Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร - บทที่ 1192 : ฮวงจุ้ยล้ำเลิศ!
“หมดแก้ว!”
โม่วู๋เตาที่นั่งยิ้มกริ่มอยู่ตรงข้ามหลิงหยุนพร้อมกับยกแก้วเหล้าในมือขึ้น หลังจากที่จัดการชนแก้วกับหลิงหยุนแล้ว โม่วู๋เตาก็กระดกเหล้าในแก้วเข้าปากจนหมด และเวลานี้ทั้งคู่ก็ดื่มเหล้าเหมาไถหมดไปเป็นขวดที่สี่แล้ว..
“หลิงหยุน..นี่เจ้าจะเข้าเรียนมหาวิทยาลัยจริงๆรึ!” โม่วู๋เตาเอ่ยถามหลิงหยุนด้วยความอยากรู้
หลิงหยุนวางแก้วเหล้าในมือลงพร้อมตอบกลับไปว่า“เรื่องนี้ข้าเคยบอกเจ้าไปแล้วนี่!”
“ข้าก็แค่จะไปมอบตัวตามขั้นตอนของทางมหาวิทยาลัยเท่านั้นแต่ไม่คิดที่จะเข้าไปนั่งเรียนจริงๆ!”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้..ทำให้หลิงหยุนอดที่จะนึกถึงฉินจิวยื่อไม่ได้ แม้นางจะอยู่ในขั้นเซียงเทียน แต่กลับปิดบังฐานะของตนเองตลอดเวลาที่อยู่ในเมืองจิงฉู และยอมตรากตรำทำงานหนักเพื่อหาเงินมาส่งเสียให้เขากับหนิงหลิงยู่ได้เรียนหนังสือ..
สิบแปดปีเลยทีเดียว!
สำหรับตัวหลิงหยุนเองแล้วเขาไม่สนใจเรื่องการเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยหยานจิงเลยแม้แต่น้อย แต่เขาทำเพื่อนางฉินจิวยื่อที่ต้องอดทนทำงานหนักมากว่าสิบแปดปี เพื่อให้เขาสามารถสอบเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยได้..
หลิงหยุนตั้งใจไว้ว่า..เขาจะพาหนิงหลิงยู่ไปพบฉินจิวยื่อที่สำนักกระบี่เทียนซานในฐานะนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยหยานจิง เพื่อที่จะได้บอกกับนางด้วยตัวเองว่า เขาและน้องสาวสามารถทำตามความต้องการของนางได้แล้ว และจะพานางกลับมาพร้อมกันด้วย..
เมื่อได้ยินหลิงหยุนยืนยันอีกครั้งว่าจะไม่ไปเรียนเช่นนี้โม่วู๋เตาก็ถึงกับโล่งใจ และถามขึ้นด้วยความอยากรู้อยากเห็น.. “แล้วเจ้าจะไปมอบตัวเข้ามหาวิทยาลัยเมื่อไหร่งั้นรึ”
“วันที่10…”
หลิงหยุนตอบยิ้มๆพร้อมกับพูดต่อว่า “แต่ก่อนจะถึงวันนั้น.. เจ้ากับข้ามีเรื่องสำคัญที่จะต้องไปทำ!”
“ไปสำรวจสุสานงั้นรึ!”
โม่วู๋เตายกมือขึ้นชี้ไปทางทิศที่ตั้งของพระราชวังต้องห้ามพร้อมกับร้องถามออกมาด้วยความตื่นเต้น ดวงตาทั้งสองข้างเป็นประกายอย่างที่ไม่อาจเก็บซ่อนไว้ได้ สีหน้าและน้ำเสียงของเขานั้นบ่งบอกว่าแทบอดรนทนรอต่อไปไม่ได้อีกแล้ว..
“วันๆเจ้าคงคิดถึงแต่เรื่องสุสานสินะ!”
หลิงหยุนจ้องหน้าโม่วู๋เตาพร้อมกับพูดต่อทันที“สถานที่เช่นนั้นใช่ว่าคิดจะไปก็สามารถไปได้ในทันที! ต่อให้เจ้าตัดสินใจที่จะไป ก็ยังต้องมีการเตรียมตัวให้พร้อมก่อนไปมากที่สุด!” จากนั้นหลิงหยุนก็พูดขึ้นด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์“ก่อนการประลอง.. ข้าได้เดิมพันกับเย่เทียนสุ่ยแห่งตระกูลเย่ไว้ ตอนนี้ก็ได้เวลาที่ข้าต้องไปรับเงินแล้ว!”
“หนึ่งหมื่นห้าพันล้านหยวน..ฮ่า.. ฮ่า..”
“อ่อ..อีกไม่กี่วันข้ายังจะพาเจ้าไปสถานที่แห่งหนึ่ง รับรองว่าเจ้าต้องไม่เคยพบเห็นมาก่อนแน่ และจะต้องชื่นชอบมากด้วย!”
“ที่ใดรึ!”โม่วู๋เตาได้ร้องถามออกมาด้วยความตื่นเต้น
“ฮ่า..ฮ่า.. ไว้ถึงวันนั้นเจ้าก็จะรู้เอง!” หลิงหยุนไม่ตอบ..
…..
หลังจากนั้นทั้งหลิงหยุนและโม่วู๋เตาก็เดินออกจากบ้านไปยังสวนชั้นที่หกของคฤหาสน์ตระกูลหลิง
หลิงหยุนจัดการเรียกต้นหลิวเทวะวิญญาณออกมาจากแหวนจักรวาลและทำการปลูกลงดินดังเดิม แล้วหลิวเทวะวิญญาณก็จัดการปลดปล่อยพลังชีวิตธาตุไม้ออกมาอย่างมากมาย..
“กา..กา..”
เวลานี้บนท้องฟ้าเหนือคฤหาสน์ตระกูลหลิงนั้นมีอีกาทองคำตัวใหญ่กำลังบินวนเวียนอยู่กลางอากาศ ดวงตาสีทองของมันนั้นจ้องมองต้นหลิวเทวะวิญญาณ พร้อมกับบินวนเวียนไปมา และร้องกาๆ ไม่หยุด
โม่วู๋เตาเงยหน้าขึ้นมองพร้อมกับร้องอุทานออกมาอย่างตกใจ“โอ้โห! ตัวใหญ่ถึงเพียงนี้เชียวรึ! นี่คงจะเป็นอีกาที่เจ้าพูดถึงเมื่อครู่สินะ!”
