทรคติวันนี้ก็คือวันที่ 19 กรฏาคม และเป็นวันที่ 24 สิงหาคมตามปฏิทินสากล จึงมีเวลาเหลืออีกเพียงแค่หนึ่งอาทิตย์ก็จะถึงวันท้าประลองแล้ว..
หลิงหยุนจึงเหลือเวลาในการเตรียมการไม่นานนักเขาจำต้องเร่งมืออย่างรีบด่วน หลังจากที่เจสเตอร์พาบินออกจากหุบเขาไปถึงถนนแล้ว หลิงหยุนจึงเรียกรถของตนเองออกมาจากแหวนจักรวาล และรีบขับเข้าในตัวเมืองทันที
ระหว่างทางที่ขับรถกลับไปนั้นหลิงหยุนเอาแต่นิ่งเงียบไม่พูดไม่จา ทำให้บรรยากาศในรถค่อนข้างอึมครึม นั่นเพราะตลอดทางนั้นเขาเอาแต่ครุ่นคิดถึงการเตรียมการของตระกูลเฉินกับตระกูลซันแล้ว ก็ได้แต่รู้สึกหนักใจไม่น้อย..
หลิงหยุนสัมผัสได้ว่า..เขาไม่เพียงแค่เผชิญหน้ากับสองตระกูลใหญ่ แต่ดูเหมือนจะมีศัตรูที่ทรงพลังกว่าแอบอยู่ในที่มืดอีก!
ยิ่งไปกว่านั้น..ศัตรูในที่แจ้งอย่างตระกูลเฉินกับตระกูลซัน ก็ได้สร้างความกดดันให้กับหลิงหยุนไม่น้อย เพราะฝ่ายนั้นมียอดฝีมือขั้นเหนือธรรมชาติอย่างน้อยถึงสิบสองคน ตลอดทางหลิงหยุนจึงเฝ้าแต่ครุ่นคิดหาวิธีการว่าจะสู้กับยอดฝีมือเหล่านั้นเช่นใด และจากนี้ไปต้องเตรียมการอะไรบ้าง?
ถึงแม้จะรู้สึกกดดันแต่การร่วมมือระหว่างตระกูลเฉินกับตระกูลซัน ก็ได้สร้างแรงกระตุ้นให้กับจิตวิญญาณนักสู้ในตัวของหลิงหยุนได้เป็นอย่างดี!
ในช่วงเวลาที่เหลืออีกเจ็ดวันนั้นหลิงหยุนเชื่อว่าต่อให้เขาต้องใช้หยดเสินหยวนไปบ้าง แต่เขาเชื่อว่าก่อนถึงวันประลอง ตนเองจะสามารถกลั่นหยดเสินหยวนได้ไม่น้อยว่าสามร้อยหยด และนั่นก็เพียงพอที่จะรับมือกับยอดฝีมือที่มีพลังเหนือธรรมชาติทั้งสิบสองคนได้แล้ว!
หลิงหยุนค่อนข้างมั่นใจว่าจะสามารถรับมือกับศัตรูในที่แจ้งได้แต่เขากำลังนึกกังวลกับเหตุการณ์ และสิ่งที่ไม่อาจคาดเดาได้ที่จะเกิดขึ้นจากศัตรูในที่ลับต่างหาก..
……
หลิงหยุนกลับไปถึงคฤหาสนต์ตระกูลหลิงราวแปดโมงครึ่งและรีบตรงไปยังสวนชั้นที่ห้าทันที!
ค่ายกลหลุมพลังของหลิงหยุนนั้นนับว่าทรงพลังยิ่งนักเพราะเพียงแค่สามวันภายในบ้านตระกูลหลิงก็อุดมสมบูรณ์ไปด้วยพลังชีวิตเข้มข้น ซึ่งเหนือกว่าที่บ้านเลขที่-1 ในเมืองจิงฉูมาก
หลิงหยุนสัมผัสได้ถึงพลังชีวิตเข้มข้นรอบๆตัวจึงได้แต่พยักหน้าและยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจ จากนั้นจึงเรียกหลิวเทวะวิญญาณออกมาปลูกไว้ที่เดิม..
หลังจากที่เปิดจิตหยั่งรู้ออกสำรวจดูรอบๆหลิงหยุนก็พบว่าเหล่ากุ่ยกำลังฝึกวิชาอยู่พอดี เขาจึงบอกเหล่ากุ่ยผ่านกระแสจิตให้มาพบตนเองที่สวน และเหล่ากุ่ยก็รีบมาในทันทีเช่นกัน!
