Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร - บทที่ 1198 : มุ่งหน้าสู่พระราชวังต้องห้าม!
- Home
- Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร
- บทที่ 1198 : มุ่งหน้าสู่พระราชวังต้องห้าม!
ตระกูลหลิงภายใต้การนำของหลิงหยุนเวลานี้..สมาชิกทุกคนต่างก็กระตือรือร้น และขยันฝึกฝนวรยุทธ และกำลังภายในยิ่งนัก!
อีกทั้งเวลานี้หลังจากที่หลิงหยุนได้วางค่ายกลหลุมพลังไว้ภายในคฤหาสน์ตระกูลหลิงจึงมีพลังชีวิตอยู่อย่างหนาแน่น แม้ไม่อาจเทียบเท่ากับถ้ำสุขาวดีในโลกบ่มเพาะที่ยิ่งใหญ่ แต่ก็นับว่ามากมายทีเดียว นั่นเพราะพลังชีวิตทั่วทั้งเมืองปักกิ่ง ต่างก็ถูกค่ายกลหลุมพลังของหลิงหยุนดูดเข้ามากักเก็บไว้..
การฝึกฝนวรยุทธและกำลังภายในก็ไม่ต่างจากการตีเหล็ก การตีเหล็กนั้นผู้ตีย่อมต้องขยันออกแรงฉันใด ผู้ฝึกฝนวรยุทธเองก็ย่อมต้องหมั่นเพียรฝึกฝนวิชาฉันนั้น..
ไม่เช่นนั้นแล้ว..ต่อให้มีพลังชีวิตที่เข้มข้นจนเป็นของเหลว หรือได้รับโอสถพลังชีวิตเข้าไปทุกวัน แต่กลับไม่ขยันหมั่นเพียรที่จะฝึกฝนวิชา ก็ยากนักที่จะก้าวหน้าได้.. เวลานี้ทุกคนที่อยู่ในคฤหาสน์ตระกูลหลิงต่างก็ขยันขันแข็ง และตั้งหน้าตั้งตาฝึกวิชาของตัวเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งจินเหยียวซึ่งมีเวลาว่างมาก จึงใช้เวลาทั้งหมดไปกับการฝึกฝนวิชา ทำให้สามารถก้าวหน้าได้รวดเร็ว..
แม้แต่หนิงหลิงยู่กับตี้เสี่ยวอู๋ที่เพิ่งจะมาถึงตระกูลหลิงเมื่อวานนี้เมื่อพบว่าภายในคฤหาสน์ตระกูลหลิงมีพลังชีวิตเข้มข้นเช่นนี้ ทั้งคู่จึงออกมาฝึกฝนวิชาในยามวิกาลโดยไม่ต้องมีผู้ใดเรียก..
หลิงหยุนซึ่งอยู่ในห้องฝึกวิชาได้เปิดจิตหยั่งรู้ออกสำรวจภายในคฤหาสน์ตระกูลหลิงและภาพที่เห็นก็ทำให้เขาถึงกับพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ เพราะมีเพียงผู้ที่ไม่รู้วรยุทธอย่างต่งยั่วหลาน ฉางหลิง ฉีเสี่ยวชิง และถังเมิ่งเท่านั้น ที่ไม่ออกมาฝึกฝน..
….
“ฉันคืนให้นาย..”
หลิงหยุนเดินไปหาถังเมิ่งที่บ้านพร้อมกับยื่นแหวนในมือคืนให้กับเขา “แหวนพื้นที่ที่นายเคยอยากได้นักหนาไม่ใช่รึ”
“เอาล่ะ..นายจัดการกัดนิ้วตัวเอง แล้วหยดเลือดลงไปที่แหวนสักสองสามหยด!”
หลิงหยุนยิ้มให้กับถังเมิ่งพร้อมกับสั่งให้เขาหยดเลือดของตัวเองลงไปเพื่อแสดงความเป็นเจ้าของแหวนวงนี้..
“ห๊ะ!”
ถังเมิ่งจ้องมองแหวนในมือพร้อมกับยกนิ้วมือที่เหลือทั้งห้าอีกข้างขึ้น และมีสีหน้าลังเลว่าจะกัด หรือไม่กัดดี..
“หรือจะให้ฉันช่วย!”
หลิงหยุนเรียกกระบี่ยาวออกมาถือไว้ในมือพร้อมกับทำสีหน้าดุดันกระหายเลือด..
“พี่หยุน..พี่จะบ้าไปแล้วหรือยังไง เก็บกระบี่นั่นไปได้เลย.. ฉันจะกัดนิ้วตัวเอง!”
