Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร - บทที่ 1185 : เกลี้ยกล่อมเย่ซิงเฉิน!
- Home
- Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร
- บทที่ 1185 : เกลี้ยกล่อมเย่ซิงเฉิน!
หลิงหยุนนิ่งฟังคำพูดของเย่ซิงเฉินอย่างเงียบๆหลังจากใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งจึงตอบกลับไปว่า
“หลังสิ้นสุดงานชุมนุมชาวยุทธข้าคาดว่าราวสามเดือน หรือครึ่งปีหลังจากนั้น โรงประมูลของตระกูลหลิงน่าจะสามารถเปิดได้แล้ว!”
หลิงหยุนจำเป็นต้องไปเปิดหูเปิดตาและหาประสบการณ์การเปิดโรงประมูลในโลกใบนี้เสียก่อน เพื่อให้มั่นใจมากกว่านี้..
เย่ซิงเฉินพยักหน้าพร้อมตอบกลับไปทันที“ได้.. เช่นนั้นนับแต่นี้ไป ข้าจะค่อยๆช่วยเจ้าเตรียมการในเรื่องนี้!”
จะว่าไปแล้ว..หลิงหยุนนั้นมีความสามารถในการจัดโรงประมูลที่เหนือกว่าตระกูลหลง กับตระกูลเย่หลายเท่านัก!
เพราะชาวยุทธภพเองต่างก็รู้ดีว่าหลิงหยุนนั้นเป็นบุตรของหยินชิงเฉวียนธิดาพรรคมารคนก่อน อีกทั้งยังเป็นผู้ครอบครองกระบี่โลหิตแดนใต้ด้วย..
และผู้ใดครอบครองกระบี่โลหิตแดนใต้ผู้นั้นก็คือเทพแห่งมาร!
หากตระกูลหลิงเป็นผู้เปิดโรงประมูลเองเช่นนี้ต่อไปในวันข้างหน้าไม่ว่าจะเป็นชาวยุทธจากฝ่ายธรรมะ หรือว่าอธรรม ต่างก็จะสามารถเข้าโรงประมูลของเขาได้โดยไม่ต้องอำพรางตัวอีก..
การเปิดโรงประมูลยังช่วยให้หลิงหยุนสามารถสืบหาข่าวคราวที่ต้องการรู้ได้ไม่ยากอีกด้วยเพียงแต่การก่อตั้งโรงประมูลนั้น จำเป็นอย่างมากที่ตัวเขาเองจะต้องแข็งแกร่ง และมีอำนาจมากพอ จึงจะสามารถควบคุมดูแลไม่ให้มีผู้ใดกล้าเข้ามาสร้างปัญหาได้..
เมื่อคิดได้เช่นนี้..หลิงหยุนจึงลุกขึ้นยืนพร้อมกับร้องบอกเย่ซิงเฉินทันที “ซิงเฉิน.. ออกไปฝึกฝนกันดีกว่า!”
เย่ซิงเฉินเห็นท่าทางจริงจังของหลิงหยุนก็ได้แต่หัวเราะคิกคักและตอบไปว่า “เจ้าไปก่อน.. ข้ายังมีบางสิ่งบางอย่างต้องจัดการ แล้วข้าจะตามไป..”
…….
ในยามดึกดื่นค่ำคืนเช่นนี้บนท้องฟ้ามีเพียงเหล่าดวงดาวที่กำลังส่องแสงทอประกายระยิบระยับ..
ทางด้านทิศตะวันออกของบ้านหลังเล็กกลางป่าทึบ..เวลานี้มียอดฝีมือสองคนกำลังต่อสู้กันอยู่อย่างเอาจริงเอาจัง เสียงดังของหมัดที่ปะทะใส่กันนั้นดังสนั่นไปทั่วทั้งหุบเขาอันเงียบสงัด..
ร่างหนึ่งเคลื่อนไหวสง่างามราวกับมังกรร่ายรำส่วนอีกร่างคือสาวงามที่ดูลึกลับ และชายหญิงที่กำลังฝึกวรยุทธด้วยกันนั้นก็คือหลิงหยุน กับเย่ซิงเฉินนั่นเอง
“ซิงเฉิน..ครั้งนี้ข้าจะออกแรงให้มากกว่าเดิม เจ้าเตรียมรับมือให้ดีด้วย!”
“ใครกลัวเจ้ากันเข้ามาได้เลย!” จากนั้น..ร่างสองร่างที่อยู่ไกลกันหลายสิบเมตร ก็พุ่งเข้าหากันพร้อมกับซัดหมัดเข้าใส่กันอย่างไม่มีใครยอมใคร..
ปัง..ปัง..
สิ้นเสียงปะทะกัน..ร่างของหลิงหยุนเพียงแค่ขยับเล็กน้อย แต่ร่างของเย่ซิงเฉินนั้นกระเด็นถอยหลังออกไปถึงสามก้าว
“ฮ่า..ฮ่า.. ซิงเฉินฝีมือของเจ้ารุดหน้าได้รวดเร็วมากทีเดียว!”
หลิงหยุนไม่ตามไปจู่โจมเย่ซิงเฉินซ้ำแต่ยืนเอามือไขว้หลังพร้อมกับจ้องมองเย่ซิงเฉินที่เวลานี้มีเหงื่อผุดขึ้นเต็มใบหน้า พร้อมกับเอ่ยชมจากใจ..
“หึ..เจ้าออมมือให้ข้าต่างหากเล่า!”
เย่ซิงเฉินยกมือขึ้นปาดเหงื่อบนใบหน้าหน้าพร้อมกับตอบโต้หลิงหยุนกลับไปทันที..
วันนี้ตรงกับวันที่4 กันยายน.. นับเป็นวันที่สี่แล้วที่หลิงหยุนได้มาพักอาศัยอยู่กับเย่ซิงเฉิงกลางป่าเช่นนี้ และเป็นช่วงเวลาที่เขามีความสุขยิ่งนัก แต่ความสุขก็มักจะผ่านไปอย่างรวดเร็ว..