หลิงหยุนยิ้มให้พร้อมกับพูดขึ้นว่า“เหล่ากุ่ย.. ท่านให้คนนำเอาเมล็ดสมุนไพรพลังชีวิตมาให้ข้าได้แล้ว ข้าจะต้องเริ่มปลูกเมล็ดพันธุ์เหล่านั้นก่อน!”
แต่เหล่ากุ่ยกลับมีท่าทีลังเลเล็กน้อยก่อนจะถามเสียงเบา “ผู้นำตระกูล.. แต่นี่เป็นกลางฤดูร้อนพอดี อากาศเช่นนี้จะเหมาะแก่การปลูกสมุนไพรพลังชีวิตงั้นรึ!”
หลิงหยุนยิ้มพร้อมบอกเหล่ากุ่ยไปว่า“เหล่ากุ่ย.. เรื่องนั้นท่านไม่ต้องเป็นห่วง ข้าย่อมมีวิธีของข้า ท่านให้คนนำเมล็ดพันธุ์มาให้ข้าได้เลย!” ในเมื่อเขามีวิชาพฤกษาขจียังจะต้องสนใจว่าเวลานี้เป็นฤดูที่เหมาะสมหรือไม่อีกงั้นหรือ
เมล็ดพันธุ์ที่ท่านหมอเสี่ยวส่งมาให้หลิงหยุนนั้นมีมากมายถึงสิบกว่าชนิดและทั้งหมดก็ล้วนแล้วแต่เป็นเมล็ดพันธุ์สมุนไพรที่หาได้ยากยิ่งบนโลกใบนี้..
หลิงหยุนจัดการเปิดกระสอบที่บรรจุเมล็ดพันธุ์ออกและพบว่าภายในมีเมล็ดพันธุ์ถุงเล็กๆ บรรจุอยู่มากมายหลายชนิด
เหล่ากุ่ยเห็นเมล็ดพันธุ์มากมายถึงเพียงนั้นก็ถึงกับเวียนหัวและร้องถามหลิงหยุนว่า “ผู้นำตระกูล.. เมล็ดพันธุ์มากมายขนาดนี้ สวนก็ใหญ่มาก ท่านจะปลูกคนเดียวไหวงั้นรึ”
เพราะต่อให้มีคนงานช่วยก็ต้องใช้เวลาสองวันเป็นอย่างน้อยจึงจะปลูกเสร็จ แต่หลิงหยุนกลับยิ้ม และตอบเหล่ากุ่ยไปว่า..
“เอาน่า..ท่านคอยดูก็พอ!”
“ตอนนี้มาช่วยข้าแกะซองเมล็ดพันธุ์ก่อนเร็วเข้า!”
เหล่ากุ่ยเข้ามาช่วยหลิงหยุนฉีกซองเมล็ดพันธุ์ออกและเทกองอยู่กับพื้นจนเสร็จ จากนั้นหลิงหยุนจึงเริ่มใช้จิตหยั่งรู้ของตนเองเผาหยดเสินหยวนกลางหว่างคิ้ว พร้อมกับควบคุมให้เมล็ดพันธุ์บนพื้นดินลอยขึ้น และค่อยๆ เคลื่อนตัวไปยังตำแหน่งที่ตนเองต้องการจะปลูก..
“นั่นล่ะ..”
หลิงหยุนร้องออกมาอย่างพอใจเมื่อเห็นเมล็ดพันธุ์ทั้งหมดบนพื้นลอยขึ้นกลางอากาศและเมล็ดพันธุ์ชนิดเดียวกันก็ลอยไปอยู่รวมกันเป็นกลุ่มๆ ได้อย่างน่าอัศจรรย์
จากนั้นหลิงหยุนจึงใช้จิตหยั่งรู้ของตนเองโยกย้ายเมล็ดพันธุ์ชนิดต่างๆลอยไปอยู่ตามมุมสวนที่ต้องการจะปลูก หลังจากได้ที่หมายเรียบร้อยแล้ว หลิงหยุนจึงควบคุมให้เมล็ดพันธุ์เหล่านั้นร่วงลงสู่พื้นดิน
เมล็ดพันธุ์มากมายต่างก็ร่วงกรูลงสู่พื้นราวกับสายฝนและค่อยๆ แทรกซึมลงไปสู่ผืนดินลึกลงไปกว่าสิบเซ็นติเมตร
สิ้นคำสั่งของหลิงหยุนเหล่าเมล็ดพันธุ์มากมายก็ร่วงลงบนพื้นราวกับสายฝน และเมล็ดทั้งหมดที่ตกลงสู่พื้น ก็เริ่มแทรกซึมลงไปใต้พื้นดินกว่าสิบเซ็นติเมตร
ในเวลาไม่ถึงสิบนาที..ใต้ผืนดินในสวนชั้นที่ห้าและหกของตระกูลหลิง ก็เต็มไปด้วยเมล็ดพันธุ์สมุนไพรพลังชีวิตนานาชนิด
“เหล่ากุ่ย..ท่านกับคนอื่นๆ หลบออกจากพื้นที่สวนทั้งสองนี้ก่อน!”