ถังเมิ่งเห็นกระบี่ยาวคมกริบเช่นนั้นก็ร้องอุทานออกมาอย่างตกใจ และรีบยกนิ้วชี้ขึ้นกัดทันที จากนั้นจึงทำการหยดเลือดของตนเองลงไปบนแหวน และหลังจากที่แหวนดูดเลือดของถังเมิ่งเข้าไปแล้ว หลิงหยุนจึงสั่งให้ถังเมิ่งสวมแหวนเข้าไปในนิ้ว พร้อมกับอธิบายว่า
“ตอนนี้นายรู้สึกว่าเชื่อมต่อกับแหวนแล้วหรือยัง”
ถังเมิ่งพยักหน้าหลิงหยุนจึงอธิบายต่อว่า “เอาล่ะ.. นายใช้จิตใจของตัวเองสื่อสารกับแหวน แล้วทดลองเคลื่อนย้ายสิ่งของเข้าไปเก็บข้างในแหวนดู!”
“สื่อสารกับแหวนผ่านทางจิตใจ!จะบ้าเหรอพี่หยุน.. ฉันทำเป็นที่ไหนเล่า?!”
แม้หลิงหยุนจะเคยถ่ายเทพลังอมตะจากพู่กันจักรพรรดิลงไปในร่างของถังเมิ่งแต่เขาก็เป็นเพียงแค่คนธรรมดาที่ไม่เคยฝึกกำลังภายในมาก่อน จึงไม่รู้วิธีสื่อสารด้วยจิตใจ และนับเป็นเรื่องยากสำหรับถังเมิ่งมากทีเดียว..
และนี่คือความแตกต่างระหว่างผู้ฝึกกำลังภายในกับคนธรรมดาทั่วไปในการฝึกกำลังภายในนั้น ย่อมต้องอาศัยจิตใจที่ตั้งมั่นเป็นสมาธิ เพื่อให้ผู้ฝึกได้สัมผัสถึงจุดตันเถียน และเส้นลมปราณต่างๆภายในร่างกายได้ อีกทั้งยังต้องสัมผัสได้ถึงการเคลื่อนที่ของลมปราณภายในร่างกายด้วย..
ด้วยเหตุนี้..ผู้ที่ฝึกกำลังภายในจึงสามารถสื่อสารกับแหวนพื้นที่ได้ไม่ยากนัก เนื่องจากมีจิตใจที่ตั้งมั่นอยู่แล้ว แต่ถังเมิ่งนั้นแตกต่างกัน..
“เอ่อ..”
หลิงหยุนครุ่นคิดหาวิธีอยู่ครู่หนึ่งจึงบอกกับถังเมิ่งว่า “เอาล่ะ.. นายลองจินตนาการว่าแหวนพื้นที่คือกล่องเปล่า จากนั้นก็วาดภาพว่านายกำลังหยิบของชิ้นนั้นเข้าไปไว้ในกล่อง ทดลองทำแบบนี้ซ้ำๆ..”
ถังเมิ่งขมวดคิ้วกัดฟันแน่นและพยายามทำตามที่หลิงหยุนบอกอยู่หลายสิบครั้ง แต่ก็ล้มเหลวทุกครั้งไป ใบหน้าของถังเมิ่งจึงบูดบึ้งและอารมณ์หงุดหงิด..
“ถังเมิ่ง..นายไม่ต้องเครียดไป แล้วก็ไม่ต้องเร่งรีบกดดันตัวเองมากนัก ไว้วันไหนนายว่างๆ อารมณ์ดีๆ แล้วค่อยทดลองทำดูใหม่ ถ้านายไม่เคร่งเครียด อาจจะทำได้ดีกว่านี้ก็ได้..”
“อืมม..”
ถังเมิ่งทำเสียงงึมงำอยู่ในลำคอเพราะหลังจากที่ทดลองอยู่ราวสิบกว่าครั้งแต่ไม่สำเร็จ เขาก็เริ่มถอดใจ และยอมแพ้ในที่สุด!
“ภายในแหวนพื้นที่นี้แตกต่างจากห้องเก็บของทั่วไปหากวันข้างหน้านายสามารถใช้มันได้แล้ว จำไว้ว่าห้ามนำสิ่งมีชีวิตเข้าไปไว้ในนั้น แม้จะเป็นสัตว์ก็ตาม!”
“แล้วก็ต้องจำไว้ว่าห้ามใช้แหวนพื้นที่ต่อหน้าผู้อื่นโดยเด็ดขาด!ไม่ว่านายจะเรียกของเข้าหรือออกจากแหวนพื้นที่ ต้องระมัดระวังไม่ให้มีใครสังเกตเห็นได้ ไม่อย่างนั้นแหวนของนายอาจถูกคนอื่นแย่งชิงไปได้..”