หลิงหยุนพยักหน้ายิ้มๆและใช้มังกรคำรามประกาศให้ทุกคนในตระกูลหลิงได้รับรู้
“ทุกคนในตระกูลหลิงจงฟังคำสั่งข้า..อีกาที่บินอยู่เหนือคฤหาสน์ตระกูลหลิงนี้ เป็นอีกาที่ข้าเลี้ยงไว้ ห้ามผู้ใดทำร้ายมันโดยเด็ดขาด!”
หลังจากที่หลิงหยุนใช้มังกรคำรามประกาศบอกทุกคนในตระกูลหลิงแล้วอีกาลายทองก็กระพือปีก และบินร่อนลงมากเกาะที่กิ่งของต้นหลิวเทวะวิญญาณ โดยที่ไม่ต้องให้หลิงหยุนเรียกเลย..
“หึ..เจ้านี่ช่างหาที่เกาะได้ดีนักนะ!”
หลิงหยุนเห็นอีกาทองคำบินร่อนลงมาเกาะที่กิ่งไม้หนาของต้นหลิวเทวะวิญญาณก็อดที่จะประชดประชันไม่ได้..
เวลานี้ต้นหลิวเทวะวิญญาณได้สูงกว่าสามเมตรแล้วและลำต้นของมันนั้นก็มีเส้นผ่าศูนย์กลางถึงยี่สิบเซ็นติเมตรเลยทีเดียว อีกทั้งกิ่งก้านของของมันนั้น ก็เริ่มมีใบสีเขียวขึ้นดกหนาจนย้อยลงมาไม่ต่างจากเส้นไหมขนาดใหญ่..
ลำต้นของหลิวเทวะเริ่มเปลี่ยนเป็นสีเหลืองจางๆในขณะที่ใบของมันนั้นเป็นประกายสีเขียวมันวาวสุกใสมาจากด้านใน
หลิงหยุนรู้ดีว่าสีเหลืองจางของลำต้นนั้นแท้จริงแล้วก็คือปราณเสวียนหวงของต้นหลิวเทวะวิญญาณนั่นเอง ส่วนใบสีเขียวของมันนั้นเวลานี้ก็เป็นมันวาวสว่างเจิดจ้าราวกับไฟนีออนสีเขียวเลยทีเดียว!
“เอาล่ะ..ถ้าเจ้าชอบไม้ต้นนี้นัก ข้าก็จะอนุญาตให้เจ้าทำรังอยู่บนต้นหลิวของข้าได้!”
หลิงหยุนร้องบอกอีกาทองคำด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
“กา..กา..”
ดูเหมือนอีกาลายทองตัวนี้จะสามารถเข้าใจภาษามนุษย์ได้จริงๆทันทีที่หลิงหยุนเอ่ยปากอนุญาต มันก็กระพือปีกพร้อมกับร้องออกมาเสียงดังด้วยความตื่นเต้นดีใจ
“น่าเสียดายที่ข้าไม่สามารถสื่อสารกับหลิวเทวะวิญญาณได้ไม่เช่นนั้นแล้วก็คงจะบอกให้มันแตกกิ่งไวๆ เพื่อให้ข้านำมาใช้สร้างเป็นวัตถุวิเศษล้ำค่าต่อไปได้!”
หลิงหยุนได้แต่พึมพำกับตัวเองอย่างนึกเสียดาย..
การที่หลิงหยุนนำหลิวเทวะวิญญาณต้นนี้ไปที่สนามประลองด้วยนั้นก็เพื่อเตรียมการหากเกิดความจำเป็นจะต้องใช้อย่างเร่งด่วนเท่านั้น แต่ท้ายที่สุดเขาก็ไม่ได้ใช้มัน
หลังจากที่หลิงหยุนพึมพำออกไปนั้นหลิวเทวะวิญญาณก็ไม่มีปฏิกิริยาตอบโต้ใดๆกลับมา หลิงหยุนจึงได้แต่ถอนหายใจพร้อมกับคิดว่า
“คงต้องรอดูต่อไปเรื่อยๆว่าหลังจากนี้ไปหลิวเทวะวิญญาณจะมีการเปลี่ยนแปลงอะไรบ้าง”
และในระหว่างนั้นเอง..หลิงหยุนก็สัมผัสได้ถึงกระแสจิตสามสายที่ส่งออกมา ซึ่งมีทั้งกระแสที่แข็งแกร่ง และกระแสที่ยังอ่อนกำลัง..
กระแสจิตที่แข็งแกร่งทั้งสองนั้นคือกระแสจิตของจินเหยียวกับหลิงลี่ส่วนกระแสจิตที่ยังอ่อนกำลังอยู่นั้นคือของเกาเฉินเฉิน..
“เกาเฉินเฉินสามารถควบคุมกระแสจิตของตนได้รวดเร็วถึงเพียงนี้เชียวรึ!”
หลิงหยุนยิ้มออกมาพร้อมกับแอบคิดในใจว่าเกาเฉินเฉินนับเป็นผู้ที่มีพรสวรรค์อย่างน่าอัศจรรย์ทีเดียว ทันทีที่สามารถเข้าสู่ระดับสูงสุดขั้นปฐมชี่ได้แล้ว แม้จะยังไม่ได้ฝึกฝนวิชาอย่างจริงจัง แต่นางกลับสามารถควบคุมพลังจิตของตนได้เช่นนี้ นับไม่เลวเลยทีเดียว!
“ดูท่าข้าคงต้องถ่ายทอดวิชาให้กับนางแล้วไม่เช่นนั้นจะเป็นการปล่อยเวลาให้ล่วงไปโดยไร้ประโยชน์!”
นับตั้งแต่กลับมาถึงบ้าน..หลิงหยุนก็สังเกตเห็นว่าจิตใจของเกาเฉินเฉินนั้นเปลี่ยนไปมาก และนี่คือผลจากการที่ร่างกายได้พัฒนาขึ้นจนส่งผลต่อสภาพจิตใจของคนผู้นั้นด้วย..
สิ่งที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดก็คือการพูดจาของเกาเฉินเฉิน..หากเป็นเมื่อก่อนนี้ หลังจากที่หลิงหยุนกลับมาถึงบ้าน นางก็คงจะต้องลากหลิงหยุนเข้าไปสอบถามเรื่องนั้นเรื่องนี้ด้วยความอยากรู้อยากเห็นเป็นแน่..