ตั้งแต่เย็นวันที่1 กันยายนมานั้น.. นอกเหนือจากการนอนหลับพักผ่อนของแต่ละคนแล้ว หลิงหยุนกับเย่ซิงเฉินก็จะใช้เวลาอยู่ด้วยกันตลอดเวลา ปรึกษาหารือกันในเรื่องต่างๆบ้าง หรือไม่ก็ฝีกฝนกำลังภายใน หรือวรยุทธร่วมกันบ้าง..
เวลานี้..พลังปราณในขั้นซานฉางชี่ของหลิงหยุนนั้นนับว่ามีความเสถียรอย่างมาก และเมื่อเข้าสู่ระดับสูงสุดขั้นซานฉางชี่แล้ว ความเร็วในการกลั่นหยดเสินหยวนก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
ส่วนเย่ซิงเฉินเองก็ก้าวหน้ามากขึ้นเรื่อยๆเช่นกันอีกทั้งวิชาดาราคุ้มกาย และวิชาสุญญตาดูดดาว ต่างก็ส่งเสริมกันและกันได้เป็นอย่างดี ทำให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้นกว่าที่เคยมากถึงสองเท่า..
เวลานี้เย่ซิงเฉินได้เข้าสู่ดาราคุ้มกายระดับที่11 ซึ่งอยู่ในขั้นที่สองแล้ว และนางก็อยู่ห่างจากหลิงหยุนเพียงแค่สามระดับย่อยเท่านั้น..
นับว่าวิชาดาราคุ้มกายของเย่ซิงเฉินนั้นก้าวหน้าได้รวดเร็วอย่างน่าอัศจรรย์แม้แต่หลิงหยุนเองยังถึงกับตกใจไม่น้อย เพราะหากเป็นเช่นนี้่ต่อไป.. อีกไม่นานเย่ซิงเฉินคงจะต้องก้าวหน้าไปไกลกว่าตัวเขาเป็นแน่!
แต่ถึงกระนั้น..หลิงหยุนก็มีความสุขอย่างมากที่ได้เห็นเย่ซิงเฉินก้าวหน้าได้รวดเร็วเช่นนี้ เพราะเวลานี้ทั้งคู่ต่างก็สนิทสนม และเข้ากันได้เป็นอย่างดี ยิ่งเย่ซิงเฉินแข็งแกร่งมากเพียงใด เขาเองก็จะยิ่งคลายเความเป็นห่วงเป็นใยในความปลอดภัยของนางได้มากขึ้น..
ตลอดระยะหลายวันที่พักอยู่ที่นี่จุดซือไห่ซึ่งอยู่กึ่งกลางหว่างคิ้วของหลิงหยุนนั้น ก็ได้กลั่นเสินหยวนไว้มากมายกว่าห้าพันหยดแล้ว และเวลานี้จุดซือไห่ของเขาแทบจะกลายเป็นทะเลสาบเสินหยวนขนาดเล็กไปแล้ว..
ระหว่างนั้นเย่ซิงเฉินซึ่งนึกถึงเมื่อครั้งที่ตนได้พบกับหลิงหยุนเป็นครั้งแรกจึงเป็นฝ่ายพูดขึ้นว่า..
“หลิงหยุน..ข้ายังจำได้ว่าเมื่อครั้งที่ข้ากับเจ้าได้พบกันครั้งแรกนั้น ฝีมือของเจ้ายังด้อยกว่าข้ามากนัก จากนี้ไปข้าคงจะไม่สามารถกลั่นแกล้งอะไรเจ้าได้อีกแล้วสินะ!”
“นี่เจ้ายังจำเรื่องพวกนั้นได้อีกงั้นรึ”
“แต่จะว่าไปข้าเองก็ได้ถ่ายทอดวิชาให้เจ้าตั้งมากมายและเวลานี้เจ้าเองก็เกือบจะแกร่งกล้าจนทัดเทียมกับข้าแล้วไม่ใช่รึ” หลิงหยุนตอบกลับยิ้มๆ
เวลานี้..นับว่าเย่ซิงเฉินมีวิชาปกป้องร่างกายที่แข็งแกร่งไม่แพ้หลิงหยุนแล้ว และในความเป็นจริงขั้นของนางน่าจะต้องสูงกว่าหลิงหยุนแล้วเช่นกัน เพียงแต่ตัวนางเองที่ยังยั้งไว้ และไม่ยอมเข้าสู่ขั้นเซียงเทียน-9 เสียที จึงทำให้นางไม่สามารถใช้พลังเหนือธรรมชาติได้..
เมื่อคิดได้เช่นนี้..หลิงหยุนจึงรีบบอกกับเย่ซิงเฉินว่า “ซิงเฉิน.. เจ้าควรเข้าสู่ขั้นเซียงเทียน-9 ได้แล้ว!” หากเป็นผู้อื่น..หลิงหยุนคงจะไม่เร่งรัดให้คนผู้นั้นเข้าสู่ขั้นที่สูงขึ้นเร็วนัก เพราะเกรงว่าหากรากฐานไม่เสถียรและมั่นคงพอ จะเกิดปัญหากับคนผู้นั้นขึ้นได้ในวันข้างหน้า
อีกทั้งผู้คนรอบตัวตัวหลิงหยุนนั้นก็ล้วนแล้วแต่มีโอสถหลากหลายชนิดที่จะช่วยในการพัฒนาขั้นให้สูงขึ้นได้ในช่วงเวลาสั้นๆ และมีหลิงหยุนคอยกำกับดูแลอย่างระมัดระวัง เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาตามมาได้..