หลิงหยุนจริงจังกับข้อห้ามสองข้อนี้มากจึงได้ย้ำเตือนถังเมิ่งด้วยสีหน้าเคร่งเครียด!
“พี่หยุน..แต่ตอนนั้นพี่ยังโชว์มายากลออกทีวีเลย!” ถังเมิ่งถามขึ้นทันที
หลิงหยุนตอบกลับด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน..“ก็คนที่มันต้องการจะแย่งชิงแหวนไปจากฉัน ถูกฉันฆ่าตายจนหมดแล้วน่ะสิ!”
“…..”
ถังเมิ่งได้แต่นิ่งอึ้งเถียงไม่ออกแล้วจึงตอบไปว่า “อืม.. ฉันจะจำไว้ให้ขึ้นใจ!”
“ดีมาก!เพราะจากนี้ไปคนที่นายต้องพบเจอและติดต่อด้วย ล้วนแล้วแต่เป็นยอดฝีมือ หากนายให้พวกเขาพบสมบัติล้ำค่าชิ้นนี้เข้า นายต้องถูกฆ่าชิงแหวนไปแน่..”
“พี่หยุน..”
หลังจากที่ตี้เสี่ยวอู๋ฝึกวิชาเสร็จเขาก็วิ่งตรงมาหาถังเมิ่งกับหลิงหยุนทันที หลิงหยุนร้องตะโกนถามตี้เสี่ยวอู๋ด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
“เสี่ยวอู๋..นี่นายฝึกวิชาตลอดทั้งคืนเลยหรือนี่”
ตี้เสี่ยวอู๋ตอบกลับหลิงหยุนด้วยสีหน้าตื่นเต้น“พี่หยุน.. บ้านพี่เหมาะสำหรับฝึกวิชามากเลย พลังชีวิตเข้มข้นกว่าในบ้านเลขที่-1 นับสิบเท่า..”
“ตอนนี้ฉันรู้สึกว่าเส้นลมปราณเยิ่นกับเส้นลมปราณตูของตัวเองใกล้จะเปิดเชื่อมถึงกันแล้ว..”
ตี้เสี่ยวอู๋ฝึกวิชานู่เตา..ฉะนั้นทุกครั้งที่เขาเดินลมปราณภายในร่างกาย พลังปราณในร่างจะมีลักษณะคล้ายกับแม้น้ำสายใหญ่ที่กำลังไหลเคลื่อนไปตามเส้นลมปราณ ทำให้เกิดเสียงดังครืนๆ คล้ายกระแสน้ำที่คลุ้มคลั่งซัดเข้ากับฝั่งอยู่ตลอดเวลา..
“นายไม่ต้องกังวลใจไป..ถ้าไม่ติดอะไรฉันจะช่วยให้นายข้าสู่ขั้นต่อไปในคืนนี้เอง!”
หลิงหยุนร้องบอกพร้อมกับยื่นแหวนแพลตตินั่มวงหนึ่งให้กับตี้เสี่ยวอู๋..
“พี่หยุน..อย่าบอกนะว่านี่คือ..” ตี้เสี่ยวอู๋ร้องตะโกนออกมาด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น และดวงตาเป็นประกาย
“ใช่แล้ว..มันคือแหวนพื้นที่!” หลิงหยุนบอกวิธีใช้แหวนให้กับตี้เสี่ยวอู๋แล้วสอนให้เขาลองเชื่อมต่อ และสื่อสารกับแหวนดู..
“ว้าวพี่หยุน!ข้างในกว้างใหญ่มากเลย..”
ตี้เสี่ยวอู๋ทดลองสื่อสารกับแหวนพื้นที่เพียงแค่สองสามครั้งก็สามารถใช้แหวนพื้นที่ได้แล้ว จึงร้องอุทานออกมาด้วยความตื่นเต้นดีใจ
ถังเมิ่งเห็นเช่นนั้นจึงแทบอยากจะร้องไห้ออกมาหลิงหยุนเหลือบมองถังเมิ่งพร้อมพูดกับตี้เสี่ยวอู๋ว่า
“ไม่เหมือนใครบางคน..ป่านนี้ยังสื่อสสารกับแหวนไม่ได้!”
ถังเมิ่งทำหน้าตาบึ้งตึง..หลิงหยุนไม่สนใจ และเรียกบางสิ่งบางอย่างออกมาจากแหวนของตนเองอีก
“ส่วนนี่ก็อาวุธของนาย!ทดลองใช้ดูสิ!”
“แม่เจ้า!”