แต่ครั้งนี้..เกาเฉินเฉินกลับสงบนิ่ง และใคร่ครวญด้วยตนเองอย่างเงียบๆ และนี่คือสภาพจิตใจของเกาเฉินเฉินที่ได้เข้าสู่เส้นทางบ่มเพาะ
“ว่าแต่ข้าจะถ่ายทอดวิชาอะไรให้กับนางดีนะ!”
หลิงหยุนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง..ในที่สุดก็นึกถึงวิชาเคลื่อนย้ายธาตุขึ้นมาได้!
หลังจากนั้นจึงแอบใช้จิตหยั่งรู้ของตนสำรวจดูหลิงลี่กับจินเหยียวต่อพร้อมกับคิดว่าหากจะเทียบกับขั้นพลังชี่ของตนแล้วล่ะก็ ทั้งหลิงลี่และจินเหยียวนั้นก็น่าอยู่ในระดับสูงสุดขั้นเอ้อเฉิงชี่!
“ดูท่าท่านปู่คงจะเข้าสู่ขั้นต่อไปได้ในอีกไม่นานนี้เป็นแน่!”
หลิงหยุนสัมผัสถึงกระแสจิตที่แข็งแกร่งของหลิงลี่ได้เช่นนี้จึงอดที่จะมีความสุขไปด้วยไม่ได้ และรู้ว่าเวลานี้ปราณเสวียนหวงในร่างกายของหลิงลี่ ก็กำลังทำหน้าที่ของมันได้อย่างสมบูรณ์!
ทั้งหลิงลี่จินเหยียว และคนอื่นๆนั้น ล้วนมีจุดตันเถียนที่แตกต่างจากจุดตันเถียนที่แสนจะลึกลับของหลิงหยุน คนเหล่านั้นไม่มีจุดตันเถียนที่สามารถสร้างพลังปราณขึ้นภายในร่างกายได้เอง ทำให้ไม่สามารถก้าวหน้าได้รวดเร็วดังเช่นหลิงหยุน!
“แต่จะพูดไป..หากเทียบกับเย่ซิงเฉินแล้ว ท่านปู่กับท่านน้าจินเหยียวยังนับว่าห่างไกลนัก!”
หลิงหยุนได้แต่แอบถอนหายใจ..เพราะเรื่องนี้ล้วนเป็นเรื่องที่ขึ้นอยู่กับพรสวรรค์ของแต่ละคน แม้แต่หลิงหยุนเองก็ไม่สามารถที่จะไปเปลี่ยนแปลง หรือสร้างพรสวรรค์ชนิดนี้ให้กับผู้ใด เพื่อให้คนผู้นั้นสามารถก้าวหน้าอย่างรวดเร็วได้
–ท่านหน้าจินเหยียว..ข้าอยากจะวานให้ท่านช่วยทำการชำระล้างไขกระดูกให้กับหลิงซิ่ว และหลิงซวี่แทนข้าที ส่วนโอสถสำหรับชำระล้างไขกระดูกนั้น ข้าได้มอบให้กับพวกนางทั้งคู่ไปแล้ว!-
หลิงหยุนทำการสื่อสารกับจินเหยียวผ่านทางกระแสจิต..
จินเหยียวเองก็ตอบกลับมาทันทีเช่นกัน–หลิงหยุน.. เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องห่วง ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของข้าเอง!-
หลิงหยุนยิ้มออกมาพร้อมกับตอบไปว่า–ขอบคุณท่านน้าจินเหยียว!-
–เด็กน้อย..คราวหลังอย่าได้เกรงใจข้าเช่นนี้อีก!-
จากนั้นจินเหยียวก็บอกหลิงหยุนไปด้วยความร้อนใจ–หลิงหยุน.. ไม่ควรปล่อยให้พ่อของเจ้ายังยั้งขั้นไว้นานนัก เจ้าควรช่วยให้เขาเข้าสู่ขั้นต่อไปได้แล้ว!-
หลิงหยุนพยักหน้าและตอบกลับไป–ข้าเข้าใจ!-
หลังจากจบการสนทนากับจินเหยียวแล้วหลิงหยุนก็เปิดจิตหยั่งรู้ออกสำรวจดูหลิงลี่ต่อทันที และพบว่าหลิงลี่มีใบหน้าที่ซีดเซียว และสีหน้าของเขาก็ดูเศร้าหมองยิ่งนัก หลิงหยุนคิดว่าเขาคงจะต้องหาเวลาไปปลอบประโลมจิตใจหลิงลี่บ้าง..
เพียงแต่ช่วงเวลานี้ยังไม่ใช่ช่วงเวลาที่เหมาะสมนักหลิงหยุนจึงต้องอดกลั้นไว้ และเลือกที่จะไม่พูดอะไรกับหลิงลี่ในตอนนี้..
หลิงหยุนถอนจิตหยั่งรู้กลับมาและยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิมเช่นนั้น หลังจากครุ่นคิดอะไรอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็โบกมือเรียกโม่วู๋เตาให้เดินตามไปที่สวนด้านหน้าของคฤหาสน์ตระกูลหลิง
“พี่หลิงเฟิง..เจ้าพอมีเวลาให้ข้าหรือไม่”
หลิงเฟิงเห็นว่าหลิงหยุนตั้งใจมาพบตนเองเช่นนี้จึงหยุดการฝึกฝนวิชาไว้ชั่วคราว และหันไปถามหลิงหยุนด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“หลิงหยุน..เจ้ามีธุระอะไรกับข้างั้นรึ!”
หลิงหยุนยิ้มพร้อมตอบไปว่า“เอ่อ.. ลุงสองบอกกับข้าว่าเขาได้ดูทำเลสำหรับที่จะสร้างคฤหาสน์หลังใหม่ของตระกูลหลิงไว้ให้ข้าแล้ว เจ้าช่วยพาข้าไปดูหน่อยจะได้หรือไม่”
“เรื่องนี้เองหรอกรึ!ได้สิ! เจ้าตามข้ามา..” หลิงเฟิงได้ฟังก็ยิ้มกว้างออกมาเขาโอบไหล่หลิงหยุนพร้อมกับพาเดินออกไปข้างนอกทันที..
“ข้าไปด้วย”หลิงเลี่วยเห็นเช่นนั้นก็รีบร้องตะโกนออกไปทันที
และนี่เป็นการออกไปข้างนอกกับพี่ๆน้องๆของหลิงหยุนเป็นครั้งแรกเพราะตั้งแต่เขากลับมาปักกิ่งเป็นครั้งที่สอง ก็ยังไม่เคยออกไปใหนพร้อมกับพี่ๆน้องๆเลยสักครั้ง..