ด้วยเหตุนี้..หลิงหยุนจึงมักจะห้ามไม่ให้ผู้คนรอบตัวเขาเร่งรัดที่จะเข้าสู่ขั้นต่อไปจนเร็วเกินไป แต่มักจะย้ำให้พวกเขาสร้างความมั่นคงในแต่ละขั้นให้เสถียรเสียก่อน จึงจะให้พวกเขาพัฒนาเข้าสู่ขั้นต่อไปได้
ซึ่งตรงข้ามกับเย่ซิงเฉิน..การที่หลิงหยุนเร่งรัดให้นางเข้าสู่ขั้นเซียงเทียน-9 โดยเร็วนั้น ก็เพราะหยินชิงเฉวียนซึ่งเป็นแม่ของเขานั้น ได้สร้างรากฐานที่เสถียรและแข็งแกร่งมากให้กับเย่ซิงเฉินไว้แล้ว นางจึงสามารถที่จะเข้าสู่ขั้นเซียงเทียน-9 ได้โดยที่จะไม่มีปัญหาใดๆตามมาอย่างแน่นอน!
อีกทั้งก่อนหน้านี้ในระหว่างที่ฝึกวิชาสุญญตาดูดดาวนั้นเย่ซิงเฉินเองก็สามารถที่จะเข้าสู่ขั้นเซียงเทียน-9ได้ในทันที เพียงแต่ตัวนางยับยั้งไว้..
“ไม่..”
เย่ซิงเฉินส่ายหน้าปฏิเสธพร้อมกับอธิบายว่า“ข้าเพิ่งจะเข้าสู่ระดับสูงสุดขั้้นเซียงเทียน-8 ได้ยังไม่ถึงครึ่งเดือน หากจะเข้าสู่ขั้นเซียงเทียน-9 ในตอนนี้ ข้าคิดว่ายังเร็วเกินไป!”
หลิงหยุนส่ายหน้าไม่เห็นด้วยและพูดขึ้นว่า “ซิงเฉิน.. ข้าไม่เห็นด้วยกับเจ้าเลย ในเมื่อขั้นของเจ้ามั่นคงถึงเพียงนี้ เหตุใดยังต้องรอเวลาอีกเล่า! เจ้าใคร่ครวญให้ดี..”
หลิงหยุนอธิบายต่อด้วยความร้อนใจ“ซิงเฉิน.. จริงอยู่ที่จะเข้าใจว่าการบ่มเพาะพลังปราณภายในร่างกายนั้น ควรจะต้องค่อยเป็นค่อยไปทีละขั้นตอน ไม่ควรที่จะข้ามขั้น แต่สำหรับเจ้า.. ข้าเห็นว่าไม่มีความจำเป็นที่จะต้องรอเวลาอีกแล้ว”
“เพราะอะไรรึ!”เย่ซิงเฉินถามออกมาด้วยความสงสัย
“เพราะคนทุกคนต่างกันยังไงเล่า!แต่ละคนต่างก็มีร่างกายที่แตกต่างกัน มีโอกาสที่แตกต่างกัน และมีพรสวรรค์ที่แตกต่างกัน และที่สำคัญมีวิธีฝึกบ่มเพาะที่แตกต่างกัน!”
“ตัวเจ้านั้นเป็นผู้ที่มีพรสวรรค์ล้ำเลิศยิ่งนักเหตุใดจึงต้องรอคอยเวลาอีกเล่า”
หากไม่ใช่เพราะโลกใบนี้มีพลังชีวิตที่ค่อนข้างขาดแคลนไม่เช่นนั้นแล้วด้วยระยะเวลาที่เท่ากัน.. หากเขาอยู่ในโลกบ่มเพาะที่ยิ่งใหญ่ ตอนนี้เขาคงจะสามารถสร้างรากฐานลมปราณได้สำเร็จแล้ว..
“จริงอยู่ที่ทุกอย่างควรจะค่อยเป็นค่อยไปแต่สำหรับเจ้านั้น.. เป็นการจงใจยับยั้งที่จะเข้าสู่ขั้นต่อไปจนมากเกินไป!”
“เจ้ามีคุณสมบัติที่เหนือกว่าผู้อื่นมากนักอีกทั้งยังมีรากฐานในแต่ละขั้นแข็งแกร่งยิ่งนักแต่กลับยับยั้งที่จะไม่เข้าสู่ขั้นต่อไปเช่นนี้ ข้าว่าเจ้าคงจะสับสนอย่างมาก..”
“เฮ้อ..ที่ข้าพูดมาทั้งหมดนั้น เจ้าเข้าใจหรือไม่”
หลิงหยุนร้องถามออกไปอย่างหมดความอดทนแม้เย่ซิงเฉินจะเข้าใจ แต่นางก็ยังคงลังเล “แต่..”
“ไม่มีแต่..”
หลิงหยุนรีบขัดขึ้นทันที“ข้ารู้ว่าเจ้าต้องการจะพูดอะไรต่อ..”
“เจ้าฟังข้าให้ดี..”หลิงหยุนพูดพร้อมกับยกมือขึ้นชี้ไปบนท้องฟ้า และพูดต่อว่า
“ต่อให้เจ้าฝึกวิชาสุญญตาดูดดาวไปอีกกี่ครั้งร่างกายของเจ้าก็ไม่สามารถเก็บกักพลังดวงดาวไว้ได้มากมาย เพราะขั้นของเจ้ายังไม่ถึง.. ทุกอย่างล้วนเชื่อมโยงสัมพันธ์กัน!”
“เอ่อ..”
“ถ้าเช่นนั้นเจ้าต้องการให้ข้าทำเช่นใด!เข้าสู่ขั้นเซียงเทียน-9 ในตอนนี้เลยงั้นรึ?!” หลิงหยุนถึงกับแอบถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอกเมื่อได้ยินคำพูดประโยคนี้ของเย่ซิงเฉินหลังจากที่ใช้เวลาเกลี้ยกล่อมนางอยู่นาน..
“ถูกต้อง!เจ้าเริ่มได้เลย ข้าจะคอยคุ้มกันให้เจ้าเอง!”
……
ร่างงดงามบอบบางของเย่ซิงเฉินนั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้นดินใบหน้าของนางสงบนิ่ง และเริ่มควบคุมลมหายใจเข้าออกของตนเอง..
หลิงหยุนยืนอยู่ห่างจากเย่ซิงเฉินไปไกลราวยี่สิบเมตรเพื่อคอยคุ้มกันความปลอดภัยให้กับนาง..