ตี้เสี่ยวอู๋ร้องอุทานออกมาด้วยความตื่นเต้นดีใจเมื่อเห็นกระบองคู่ไคเจี๋วยกระบองคู่นี้ไม่เพียงทำจากพลองม่วงทอง แต่ยังผสมโลหะดำลงไปด้วย กระบองข้างหนึ่งจึงมีน้ำหนักถึงร้อยกิโลกรัมเลยทีเดียว แต่ตี้เสี่ยวอู๋กลับยกมันขึ้นได้อย่างง่ายดาย..
“ขอบคุณพี่หยุน..”
“นายพกติดตัวไว้ก่อนเมื่อไหร่ที่เข้าสู่ขั้นเซียงเทียนได้ ฉันจะถ่ายทอดวิชาให้กับนายเพิ่ม..!”
ตี้เสี่ยวอู๋เก็บกระบองคู่ไคเจี๋วยของตนเองเข้าไปไว้ในแหวนพื้นที่ทันที..
“เอาล่ะ..พวกเราไปกินข้าวเช้ากันได้แล้ว หลิงยู่กับทุกคนรออยู่แล้ว!”
“นี่..รอข้าด้วยสิ!”
โม่วู๋เตาร้องตะโกนเรียกชายหนุ่มทั้งสามพร้อมกับวิ่งหน้าตั้งออกมาจากบ้านทันที เมื่อมาถึงก็บ่มพึมพำออกมาด้วยความโมโห!
“หลิงหยุน..เจ้าช่างแล้งน้ำใจนัก! จะไปกินข้าวก็ไม่คิดที่จะชวนข้าไปด้วยเลยงั้นรึ! นี่เจ้ายังเห็นข้าเป็นพี่น้องอยู่หรือไม่?”
หลิงหยุนหัวเราะร่วนพร้อมกับตอบไปว่า“แค่ไปกินข้าวเช้า จำเป็นต้องอ้างพี่อ้างน้องเชียวรึ”
โม่วู๋เตาวิ่งตามหลิงหยุนไปติดๆพร้อมกับร้องโวยวาย “ก็เพราะว่าหลังจากกินข้าวเช้าเสร็จแล้ว พวกเจ้าก็จะพากันหนีไปเที่ยว แล้วทิ้งข้าไว้ที่บ้านคนเดียวน่ะสิ!”
ความจริงแล้วเมื่อวานนี้โม่วู๋เตาได้ยินทั้งสามคนนัดแนะกันว่าจะออกไปเที่ยวข้างนอกในวันนี้ เมื่อเห็นว่าไม่มีผู้ใดชักชวนตนเองไปด้วย จึงได้รู้สึกหงุดหงิดเป็นอย่างมาก
หลิงหยุนหันไปบอกกับโม่วู๋เตาพร้อมกับต่อว่า “ใครใช้ให้เจ้าเกียจคร้านฝึกฝนวิชาอยู่คนเดียวเล่า”
โม่วู๋เตาร้องโวยวายปฏิเสธทันที“หลิงหยุน.. เมื่อคืนข้าฝึกวิชาจนถึงตีหนึ่ง แต่เจ้าไม่เห็น..”
หลิงหยุนหันไปจ้องหน้าโม่วู๋เตาพร้อมกับพูดยิ้มๆอย่างรู้ทัน “หึ.. เจ้าท่องอินเทอร์เน็ตจนถึงตีห้าต่างหากเล่า.. เข้าพูดถูกหรือไม่”
“เอ่อ..”
“นี่เจ้ามีนิสัยชอบแอบดูผู้อื่นมากหรือยังไง”โม่วู๋เตาร้องโวยวายเสียงดัง
หลิงหยุนคร้านจะโต้เถียงกับโม่วู๋เตาจึงเดินไปยังสวนด้านหน้าคฤหาสน์ทันที..
…..
“พี่ใหญ่..”
หนิงหลิงยู่ได้ยินเสียงโวยวายของทั้งสี่คนจึงได้ออกมายืนรอหลิงหยุนที่หน้าประตูบ้านของหลิงซิ่ว และทันทีที่เห็นหน้าโม่วู๋เตาหนิงหลิงยู่ก็อดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้
หลิงหยุนตรงเข้าไปลูบศรีษะหนิงหลิงยู่อย่างรักใคร่พร้อมกับพูดขึ้นว่า “ไปกินข้าวเช้ากันได้แล้ว..”
“หลิงหยุน..เจ้ากับเพื่อนๆ รอข้าอยู่ข้างนอกประเดี๋ยว!”
เสียงร้องตะโกนของหลิงซิ่วดังออกมาจากบ้านและในระหว่างที่รอนั้น หลิงหยุนจึงได้พูดคุยกับหนิงหลิงยู่ สอบถามเรื่องการฝึกวิชาของนางเสียเป็นส่วนใหญ่ แต่ไม่ถามถึงเรื่องราวภายในตระกูลฉินเลยแม้แต่น้อย..