“เจ้าเด็กร้ายกาจ!คิดจะออกไปเที่ยวเล่นสนุกคนเดียว แล้วทิ้งพี่สาวของเจ้าไว้ที่บ้านงั้นรึ พวกเจ้านี่มันแล้งน้ำใจสิ้นดี..”
หลิงซิ่วร้องตะโกนออกมาอย่างโมโหพร้อมกับกระโดดตามออกไปทันที..
“ฮ่า..ฮ่า.. ถ้าเช่นนั้นก็ไปด้วยกันหมดนี่ล่ะ!”
จากนั้นหลิงหยุนก็ได้ส่งกระแสจิตชักชวนเกาเฉินเฉินให้ไปด้วยกันและนางก็ตอบตกลงทันที แล้วหลิงหยุน โม่วู๋เตา หลิงซิ่วหลิงเฟิง หลี่เลี่วย และเกาเฉินเฉิน ก็พากันมุดเข้าไปในรถหรูสีดำคันยาวเจ็ดที่นั่ง แล้วขับออกไปทันที..
“จะไปที่ใหนก่อนดีล่ะ”หลิงซิ่วซึ่งทำหน้าที่เป็นคนขับรถร้องถามขึ้นมา
หลิงเฟิงเป็นฝ่ายตอบไปว่า“พี่หลิงซิ่ว.. ท่านพ่อเคยบอกว่าทำเลที่ดีที่สุดคือทางทิศเหนือของบ้านตระกูลหลิง เลยถนนวงแหวนที่หกขึ้นไป..”
“เหมิงซาน..”
โม่วู๋เตาได้ฟังถึงกับร้องออกมาอย่างประหลาดใจพร้อมกับถามขึ้นว่า “เขาหมางซานอยู่ในเมืองลั่วหยาง มณฑลเหอหนานไม่ใช่รึ พวกเราจะไปที่นั่นได้อย่างไร?!”
“ฮ่า..ฮ่า..”
หลิงเลี่วยหัวเราะออกมาพร้อมกับตอบไปว่า“พี่วู๋เตา.. พี่หลิงเฟิงหมายถึงเทือกเขาทางตอนเหนือของปักกิ่ง ไม่ใช่เขาเหมิงซานในเมืองลั่วหยางที่ท่านพูดถึง! เรื่องแค่นี้ก็ยังไม่รู้..”
หลิงหยุนเหลือบมองหลิงเลี่วยกับโม่วู๋เตาและจากการพูดจาของหลิงเลี่วยทำให้หลิงหยุนรู้ว่า เวลานี้โม่วู๋เตากับพี่ๆน้องๆของเขานั้น ดูเหมือนจะสนิทสนมกันมาก..
“ใครบอกเจ้า..เรื่องแค่นี้ข้าต้องรู้อยู่แล้ว..”
โม่วู๋เตาพูดเสียงห้วนแต่ก็ไม่สามารถกลบเกลื่อนความอับอายที่พูดไปเมื่อครู่ได้..
หลิงซิ่วเหยียบคันเร่งนำรถพุ่งออกไปตามถนนอย่างรวดเร็วและนี่เป็นเวลาบ่ายสามโมงตรง ถนนวงแหวนที่ห้าซึ่งมุ่งหน้าไปทางทิศเหนือของปักกิ่งนั้น จึงไม่มีรถรามากมาย และสามารถเดินทางไปถึงจุดหมายได้ภายในเวลาเพียงแค่ครึ่งชั่วโมง..
“แถบโน้นทั้งหมด..ส่วนจะตรงจุดใหนนั้น เจ้าก็ต้องเลือกเอง..”
หลิงเฟิงยกมือขึ้นชี้ไปที่ป่ากว้างตรงหน้าพร้อมกับร้องบอกหลิงหยุนทันที! “พวกเราลงไปดูกันดีกว่า..”
หลิงเฟิงร้องบอกทุกคนและโม่วู๋เตาก็เดินตามหลังหลิงหยุนไป..
“เทือกเขาที่อยู่ทางทิศตะวันตกนี้คือเขาเหมิงซานและเป็นเขตอุทยานแห่งชาติ ส่วนเทือกเขาทางทิศตะวันออกนี้คือเขาหยางซาน ส่วนเทือกเขาสีเขียวงดงามราวภาพวาดนั้นก็คือเขาต้าฝูกับเขาเหลียนฮัว ซึ่งเป็นจุดชมวิวของเมืองปักกิ่ง..”
“จากที่พวกเรายืนอยู่นี้ตรงไปทางทิศตะวันตก ห่างไปราวเก้ากิโลเมตร ก็จะเป็นสุสานสิบสามจักรพรรดิราชวงศ์หมิงที่โด่งดัง..”
“ส่วนด้านตะวันออกนี้ก็จะมีอ่างเก็บน้ำสือซานหมิงและอ่างเก็บน้ำเว๋ยโหยว ทางทิศใต้จะมีอ่างเก็บน้ำหนานจวง..”
“เรียกได้ว่า..ทั้งทิศตะวันออก ทิศตะวันตก และทิศเหนือล้วนมีภูเขาล้อมรอบ ที่ตรงนี้อยู่ห่างจากคฤหาสน์ตระกูลหลิงราวยี่สิบห้ากิโลเมตร แล้วก็หันหน้าไปทางพระราชวังต้องห้ามอีกด้วย..”
หลิงเฟิงอธิบายภูมิประเทศแถบนี้ให้หลิงหยุนฟังอย่างละเอียดหลิงหยุนนิ่งฟังคำอธิบายของหลิงเฟิง พร้อมกับเปิดจิตหยั่งรู้ออกสำรวจภูมิประเทศรอบๆบริเวณไปด้วย..
ส่วนโม่วู๋เตานั้น..เวลานี้ดวงตาทั้งสองข้างเป็นประกายระยิบระยับขึ้นมาทันที เขาจ้องมองภาพตรงหน้าด้วยความตื่นเต้นอย่างที่สุด
จากนั้นทั้งหลิงหยุนกับโม่วู๋เตาก็หันไปมองหน้ากันและโม่วู๋เตาก็ร้องอุทานออกมา..
“ที่นี่เป็นที่ที่มีฮวงจุ้ยล้ำเลิศที่สุดเท่าที่ข้าเคยพบเห็นมา..”
“หงส์กางปีกและมังกร.. บ่งบอกว่าเป็นผืนแผ่นดินที่จะนำมาซึ่งความรุ่งเรือง!”
