Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร - บทที่ 1147 : ยั่วโมโห!
วันที่28 เดือน 8 นับเป็นวันดีวันหนึ่ง และเป็นวันที่ท้องฟ้าแจ่มใสไร้เมฆหมอก..
อีกไม่กี่วันก็จะเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วงแล้วอากาศจึงเริ่มเย็นขึ้นกว่าช่วงต้นเดือนมาก หลิงหยุนจัดเตรียมสนามประลองเสร็จราวตีห้าพอดี หลังจากสำรวจจนมั่นใจแล้วว่าไม่มีข้อผิดพลาดใดๆ เขากับมาร์ควิสเอ็ดเวิร์ดจึงได้กลับไปยังคฤหาสน์ตระกูลหลิง..
เวลานี้หากมองเพียงผิวเผินภายในหุบเขาลึกซึ่งเป็นที่ตั้งศูนย์บัญชาการใหญ่ขององค์กรนักฆ่าสาขาปักกิ่งนั้น นอกเหนือจากบ้านหลังใหญ่ที่ตั้งอยู่กลางหุบเขาแล้ว ก็ไม่มีอะไรผิดแปลกตา..
และเพื่อไม่ให้การเดินทางกลับของตนเองเป็นที่สะดุดตาของผู้คนหลิงหยุนจึงได้ขับรถอ้อมไปตามถนนวงแหวนที่หก และกว่าจะกลับไปถึงคฤหาสน์ตระกูลหลิงก็ราวหกโมงเช้าพอดี.. เมื่อกลับถึงบ้าน..หลิงหยุนก็ต้องเปิดจิตหยั่งรู้ออกสำรวจดูเหล่าสมาชิกที่อยู่ภายในบ้านดังเช่นทุกครั้ง และก็พบว่าทุกคนต่างก็ตื่นมาฝึกฝนวิชากันตั้งแต่เช้า บ้างก็กำลังนั่งขัดสมาธิฝึกฝนลมปราณ บ้างก็กำลังฝึกวรยุทธ..
หลิงหยุนเห็นเช่นนั้นก็ได้แต่ยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจและได้แต่คิดว่าหากทุกคนขยันหมั่นเพียรฝึกฝนเช่นนี้ ตระกูลหลิงคงจะต้องรุ่งเรืองอย่างรวดเร็วเป็นแน่!
ส่วนเหล่ากุ่ยกับหลิงเสี่ยวนั้นเวลานี้อยู่ในห้องฝึกฝน และกำลังฝึกเพลงหมัด และวิชามังกรพรางร่าง..
ทั้งเหล่ากุ่ยและหลิงเสี่ยวนั้นคนหนึ่งอยู่ในระดับสูงสุดขั้นเซียงเทียน-7 ในขณะที่อีกคนอยู่ในระดับสูงสุดขั้นเซียงเทียน-6 จึงนับว่าเป็นคู่ซ้อมเพลงยุทธที่สูสีกันมากทีเดียว!
หลิงหยุนเดินนำเอ็ดเวิร์ดไปยังสวนชั้นที่แปดในขณะเดียวกันก็บอกเหล่ากุ่ยผ่านกระแสจิตให้มาพบเขาที่นี่ด้วย..
จากนั้นหลิงหยุนกับเอ็ดเวิร์ดก็เดินไปยังคุกใต้ดินตระกูลหลิงและได้พบเจสเตอร์ เพียร์ซ และจอยซ์ที่กำลังเดินออกมาพอดี
“เจ้านายที่เคารพ!”
หลิงหยุนพยักหน้าและได้สั่งพอลซึ่งอยู่ด้านในคุกใต้ดินผ่านกระแสจิตให้มาพบเขาด้านนอกเช่นกัน และไม่นานนักทั้งเอ็ดเวิร์ด เพียร์ซ จอยซ์ เจสเตอร์ และพอล ต่างก็ได้มารวมกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตาเป็นครั้งแรก..
แต่เมื่อแวมไพร์ทั้งสี่ตนได้เห็นเอ็ดเวิร์ดพวกมันต่างก็ร้องอุทานออกมาอย่างพร้อมเพรียงกัน..
“ห๊ะ..ระดับสูงสุดขั้นแกรนด์ดยุค!”
ถูกต้อง..และเมื่อคืนนี้เอ็ดเวิร์ดก็สามารถเลื่อนขั้นจากระดับสูงสุดขั้นมาร์ควิส มาเป็นแวมไพร์ขั้นแกรนด์ดยุคได้สำเร็จ!
……..
เมื่อคืนนี้นับว่าหลิงหยุนเดินทางไปศูนย์บัญชาการใหญ่องค์การนักฆ่าสาขาปักกิ่งได้ทันเวลาพอดี! เพราะเมื่อไปถึง..หลิงหยุนก็ได้เปิดจิตหยั่งรู้ออกสำรวจทั่วบริเวณหุบเขา และพบว่าเอ็ดเวิร์ดนั้นอยู่ทางด้านใต้ของหุบเขา และกำลังกลายร่างอยู่บนหน้าผาสูง ในเวลานั้นเอ็ดเวิร์ดได้กลายร่างเป็นปีศาจตัวเขียว มีเล็บและเขี้ยวงอก แล้วสยายปีกสีม่วงบินว่อนอยู่ท่ามกลางแสงจันทร์ที่กำลังสาดส่องลงมา..
หลิงหยุนเห็นเช่นนั้นก็รู้ได้ทันทีว่าเกิดอะไรขึ้นเขาจึงรีบพุ่งตรงไปหาเอ็ดเวิร์ดด้วยความเร็วสูงสุด และเมื่อไปถึงก็กระโดดขึ้นไปยืนอยู่บนแผ่นหลังของเอ็ดเวิร์ดทันที!
วิชาดาราคุ้มกาย..
พลังจันทราและพลังดวงดาวได้ทอดลงมาสู่ร่างของหลิงหยุน และกำลังปกคลุมร่างของเขาและเอ็ดเวิร์ดไว้พร้อมกัน
จากนั้นหลิงหยุนก็ได้เดินพลังปราณตามคัมภีร์เสวียนหวงปลดปล่อยปราณเสวียนหวงออกจากร่างกายของตนเองทันที ปราณเสวียนหวงบางส่วนได้ถูกถ่ายเทเข้าสู่ร่างของเอ็ดเวิร์ดโดยตรง และบางส่วนก็ได้กลายเป็นควันสีเหลืองพวยพุ่งออกมาปกคลุมร่างของพวกเขาทั้งคู่ไว้..