หลังจากที่ทำการฝังเมล็ดพันธุ์ทั้งหมดเสร็จแล้วหลิงหยุนก็สั่งให้ทุกคนที่นั้นออกไปจากบริเวณสวนทั้งสองก่อน จากนั้นเขาจึงนั่งลงขัดสมาธิอยู่ตรงกลางระหว่างพื้นที่สวนทั้งสอง และเริ่มใช้หยดเสินหยวนร่วมกับวิชาพฤกษาขจี..
จากนั้น..เหล่าเมล็ดพันธุ์ทั้งหมดที่เพิ่งปลูกลงเดินไปเมื่อครู่ ก็เริ่มมีรากงอกหยั่งลงสู่พื้นดินด้านล่าง ตามมาด้วยลำต้นที่ค่อยๆ เติบโตแทงทะลุพื้นดินขึ้นมา และในเวลาไม่นานนัก ภายในสวนทั้งสองของตระกูลหลิงก็เต็มไปด้วยต้นสมุนไพรที่เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วมากมายนับไม่ถ้วน!
“ห๊ะ!นี่มันอะไรกัน!”
เหล่าสมาชิกตระกูลหลิงเห็นเช่นนั้นก็ถึงกับร้องอุทานออกมาด้วยความตกใจและนี่เป็นครั้งแรกที่ทุกคนได้เห็นหลิงหยุนใช้วิชาพฤกษาขจี!
เวลานี้สวนทั้งสองภายในคฤหาสน์ตระกูลหลิงก็มีสมุนไพรพลังชีวิตที่เติบโตเต็มวัยอยู่มากมาย..
“มันต้องแบบนี้สิ!”
หลิงหยุนยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจและไม่สนใจคนอื่นๆที่ยังคงยืนนิ่งด้วยความตกตะลึง หลิงหยุนกระโดดไปยังสวนชั้นที่เจ็ดต่อทันที ในขณะที่หลิงลี่ หลิงเสี่ยว หลิงเย่ว และคนอื่นๆ ต่างก็กระโดดตามหลิงหยุนไปพร้อมกับจ้องมองเขาด้วยแววตาที่ไม่อยากจะเชื่อ..
“หลิงหยุน..นี่มัน.. นี่..” หลิงลี่ที่ยืนอ้าปากค้างอยู่นานด้วยความตกใจหลังจากที่ไล่ตามหลิงหยุนทันแล้ว เขาจึงรีบร้องถามออกไปทันที แต่ก็ไม่สามารถพูดอะไรได้มากไปกว่านั้น!
หลิงหยุนอธิบายให้หลิงลี่ฟังด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม“ท่านปู่.. นี่คือวิชาพฤกษาขจีที่ข้าฝึกฝนอยู่ หากฝึกจนถึงขั้นหนึ่งก็จะสามารถควบคุมวงจรการเจริญเติบโตของเหล่าแมกไม้ได้!”
“วิชาพฤกษาขจีงั้นรึ!”
ทุกคนในตระกูลหลิงต่างก็หันไปมองหน้ากันด้วยความงุนงงและได้แต่แอบคิดในใจว่า วรยุทธที่พวกเขาฝึกนั้นเทียบไม่ได้จริงๆกับวิชาบ่มเพาะของหลิงหยุน มันช่างน่าอัศจรรย์ยิ่งนัก!
จากนั้น..หลิงหยุนก็บอกกับหลิงลี่ว่า “ท่านปู่.. สามสี่วันนับจากนี้ ข้าจะเก็บตัวเพื่อเตรียมการอะไรบางอย่าง เรื่องราวภายในตระกูลหลิงข้าคงต้องขอให้ท่านปู่จัดการแทน!”