โม่วู๋เตาที่นั่งยิ้มกริ่มอยู่ตรงข้ามหลิงหยุนพร้อมกับยกแก้วเหล้าในมือขึ้น หลังจากที่จัดการชนแก้วกับหลิงหยุนแล้ว โม่วู๋เตาก็กระดกเหล้าในแก้วเข้าปากจนหมด และเวลานี้ทั้งคู่ก็ดื่มเหล้าเหมาไถหมดไปเป็นขวดที่สี่แล้ว..
“หลิงหยุน..นี่เจ้าจะเข้าเรียนมหาวิทยาลัยจริงๆรึ!” โม่วู๋เตาเอ่ยถามหลิงหยุนด้วยความอยากรู้
หลิงหยุนวางแก้วเหล้าในมือลงพร้อมตอบกลับไปว่า“เรื่องนี้ข้าเคยบอกเจ้าไปแล้วนี่!”
“ข้าก็แค่จะไปมอบตัวตามขั้นตอนของทางมหาวิทยาลัยเท่านั้นแต่ไม่คิดที่จะเข้าไปนั่งเรียนจริงๆ!”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้..ทำให้หลิงหยุนอดที่จะนึกถึงฉินจิวยื่อไม่ได้ แม้นางจะอยู่ในขั้นเซียงเทียน แต่กลับปิดบังฐานะของตนเองตลอดเวลาที่อยู่ในเมืองจิงฉู และยอมตรากตรำทำงานหนักเพื่อหาเงินมาส่งเสียให้เขากับหนิงหลิงยู่ได้เรียนหนังสือ..
สิบแปดปีเลยทีเดียว!
สำหรับตัวหลิงหยุนเองแล้วเขาไม่สนใจเรื่องการเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยหยานจิงเลยแม้แต่น้อย แต่เขาทำเพื่อนางฉินจิวยื่อที่ต้องอดทนทำงานหนักมากว่าสิบแปดปี เพื่อให้เขาสามารถสอบเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยได้..
หลิงหยุนตั้งใจไว้ว่า..เขาจะพาหนิงหลิงยู่ไปพบฉินจิวยื่อที่สำนักกระบี่เทียนซานในฐานะนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยหยานจิง เพื่อที่จะได้บอกกับนางด้วยตัวเองว่า เขาและน้องสาวสามารถทำตามความต้องการของนางได้แล้ว และจะพานางกลับมาพร้อมกันด้วย..
เมื่อได้ยินหลิงหยุนยืนยันอีกครั้งว่าจะไม่ไปเรียนเช่นนี้โม่วู๋เตาก็ถึงกับโล่งใจ และถามขึ้นด้วยความอยากรู้อยากเห็น.. “แล้วเจ้าจะไปมอบตัวเข้ามหาวิทยาลัยเมื่อไหร่งั้นรึ”
“วันที่10…”
หลิงหยุนตอบยิ้มๆพร้อมกับพูดต่อว่า “แต่ก่อนจะถึงวันนั้น.. เจ้ากับข้ามีเรื่องสำคัญที่จะต้องไปทำ!”
“ไปสำรวจสุสานงั้นรึ!”
โม่วู๋เตายกมือขึ้นชี้ไปทางทิศที่ตั้งของพระราชวังต้องห้ามพร้อมกับร้องถามออกมาด้วยความตื่นเต้น ดวงตาทั้งสองข้างเป็นประกายอย่างที่ไม่อาจเก็บซ่อนไว้ได้ สีหน้าและน้ำเสียงของเขานั้นบ่งบอกว่าแทบอดรนทนรอต่อไปไม่ได้อีกแล้ว..
“วันๆเจ้าคงคิดถึงแต่เรื่องสุสานสินะ!”
หลิงหยุนจ้องหน้าโม่วู๋เตาพร้อมกับพูดต่อทันที“สถานที่เช่นนั้นใช่ว่าคิดจะไปก็สามารถไปได้ในทันที! ต่อให้เจ้าตัดสินใจที่จะไป ก็ยังต้องมีการเตรียมตัวให้พร้อมก่อนไปมากที่สุด!” จากนั้นหลิงหยุนก็พูดขึ้นด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์“ก่อนการประลอง.. ข้าได้เดิมพันกับเย่เทียนสุ่ยแห่งตระกูลเย่ไว้ ตอนนี้ก็ได้เวลาที่ข้าต้องไปรับเงินแล้ว!”
“หนึ่งหมื่นห้าพันล้านหยวน..ฮ่า.. ฮ่า..”
“อ่อ..อีกไม่กี่วันข้ายังจะพาเจ้าไปสถานที่แห่งหนึ่ง รับรองว่าเจ้าต้องไม่เคยพบเห็นมาก่อนแน่ และจะต้องชื่นชอบมากด้วย!”
“ที่ใดรึ!”โม่วู๋เตาได้ร้องถามออกมาด้วยความตื่นเต้น
“ฮ่า..ฮ่า.. ไว้ถึงวันนั้นเจ้าก็จะรู้เอง!” หลิงหยุนไม่ตอบ..
…..
หลังจากนั้นทั้งหลิงหยุนและโม่วู๋เตาก็เดินออกจากบ้านไปยังสวนชั้นที่หกของคฤหาสน์ตระกูลหลิง
หลิงหยุนจัดการเรียกต้นหลิวเทวะวิญญาณออกมาจากแหวนจักรวาลและทำการปลูกลงดินดังเดิม แล้วหลิวเทวะวิญญาณก็จัดการปลดปล่อยพลังชีวิตธาตุไม้ออกมาอย่างมากมาย..
“กา..กา..”
เวลานี้บนท้องฟ้าเหนือคฤหาสน์ตระกูลหลิงนั้นมีอีกาทองคำตัวใหญ่กำลังบินวนเวียนอยู่กลางอากาศ ดวงตาสีทองของมันนั้นจ้องมองต้นหลิวเทวะวิญญาณ พร้อมกับบินวนเวียนไปมา และร้องกาๆ ไม่หยุด
โม่วู๋เตาเงยหน้าขึ้นมองพร้อมกับร้องอุทานออกมาอย่างตกใจ“โอ้โห! ตัวใหญ่ถึงเพียงนี้เชียวรึ! นี่คงจะเป็นอีกาที่เจ้าพูดถึงเมื่อครู่สินะ!”