ในนาทีที่เอ็ดเวิร์ดกำลังเจ็บปวดร่างกายอย่างมากในระหว่างที่กำลังก้าวขึ้นสู่ขั้นดยุคนั้นปราณเสวียนหวงเข้มข้นประหนึ่งของเหลวสีเขียวคล้ายหยก ก็ได้ทำหน้าที่เสมือนโอสถรักษาความเจ็บปวดรวดร้าวตามร่างกายของมันให้ค่อยๆบรรเทาลง และเปลี่ยนเป็นความสดชื่นเข้ามาทดแทน!
และในที่สุดเอ็ดเวิร์ดก็ได้เข้าสู่ขั้นดยุคระดับสูงสุดและมีพลังอำนาจไม่ต่างจากดยุคแดร๊กคิวล่า!
แต่หลิงหยุนดูเหมือนจะไม่พอใจเพียงแค่นั้นเขาถามเอ็ดเวิร์ดด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “เอ็ดเวิร์ด.. หากข้าให้เลือดเจ้าอีกหนึ่งหยด เจ้าจะทานทนได้หรือไม่”
เวลานี้หลิงหยุนเข้าสู่ระดับสูงสุดขั้นเอ้อเฉิงชี่(พลังชี่-2) แล้ว และในเลือดของเขานั้นก็มีทั้งพลังสีทองจากสมุดจักรพรรดิ และพู่กันจักรพรรดิ และยังมีปราณมังกรจากน้ำลายมังกร และพลังชีวิตอื่นๆอีกมากมาย
หากเอ็ดเวิร์ดได้รับเข้าไปและสามารถทานทนต่อความเจ็บปวดได้ มันจะได้รับประโยชน์อย่างมากมายเลยทีเดียว!
เอ็ดเวิร์ดตอบกลับมาอย่างมั่นใจ“เจ้านาย.. ข้าอยากจะลองดู!”
“เยี่ยมมาก!”
หลิงหยุนจัดการกัดนิ้วมือของตัวเองและหยดเลือดลงไปบริเวณจุดตันเถียนของเอ็ดเวิร์ด เขาไม่กล้าที่จะหยดเลือดลงตรงตำแหน่งหัวใจ หรือกลางศรีษะของเอ็ดเวิร์ดโดยตรง เพราะเกรงว่าอานุภาพที่รุนแรงของเลือดตนนั้น จะทำให้เอ็ดเวิร์ดไม่สามารถทานทนต่อความเจ็บปวดที่จะเกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงได้ และหากเป็นเช่นนั้นหลิงหยุนเองก็คงจะไม่สามารถแก้ไขอะไรได้!
หากเวลานี้เอ็ดเวิร์ดยังไม่เข้าสู่ขั้นดยุคหลิงหยุนก็คงไม่กล้าที่จะทดลองทำเช่นนี้ แวมไพร์ในขั้นดยุคนั้นจะมีความสามารถในการควบคุมพลังในร่างกายได้แข็งแกร่งกว่าขั้นมาร์ควิสถึงสามเท่า อีกทั้งในร่างของเอ็ดเวิร์ดยังมีประคำโลหิตด้วย หลิงหยุนจึงคิดว่าไม่น่าจะมีปัญหาอะไร..
แล้วก็เป็นดังเช่นที่หลิงหยุนคิดไว้จริงๆหลังจากที่เอ็ดเวิร์ดได้เลือดของหลิงหยุนเข้าไป เลือดในกายของมันก็มีพลังเพิ่มขึ้นอย่างมากมาย เอ็ดเวิร์ดอดทนต่อความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัสที่เกิดขึ้น และในที่สุดก็สามารถดูดซับเอาเลือดของหลิงหยุนเข้าไปได้จนหมด แล้วในที่สุดก็สามารถเข้าสู่ระดับสูงสุดขั้นแกรนด์ดยุคได้..
เสียงหัวใจของเอ็ดเวิร์ดเต้นดังราวกับกลองและเต้นแรงกว่าหัวใจมนุษย์ธรรมดาหลายเท่านัก และเลือดในกายของเอ็ดเวิร์ดเวลานี้ก็ไม่ได้เย็นเหมือนก่อน แต่กลับมีอุณหภูมิที่สูงขึ้น..
ดวงตาที่เคยเย็นชาไร้ความรู้สึกของเอ็ดเวิร์ดนั้นเวลานี้กลับดูเหมือนสามารถบ่งบอกอารมณ์ความรู้สึกได้ และลูกนัยน์ตาก็ไม่ได้เป็นสีแดงเช่นเคย แต่เป็นสีฟ้าสดใส.. “เจ้านาย..ข้ารู้สึกราวกับว่าได้กลับคืนชีพอีกครั้ง ราวกับเกิดใหม่!”
และจู่ๆหลิงหยุนก็เรียกลูกธนูเงินออกมาจากแหวนพื้นที่ พร้อมกับชูใส่หน้าเอ็ดเวิร์ด และถามขึ้นว่า
“เจ้ายังกลัวลูกธนูเงินนี่อีกหรือไม่”
เอ็ดเวิร์ดส่ายหน้าพร้อมกับพูดขึ้นว่า“เจ้านาย.. อย่าได้ล้อข้าเล่น! แวมไพร์ที่เข้าสู่ขัันแกรนด์ดยุคได้แล้ว จะไม่กลัวอาวุธที่ทำจากเงิน แล้วก็ไม่กลัวไฟ และแสงอาทิตย์..”
ปรากฏการณ์นี้ก็คล้ายๆกับหนูที่ปกติกลัวแมวแต่หากหนูตัวนั้นใหญ่กว่าแมว มันย่อมจะไม่กลัวแมวอีกแล้วนั่นเอง!
“ฮ่า..ฮ่า..”
หลิงหยุนหัวเราะเสียงดังจากนั้นจึงเรียกยันต์อัคนีออกมา และลูกไฟก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าของเอ็ดเวิร์ด และด้วยสัญชาติญาณเอ็ดเวิร์ดจึงก้าวถอยหลังหนีทันที แต่ดวงตาของมันกลับไม่กระพริบเลยแม้แต่น้อย.. และในเมื่อไม่กลัวแม้แต่ลูกธนูเงินไม่กลัวแม้แต่ไฟ ย่อมไม่กลัวแสงอาทิตย์ด้วยเช่นกัน หลิงหยุนจึงไม่จำเป็นต้องพิสูจน์อีก
หลังจากนั้นหลิงหยุนก็ได้ทดสอบพลังของแวมไพร์ขั้นแกรนด์ดยุคด้วยการใช้กระบี่เหินเงาธนูประลองกับเอ็ดเวิร์ด และพบว่าเวลานี้เอ็ดเวิร์ดนั้นแข็งแรงกว่าดยุคแดร๊กคิวล่ามากนัก!