ไม่นานนักหลิงซิ่วก็เดินออกมาจากบ้านพร้อมกับฉีเสี่ยวชิงและได้ร้องบอกทุกคนว่า “ใกล้ๆ นี้มีภัตตาคารขึ้นชื่อ ข้าจะพาพวกเจ้าไปกินอาหารเช้าที่นั่น!”
ฉีเสี่ยวชิงเพียงแค่พยักหน้าให้หลิงหยุนจากนั้นหลิงซิ่วก็ร้องตะโกนถามขึ้นว่า “เฉินเฉินกับฉางหลิงเล่า พวกนางไม่ไปกับพวกเรารึ?!”
หลิงหยุนยกมือขึ้นเกาศรีษะและตอบกลับไปด้วยท่าทางลุกลี้ลุกลน “ก็แค่อาหารเช้า.. พวกนางทานที่บ้านก็ได้!”
หลิงซิ่วขยิบตาอย่างรู้ทันพร้อมกับพูดขึ้นว่า“เจ้าพูดอะไร.. พวกเรานัดแนะกันเรียบร้อยแล้วว่าจะออกไปด้วยกัน ว่าแต่.. ทำไมเจ้าดูลุกลี้ลุกลนนักนะ!”
ทุกคนที่ได้ยินต่างก็พากันหัวเราะออกมาพร้อมกัน..
“ได้ๆพี่หลิงซิ่ว ข้าจะชวนพวกนางไปด้วย..”
จากนั้นหลิงหยุนจึงร้องเรียกเกาเฉินเฉินกับฉางหลิงผ่านทางกระแสจิต..
เมื่อคืนฉางหลิงไปอยู่ที่บ้านของเขากับเกาเฉินเฉินหลิงหยุนจึงไม่รู้ว่าหญิงสาวทั้งคู่จะกระซิบกระซาบกันเรื่องอะไรกันบ้าง และนี่คือเหตุผลที่หลิงหยุนเลือกที่จะฝึกวิชาอยู่ข้างนอกตลอดทั้งคืนไม่ยอมกลับบ้าน..
เกาเฉินเฉินกับฉางหลิงตามออกมาสมทบกับทุกคนและยิ่งเห็นเกาเฉินเฉินกับฉางหลิงกระซิบกระซาบแล้วก็หัวเราะคิกคัก ก็ยิ่งทำให้หลิงหยุนเก้อเขินมากขึ้น แต่ก็แสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้กลบเกลื่อน..
“เอาล่ะ..ในเมื่อทุกคนมาพร้อมหน้าแล้ว ก็ออกเดินทางกันได้!”
หลิงหยุนเป็นฝ่ายร้องตะโกนบอกทุกคน..
“นี่..รอพวกข้าสองคนด้วยสิ!” หลิงเฟิงกับหลิงเลี่วยวิ่งตามออกมา..
แต่หลิงซิ่วกลับร้องตะโกนบอกไปว่า“พวกเจ้าสองคนห้ามไปใหนทั้งนั้น ต้องอยู่บ้านฝึกวิชา!”
หลิงเฟิงกับหลิงเลี่วยหน้าเสียและหันไปมองหลิงหยุนด้วยแววตาอ้อนวอน หลิงหยุนอดสงสารไม่ได้จึงหันไปบอกกับหลิงซิ่วว่า..
“พี่หลิงซิ่ว..ออกไปเที่ยวเล่นพร้อมกันหลายๆ คนสนุกกว่าไม่ใช่รึ!”
ในเมื่อหลิงหยุนออกปากช่วยพูดให้หลิงซิ่วจึงยอมโอนอ่อนให้ “ก็ได้.. แต่พวกเจ้าสองคนต้องเชื่อฟังคำสั่งของข้า ข้าจึงจะให้พวกเจ้าสองคนไปด้วย!”
“พวกเรายินดีทำตามคำสั่งของพี่หลิงซิ่วทุกอย่าง..ท่านสั่งมาได้เลย!”
หลิงเฟิงกับหลิงเลี่วยร้องตะโกนออกมาด้วยความดีอกดีใจ..
แต่หลังจากที่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งหลิงซวี่จึงหันไปมองหลิงหยุนพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ในเมื่อทุกคนไปกันหมด เหตุใดจึงไม่ชวนน้องหลิงซวี่ไปด้วยเล่า”
หลิงซิ่วนั้นเป็นหญิงสาวที่เฉลียวฉลาดนางจงใจให้หลิงหยุนเป็นคนเอ่ยปากชักชวนหลิงซวี่ ก็เพื่อให้ทั้งคู่ได้มีโอกาสทำความสนิทสนมกันมากขึ้น
หลิงหยุนเอ่ยชักชวนหลิงซวี่ผ่านทางกระแสจิตและนางก็ตอบตกลงทันที..