หลิงหยุนไม่อธิบายอะไรมากมายในช่วงโค้งสุดท้ายหนึ่งอาทิตย์นี้ เขาต้องเตรียมตัวให้พร้อมมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ไม่ว่าจะเป็นการเตรียมร่างกาย กลั่นหยดเสินหยวน ปลุกเสกยันต์ และสร้างวัตถุวิเศษต่างๆ
“หลิงหยุน..เจ้าไม่ต้องห่วงเรื่องภายในตระกูล ข้าจะเป็นคนดูแลจัดการให้เอง” หลิงลี่ร้องบอกหลิงหยุนทันที ไอลีนโนเวล
หลังนั้นหลิงหยุนก็เพียงแค่เหลือบมองหลิงเสี่ยวแล้วจึงโบกมือให้เหล่ากุ่ยตามเขาไปยังสวนชั้นที่แปดซึ่งเป็นลานฝึกวิชาของคนตระกูลหลิง..
และนี่คือสถานที่ที่หลิงหยุนจะใช้เป็นสถานที่เก็บตัวเตรียมการต่างๆนั่นเอง..
เมื่อไปถึงแล้ว..หลิงหยุนจึงหันไปสั่งเหล่ากุ่ยว่า “สั่งให้คนนำกระสอบสมุนไพรทั้งหมดมาไว้ในสวนแห่งนี้”
“ท่านช่วยให้คนเตรียมหม้อขนาดใหญ่ให้ข้าสองใบด้วยแล้วก็..”
“อ่อ..แล้วก็ให้คนไปปลุกโม่วู๋เตาให้มาพบข้าที่นี่ด้วย!”
หลังจากสั่งงานเหล่ากุ่ยเสร็จแล้วหลิงหยุนก็ได้บอกจินเหยียวผ่านกระแสจิตให้นางมาพบเขาที่นี่เช่นกัน!
นั่นเพราะจินเหยียวเองก็เป็นหญิงชาวเหมี่ยวเจียงจึงแทบไม่ต้องพูดถึงความรู้ในเรื่องสมุนไพร และพิษชนิดต่างๆ ความรู้เหล่านี้ของนางย่อมต้องเหนือกว่าเหมี่ยวเสี่ยวเหมาอย่างแน่นอน!
หลิงหยุนกำลังเตรียมการเพื่อปลุกเสกยันต์และสร้างวัตถุวิเศษ!
………
เหล่าสมาชิกตระกูลหลิงต่างก็ลงมือช่วยกันโยกย้ายกระสอบสมุนไพรจำนวนมากเข้าไปในสวนชั้นที่แปดให้หลิงหยุนด้วยตัวเองและได้คัดแยกสมุนไพรชนิดเดียวกันไปไว้ในกลุ่มเดียวกัน..
สมุนไพรเหล่านี้ได้ดูดซับเอาพลังชีวิตภายในบ้านเลขที่-1ของหลิงหยุนเข้าไปอย่างมากมาย จนแทบจะเรียกได้ว่าเป็นโอสถพลังชีวิตได้แล้ว แต่หลังจากที่ถูกนำไปเก็บไว้ในบ้านหลังเล็กของตระกูลหลิง แม้หลิงหยุนจะได้สร้างค่ายกลหลุมพลังล้อมไว้แล้ว แต่เนื่องจากค่ายกลนั้นเป็นค่ายกลที่สร้างจากหินธรรมดาเท่านั้น พลังชีวิตในสมุนไพรจึงได้ระเหยออกไปบ้างแล้ว
แต่เมื่อสามวันก่อนหน้านี้..หลิงหยุนได้ให้เหล่ากุ่ยนำสมุนไพรทั้งหมดนี้มาไว้ภายในคฤหาสน์ตระกูลหลิงที่มีค่ายกลหลุมพลังชั้นเลิศ สมุนไพรเหล่านี้จึงได้ดูดเอาพลังชีวิตเข้าไปบ้างแล้ว และหลิงหยุนก็จะใช้สมุนไพรเหล่านี้ในการเขียนยันต์ และสร้างวัตถุวิเศษ..