หลิงหยุนพยักหน้ายิ้มๆและใช้มังกรคำรามประกาศให้ทุกคนในตระกูลหลิงได้รับรู้
“ทุกคนในตระกูลหลิงจงฟังคำสั่งข้า..อีกาที่บินอยู่เหนือคฤหาสน์ตระกูลหลิงนี้ เป็นอีกาที่ข้าเลี้ยงไว้ ห้ามผู้ใดทำร้ายมันโดยเด็ดขาด!”
หลังจากที่หลิงหยุนใช้มังกรคำรามประกาศบอกทุกคนในตระกูลหลิงแล้วอีกาลายทองก็กระพือปีก และบินร่อนลงมากเกาะที่กิ่งของต้นหลิวเทวะวิญญาณ โดยที่ไม่ต้องให้หลิงหยุนเรียกเลย..
“หึ..เจ้านี่ช่างหาที่เกาะได้ดีนักนะ!”
หลิงหยุนเห็นอีกาทองคำบินร่อนลงมาเกาะที่กิ่งไม้หนาของต้นหลิวเทวะวิญญาณก็อดที่จะประชดประชันไม่ได้..
เวลานี้ต้นหลิวเทวะวิญญาณได้สูงกว่าสามเมตรแล้วและลำต้นของมันนั้นก็มีเส้นผ่าศูนย์กลางถึงยี่สิบเซ็นติเมตรเลยทีเดียว อีกทั้งกิ่งก้านของของมันนั้น ก็เริ่มมีใบสีเขียวขึ้นดกหนาจนย้อยลงมาไม่ต่างจากเส้นไหมขนาดใหญ่..
ลำต้นของหลิวเทวะเริ่มเปลี่ยนเป็นสีเหลืองจางๆในขณะที่ใบของมันนั้นเป็นประกายสีเขียวมันวาวสุกใสมาจากด้านใน
หลิงหยุนรู้ดีว่าสีเหลืองจางของลำต้นนั้นแท้จริงแล้วก็คือปราณเสวียนหวงของต้นหลิวเทวะวิญญาณนั่นเอง ส่วนใบสีเขียวของมันนั้นเวลานี้ก็เป็นมันวาวสว่างเจิดจ้าราวกับไฟนีออนสีเขียวเลยทีเดียว!
“เอาล่ะ..ถ้าเจ้าชอบไม้ต้นนี้นัก ข้าก็จะอนุญาตให้เจ้าทำรังอยู่บนต้นหลิวของข้าได้!”
หลิงหยุนร้องบอกอีกาทองคำด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
“กา..กา..”
ดูเหมือนอีกาลายทองตัวนี้จะสามารถเข้าใจภาษามนุษย์ได้จริงๆทันทีที่หลิงหยุนเอ่ยปากอนุญาต มันก็กระพือปีกพร้อมกับร้องออกมาเสียงดังด้วยความตื่นเต้นดีใจ
“น่าเสียดายที่ข้าไม่สามารถสื่อสารกับหลิวเทวะวิญญาณได้ไม่เช่นนั้นแล้วก็คงจะบอกให้มันแตกกิ่งไวๆ เพื่อให้ข้านำมาใช้สร้างเป็นวัตถุวิเศษล้ำค่าต่อไปได้!”
หลิงหยุนได้แต่พึมพำกับตัวเองอย่างนึกเสียดาย..
การที่หลิงหยุนนำหลิวเทวะวิญญาณต้นนี้ไปที่สนามประลองด้วยนั้นก็เพื่อเตรียมการหากเกิดความจำเป็นจะต้องใช้อย่างเร่งด่วนเท่านั้น แต่ท้ายที่สุดเขาก็ไม่ได้ใช้มัน
หลังจากที่หลิงหยุนพึมพำออกไปนั้นหลิวเทวะวิญญาณก็ไม่มีปฏิกิริยาตอบโต้ใดๆกลับมา หลิงหยุนจึงได้แต่ถอนหายใจพร้อมกับคิดว่า
“คงต้องรอดูต่อไปเรื่อยๆว่าหลังจากนี้ไปหลิวเทวะวิญญาณจะมีการเปลี่ยนแปลงอะไรบ้าง”
และในระหว่างนั้นเอง..หลิงหยุนก็สัมผัสได้ถึงกระแสจิตสามสายที่ส่งออกมา ซึ่งมีทั้งกระแสที่แข็งแกร่ง และกระแสที่ยังอ่อนกำลัง..
กระแสจิตที่แข็งแกร่งทั้งสองนั้นคือกระแสจิตของจินเหยียวกับหลิงลี่ส่วนกระแสจิตที่ยังอ่อนกำลังอยู่นั้นคือของเกาเฉินเฉิน..
“เกาเฉินเฉินสามารถควบคุมกระแสจิตของตนได้รวดเร็วถึงเพียงนี้เชียวรึ!”
หลิงหยุนยิ้มออกมาพร้อมกับแอบคิดในใจว่าเกาเฉินเฉินนับเป็นผู้ที่มีพรสวรรค์อย่างน่าอัศจรรย์ทีเดียว ทันทีที่สามารถเข้าสู่ระดับสูงสุดขั้นปฐมชี่ได้แล้ว แม้จะยังไม่ได้ฝึกฝนวิชาอย่างจริงจัง แต่นางกลับสามารถควบคุมพลังจิตของตนได้เช่นนี้ นับไม่เลวเลยทีเดียว!
“ดูท่าข้าคงต้องถ่ายทอดวิชาให้กับนางแล้วไม่เช่นนั้นจะเป็นการปล่อยเวลาให้ล่วงไปโดยไร้ประโยชน์!”
นับตั้งแต่กลับมาถึงบ้าน..หลิงหยุนก็สังเกตเห็นว่าจิตใจของเกาเฉินเฉินนั้นเปลี่ยนไปมาก และนี่คือผลจากการที่ร่างกายได้พัฒนาขึ้นจนส่งผลต่อสภาพจิตใจของคนผู้นั้นด้วย..
สิ่งที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดก็คือการพูดจาของเกาเฉินเฉิน..หากเป็นเมื่อก่อนนี้ หลังจากที่หลิงหยุนกลับมาถึงบ้าน นางก็คงจะต้องลากหลิงหยุนเข้าไปสอบถามเรื่องนั้นเรื่องนี้ด้วยความอยากรู้อยากเห็นเป็นแน่..