“เยี่ยม..พลังอำนาจของเจ้าแข็งแกร่งมากทีเดียว!”
แวมไพร์นั้นมีความสามารถในการเคลื่อนที่ได้รวดเร็วอีกทั้งด้วยพลังอำนาจ และมนต์ซาตานในขั้นแกรนด์ดยุคนั้น หลิงหยุนจึงมั่นใจว่าเอ็ดเวิร์ดจะสามารถเอาชนะยอดฝีมือระดับหนึ่งขั้นพลังเหนือธรรมชาติได้อย่างง่ายดาย..
ส่วนยอดฝีมือระดับสองขั้นพลังเหนือธรรมชาตินั้นเอ็ดเวิร์ดก็น่าจะสามารถเอาชนะได้เช่นกัน แต่ในระดับสามนั้นหลิงหยุนเองก็ยังไม่มั่นใจ.. และหากเอ็ดเวิร์ดแข็งแกร่งขึ้นมากถึงเพียงนี้หลิงหยุนคิดว่ามันน่าจะช่วยเขาในการประลองได้มากทีเดียว!
…..
แกรนด์ดยุคเอ็ดเวิร์ดมองตาของแวมไพร์อีกสี่ตนและพบว่าในดวงตาของพวกมันนั้น ต่างก็เต็มไปด้วยความอิจฉา เอ็ดเวิร์ดจึงหันไปพูดกับหลิงหยุนด้วยท่าทีเคารพนบนอบว่า..
“เจ้านายที่เคารพ..ขอบคุณท่านมากที่ช่วยให้ข้าได้มีค่ำคืนอันแสนวิเศษเช่นนี้!”
“ขอบคุณเจ้านายที่เคารพที่ทำให้ข้าได้มีคืนอันแสนวิเศษเช่นนี้!”
“หยุด..”
หลิงหยุนยกมือขึ้นห้ามแกรนด์ดยุคเอ็ดเวิร์ดไม่ให้พูดคำว่า‘คืนอันแสนวิเศษ..’ แต่เมื่อมันพูดออกมาเขาก็แทบอยากจะร้องไห้..
และแน่นอนว่าเจสเตอร์ที่ได้ยินนั้นก็ถึงกับยิ้มกริ่มและรีบพูดล้อเลียนหลิงหยุนทันที “เจ้านายที่เคารพ.. เจสเตอร์เองก็อยากให้เจ้านายช่วยทำให้ข้ามีค่ำคืนที่แสนวิเศษเช่นนั้นบ้าง!”
แต่ยังไม่ทันที่หลิงหยุนจะได้ดุเจสเตอร์เสียงของเหล่ากุ่ยก็ดังขึ้น
“ผู้นำตระกูล..ท่านกลับมาแล้วรึ”
หลิงหยุนพยักหน้าให้กับเหล่ากุ่ยและได้บอกเหล่ากุ่ยว่าเขาจัดเตรียมสนามประลองเสร็จเรียบร้อยแล้ว พร้อมกับเอ่ยถามเหล่ากุ่ยว่า
“เหล่ากุ่ย..ท่านมาก็ดี! ผ้าที่ซิงเฉินให้มาตัดเสื้อให้กับแวมไพร์ทั้งห้าล่ะ ท่านจัดการเรียบร้อยแล้วหรือไม่”
เหล่ากุ่ยพยักหน้าพร้อมกับตอบไปว่า“ข้าจัดการให้ตามที่สั่งเรียบร้อยแล้ว!”
จากนั้นเหล่ากุ่ยก็เรียกชุดที่ตัดเย็บด้วยผ้าแพรไหมดำออกมาจากแหวนพื้นที่ส่งให้หลิงหยุนทันทีและเวลานี้เหล่ากุ่ยก็มีแหวนพื้นที่แล้วเช่นกัน ทำให้เขาทำงานได้สะดวกกว่าเดิมมากนัก.. “พวกเจ้าทั้งห้ามานี่เร็วเข้า!นี่เป็นชุดที่ข้าสั่งตัดให้พวกเจ้าโดยเฉพาะ วันข้างหน้าที่พวกเจ้ากลายร่าง จะได้ไม่ต้องคอยหาเสื้อผ้าเปลี่ยนอีก!”
เสื้อผ้าทั้งห้าชุดที่ตัดเย็บจากผ้าแพรไหมดำนี้หลิงหยุนตั้งใจทำให้กับแวมไพร์ทั้งห้าโดยเฉพาะ เพราะผ้าแพรไหมดำนี้มีความยืดหยุ่น และทนทาน ในยามที่พวกมันกลายร่างเป็นปีศาจยักษ์ เสื้อที่สวมใส่จะได้ไม่ขาดอีก อีกทั้งยังสามารถใช้เป็นเสื้อเกราะได้ด้วย..
“ขอบคุณเจ้านายที่เคารพ!”
แวมไพร์ทั้งห้าต่างก็รับชุดผ้าแพรไหมดำมาสวมใส่ด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มอย่างมีความสุขและนับวันพวกมันทั้งห้าก็ยิ่งจงรักภักดีกับหลิงหยุนมากยิ่งขึ้น..
เดิมทีนั้นพวกมันจงรักภักดีต่อหลิงหยุนเพราะหยดเลือดแต่นับวันพวกมันก็ยิ่งจงรักภักดีกับหลิงหยุนด้วยหัวใจ.. ซึ่งต่างกันมาก!
จากนั้นหลิงหยุนก็สั่งให้แวมไพร์ทั้งห้ากลับเข้าไปในคุกใต้ดินได้และเวลานี้ที่นั่นก็คือที่อยู่ของเหล่าแวมไพร์นั่นเอง
…… Aileen-novel
หลังจากหลิงหยุนกลับไปที่บ้านของตนเองอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า และรับประทานอาหารเสร็จ ก็ราวแปดโมงกว่าพอดี เขาจึงเดินไปหาหลิงลี่ที่บ้าน และนั่งคุยกับหลิงลี่อยู่ครู่หนึ่ง..
“ท่านปู่..ตามกฏแล้วตระกูลเฉินกับตระกูลซัน จะต้องมาที่บ้านตระกูลหลิงเพื่อสอบถามเรื่องสนามประลองใช่หรือไม่”
หลิงลี่ยิ้มพร้อมกับตอบไปว่า“ถูกต้อง! ข้าว่าอีกไม่นานพวกเขาก็จะมาแล้วล่ะ เพราะนับว่าเป็นเรื่องสำคัญพวกเขาคงไม่ยอมล่าช้าเป็นแน่!”