เวลานี้พลังปราณภายในร่างของเย่ซิงเฉินได้ถูกปลดปล่อยออกมามาเรื่อยๆพลังปราณเหล่านั้นกำลังก่อตัวเป็นรูปร่างคล้ายพายุหมุนที่มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางราวสิบเมตร และกำลังหมุนวนอยู่รอบๆร่างของเย่ซิงเฉิน ปราณปีศาจซึ่งก่อนตัวเป็นรูปพายุหมุนที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางถึงสิบเมตรนี้เป็นสิ่งยืนยันได้เป็นอย่างดีว่า เย่ซิงเฉินประสบความสำเร็จในการฝึกปราณปีศาจมากเพียงใด!
“ซิงเฉิน..ตั้งใจฟังข้าให้ดี!”
“สิ่งสำคัญที่สุดคือ..เจ้าต้องรวบรวมพลังดวงดาวที่อยู่ในร่างกายเวลานี้ ทำการทะลวงจุดซื่อไห่กลางหว่างคิ้วของตน เพื่อให้จิตหยั่งรู้ของเจ้าสามารถพัฒนาเข้าสู่ขั้นกลั่นปราณขัดเกลาจิตวิญญาณได้..”
เมื่อเห็นว่าเย่ซิงเฉินเริ่มเดินลมปราณภายในร่างกายเพื่อที่จะเข้าสู่ขั้นเซียงเทียน-9แล้ว หลิงหยุนก็เริ่มกระวนกระวายใจขึ้นมาทันทีจนต้องกำมือแน่น และรู้สึกเป็นห่วงเย่ซิงเฉินอย่างมาก!
หลิงหยุนเฝ้าบอกกับตัวเองนับครั้งไม่ถ้วน..‘ไม่มีอะไรต้องกังวล.. ไม่มีอะไรต้องกังวล..’
เย่ซิงเฉินสัมผัสได้ถึงน้ำเสียงที่แฝงไว้ด้วยความเป็นห่วงเป็นใยของหลิงหยุนนางจึงลืมตาขึ้นพร้อมกับหันไปยิ้มให้หลิงหยุน ราวกับจะบอกให้หลิงหยุนเลิกกังวลใจ..
จากนั้นเย่ซิงเฉินก็หันกลับไปและเริ่มปิดเปลือกตาทั้งสองข้างลงอีกครั้ง เย่ซิงเฉินเริ่มตัดความคิด และเรื่องราวทุกอย่างในใจออกไป และจดจ่ออยู่กับการใช้วิชาสุญญตาดูดดาวโคจรพลังดวงดาวที่อยู่ในร่างกายตามที่หลิงหยุนบอก..
ด้วยอานุภาพของวิชาสุญญตาดูดดาว..ไม่เพียงพลังดวงดาวในร่างกายของเย่ซิงเฉินรอบโคจร แต่พลังดวงดาวนับล้านดวงบนท้องฟ้าก็ถูกร่างของเย่ซิงเฉินดูดเข้าไปด้วยอย่างต่อเนื่องเช่นกัน..
ในขณะที่พลังปราณรูปพายุหมุนซึ่งหมุนรอบตัวเย่ซิงเฉินนั้นก็ค่อยๆเลือนลางจนคล้ายกับวัตถุโปร่งแสง ส่วนร่างที่นั่งขัดสมาธิของเย่ซิงเฉินนั้นก็ค่อยๆ ลอยสูงขึ้นไปเรื่อยๆ และเริ่มสว่างเจิดจ้า..
ภาพที่หลิงหยุนเห็นในเวลานี้ก็คือ..ร่างของเย่ซิงเฉินได้กลายเป็นดวงดาวที่กำลังทอแสงเจิดจ้า และกำลังเปล่งประกายระยิบระยับอยู่บนท้องฟ้าที่มืดมิด ช่างเป็นภาพที่ดึงดูดสายตายิ่งนัก!
และนี่คือผลจากพลังดวงดาวที่ผนึกแน่นอยู่เต็มร่างของเย่ซิงเฉิน!
หลิงหยุนเห็นเช่นนั้นก็ได้แต่ตกใจและตกตะลึง! เพราะเวลานี้ร่างกายของเย่ซิงเฉินได้ดูดเอาพลังดวงดาวมากมายเข้าสู่ร่างกาย จนเวลานี้พลังดวงดาวได้อัดแน่นจนร่างกายของเย่ซิงเฉินไม่อาจรับไว้ได้อีกแล้ว พลังดวงดาวเหล่านั้นจึงได้เปลี่ยนมาหมุนเวียนอยู่รอบๆตัวเย่ซิงเฉิน และเริ่มเปล่งประกายสว่างไสวมากขึ้นเรื่อยๆ
หลิงหยุนได้แต่แอบคิดอยู่ในใจว่า‘ไม่น่าเชื่อว่าวิชาดาราคุ้มกายกับวิชาสุญญตาดูดดาว จะสามารถเข้ากันได้ดีกับปราณปีศาจที่นางฝึกฝนมาได้เป็นอย่างดีเช่นนี้!’
รอบๆร่างกายของเย่ซิงเฉินเวลานี้มีกระแสลมปราณรูปพายุหมุนซึ่งมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางสิบเมตรหมุนวนอยู่รอบตัว และเวลานี้พลังปราณนี้ก็กำลังเปล่งประกายระยิบระยับเป็นที่ดึงดูดสายตาอยู่เช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อยู่ท่ามกลางท้องฟ้าที่มืดมิดเช่นนี้!
เวลานี้..ร่างของเย่ซิงเฉินซึ่งลอยสูงขึ้นจากพื้นไปราวสามสิบเมตรนั้น ตั้งแต่เส้นผมยาวสลวยดกดำไปจนถึงทั่วทุกส่วนของร่างกายนั้น ดูราวกลับถูกฉาบไว้ด้วยแสงของดวงดาว ทำให้ร่างของนางเปล่งแสงระยิบระยับสวยงามอยู่ท่ามกลางท้องฟ้าที่มืดมิด..