แต่ครั้งนี้..เกาเฉินเฉินกลับสงบนิ่ง และใคร่ครวญด้วยตนเองอย่างเงียบๆ และนี่คือสภาพจิตใจของเกาเฉินเฉินที่ได้เข้าสู่เส้นทางบ่มเพาะ
“ว่าแต่ข้าจะถ่ายทอดวิชาอะไรให้กับนางดีนะ!”
หลิงหยุนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง..ในที่สุดก็นึกถึงวิชาเคลื่อนย้ายธาตุขึ้นมาได้!
หลังจากนั้นจึงแอบใช้จิตหยั่งรู้ของตนสำรวจดูหลิงลี่กับจินเหยียวต่อพร้อมกับคิดว่าหากจะเทียบกับขั้นพลังชี่ของตนแล้วล่ะก็ ทั้งหลิงลี่และจินเหยียวนั้นก็น่าอยู่ในระดับสูงสุดขั้นเอ้อเฉิงชี่!
“ดูท่าท่านปู่คงจะเข้าสู่ขั้นต่อไปได้ในอีกไม่นานนี้เป็นแน่!”
หลิงหยุนสัมผัสถึงกระแสจิตที่แข็งแกร่งของหลิงลี่ได้เช่นนี้จึงอดที่จะมีความสุขไปด้วยไม่ได้ และรู้ว่าเวลานี้ปราณเสวียนหวงในร่างกายของหลิงลี่ ก็กำลังทำหน้าที่ของมันได้อย่างสมบูรณ์!
ทั้งหลิงลี่จินเหยียว และคนอื่นๆนั้น ล้วนมีจุดตันเถียนที่แตกต่างจากจุดตันเถียนที่แสนจะลึกลับของหลิงหยุน คนเหล่านั้นไม่มีจุดตันเถียนที่สามารถสร้างพลังปราณขึ้นภายในร่างกายได้เอง ทำให้ไม่สามารถก้าวหน้าได้รวดเร็วดังเช่นหลิงหยุน!
“แต่จะพูดไป..หากเทียบกับเย่ซิงเฉินแล้ว ท่านปู่กับท่านน้าจินเหยียวยังนับว่าห่างไกลนัก!”
หลิงหยุนได้แต่แอบถอนหายใจ..เพราะเรื่องนี้ล้วนเป็นเรื่องที่ขึ้นอยู่กับพรสวรรค์ของแต่ละคน แม้แต่หลิงหยุนเองก็ไม่สามารถที่จะไปเปลี่ยนแปลง หรือสร้างพรสวรรค์ชนิดนี้ให้กับผู้ใด เพื่อให้คนผู้นั้นสามารถก้าวหน้าอย่างรวดเร็วได้
–ท่านหน้าจินเหยียว..ข้าอยากจะวานให้ท่านช่วยทำการชำระล้างไขกระดูกให้กับหลิงซิ่ว และหลิงซวี่แทนข้าที ส่วนโอสถสำหรับชำระล้างไขกระดูกนั้น ข้าได้มอบให้กับพวกนางทั้งคู่ไปแล้ว!-
หลิงหยุนทำการสื่อสารกับจินเหยียวผ่านทางกระแสจิต..
จินเหยียวเองก็ตอบกลับมาทันทีเช่นกัน–หลิงหยุน.. เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องห่วง ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของข้าเอง!-
หลิงหยุนยิ้มออกมาพร้อมกับตอบไปว่า–ขอบคุณท่านน้าจินเหยียว!-
–เด็กน้อย..คราวหลังอย่าได้เกรงใจข้าเช่นนี้อีก!-
จากนั้นจินเหยียวก็บอกหลิงหยุนไปด้วยความร้อนใจ–หลิงหยุน.. ไม่ควรปล่อยให้พ่อของเจ้ายังยั้งขั้นไว้นานนัก เจ้าควรช่วยให้เขาเข้าสู่ขั้นต่อไปได้แล้ว!-
หลิงหยุนพยักหน้าและตอบกลับไป–ข้าเข้าใจ!-
หลังจากจบการสนทนากับจินเหยียวแล้วหลิงหยุนก็เปิดจิตหยั่งรู้ออกสำรวจดูหลิงลี่ต่อทันที และพบว่าหลิงลี่มีใบหน้าที่ซีดเซียว และสีหน้าของเขาก็ดูเศร้าหมองยิ่งนัก หลิงหยุนคิดว่าเขาคงจะต้องหาเวลาไปปลอบประโลมจิตใจหลิงลี่บ้าง..
เพียงแต่ช่วงเวลานี้ยังไม่ใช่ช่วงเวลาที่เหมาะสมนักหลิงหยุนจึงต้องอดกลั้นไว้ และเลือกที่จะไม่พูดอะไรกับหลิงลี่ในตอนนี้..
หลิงหยุนถอนจิตหยั่งรู้กลับมาและยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิมเช่นนั้น หลังจากครุ่นคิดอะไรอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็โบกมือเรียกโม่วู๋เตาให้เดินตามไปที่สวนด้านหน้าของคฤหาสน์ตระกูลหลิง
“พี่หลิงเฟิง..เจ้าพอมีเวลาให้ข้าหรือไม่”
หลิงเฟิงเห็นว่าหลิงหยุนตั้งใจมาพบตนเองเช่นนี้จึงหยุดการฝึกฝนวิชาไว้ชั่วคราว และหันไปถามหลิงหยุนด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“หลิงหยุน..เจ้ามีธุระอะไรกับข้างั้นรึ!”
หลิงหยุนยิ้มพร้อมตอบไปว่า“เอ่อ.. ลุงสองบอกกับข้าว่าเขาได้ดูทำเลสำหรับที่จะสร้างคฤหาสน์หลังใหม่ของตระกูลหลิงไว้ให้ข้าแล้ว เจ้าช่วยพาข้าไปดูหน่อยจะได้หรือไม่”
“เรื่องนี้เองหรอกรึ!ได้สิ! เจ้าตามข้ามา..” หลิงเฟิงได้ฟังก็ยิ้มกว้างออกมาเขาโอบไหล่หลิงหยุนพร้อมกับพาเดินออกไปข้างนอกทันที..
“ข้าไปด้วย”หลิงเลี่วยเห็นเช่นนั้นก็รีบร้องตะโกนออกไปทันที
และนี่เป็นการออกไปข้างนอกกับพี่ๆน้องๆของหลิงหยุนเป็นครั้งแรกเพราะตั้งแต่เขากลับมาปักกิ่งเป็นครั้งที่สอง ก็ยังไม่เคยออกไปใหนพร้อมกับพี่ๆน้องๆเลยสักครั้ง..