แววตาของหลิงหยุนเป็นประกายขึ้นมาวูบหนึ่งพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ท่านปู่.. ข้าว่าครั้งนี้ตระกูลซันกับตระกูลเฉินมา พวกเขาคงฉวยโอกาสนี้ประเมินฝ่ายเราด้วย..” หลิงลี่หัวเราะ“ย่อมต้องเป็นเช่นนั้นแน่! ทำไมรึ หรือเจ้ามีแผนอะไร?”
หลิงหยุนตอบกลับยิ้มๆ“ท่านปู่วางใจได้.. วันนี้ข้าจะให้พวกมันต้องกระอักเลือดกลับไปเลยล่ะ!”
ในระหว่างที่พูดนั้นหลิงหยุนก็สังเกตเห็นชายชราอายุราวหกสิบกว่าปีคนหนึ่งเดินเข้าประตูมาซึ่งหลิงหยุนเองก็ไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน
หลิงลี่จึงร้องบอกหลิงหยุนด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วนใจ“เขาคือต่งซานชวน เป็นพ่อของต่งยั่วหลาน แล้วก็เป็นพ่อตาของพ่อเจ้า..”
หลังจากนั้นหลิงลี่ก็ขอตัวไปพบต่งซานชวนและทิ้งหลิงหยุนไว้ในห้องรับแขก ระหว่างนั้นเขาก็ได้โทรนัดหมายอะไรบางอย่างกับเหล่ากุ่ย..
……
จนกระทั่งเวลาเก้าโมงเช้า..รถลินคอล์นสีดำหรูหราคันหนึ่งก็แล่นมาจอดที่หน้าประตูคฤหาสน์ตระกูลหลิงอย่างช้าๆ และเมื่อรถจอดสนิท เฉินจิ้งเฉวียน เฉินไห่เผิง ซันเจิ้นหวู่ และซันเทียนหลัวก็ก้าวลงมา..
แน่นอนว่าการที่สองพันธมิตรตระกูลซันและตระกูลเฉิน ต้องมาที่บ้านตระกูลหลิงก็เพื่อสอบถามเรื่องสถานที่ประลองด้วยตนเองนั้น ก็เพื่ออาศัยโอกาสนี้ประเมินท่าที และความพร้อมของตระกูลหลิงด้วย..
และทันทีที่เฉินจิ้งเฉวียนก้าวเท้าลงมาจากรถเขาก็พบว่าห่างจากประตูคฤหาสน์ตระกูลหลิงไปนั้น มีพ่อค้าแม่ค้ากำลังขายของกันอยู่มากมาย และทุกคนก็ล้วนจ้องมองมาทางประตูบ้านตระกูลหลิง
แม้เฉินจิ้งเฉวียนจะไม่พอใจกับคนเหล่านั้นนักแต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้!
จากนั้นเฉินไห่เผิงก็เดินตรงไปแจ้งให้กับผู้ที่เฝ้าหน้าประตูรู้ถึงจุดมุ่งหมายในการมาครั้งนี้และผู้ที่ทำหน้าที่ในวันนี้ก็คือนักรบตระกูลหลิง – หลิงอี๋ และหลิงชี!
แต่หลิงอี๋กลับยกมือขึ้นแคะขี้มูกและตอบกลับไปโดยไม่สนใจเฉินไห่เผิง “วันนี้ท่านผู้นำตระกูลไม่ว่าง ไม่มีเวลาพบใครทั้งนั้น!”
แม้น้ำเสียงของหลิงอี๋จะไม่ได้ดังมากแต่ก็กังวานจนผู้คนในระแวกนั้นได้ยินกันอย่างชัดเจน..
เฉินไห่เผิงถึงกับโมโหอย่างมากเขาเป็นถึงกผู้นำตระกูลเฉิน แต่กลับถูกยามเฝ้าหน้าประตูพูดจาไม่ให้เกียรติเช่นนี้..
“หึ!”
เฉินจิ้งเฉวียนได้ฟังก็ถึงกับโกรธจนควันออกหูซันเจิ้นหวู่ และซันเทียนหลัวเองก็เดือดดาลไม่น้อยเช่นกัน..
การที่ตระกูลหลิงปฏิเสธไม่ยอมให้พวกเขาทั้งสี่คนเข้าไปในบ้านนั้นทำให้คนทั้งหมดได้รับความอับอายอย่างมาก
“เจ้ารีบไปรายงานเดี๋ยวนี้!”
เฉินจิ้งเฉวียนร้องตะโกนออกมาอย่างหมดความอดทนและเสียงของเขาก็ดังกระหึ่มไปทั่วทั้งบริเวณ.. แต่แล้วจู่ๆก็มีหญิงชราอายุราวห้าสิบปีถือตะกร้าผักตรงเข้ามาที่ประตูบ้านตระกูลหลิง หลังจากสอดส่ายสายตาดูแล้วก็ถามขึ้นว่า
“หลิงอี๋..คนพวกนี้มาทำอะไรที่นี่งั้นรึ”
หลิงอี๋รีบตอบกลับทันที“ยายหลิว.. พวกเขามาถามหาสถานที่อะไรก็ไม่รู้”
ยายหลิวขมวดคิ้วพร้อมกับพูดขึ้นว่า“อ่อ.. สถานที่นี้ใช่มั๊ย! นี่.. นี่..”
ระหว่างที่พูดยายหลิวก็หยิบแผ่นกระดาษจากตระกร้าผักส่งให้หลิงอี๋พร้อมกับพูดขึ้นว่า “เหล่ากุ่ยบอกว่า.. ได้ทำเครื่องหมายไว้บนแผนที่แล้ว ให้ฉันช่วยเอาให้พวกเขา แล้วก็บอกให้พวกเขารีบๆกลับไปซะ!”
ยายหลิวส่งแผนที่ให้พร้อมกับหันไปมองชายทั้งสี่คนด้วยสีหน้าไม่พอใจ..
หลิงอี๋ส่งแผนที่ให้กับเฉินไห่เผิงพร้อมกับพูดขึ้นว่า“แผนที่อยู่นี่แล้ว!”
เฉินไห่เผิงถึงกับนิ่งอึ้งไปและทำอะไรไม่ถูก..
ทั้งเฉินจิ้งเฉวียนและซันเจิ้นหวู่พบเจอเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดเช่นนี้เข้าก็แทบกระอักเลือดอย่างที่หลิงหยุนพูดจริงๆ
ในเวลาเดียวกันนั้น..ที่สวนชั้นที่สามของบ้านตระกูลหลิง ทั้งหลิงเย่ว เหล่ากุ่ย และคนอื่นๆ ต่างก็ไม่สามารถอดกลั้นได้อีกต่อไป และพากันหัวเราะออกมา
“คิดจะเข้ามาเพื่อประเมินตระกูลหลิง..ข้าจะทำให้เจ้าโมโหจนแทบคลั่ง!”