เวลานี้เย่ซิงเฉินงดงามราวกับเทพธิดาในสรวงสวรรค์จนหลิงหยุนเองก็ไม่อาจถอนสายตากลับมาได้..
“หลังสิ้นสุดงานชุมนุมชาวยุทธข้าคาดว่าราวสามเดือน หรือครึ่งปีหลังจากนั้น โรงประมูลของตระกูลหลิงน่าจะสามารถเปิดได้แล้ว!”
หลิงหยุนจำเป็นต้องไปเปิดหูเปิดตาและหาประสบการณ์การเปิดโรงประมูลในโลกใบนี้เสียก่อน เพื่อให้มั่นใจมากกว่านี้..
เย่ซิงเฉินพยักหน้าพร้อมตอบกลับไปทันที“ได้.. เช่นนั้นนับแต่นี้ไป ข้าจะค่อยๆช่วยเจ้าเตรียมการในเรื่องนี้!”
จะว่าไปแล้ว..หลิงหยุนนั้นมีความสามารถในการจัดโรงประมูลที่เหนือกว่าตระกูลหลง กับตระกูลเย่หลายเท่านัก!
เพราะชาวยุทธภพเองต่างก็รู้ดีว่าหลิงหยุนนั้นเป็นบุตรของหยินชิงเฉวียนธิดาพรรคมารคนก่อน อีกทั้งยังเป็นผู้ครอบครองกระบี่โลหิตแดนใต้ด้วย..
และผู้ใดครอบครองกระบี่โลหิตแดนใต้ผู้นั้นก็คือเทพแห่งมาร!
หากตระกูลหลิงเป็นผู้เปิดโรงประมูลเองเช่นนี้ต่อไปในวันข้างหน้าไม่ว่าจะเป็นชาวยุทธจากฝ่ายธรรมะ หรือว่าอธรรม ต่างก็จะสามารถเข้าโรงประมูลของเขาได้โดยไม่ต้องอำพรางตัวอีก..
การเปิดโรงประมูลยังช่วยให้หลิงหยุนสามารถสืบหาข่าวคราวที่ต้องการรู้ได้ไม่ยากอีกด้วยเพียงแต่การก่อตั้งโรงประมูลนั้น จำเป็นอย่างมากที่ตัวเขาเองจะต้องแข็งแกร่ง และมีอำนาจมากพอ จึงจะสามารถควบคุมดูแลไม่ให้มีผู้ใดกล้าเข้ามาสร้างปัญหาได้..
เมื่อคิดได้เช่นนี้..หลิงหยุนจึงลุกขึ้นยืนพร้อมกับร้องบอกเย่ซิงเฉินทันที “ซิงเฉิน.. ออกไปฝึกฝนกันดีกว่า!”
เย่ซิงเฉินเห็นท่าทางจริงจังของหลิงหยุนก็ได้แต่หัวเราะคิกคักและตอบไปว่า “เจ้าไปก่อน.. ข้ายังมีบางสิ่งบางอย่างต้องจัดการ แล้วข้าจะตามไป..”
…….
ในยามดึกดื่นค่ำคืนเช่นนี้บนท้องฟ้ามีเพียงเหล่าดวงดาวที่กำลังส่องแสงทอประกายระยิบระยับ..
ทางด้านทิศตะวันออกของบ้านหลังเล็กกลางป่าทึบ..เวลานี้มียอดฝีมือสองคนกำลังต่อสู้กันอยู่อย่างเอาจริงเอาจัง เสียงดังของหมัดที่ปะทะใส่กันนั้นดังสนั่นไปทั่วทั้งหุบเขาอันเงียบสงัด..
ร่างหนึ่งเคลื่อนไหวสง่างามราวกับมังกรร่ายรำส่วนอีกร่างคือสาวงามที่ดูลึกลับ และชายหญิงที่กำลังฝึกวรยุทธด้วยกันนั้นก็คือหลิงหยุน กับเย่ซิงเฉินนั่นเอง
“ซิงเฉิน..ครั้งนี้ข้าจะออกแรงให้มากกว่าเดิม เจ้าเตรียมรับมือให้ดีด้วย!”
“ใครกลัวเจ้ากันเข้ามาได้เลย!” จากนั้น..ร่างสองร่างที่อยู่ไกลกันหลายสิบเมตร ก็พุ่งเข้าหากันพร้อมกับซัดหมัดเข้าใส่กันอย่างไม่มีใครยอมใคร..
ปัง..ปัง..
สิ้นเสียงปะทะกัน..ร่างของหลิงหยุนเพียงแค่ขยับเล็กน้อย แต่ร่างของเย่ซิงเฉินนั้นกระเด็นถอยหลังออกไปถึงสามก้าว
“ฮ่า..ฮ่า.. ซิงเฉินฝีมือของเจ้ารุดหน้าได้รวดเร็วมากทีเดียว!”
หลิงหยุนไม่ตามไปจู่โจมเย่ซิงเฉินซ้ำแต่ยืนเอามือไขว้หลังพร้อมกับจ้องมองเย่ซิงเฉินที่เวลานี้มีเหงื่อผุดขึ้นเต็มใบหน้า พร้อมกับเอ่ยชมจากใจ..
“หึ..เจ้าออมมือให้ข้าต่างหากเล่า!”
เย่ซิงเฉินยกมือขึ้นปาดเหงื่อบนใบหน้าหน้าพร้อมกับตอบโต้หลิงหยุนกลับไปทันที..
วันนี้ตรงกับวันที่4 กันยายน.. นับเป็นวันที่สี่แล้วที่หลิงหยุนได้มาพักอาศัยอยู่กับเย่ซิงเฉิงกลางป่าเช่นนี้ และเป็นช่วงเวลาที่เขามีความสุขยิ่งนัก แต่ความสุขก็มักจะผ่านไปอย่างรวดเร็ว..