หลิงซวี่นั้นเป็นเพียงเด็กสาวที่เพิ่งจะอายุเพียงแค่สิบหกปีเท่านั้นและเป็นน้องสุดท้องของตระกูลหลิง เมื่อได้ยินว่าทุกคนจะออกไปเที่ยวเล่นข้างนอก จึงรีบรับปากทันทีที่หลิงหยุนเอ่ยชวน..
“พี่หลิงยู่!”
ทันทีที่ปรากฏตัวหลิงซวี่ก็เป็นฝ่ายเอ่ยทักทายหนิงหลิงยู่หนิงหลิงยู่เองก็พูดคุยกับหลิงซวี่อย่างสนิทสนมเช่นกัน
Inthis way, one of these young and young ones will not fall, even if it iscomplete.
“เอาล่ะ..สาวงามกับหนุ่มหล่อทั้งหก ออกเดินทางกันได้แล้ว!”
หลังจากที่ทุกคนขึ้นไปบนรถบัสแล้ว..หลิงซิ่วสั่งให้คนขับรถไปที่ภัตตาคารใกล้บ้านตระกูลหลิงเพื่อทานอาหารเช้า
….
หลังจากที่รับประทานอาหารเช้าและกลับขึ้นรถบัสเรียบร้อยแล้ว หลิงซิ่วจึงทำหน้าที่เป็นไกด์พาทุกคนท่องเที่ยว
“เอาล่ะทุกคน..สถานที่แรกที่พวกเราจะไปก็คือพระราชวังต้องห้าม!”
“ห๊ะ…”
“เอ่อ..”
ทันทีที่ได้ยินคำว่าพระราชวังต้องห้ามทั้งหลิงหยุนและโม่วู๋เตาต่างก็หันไปมองหน้ากันด้วยควาตกใจ และตกตะลึง..
และเวลานี้รถบัสก็กำลังมุ่งหน้าไปยังพระราชวังต้องห้าม..
อีกทั้งเวลานี้หลังจากที่หลิงหยุนได้วางค่ายกลหลุมพลังไว้ภายในคฤหาสน์ตระกูลหลิงจึงมีพลังชีวิตอยู่อย่างหนาแน่น แม้ไม่อาจเทียบเท่ากับถ้ำสุขาวดีในโลกบ่มเพาะที่ยิ่งใหญ่ แต่ก็นับว่ามากมายทีเดียว นั่นเพราะพลังชีวิตทั่วทั้งเมืองปักกิ่ง ต่างก็ถูกค่ายกลหลุมพลังของหลิงหยุนดูดเข้ามากักเก็บไว้..
การฝึกฝนวรยุทธและกำลังภายในก็ไม่ต่างจากการตีเหล็ก การตีเหล็กนั้นผู้ตีย่อมต้องขยันออกแรงฉันใด ผู้ฝึกฝนวรยุทธเองก็ย่อมต้องหมั่นเพียรฝึกฝนวิชาฉันนั้น..
ไม่เช่นนั้นแล้ว..ต่อให้มีพลังชีวิตที่เข้มข้นจนเป็นของเหลว หรือได้รับโอสถพลังชีวิตเข้าไปทุกวัน แต่กลับไม่ขยันหมั่นเพียรที่จะฝึกฝนวิชา ก็ยากนักที่จะก้าวหน้าได้.. เวลานี้ทุกคนที่อยู่ในคฤหาสน์ตระกูลหลิงต่างก็ขยันขันแข็ง และตั้งหน้าตั้งตาฝึกวิชาของตัวเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งจินเหยียวซึ่งมีเวลาว่างมาก จึงใช้เวลาทั้งหมดไปกับการฝึกฝนวิชา ทำให้สามารถก้าวหน้าได้รวดเร็ว..
แม้แต่หนิงหลิงยู่กับตี้เสี่ยวอู๋ที่เพิ่งจะมาถึงตระกูลหลิงเมื่อวานนี้เมื่อพบว่าภายในคฤหาสน์ตระกูลหลิงมีพลังชีวิตเข้มข้นเช่นนี้ ทั้งคู่จึงออกมาฝึกฝนวิชาในยามวิกาลโดยไม่ต้องมีผู้ใดเรียก..