หลิงหยุนพึมพำออกมา..
อีกไม่กี่วันก็จะเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วงแล้วอากาศจึงเริ่มเย็นขึ้นกว่าช่วงต้นเดือนมาก หลิงหยุนจัดเตรียมสนามประลองเสร็จราวตีห้าพอดี หลังจากสำรวจจนมั่นใจแล้วว่าไม่มีข้อผิดพลาดใดๆ เขากับมาร์ควิสเอ็ดเวิร์ดจึงได้กลับไปยังคฤหาสน์ตระกูลหลิง..
เวลานี้หากมองเพียงผิวเผินภายในหุบเขาลึกซึ่งเป็นที่ตั้งศูนย์บัญชาการใหญ่ขององค์กรนักฆ่าสาขาปักกิ่งนั้น นอกเหนือจากบ้านหลังใหญ่ที่ตั้งอยู่กลางหุบเขาแล้ว ก็ไม่มีอะไรผิดแปลกตา..
และเพื่อไม่ให้การเดินทางกลับของตนเองเป็นที่สะดุดตาของผู้คนหลิงหยุนจึงได้ขับรถอ้อมไปตามถนนวงแหวนที่หก และกว่าจะกลับไปถึงคฤหาสน์ตระกูลหลิงก็ราวหกโมงเช้าพอดี.. เมื่อกลับถึงบ้าน..หลิงหยุนก็ต้องเปิดจิตหยั่งรู้ออกสำรวจดูเหล่าสมาชิกที่อยู่ภายในบ้านดังเช่นทุกครั้ง และก็พบว่าทุกคนต่างก็ตื่นมาฝึกฝนวิชากันตั้งแต่เช้า บ้างก็กำลังนั่งขัดสมาธิฝึกฝนลมปราณ บ้างก็กำลังฝึกวรยุทธ..
หลิงหยุนเห็นเช่นนั้นก็ได้แต่ยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจและได้แต่คิดว่าหากทุกคนขยันหมั่นเพียรฝึกฝนเช่นนี้ ตระกูลหลิงคงจะต้องรุ่งเรืองอย่างรวดเร็วเป็นแน่!
ส่วนเหล่ากุ่ยกับหลิงเสี่ยวนั้นเวลานี้อยู่ในห้องฝึกฝน และกำลังฝึกเพลงหมัด และวิชามังกรพรางร่าง..
ทั้งเหล่ากุ่ยและหลิงเสี่ยวนั้นคนหนึ่งอยู่ในระดับสูงสุดขั้นเซียงเทียน-7 ในขณะที่อีกคนอยู่ในระดับสูงสุดขั้นเซียงเทียน-6 จึงนับว่าเป็นคู่ซ้อมเพลงยุทธที่สูสีกันมากทีเดียว!
หลิงหยุนเดินนำเอ็ดเวิร์ดไปยังสวนชั้นที่แปดในขณะเดียวกันก็บอกเหล่ากุ่ยผ่านกระแสจิตให้มาพบเขาที่นี่ด้วย..
จากนั้นหลิงหยุนกับเอ็ดเวิร์ดก็เดินไปยังคุกใต้ดินตระกูลหลิงและได้พบเจสเตอร์ เพียร์ซ และจอยซ์ที่กำลังเดินออกมาพอดี
“เจ้านายที่เคารพ!”
หลิงหยุนพยักหน้าและได้สั่งพอลซึ่งอยู่ด้านในคุกใต้ดินผ่านกระแสจิตให้มาพบเขาด้านนอกเช่นกัน และไม่นานนักทั้งเอ็ดเวิร์ด เพียร์ซ จอยซ์ เจสเตอร์ และพอล ต่างก็ได้มารวมกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตาเป็นครั้งแรก..
แต่เมื่อแวมไพร์ทั้งสี่ตนได้เห็นเอ็ดเวิร์ดพวกมันต่างก็ร้องอุทานออกมาอย่างพร้อมเพรียงกัน..
“ห๊ะ..ระดับสูงสุดขั้นแกรนด์ดยุค!”
ถูกต้อง..และเมื่อคืนนี้เอ็ดเวิร์ดก็สามารถเลื่อนขั้นจากระดับสูงสุดขั้นมาร์ควิส มาเป็นแวมไพร์ขั้นแกรนด์ดยุคได้สำเร็จ!
……..
เมื่อคืนนี้นับว่าหลิงหยุนเดินทางไปศูนย์บัญชาการใหญ่องค์การนักฆ่าสาขาปักกิ่งได้ทันเวลาพอดี! เพราะเมื่อไปถึง..หลิงหยุนก็ได้เปิดจิตหยั่งรู้ออกสำรวจทั่วบริเวณหุบเขา และพบว่าเอ็ดเวิร์ดนั้นอยู่ทางด้านใต้ของหุบเขา และกำลังกลายร่างอยู่บนหน้าผาสูง ในเวลานั้นเอ็ดเวิร์ดได้กลายร่างเป็นปีศาจตัวเขียว มีเล็บและเขี้ยวงอก แล้วสยายปีกสีม่วงบินว่อนอยู่ท่ามกลางแสงจันทร์ที่กำลังสาดส่องลงมา..
หลิงหยุนเห็นเช่นนั้นก็รู้ได้ทันทีว่าเกิดอะไรขึ้นเขาจึงรีบพุ่งตรงไปหาเอ็ดเวิร์ดด้วยความเร็วสูงสุด และเมื่อไปถึงก็กระโดดขึ้นไปยืนอยู่บนแผ่นหลังของเอ็ดเวิร์ดทันที!
วิชาดาราคุ้มกาย..
พลังจันทราและพลังดวงดาวได้ทอดลงมาสู่ร่างของหลิงหยุน และกำลังปกคลุมร่างของเขาและเอ็ดเวิร์ดไว้พร้อมกัน
จากนั้นหลิงหยุนก็ได้เดินพลังปราณตามคัมภีร์เสวียนหวงปลดปล่อยปราณเสวียนหวงออกจากร่างกายของตนเองทันที ปราณเสวียนหวงบางส่วนได้ถูกถ่ายเทเข้าสู่ร่างของเอ็ดเวิร์ดโดยตรง และบางส่วนก็ได้กลายเป็นควันสีเหลืองพวยพุ่งออกมาปกคลุมร่างของพวกเขาทั้งคู่ไว้..