ตั้งแต่เย็นวันที่1 กันยายนมานั้น.. นอกเหนือจากการนอนหลับพักผ่อนของแต่ละคนแล้ว หลิงหยุนกับเย่ซิงเฉินก็จะใช้เวลาอยู่ด้วยกันตลอดเวลา ปรึกษาหารือกันในเรื่องต่างๆบ้าง หรือไม่ก็ฝีกฝนกำลังภายใน หรือวรยุทธร่วมกันบ้าง..
เวลานี้..พลังปราณในขั้นซานฉางชี่ของหลิงหยุนนั้นนับว่ามีความเสถียรอย่างมาก และเมื่อเข้าสู่ระดับสูงสุดขั้นซานฉางชี่แล้ว ความเร็วในการกลั่นหยดเสินหยวนก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
ส่วนเย่ซิงเฉินเองก็ก้าวหน้ามากขึ้นเรื่อยๆเช่นกันอีกทั้งวิชาดาราคุ้มกาย และวิชาสุญญตาดูดดาว ต่างก็ส่งเสริมกันและกันได้เป็นอย่างดี ทำให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้นกว่าที่เคยมากถึงสองเท่า..
เวลานี้เย่ซิงเฉินได้เข้าสู่ดาราคุ้มกายระดับที่11 ซึ่งอยู่ในขั้นที่สองแล้ว และนางก็อยู่ห่างจากหลิงหยุนเพียงแค่สามระดับย่อยเท่านั้น..
นับว่าวิชาดาราคุ้มกายของเย่ซิงเฉินนั้นก้าวหน้าได้รวดเร็วอย่างน่าอัศจรรย์แม้แต่หลิงหยุนเองยังถึงกับตกใจไม่น้อย เพราะหากเป็นเช่นนี้่ต่อไป.. อีกไม่นานเย่ซิงเฉินคงจะต้องก้าวหน้าไปไกลกว่าตัวเขาเป็นแน่!
แต่ถึงกระนั้น..หลิงหยุนก็มีความสุขอย่างมากที่ได้เห็นเย่ซิงเฉินก้าวหน้าได้รวดเร็วเช่นนี้ เพราะเวลานี้ทั้งคู่ต่างก็สนิทสนม และเข้ากันได้เป็นอย่างดี ยิ่งเย่ซิงเฉินแข็งแกร่งมากเพียงใด เขาเองก็จะยิ่งคลายเความเป็นห่วงเป็นใยในความปลอดภัยของนางได้มากขึ้น..
ตลอดระยะหลายวันที่พักอยู่ที่นี่จุดซือไห่ซึ่งอยู่กึ่งกลางหว่างคิ้วของหลิงหยุนนั้น ก็ได้กลั่นเสินหยวนไว้มากมายกว่าห้าพันหยดแล้ว และเวลานี้จุดซือไห่ของเขาแทบจะกลายเป็นทะเลสาบเสินหยวนขนาดเล็กไปแล้ว..
ระหว่างนั้นเย่ซิงเฉินซึ่งนึกถึงเมื่อครั้งที่ตนได้พบกับหลิงหยุนเป็นครั้งแรกจึงเป็นฝ่ายพูดขึ้นว่า..
“หลิงหยุน..ข้ายังจำได้ว่าเมื่อครั้งที่ข้ากับเจ้าได้พบกันครั้งแรกนั้น ฝีมือของเจ้ายังด้อยกว่าข้ามากนัก จากนี้ไปข้าคงจะไม่สามารถกลั่นแกล้งอะไรเจ้าได้อีกแล้วสินะ!”
“นี่เจ้ายังจำเรื่องพวกนั้นได้อีกงั้นรึ”
“แต่จะว่าไปข้าเองก็ได้ถ่ายทอดวิชาให้เจ้าตั้งมากมายและเวลานี้เจ้าเองก็เกือบจะแกร่งกล้าจนทัดเทียมกับข้าแล้วไม่ใช่รึ” หลิงหยุนตอบกลับยิ้มๆ
เวลานี้..นับว่าเย่ซิงเฉินมีวิชาปกป้องร่างกายที่แข็งแกร่งไม่แพ้หลิงหยุนแล้ว และในความเป็นจริงขั้นของนางน่าจะต้องสูงกว่าหลิงหยุนแล้วเช่นกัน เพียงแต่ตัวนางเองที่ยังยั้งไว้ และไม่ยอมเข้าสู่ขั้นเซียงเทียน-9 เสียที จึงทำให้นางไม่สามารถใช้พลังเหนือธรรมชาติได้..
เมื่อคิดได้เช่นนี้..หลิงหยุนจึงรีบบอกกับเย่ซิงเฉินว่า “ซิงเฉิน.. เจ้าควรเข้าสู่ขั้นเซียงเทียน-9 ได้แล้ว!” หากเป็นผู้อื่น..หลิงหยุนคงจะไม่เร่งรัดให้คนผู้นั้นเข้าสู่ขั้นที่สูงขึ้นเร็วนัก เพราะเกรงว่าหากรากฐานไม่เสถียรและมั่นคงพอ จะเกิดปัญหากับคนผู้นั้นขึ้นได้ในวันข้างหน้า
อีกทั้งผู้คนรอบตัวตัวหลิงหยุนนั้นก็ล้วนแล้วแต่มีโอสถหลากหลายชนิดที่จะช่วยในการพัฒนาขั้นให้สูงขึ้นได้ในช่วงเวลาสั้นๆ และมีหลิงหยุนคอยกำกับดูแลอย่างระมัดระวัง เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาตามมาได้..
ด้วยเหตุนี้..หลิงหยุนจึงมักจะห้ามไม่ให้ผู้คนรอบตัวเขาเร่งรัดที่จะเข้าสู่ขั้นต่อไปจนเร็วเกินไป แต่มักจะย้ำให้พวกเขาสร้างความมั่นคงในแต่ละขั้นให้เสถียรเสียก่อน จึงจะให้พวกเขาพัฒนาเข้าสู่ขั้นต่อไปได้
ซึ่งตรงข้ามกับเย่ซิงเฉิน..การที่หลิงหยุนเร่งรัดให้นางเข้าสู่ขั้นเซียงเทียน-9 โดยเร็วนั้น ก็เพราะหยินชิงเฉวียนซึ่งเป็นแม่ของเขานั้น ได้สร้างรากฐานที่เสถียรและแข็งแกร่งมากให้กับเย่ซิงเฉินไว้แล้ว นางจึงสามารถที่จะเข้าสู่ขั้นเซียงเทียน-9 ได้โดยที่จะไม่มีปัญหาใดๆตามมาอย่างแน่นอน!