หลิงหยุนซึ่งอยู่ในห้องฝึกวิชาได้เปิดจิตหยั่งรู้ออกสำรวจภายในคฤหาสน์ตระกูลหลิงและภาพที่เห็นก็ทำให้เขาถึงกับพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ เพราะมีเพียงผู้ที่ไม่รู้วรยุทธอย่างต่งยั่วหลาน ฉางหลิง ฉีเสี่ยวชิง และถังเมิ่งเท่านั้น ที่ไม่ออกมาฝึกฝน..
….
“ฉันคืนให้นาย..”
หลิงหยุนเดินไปหาถังเมิ่งที่บ้านพร้อมกับยื่นแหวนในมือคืนให้กับเขา “แหวนพื้นที่ที่นายเคยอยากได้นักหนาไม่ใช่รึ”
“เอาล่ะ..นายจัดการกัดนิ้วตัวเอง แล้วหยดเลือดลงไปที่แหวนสักสองสามหยด!”
หลิงหยุนยิ้มให้กับถังเมิ่งพร้อมกับสั่งให้เขาหยดเลือดของตัวเองลงไปเพื่อแสดงความเป็นเจ้าของแหวนวงนี้..
“ห๊ะ!”
ถังเมิ่งจ้องมองแหวนในมือพร้อมกับยกนิ้วมือที่เหลือทั้งห้าอีกข้างขึ้น และมีสีหน้าลังเลว่าจะกัด หรือไม่กัดดี..
“หรือจะให้ฉันช่วย!”
หลิงหยุนเรียกกระบี่ยาวออกมาถือไว้ในมือพร้อมกับทำสีหน้าดุดันกระหายเลือด..
“พี่หยุน..พี่จะบ้าไปแล้วหรือยังไง เก็บกระบี่นั่นไปได้เลย.. ฉันจะกัดนิ้วตัวเอง!”
ถังเมิ่งเห็นกระบี่ยาวคมกริบเช่นนั้นก็ร้องอุทานออกมาอย่างตกใจ และรีบยกนิ้วชี้ขึ้นกัดทันที จากนั้นจึงทำการหยดเลือดของตนเองลงไปบนแหวน และหลังจากที่แหวนดูดเลือดของถังเมิ่งเข้าไปแล้ว หลิงหยุนจึงสั่งให้ถังเมิ่งสวมแหวนเข้าไปในนิ้ว พร้อมกับอธิบายว่า
“ตอนนี้นายรู้สึกว่าเชื่อมต่อกับแหวนแล้วหรือยัง”
ถังเมิ่งพยักหน้าหลิงหยุนจึงอธิบายต่อว่า “เอาล่ะ.. นายใช้จิตใจของตัวเองสื่อสารกับแหวน แล้วทดลองเคลื่อนย้ายสิ่งของเข้าไปเก็บข้างในแหวนดู!”
“สื่อสารกับแหวนผ่านทางจิตใจ!จะบ้าเหรอพี่หยุน.. ฉันทำเป็นที่ไหนเล่า?!”
แม้หลิงหยุนจะเคยถ่ายเทพลังอมตะจากพู่กันจักรพรรดิลงไปในร่างของถังเมิ่งแต่เขาก็เป็นเพียงแค่คนธรรมดาที่ไม่เคยฝึกกำลังภายในมาก่อน จึงไม่รู้วิธีสื่อสารด้วยจิตใจ และนับเป็นเรื่องยากสำหรับถังเมิ่งมากทีเดียว..
และนี่คือความแตกต่างระหว่างผู้ฝึกกำลังภายในกับคนธรรมดาทั่วไปในการฝึกกำลังภายในนั้น ย่อมต้องอาศัยจิตใจที่ตั้งมั่นเป็นสมาธิ เพื่อให้ผู้ฝึกได้สัมผัสถึงจุดตันเถียน และเส้นลมปราณต่างๆภายในร่างกายได้ อีกทั้งยังต้องสัมผัสได้ถึงการเคลื่อนที่ของลมปราณภายในร่างกายด้วย..
ด้วยเหตุนี้..ผู้ที่ฝึกกำลังภายในจึงสามารถสื่อสารกับแหวนพื้นที่ได้ไม่ยากนัก เนื่องจากมีจิตใจที่ตั้งมั่นอยู่แล้ว แต่ถังเมิ่งนั้นแตกต่างกัน..
“เอ่อ..”
หลิงหยุนครุ่นคิดหาวิธีอยู่ครู่หนึ่งจึงบอกกับถังเมิ่งว่า “เอาล่ะ.. นายลองจินตนาการว่าแหวนพื้นที่คือกล่องเปล่า จากนั้นก็วาดภาพว่านายกำลังหยิบของชิ้นนั้นเข้าไปไว้ในกล่อง ทดลองทำแบบนี้ซ้ำๆ..”