ในนาทีที่เอ็ดเวิร์ดกำลังเจ็บปวดร่างกายอย่างมากในระหว่างที่กำลังก้าวขึ้นสู่ขั้นดยุคนั้นปราณเสวียนหวงเข้มข้นประหนึ่งของเหลวสีเขียวคล้ายหยก ก็ได้ทำหน้าที่เสมือนโอสถรักษาความเจ็บปวดรวดร้าวตามร่างกายของมันให้ค่อยๆบรรเทาลง และเปลี่ยนเป็นความสดชื่นเข้ามาทดแทน!
และในที่สุดเอ็ดเวิร์ดก็ได้เข้าสู่ขั้นดยุคระดับสูงสุดและมีพลังอำนาจไม่ต่างจากดยุคแดร๊กคิวล่า!
แต่หลิงหยุนดูเหมือนจะไม่พอใจเพียงแค่นั้นเขาถามเอ็ดเวิร์ดด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “เอ็ดเวิร์ด.. หากข้าให้เลือดเจ้าอีกหนึ่งหยด เจ้าจะทานทนได้หรือไม่”
เวลานี้หลิงหยุนเข้าสู่ระดับสูงสุดขั้นเอ้อเฉิงชี่(พลังชี่-2) แล้ว และในเลือดของเขานั้นก็มีทั้งพลังสีทองจากสมุดจักรพรรดิ และพู่กันจักรพรรดิ และยังมีปราณมังกรจากน้ำลายมังกร และพลังชีวิตอื่นๆอีกมากมาย
หากเอ็ดเวิร์ดได้รับเข้าไปและสามารถทานทนต่อความเจ็บปวดได้ มันจะได้รับประโยชน์อย่างมากมายเลยทีเดียว!
เอ็ดเวิร์ดตอบกลับมาอย่างมั่นใจ“เจ้านาย.. ข้าอยากจะลองดู!”
“เยี่ยมมาก!”
หลิงหยุนจัดการกัดนิ้วมือของตัวเองและหยดเลือดลงไปบริเวณจุดตันเถียนของเอ็ดเวิร์ด เขาไม่กล้าที่จะหยดเลือดลงตรงตำแหน่งหัวใจ หรือกลางศรีษะของเอ็ดเวิร์ดโดยตรง เพราะเกรงว่าอานุภาพที่รุนแรงของเลือดตนนั้น จะทำให้เอ็ดเวิร์ดไม่สามารถทานทนต่อความเจ็บปวดที่จะเกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงได้ และหากเป็นเช่นนั้นหลิงหยุนเองก็คงจะไม่สามารถแก้ไขอะไรได้!
หากเวลานี้เอ็ดเวิร์ดยังไม่เข้าสู่ขั้นดยุคหลิงหยุนก็คงไม่กล้าที่จะทดลองทำเช่นนี้ แวมไพร์ในขั้นดยุคนั้นจะมีความสามารถในการควบคุมพลังในร่างกายได้แข็งแกร่งกว่าขั้นมาร์ควิสถึงสามเท่า อีกทั้งในร่างของเอ็ดเวิร์ดยังมีประคำโลหิตด้วย หลิงหยุนจึงคิดว่าไม่น่าจะมีปัญหาอะไร..
แล้วก็เป็นดังเช่นที่หลิงหยุนคิดไว้จริงๆหลังจากที่เอ็ดเวิร์ดได้เลือดของหลิงหยุนเข้าไป เลือดในกายของมันก็มีพลังเพิ่มขึ้นอย่างมากมาย เอ็ดเวิร์ดอดทนต่อความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัสที่เกิดขึ้น และในที่สุดก็สามารถดูดซับเอาเลือดของหลิงหยุนเข้าไปได้จนหมด แล้วในที่สุดก็สามารถเข้าสู่ระดับสูงสุดขั้นแกรนด์ดยุคได้..
เสียงหัวใจของเอ็ดเวิร์ดเต้นดังราวกับกลองและเต้นแรงกว่าหัวใจมนุษย์ธรรมดาหลายเท่านัก และเลือดในกายของเอ็ดเวิร์ดเวลานี้ก็ไม่ได้เย็นเหมือนก่อน แต่กลับมีอุณหภูมิที่สูงขึ้น..
ดวงตาที่เคยเย็นชาไร้ความรู้สึกของเอ็ดเวิร์ดนั้นเวลานี้กลับดูเหมือนสามารถบ่งบอกอารมณ์ความรู้สึกได้ และลูกนัยน์ตาก็ไม่ได้เป็นสีแดงเช่นเคย แต่เป็นสีฟ้าสดใส.. “เจ้านาย..ข้ารู้สึกราวกับว่าได้กลับคืนชีพอีกครั้ง ราวกับเกิดใหม่!”
และจู่ๆหลิงหยุนก็เรียกลูกธนูเงินออกมาจากแหวนพื้นที่ พร้อมกับชูใส่หน้าเอ็ดเวิร์ด และถามขึ้นว่า
“เจ้ายังกลัวลูกธนูเงินนี่อีกหรือไม่”
เอ็ดเวิร์ดส่ายหน้าพร้อมกับพูดขึ้นว่า“เจ้านาย.. อย่าได้ล้อข้าเล่น! แวมไพร์ที่เข้าสู่ขัันแกรนด์ดยุคได้แล้ว จะไม่กลัวอาวุธที่ทำจากเงิน แล้วก็ไม่กลัวไฟ และแสงอาทิตย์..”
ปรากฏการณ์นี้ก็คล้ายๆกับหนูที่ปกติกลัวแมวแต่หากหนูตัวนั้นใหญ่กว่าแมว มันย่อมจะไม่กลัวแมวอีกแล้วนั่นเอง!
“ฮ่า..ฮ่า..”
หลิงหยุนหัวเราะเสียงดังจากนั้นจึงเรียกยันต์อัคนีออกมา และลูกไฟก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าของเอ็ดเวิร์ด และด้วยสัญชาติญาณเอ็ดเวิร์ดจึงก้าวถอยหลังหนีทันที แต่ดวงตาของมันกลับไม่กระพริบเลยแม้แต่น้อย.. และในเมื่อไม่กลัวแม้แต่ลูกธนูเงินไม่กลัวแม้แต่ไฟ ย่อมไม่กลัวแสงอาทิตย์ด้วยเช่นกัน หลิงหยุนจึงไม่จำเป็นต้องพิสูจน์อีก
หลังจากนั้นหลิงหยุนก็ได้ทดสอบพลังของแวมไพร์ขั้นแกรนด์ดยุคด้วยการใช้กระบี่เหินเงาธนูประลองกับเอ็ดเวิร์ด และพบว่าเวลานี้เอ็ดเวิร์ดนั้นแข็งแรงกว่าดยุคแดร๊กคิวล่ามากนัก!
“เยี่ยม..พลังอำนาจของเจ้าแข็งแกร่งมากทีเดียว!”