อีกทั้งก่อนหน้านี้ในระหว่างที่ฝึกวิชาสุญญตาดูดดาวนั้นเย่ซิงเฉินเองก็สามารถที่จะเข้าสู่ขั้นเซียงเทียน-9ได้ในทันที เพียงแต่ตัวนางยับยั้งไว้..
“ไม่..”
เย่ซิงเฉินส่ายหน้าปฏิเสธพร้อมกับอธิบายว่า“ข้าเพิ่งจะเข้าสู่ระดับสูงสุดขั้้นเซียงเทียน-8 ได้ยังไม่ถึงครึ่งเดือน หากจะเข้าสู่ขั้นเซียงเทียน-9 ในตอนนี้ ข้าคิดว่ายังเร็วเกินไป!”
หลิงหยุนส่ายหน้าไม่เห็นด้วยและพูดขึ้นว่า “ซิงเฉิน.. ข้าไม่เห็นด้วยกับเจ้าเลย ในเมื่อขั้นของเจ้ามั่นคงถึงเพียงนี้ เหตุใดยังต้องรอเวลาอีกเล่า! เจ้าใคร่ครวญให้ดี..”
หลิงหยุนอธิบายต่อด้วยความร้อนใจ“ซิงเฉิน.. จริงอยู่ที่จะเข้าใจว่าการบ่มเพาะพลังปราณภายในร่างกายนั้น ควรจะต้องค่อยเป็นค่อยไปทีละขั้นตอน ไม่ควรที่จะข้ามขั้น แต่สำหรับเจ้า.. ข้าเห็นว่าไม่มีความจำเป็นที่จะต้องรอเวลาอีกแล้ว”
“เพราะอะไรรึ!”เย่ซิงเฉินถามออกมาด้วยความสงสัย
“เพราะคนทุกคนต่างกันยังไงเล่า!แต่ละคนต่างก็มีร่างกายที่แตกต่างกัน มีโอกาสที่แตกต่างกัน และมีพรสวรรค์ที่แตกต่างกัน และที่สำคัญมีวิธีฝึกบ่มเพาะที่แตกต่างกัน!”
“ตัวเจ้านั้นเป็นผู้ที่มีพรสวรรค์ล้ำเลิศยิ่งนักเหตุใดจึงต้องรอคอยเวลาอีกเล่า”
หากไม่ใช่เพราะโลกใบนี้มีพลังชีวิตที่ค่อนข้างขาดแคลนไม่เช่นนั้นแล้วด้วยระยะเวลาที่เท่ากัน.. หากเขาอยู่ในโลกบ่มเพาะที่ยิ่งใหญ่ ตอนนี้เขาคงจะสามารถสร้างรากฐานลมปราณได้สำเร็จแล้ว..
“จริงอยู่ที่ทุกอย่างควรจะค่อยเป็นค่อยไปแต่สำหรับเจ้านั้น.. เป็นการจงใจยับยั้งที่จะเข้าสู่ขั้นต่อไปจนมากเกินไป!”
“เจ้ามีคุณสมบัติที่เหนือกว่าผู้อื่นมากนักอีกทั้งยังมีรากฐานในแต่ละขั้นแข็งแกร่งยิ่งนักแต่กลับยับยั้งที่จะไม่เข้าสู่ขั้นต่อไปเช่นนี้ ข้าว่าเจ้าคงจะสับสนอย่างมาก..”
“เฮ้อ..ที่ข้าพูดมาทั้งหมดนั้น เจ้าเข้าใจหรือไม่”
หลิงหยุนร้องถามออกไปอย่างหมดความอดทนแม้เย่ซิงเฉินจะเข้าใจ แต่นางก็ยังคงลังเล “แต่..”
“ไม่มีแต่..”
หลิงหยุนรีบขัดขึ้นทันที“ข้ารู้ว่าเจ้าต้องการจะพูดอะไรต่อ..”
“เจ้าฟังข้าให้ดี..”หลิงหยุนพูดพร้อมกับยกมือขึ้นชี้ไปบนท้องฟ้า และพูดต่อว่า
“ต่อให้เจ้าฝึกวิชาสุญญตาดูดดาวไปอีกกี่ครั้งร่างกายของเจ้าก็ไม่สามารถเก็บกักพลังดวงดาวไว้ได้มากมาย เพราะขั้นของเจ้ายังไม่ถึง.. ทุกอย่างล้วนเชื่อมโยงสัมพันธ์กัน!”
“เอ่อ..”
“ถ้าเช่นนั้นเจ้าต้องการให้ข้าทำเช่นใด!เข้าสู่ขั้นเซียงเทียน-9 ในตอนนี้เลยงั้นรึ?!” หลิงหยุนถึงกับแอบถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอกเมื่อได้ยินคำพูดประโยคนี้ของเย่ซิงเฉินหลังจากที่ใช้เวลาเกลี้ยกล่อมนางอยู่นาน..
“ถูกต้อง!เจ้าเริ่มได้เลย ข้าจะคอยคุ้มกันให้เจ้าเอง!”
……
ร่างงดงามบอบบางของเย่ซิงเฉินนั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้นดินใบหน้าของนางสงบนิ่ง และเริ่มควบคุมลมหายใจเข้าออกของตนเอง..
หลิงหยุนยืนอยู่ห่างจากเย่ซิงเฉินไปไกลราวยี่สิบเมตรเพื่อคอยคุ้มกันความปลอดภัยให้กับนาง..