หลังจากนั้น..หลิงหยุนก็ได้เดินเข้าไปในบ้านซึ่งอยู่ในสวนชั้นที่แปด และยกแหวนพื้นที่ในมือซ้ายขึ้นสำรวจดูพร้อมกับคิดในใจว่า แหวนพื้นที่วงนี้ได้ช่วยให้เขารอดพ้นจากความตายมานับครั้งไม่ถ้วนเลยทีเดียว
แต่เวลานี้หลิงหยุนมีแหวนจักรวาลแล้วจึงไม่จำเป็นต้องใช้แหวนพื้นที่อีก เขาจึงเรียกสิ่งของที่อยู่ด้านในออกมาเก็บไว้ในแหวนจักรวาลแทน
ระหว่างที่มองแหวนพื้นที่ในมือนั้นหลิงหยุนก็นึกถึงถังเมิ่งจนต้องยิ้มออกมา และคิดว่าเวลานี้ถังเมิ่งเองก็คงยุ่งไม่ต่างจากตนเองนัก!
หลิงหยุนรู้ว่าที่จิงฉูถังเมิ่งอาจจะช่วยเขาได้มากแต่ที่ปักกิ่งนั้นถังเมิ่งช่วยอะไรเขาไม่ได้เลย แต่หากหลิงหยุนต้องการความช่วยเหลือจากถังเมิ่ง เพียงแค่โทรหาถังเมิ่งก็พร้อมที่จะมาทันที!
สิ่งของที่แน่นจนเต็มแหวนพื้นที่นั้นหลังจากถูกย้ายเข้าไปไว้ในแหวนจักรวาลแล้ว พื้นที่ภายในแหวนจักรวาลยังเหลืออีกมากมาย..
“แม้จะมีเส้นผ่าศูนย์กลางเพียงแค่ห้าสิบเมตรแต่ก็สูงถึงยี่สิบห้าเมตร เท่ากับตึกสูงแปดถึงสิบชั้นเลยทีเดียว!”
จากนั้น..หลิงหยุนก็นำพู่กันขนาดต่างๆกว่าสิบด้าม กระดาษสีเหลือง ถุงใส่ชาดสีแดง และถุงเลือดสุนัขดำอีกสองถุง เลือดสุนัขดำทั้งสองถุงนี้คือเลือดของสุนัขทั้งสองตัวที่อยู่ในบ้านเลขที่-1 มันดูดซับเอาพลังชีวิตภายในบ้านเข้าไปทุกๆวัน เลือดของมันจึงนับว่าเหนือกว่าเลือดของสุนัขธรรมดามากนัก
ส่วนพู่กันนั้นใช้สำหรับเขียนอักขระกระดาษเหลืองสำหรับทำกระดาษเขียนยันต์ ชาดและเลือดสุนัขดำใช้สำหรับทำหมึก..
“แหวนวงนี้ไม่มีประโยชน์กับข้าอีกแล้วไว้ค่อยคืนกลับให้ถังเมิ่ง ใหนๆก็เป็นแหวนของเจ้าอยู่แล้ว!”
หลิงหยุนพึมพำกับตัวเองและถอดแหวนพื้นที่เข้าไปเก็บไว้ในแหวนจักรวาล จากนั้นหลิงหยุนก็เดินออกจากบ้านไปยังสนามด้านนอก..
เวลานี้ทั้งเหล่ากุ่ยโม่วู๋เตา และจินเหยียว ต่างก็มารออยู่ที่สนามเรียบร้อยแล้ว..
“ท่านน้าจินเหยียว..”ทันทีที่หลิงหยุนเดินออกมาพบจินเหยียว เขาก็รีบเอ่ยทักทายทันที หลังจากที่จินเหยียวได้พักผ่อนไปสองสามวันแล้วเวลานี้ร่างกายของนางก็เข้าสู่ความสมบูรณ์สูงสุด และรู้สึกว่าจะสามารถเข้าสู่ขั้นต่อไปได้อยู่ตลอดเวลา..
จินเหยียวเพียงแค่ยิ้มให้กับหลิงหยุนและไม่พูดอะไรมาก แต่โม่วู๋เตาที่ไม่ได้หลับได้นอนมาทั้งคืนนั้นถึงกับร้องโวยวายเสียงดัง
“หลิงหยุน..เจ้าจะปลุกข้าขึ้นมาทำไมกัน! เมื่อคืนเจ้านอนหลับสบายตลอดทั้งคืน แต่ข้ากลับต้องนั่งตากลมอยู่ท่ามกลางหุบเขา เจ้าปล่อยข้ากลับไปนอนเถอะนะ!”
โม่วู๋เตาพูดไม่ผิดนักเพราะหลิงหยุนได้นอนหลับในห้องของเย่ซิงเฉินไปนานถึงห้าชั่วโมง..