แวมไพร์นั้นมีความสามารถในการเคลื่อนที่ได้รวดเร็วอีกทั้งด้วยพลังอำนาจ และมนต์ซาตานในขั้นแกรนด์ดยุคนั้น หลิงหยุนจึงมั่นใจว่าเอ็ดเวิร์ดจะสามารถเอาชนะยอดฝีมือระดับหนึ่งขั้นพลังเหนือธรรมชาติได้อย่างง่ายดาย..
ส่วนยอดฝีมือระดับสองขั้นพลังเหนือธรรมชาตินั้นเอ็ดเวิร์ดก็น่าจะสามารถเอาชนะได้เช่นกัน แต่ในระดับสามนั้นหลิงหยุนเองก็ยังไม่มั่นใจ.. และหากเอ็ดเวิร์ดแข็งแกร่งขึ้นมากถึงเพียงนี้หลิงหยุนคิดว่ามันน่าจะช่วยเขาในการประลองได้มากทีเดียว!
…..
แกรนด์ดยุคเอ็ดเวิร์ดมองตาของแวมไพร์อีกสี่ตนและพบว่าในดวงตาของพวกมันนั้น ต่างก็เต็มไปด้วยความอิจฉา เอ็ดเวิร์ดจึงหันไปพูดกับหลิงหยุนด้วยท่าทีเคารพนบนอบว่า..
“เจ้านายที่เคารพ..ขอบคุณท่านมากที่ช่วยให้ข้าได้มีค่ำคืนอันแสนวิเศษเช่นนี้!”
“ขอบคุณเจ้านายที่เคารพที่ทำให้ข้าได้มีคืนอันแสนวิเศษเช่นนี้!”
“หยุด..”
หลิงหยุนยกมือขึ้นห้ามแกรนด์ดยุคเอ็ดเวิร์ดไม่ให้พูดคำว่า‘คืนอันแสนวิเศษ..’ แต่เมื่อมันพูดออกมาเขาก็แทบอยากจะร้องไห้..
และแน่นอนว่าเจสเตอร์ที่ได้ยินนั้นก็ถึงกับยิ้มกริ่มและรีบพูดล้อเลียนหลิงหยุนทันที “เจ้านายที่เคารพ.. เจสเตอร์เองก็อยากให้เจ้านายช่วยทำให้ข้ามีค่ำคืนที่แสนวิเศษเช่นนั้นบ้าง!”
แต่ยังไม่ทันที่หลิงหยุนจะได้ดุเจสเตอร์เสียงของเหล่ากุ่ยก็ดังขึ้น
“ผู้นำตระกูล..ท่านกลับมาแล้วรึ”
หลิงหยุนพยักหน้าให้กับเหล่ากุ่ยและได้บอกเหล่ากุ่ยว่าเขาจัดเตรียมสนามประลองเสร็จเรียบร้อยแล้ว พร้อมกับเอ่ยถามเหล่ากุ่ยว่า
“เหล่ากุ่ย..ท่านมาก็ดี! ผ้าที่ซิงเฉินให้มาตัดเสื้อให้กับแวมไพร์ทั้งห้าล่ะ ท่านจัดการเรียบร้อยแล้วหรือไม่”
เหล่ากุ่ยพยักหน้าพร้อมกับตอบไปว่า“ข้าจัดการให้ตามที่สั่งเรียบร้อยแล้ว!”
จากนั้นเหล่ากุ่ยก็เรียกชุดที่ตัดเย็บด้วยผ้าแพรไหมดำออกมาจากแหวนพื้นที่ส่งให้หลิงหยุนทันทีและเวลานี้เหล่ากุ่ยก็มีแหวนพื้นที่แล้วเช่นกัน ทำให้เขาทำงานได้สะดวกกว่าเดิมมากนัก.. “พวกเจ้าทั้งห้ามานี่เร็วเข้า!นี่เป็นชุดที่ข้าสั่งตัดให้พวกเจ้าโดยเฉพาะ วันข้างหน้าที่พวกเจ้ากลายร่าง จะได้ไม่ต้องคอยหาเสื้อผ้าเปลี่ยนอีก!”
เสื้อผ้าทั้งห้าชุดที่ตัดเย็บจากผ้าแพรไหมดำนี้หลิงหยุนตั้งใจทำให้กับแวมไพร์ทั้งห้าโดยเฉพาะ เพราะผ้าแพรไหมดำนี้มีความยืดหยุ่น และทนทาน ในยามที่พวกมันกลายร่างเป็นปีศาจยักษ์ เสื้อที่สวมใส่จะได้ไม่ขาดอีก อีกทั้งยังสามารถใช้เป็นเสื้อเกราะได้ด้วย..
“ขอบคุณเจ้านายที่เคารพ!”
แวมไพร์ทั้งห้าต่างก็รับชุดผ้าแพรไหมดำมาสวมใส่ด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มอย่างมีความสุขและนับวันพวกมันทั้งห้าก็ยิ่งจงรักภักดีกับหลิงหยุนมากยิ่งขึ้น..
เดิมทีนั้นพวกมันจงรักภักดีต่อหลิงหยุนเพราะหยดเลือดแต่นับวันพวกมันก็ยิ่งจงรักภักดีกับหลิงหยุนด้วยหัวใจ.. ซึ่งต่างกันมาก!
จากนั้นหลิงหยุนก็สั่งให้แวมไพร์ทั้งห้ากลับเข้าไปในคุกใต้ดินได้และเวลานี้ที่นั่นก็คือที่อยู่ของเหล่าแวมไพร์นั่นเอง
…… Aileen-novel
หลังจากหลิงหยุนกลับไปที่บ้านของตนเองอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า และรับประทานอาหารเสร็จ ก็ราวแปดโมงกว่าพอดี เขาจึงเดินไปหาหลิงลี่ที่บ้าน และนั่งคุยกับหลิงลี่อยู่ครู่หนึ่ง..
“ท่านปู่..ตามกฏแล้วตระกูลเฉินกับตระกูลซัน จะต้องมาที่บ้านตระกูลหลิงเพื่อสอบถามเรื่องสนามประลองใช่หรือไม่”
หลิงลี่ยิ้มพร้อมกับตอบไปว่า“ถูกต้อง! ข้าว่าอีกไม่นานพวกเขาก็จะมาแล้วล่ะ เพราะนับว่าเป็นเรื่องสำคัญพวกเขาคงไม่ยอมล่าช้าเป็นแน่!”
แววตาของหลิงหยุนเป็นประกายขึ้นมาวูบหนึ่งพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ท่านปู่.. ข้าว่าครั้งนี้ตระกูลซันกับตระกูลเฉินมา พวกเขาคงฉวยโอกาสนี้ประเมินฝ่ายเราด้วย..” หลิงลี่หัวเราะ“ย่อมต้องเป็นเช่นนั้นแน่! ทำไมรึ หรือเจ้ามีแผนอะไร?”