เวลานี้พลังปราณภายในร่างของเย่ซิงเฉินได้ถูกปลดปล่อยออกมามาเรื่อยๆพลังปราณเหล่านั้นกำลังก่อตัวเป็นรูปร่างคล้ายพายุหมุนที่มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางราวสิบเมตร และกำลังหมุนวนอยู่รอบๆร่างของเย่ซิงเฉิน ปราณปีศาจซึ่งก่อนตัวเป็นรูปพายุหมุนที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางถึงสิบเมตรนี้เป็นสิ่งยืนยันได้เป็นอย่างดีว่า เย่ซิงเฉินประสบความสำเร็จในการฝึกปราณปีศาจมากเพียงใด!
“ซิงเฉิน..ตั้งใจฟังข้าให้ดี!”
“สิ่งสำคัญที่สุดคือ..เจ้าต้องรวบรวมพลังดวงดาวที่อยู่ในร่างกายเวลานี้ ทำการทะลวงจุดซื่อไห่กลางหว่างคิ้วของตน เพื่อให้จิตหยั่งรู้ของเจ้าสามารถพัฒนาเข้าสู่ขั้นกลั่นปราณขัดเกลาจิตวิญญาณได้..”
เมื่อเห็นว่าเย่ซิงเฉินเริ่มเดินลมปราณภายในร่างกายเพื่อที่จะเข้าสู่ขั้นเซียงเทียน-9แล้ว หลิงหยุนก็เริ่มกระวนกระวายใจขึ้นมาทันทีจนต้องกำมือแน่น และรู้สึกเป็นห่วงเย่ซิงเฉินอย่างมาก!
หลิงหยุนเฝ้าบอกกับตัวเองนับครั้งไม่ถ้วน..‘ไม่มีอะไรต้องกังวล.. ไม่มีอะไรต้องกังวล..’
เย่ซิงเฉินสัมผัสได้ถึงน้ำเสียงที่แฝงไว้ด้วยความเป็นห่วงเป็นใยของหลิงหยุนนางจึงลืมตาขึ้นพร้อมกับหันไปยิ้มให้หลิงหยุน ราวกับจะบอกให้หลิงหยุนเลิกกังวลใจ..
จากนั้นเย่ซิงเฉินก็หันกลับไปและเริ่มปิดเปลือกตาทั้งสองข้างลงอีกครั้ง เย่ซิงเฉินเริ่มตัดความคิด และเรื่องราวทุกอย่างในใจออกไป และจดจ่ออยู่กับการใช้วิชาสุญญตาดูดดาวโคจรพลังดวงดาวที่อยู่ในร่างกายตามที่หลิงหยุนบอก..
ด้วยอานุภาพของวิชาสุญญตาดูดดาว..ไม่เพียงพลังดวงดาวในร่างกายของเย่ซิงเฉินรอบโคจร แต่พลังดวงดาวนับล้านดวงบนท้องฟ้าก็ถูกร่างของเย่ซิงเฉินดูดเข้าไปด้วยอย่างต่อเนื่องเช่นกัน..
ในขณะที่พลังปราณรูปพายุหมุนซึ่งหมุนรอบตัวเย่ซิงเฉินนั้นก็ค่อยๆเลือนลางจนคล้ายกับวัตถุโปร่งแสง ส่วนร่างที่นั่งขัดสมาธิของเย่ซิงเฉินนั้นก็ค่อยๆ ลอยสูงขึ้นไปเรื่อยๆ และเริ่มสว่างเจิดจ้า..
ภาพที่หลิงหยุนเห็นในเวลานี้ก็คือ..ร่างของเย่ซิงเฉินได้กลายเป็นดวงดาวที่กำลังทอแสงเจิดจ้า และกำลังเปล่งประกายระยิบระยับอยู่บนท้องฟ้าที่มืดมิด ช่างเป็นภาพที่ดึงดูดสายตายิ่งนัก!
และนี่คือผลจากพลังดวงดาวที่ผนึกแน่นอยู่เต็มร่างของเย่ซิงเฉิน!
หลิงหยุนเห็นเช่นนั้นก็ได้แต่ตกใจและตกตะลึง! เพราะเวลานี้ร่างกายของเย่ซิงเฉินได้ดูดเอาพลังดวงดาวมากมายเข้าสู่ร่างกาย จนเวลานี้พลังดวงดาวได้อัดแน่นจนร่างกายของเย่ซิงเฉินไม่อาจรับไว้ได้อีกแล้ว พลังดวงดาวเหล่านั้นจึงได้เปลี่ยนมาหมุนเวียนอยู่รอบๆตัวเย่ซิงเฉิน และเริ่มเปล่งประกายสว่างไสวมากขึ้นเรื่อยๆ
หลิงหยุนได้แต่แอบคิดอยู่ในใจว่า‘ไม่น่าเชื่อว่าวิชาดาราคุ้มกายกับวิชาสุญญตาดูดดาว จะสามารถเข้ากันได้ดีกับปราณปีศาจที่นางฝึกฝนมาได้เป็นอย่างดีเช่นนี้!’
รอบๆร่างกายของเย่ซิงเฉินเวลานี้มีกระแสลมปราณรูปพายุหมุนซึ่งมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางสิบเมตรหมุนวนอยู่รอบตัว และเวลานี้พลังปราณนี้ก็กำลังเปล่งประกายระยิบระยับเป็นที่ดึงดูดสายตาอยู่เช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อยู่ท่ามกลางท้องฟ้าที่มืดมิดเช่นนี้!
เวลานี้..ร่างของเย่ซิงเฉินซึ่งลอยสูงขึ้นจากพื้นไปราวสามสิบเมตรนั้น ตั้งแต่เส้นผมยาวสลวยดกดำไปจนถึงทั่วทุกส่วนของร่างกายนั้น ดูราวกลับถูกฉาบไว้ด้วยแสงของดวงดาว ทำให้ร่างของนางเปล่งแสงระยิบระยับสวยงามอยู่ท่ามกลางท้องฟ้าที่มืดมิด..
เวลานี้เย่ซิงเฉินงดงามราวกับเทพธิดาในสรวงสวรรค์จนหลิงหยุนเองก็ไม่อาจถอนสายตากลับมาได้..