“เจ้าเด็กร้ายกาจ!คิดจะออกไปเที่ยวเล่นสนุกคนเดียว แล้วทิ้งพี่สาวของเจ้าไว้ที่บ้านงั้นรึ พวกเจ้านี่มันแล้งน้ำใจสิ้นดี..”
หลิงซิ่วร้องตะโกนออกมาอย่างโมโหพร้อมกับกระโดดตามออกไปทันที..
“ฮ่า..ฮ่า.. ถ้าเช่นนั้นก็ไปด้วยกันหมดนี่ล่ะ!”
จากนั้นหลิงหยุนก็ได้ส่งกระแสจิตชักชวนเกาเฉินเฉินให้ไปด้วยกันและนางก็ตอบตกลงทันที แล้วหลิงหยุน โม่วู๋เตา หลิงซิ่วหลิงเฟิง หลี่เลี่วย และเกาเฉินเฉิน ก็พากันมุดเข้าไปในรถหรูสีดำคันยาวเจ็ดที่นั่ง แล้วขับออกไปทันที..
“จะไปที่ใหนก่อนดีล่ะ”หลิงซิ่วซึ่งทำหน้าที่เป็นคนขับรถร้องถามขึ้นมา
หลิงเฟิงเป็นฝ่ายตอบไปว่า“พี่หลิงซิ่ว.. ท่านพ่อเคยบอกว่าทำเลที่ดีที่สุดคือทางทิศเหนือของบ้านตระกูลหลิง เลยถนนวงแหวนที่หกขึ้นไป..”
“เหมิงซาน..”
โม่วู๋เตาได้ฟังถึงกับร้องออกมาอย่างประหลาดใจพร้อมกับถามขึ้นว่า “เขาหมางซานอยู่ในเมืองลั่วหยาง มณฑลเหอหนานไม่ใช่รึ พวกเราจะไปที่นั่นได้อย่างไร?!”
“ฮ่า..ฮ่า..”
หลิงเลี่วยหัวเราะออกมาพร้อมกับตอบไปว่า“พี่วู๋เตา.. พี่หลิงเฟิงหมายถึงเทือกเขาทางตอนเหนือของปักกิ่ง ไม่ใช่เขาเหมิงซานในเมืองลั่วหยางที่ท่านพูดถึง! เรื่องแค่นี้ก็ยังไม่รู้..”
หลิงหยุนเหลือบมองหลิงเลี่วยกับโม่วู๋เตาและจากการพูดจาของหลิงเลี่วยทำให้หลิงหยุนรู้ว่า เวลานี้โม่วู๋เตากับพี่ๆน้องๆของเขานั้น ดูเหมือนจะสนิทสนมกันมาก..
“ใครบอกเจ้า..เรื่องแค่นี้ข้าต้องรู้อยู่แล้ว..”
โม่วู๋เตาพูดเสียงห้วนแต่ก็ไม่สามารถกลบเกลื่อนความอับอายที่พูดไปเมื่อครู่ได้..
หลิงซิ่วเหยียบคันเร่งนำรถพุ่งออกไปตามถนนอย่างรวดเร็วและนี่เป็นเวลาบ่ายสามโมงตรง ถนนวงแหวนที่ห้าซึ่งมุ่งหน้าไปทางทิศเหนือของปักกิ่งนั้น จึงไม่มีรถรามากมาย และสามารถเดินทางไปถึงจุดหมายได้ภายในเวลาเพียงแค่ครึ่งชั่วโมง..
“แถบโน้นทั้งหมด..ส่วนจะตรงจุดใหนนั้น เจ้าก็ต้องเลือกเอง..”
หลิงเฟิงยกมือขึ้นชี้ไปที่ป่ากว้างตรงหน้าพร้อมกับร้องบอกหลิงหยุนทันที! “พวกเราลงไปดูกันดีกว่า..”
หลิงเฟิงร้องบอกทุกคนและโม่วู๋เตาก็เดินตามหลังหลิงหยุนไป..
“เทือกเขาที่อยู่ทางทิศตะวันตกนี้คือเขาเหมิงซานและเป็นเขตอุทยานแห่งชาติ ส่วนเทือกเขาทางทิศตะวันออกนี้คือเขาหยางซาน ส่วนเทือกเขาสีเขียวงดงามราวภาพวาดนั้นก็คือเขาต้าฝูกับเขาเหลียนฮัว ซึ่งเป็นจุดชมวิวของเมืองปักกิ่ง..”
“จากที่พวกเรายืนอยู่นี้ตรงไปทางทิศตะวันตก ห่างไปราวเก้ากิโลเมตร ก็จะเป็นสุสานสิบสามจักรพรรดิราชวงศ์หมิงที่โด่งดัง..”
“ส่วนด้านตะวันออกนี้ก็จะมีอ่างเก็บน้ำสือซานหมิงและอ่างเก็บน้ำเว๋ยโหยว ทางทิศใต้จะมีอ่างเก็บน้ำหนานจวง..”
“เรียกได้ว่า..ทั้งทิศตะวันออก ทิศตะวันตก และทิศเหนือล้วนมีภูเขาล้อมรอบ ที่ตรงนี้อยู่ห่างจากคฤหาสน์ตระกูลหลิงราวยี่สิบห้ากิโลเมตร แล้วก็หันหน้าไปทางพระราชวังต้องห้ามอีกด้วย..”
หลิงเฟิงอธิบายภูมิประเทศแถบนี้ให้หลิงหยุนฟังอย่างละเอียดหลิงหยุนนิ่งฟังคำอธิบายของหลิงเฟิง พร้อมกับเปิดจิตหยั่งรู้ออกสำรวจภูมิประเทศรอบๆบริเวณไปด้วย..
ส่วนโม่วู๋เตานั้น..เวลานี้ดวงตาทั้งสองข้างเป็นประกายระยิบระยับขึ้นมาทันที เขาจ้องมองภาพตรงหน้าด้วยความตื่นเต้นอย่างที่สุด
จากนั้นทั้งหลิงหยุนกับโม่วู๋เตาก็หันไปมองหน้ากันและโม่วู๋เตาก็ร้องอุทานออกมา..
“ที่นี่เป็นที่ที่มีฮวงจุ้ยล้ำเลิศที่สุดเท่าที่ข้าเคยพบเห็นมา..”
“หงส์กางปีกและมังกร.. บ่งบอกว่าเป็นผืนแผ่นดินที่จะนำมาซึ่งความรุ่งเรือง!”