หลิงหยุนทำเสียงดุ“โม่วู๋เตา.. เจ้าเลิกคร่ำครวญได้แล้ว ที่ข้าเรียกเจ้ามาก็เพื่อประโยชน์ของเจ้าเองทั้งนั้น!”
โม่วู๋เตานั้นเป็นนักพรตเต๋าเขาจึงมีพื้นฐานในการกลั่นโอสถ และเขียนอักขระอยู่แล้ว หลิงหยุนจึงต้องการสอนโม่วู๋เตาในเรื่องนี้เพิ่มเติม
เหล่ากุ่ยที่ยืนดูอยู่ถึงกับหัวเราะออกมาและถามหลิงหยุนว่า “ผู้นำตระกูล.. ท่านยังต้องการอะไรเพิ่มอีกหรือไม่”
หลิงหยุนพยักหน้าพร้อมกับสั่งว่า“ท่านให้คนไปเตรียมถ่าน และต้มน้ำเตรียมไว้!”
……
หลังจากที่เตรียมของที่จำเป็นทั้งหมดครบแล้วหลิงหยุนก็สั่งไม่ให้ใครเข้ามารบกวนอีก และเข้าไปในบ้านพร้อมกับโม่วู๋เตาและจินเหยียวทันที
ระหว่างที่หลิงหยุนปลุกเสกยันต์ระดับหกนั้นเขาก็ได้อธิบายให้กับโม่วู๋เตาและจินเหยียวฟังอย่างละเอียด เพื่อให้ทั้งคู่ได้เรียนรู้การปลุกเสกยันต์ไปด้วย
ทั้งคู่นั้นคนหนึ่งเป็นศิษย์สำนักเหมาซานที่เลื่องชื่อส่วนอีกคนเป็นหญิงเผ่าเหมี่ยวเจียงที่เชี่ยวชาญด้านสมุนไพร ประกอบกับมีปรมาจารย์ด้านการปลุกเสกยันต์เช่นหลิงหยุน ทำให้ทั้งสามคนสามารถทำงานร่วมมือกันได้เป็นอย่างดี
แรกๆจินเหยียวกับโม่วู๋เตาก็ยังไม่คุ้นเคยนัก แต่เมื่อเวลาผ่านไปเรื่อยๆ ทั้งคู่ก็คุ้นเคยกับการปลุกเสกยันต์ทุกขั้นตอนของหลิงหยุน จนแทบไม่ต้องให้หลิงหยุนคอยกำกับอีกแล้ว..
แต่มีอย่างหนึ่งที่ทั้งคู่ยังไม่สามารถเรียนรู้ได้ในเวลาอันรวดเร็วนั่นก็คือการเขียนอักขระบนยันต์แต่ละประเภท..
…..
หลิงหยุนใช้เวลาสามวันไปกับการปลุกเสกยันต์และได้ยันต์มาหลากหลายชนิด ระหว่างทำการปลุกเสกยันต์นั้นหลิงหยุนได้ใช้หยดเสินหยวนร่วมด้วย ยันต์ของหลิงหยุนที่ปลุกเสกในครั้งนี้จึงเป็นยันต์ระดับเจ็ดทั้งสิ้น และพลานุภาพของยันต์ระดับเจ็ดนั้นก็เหนือกว่าระดับหกมากมายหลายเท่านัก!
ยิ่งไปกว่านั้น..นอกเหนือจากยันต์แล้ว หลิงหยุนก็ได้ใช้เวลาหนึ่งวันไปกับการสร้างวัตถุวิเศษ และครั้งนี้วัตถุที่หลิงหยุนสร้างขึ้นในครั้งนี้ก็คือภูษานักรบ..
หลิงหยุนถ่ายเทพลังหยิน–หยางในร่างกายผ่านกระบี่เหินเงาธนูและจัดการสลักค่ายกลเกราะลงไปบนชุดผ้าแพรไหมดำทั้งสามชุด และจัดการวาดสัญลักษณ์รูปเมฆาไว้บนชุด เพียงเท่านี้หลิงหยุนก็ได้วัตถุวิเศษเป็นภูษานักรบแล้ว!
ภูษานักรบของหลิงหยุนเสมือนหนึ่งเสื้อเกราะที่แข็งแกร่งมากว่าผ้าแพรไหมดำหลายเท่านัก!
สี่วันต่อมา..ในเย็นวันที่ 27 สิงหาคม หลิงหยุน จินเหยียว และโม่วู๋เตาก็ออกจากการเก็บตัวเตรียมการภายในบ้าน!