หลิงหยุนตอบกลับยิ้มๆ“ท่านปู่วางใจได้.. วันนี้ข้าจะให้พวกมันต้องกระอักเลือดกลับไปเลยล่ะ!”
ในระหว่างที่พูดนั้นหลิงหยุนก็สังเกตเห็นชายชราอายุราวหกสิบกว่าปีคนหนึ่งเดินเข้าประตูมาซึ่งหลิงหยุนเองก็ไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน
หลิงลี่จึงร้องบอกหลิงหยุนด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วนใจ“เขาคือต่งซานชวน เป็นพ่อของต่งยั่วหลาน แล้วก็เป็นพ่อตาของพ่อเจ้า..”
หลังจากนั้นหลิงลี่ก็ขอตัวไปพบต่งซานชวนและทิ้งหลิงหยุนไว้ในห้องรับแขก ระหว่างนั้นเขาก็ได้โทรนัดหมายอะไรบางอย่างกับเหล่ากุ่ย..
……
จนกระทั่งเวลาเก้าโมงเช้า..รถลินคอล์นสีดำหรูหราคันหนึ่งก็แล่นมาจอดที่หน้าประตูคฤหาสน์ตระกูลหลิงอย่างช้าๆ และเมื่อรถจอดสนิท เฉินจิ้งเฉวียน เฉินไห่เผิง ซันเจิ้นหวู่ และซันเทียนหลัวก็ก้าวลงมา..
แน่นอนว่าการที่สองพันธมิตรตระกูลซันและตระกูลเฉิน ต้องมาที่บ้านตระกูลหลิงก็เพื่อสอบถามเรื่องสถานที่ประลองด้วยตนเองนั้น ก็เพื่ออาศัยโอกาสนี้ประเมินท่าที และความพร้อมของตระกูลหลิงด้วย..
และทันทีที่เฉินจิ้งเฉวียนก้าวเท้าลงมาจากรถเขาก็พบว่าห่างจากประตูคฤหาสน์ตระกูลหลิงไปนั้น มีพ่อค้าแม่ค้ากำลังขายของกันอยู่มากมาย และทุกคนก็ล้วนจ้องมองมาทางประตูบ้านตระกูลหลิง
แม้เฉินจิ้งเฉวียนจะไม่พอใจกับคนเหล่านั้นนักแต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้!
จากนั้นเฉินไห่เผิงก็เดินตรงไปแจ้งให้กับผู้ที่เฝ้าหน้าประตูรู้ถึงจุดมุ่งหมายในการมาครั้งนี้และผู้ที่ทำหน้าที่ในวันนี้ก็คือนักรบตระกูลหลิง – หลิงอี๋ และหลิงชี!
แต่หลิงอี๋กลับยกมือขึ้นแคะขี้มูกและตอบกลับไปโดยไม่สนใจเฉินไห่เผิง “วันนี้ท่านผู้นำตระกูลไม่ว่าง ไม่มีเวลาพบใครทั้งนั้น!”
แม้น้ำเสียงของหลิงอี๋จะไม่ได้ดังมากแต่ก็กังวานจนผู้คนในระแวกนั้นได้ยินกันอย่างชัดเจน..
เฉินไห่เผิงถึงกับโมโหอย่างมากเขาเป็นถึงกผู้นำตระกูลเฉิน แต่กลับถูกยามเฝ้าหน้าประตูพูดจาไม่ให้เกียรติเช่นนี้..
“หึ!”
เฉินจิ้งเฉวียนได้ฟังก็ถึงกับโกรธจนควันออกหูซันเจิ้นหวู่ และซันเทียนหลัวเองก็เดือดดาลไม่น้อยเช่นกัน..
การที่ตระกูลหลิงปฏิเสธไม่ยอมให้พวกเขาทั้งสี่คนเข้าไปในบ้านนั้นทำให้คนทั้งหมดได้รับความอับอายอย่างมาก
“เจ้ารีบไปรายงานเดี๋ยวนี้!”
เฉินจิ้งเฉวียนร้องตะโกนออกมาอย่างหมดความอดทนและเสียงของเขาก็ดังกระหึ่มไปทั่วทั้งบริเวณ.. แต่แล้วจู่ๆก็มีหญิงชราอายุราวห้าสิบปีถือตะกร้าผักตรงเข้ามาที่ประตูบ้านตระกูลหลิง หลังจากสอดส่ายสายตาดูแล้วก็ถามขึ้นว่า
“หลิงอี๋..คนพวกนี้มาทำอะไรที่นี่งั้นรึ”
หลิงอี๋รีบตอบกลับทันที“ยายหลิว.. พวกเขามาถามหาสถานที่อะไรก็ไม่รู้”
ยายหลิวขมวดคิ้วพร้อมกับพูดขึ้นว่า“อ่อ.. สถานที่นี้ใช่มั๊ย! นี่.. นี่..”
ระหว่างที่พูดยายหลิวก็หยิบแผ่นกระดาษจากตระกร้าผักส่งให้หลิงอี๋พร้อมกับพูดขึ้นว่า “เหล่ากุ่ยบอกว่า.. ได้ทำเครื่องหมายไว้บนแผนที่แล้ว ให้ฉันช่วยเอาให้พวกเขา แล้วก็บอกให้พวกเขารีบๆกลับไปซะ!”
ยายหลิวส่งแผนที่ให้พร้อมกับหันไปมองชายทั้งสี่คนด้วยสีหน้าไม่พอใจ..
หลิงอี๋ส่งแผนที่ให้กับเฉินไห่เผิงพร้อมกับพูดขึ้นว่า“แผนที่อยู่นี่แล้ว!”
เฉินไห่เผิงถึงกับนิ่งอึ้งไปและทำอะไรไม่ถูก..
ทั้งเฉินจิ้งเฉวียนและซันเจิ้นหวู่พบเจอเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดเช่นนี้เข้าก็แทบกระอักเลือดอย่างที่หลิงหยุนพูดจริงๆ
ในเวลาเดียวกันนั้น..ที่สวนชั้นที่สามของบ้านตระกูลหลิง ทั้งหลิงเย่ว เหล่ากุ่ย และคนอื่นๆ ต่างก็ไม่สามารถอดกลั้นได้อีกต่อไป และพากันหัวเราะออกมา
“คิดจะเข้ามาเพื่อประเมินตระกูลหลิง..ข้าจะทำให้เจ้าโมโหจนแทบคลั่ง!”
หลิงหยุนพึมพำออกมา..