ถังเมิ่งขมวดคิ้วกัดฟันแน่นและพยายามทำตามที่หลิงหยุนบอกอยู่หลายสิบครั้ง แต่ก็ล้มเหลวทุกครั้งไป ใบหน้าของถังเมิ่งจึงบูดบึ้งและอารมณ์หงุดหงิด..
“ถังเมิ่ง..นายไม่ต้องเครียดไป แล้วก็ไม่ต้องเร่งรีบกดดันตัวเองมากนัก ไว้วันไหนนายว่างๆ อารมณ์ดีๆ แล้วค่อยทดลองทำดูใหม่ ถ้านายไม่เคร่งเครียด อาจจะทำได้ดีกว่านี้ก็ได้..”
“อืมม..”
ถังเมิ่งทำเสียงงึมงำอยู่ในลำคอเพราะหลังจากที่ทดลองอยู่ราวสิบกว่าครั้งแต่ไม่สำเร็จ เขาก็เริ่มถอดใจ และยอมแพ้ในที่สุด!
“ภายในแหวนพื้นที่นี้แตกต่างจากห้องเก็บของทั่วไปหากวันข้างหน้านายสามารถใช้มันได้แล้ว จำไว้ว่าห้ามนำสิ่งมีชีวิตเข้าไปไว้ในนั้น แม้จะเป็นสัตว์ก็ตาม!”
“แล้วก็ต้องจำไว้ว่าห้ามใช้แหวนพื้นที่ต่อหน้าผู้อื่นโดยเด็ดขาด!ไม่ว่านายจะเรียกของเข้าหรือออกจากแหวนพื้นที่ ต้องระมัดระวังไม่ให้มีใครสังเกตเห็นได้ ไม่อย่างนั้นแหวนของนายอาจถูกคนอื่นแย่งชิงไปได้..”
หลิงหยุนจริงจังกับข้อห้ามสองข้อนี้มากจึงได้ย้ำเตือนถังเมิ่งด้วยสีหน้าเคร่งเครียด!
“พี่หยุน..แต่ตอนนั้นพี่ยังโชว์มายากลออกทีวีเลย!” ถังเมิ่งถามขึ้นทันที
หลิงหยุนตอบกลับด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน..“ก็คนที่มันต้องการจะแย่งชิงแหวนไปจากฉัน ถูกฉันฆ่าตายจนหมดแล้วน่ะสิ!”
“…..”
ถังเมิ่งได้แต่นิ่งอึ้งเถียงไม่ออกแล้วจึงตอบไปว่า “อืม.. ฉันจะจำไว้ให้ขึ้นใจ!”
“ดีมาก!เพราะจากนี้ไปคนที่นายต้องพบเจอและติดต่อด้วย ล้วนแล้วแต่เป็นยอดฝีมือ หากนายให้พวกเขาพบสมบัติล้ำค่าชิ้นนี้เข้า นายต้องถูกฆ่าชิงแหวนไปแน่..”
“พี่หยุน..”
หลังจากที่ตี้เสี่ยวอู๋ฝึกวิชาเสร็จเขาก็วิ่งตรงมาหาถังเมิ่งกับหลิงหยุนทันที หลิงหยุนร้องตะโกนถามตี้เสี่ยวอู๋ด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
“เสี่ยวอู๋..นี่นายฝึกวิชาตลอดทั้งคืนเลยหรือนี่”
ตี้เสี่ยวอู๋ตอบกลับหลิงหยุนด้วยสีหน้าตื่นเต้น“พี่หยุน.. บ้านพี่เหมาะสำหรับฝึกวิชามากเลย พลังชีวิตเข้มข้นกว่าในบ้านเลขที่-1 นับสิบเท่า..”
“ตอนนี้ฉันรู้สึกว่าเส้นลมปราณเยิ่นกับเส้นลมปราณตูของตัวเองใกล้จะเปิดเชื่อมถึงกันแล้ว..”
ตี้เสี่ยวอู๋ฝึกวิชานู่เตา..ฉะนั้นทุกครั้งที่เขาเดินลมปราณภายในร่างกาย พลังปราณในร่างจะมีลักษณะคล้ายกับแม้น้ำสายใหญ่ที่กำลังไหลเคลื่อนไปตามเส้นลมปราณ ทำให้เกิดเสียงดังครืนๆ คล้ายกระแสน้ำที่คลุ้มคลั่งซัดเข้ากับฝั่งอยู่ตลอดเวลา..
“นายไม่ต้องกังวลใจไป..ถ้าไม่ติดอะไรฉันจะช่วยให้นายข้าสู่ขั้นต่อไปในคืนนี้เอง!”
หลิงหยุนร้องบอกพร้อมกับยื่นแหวนแพลตตินั่มวงหนึ่งให้กับตี้เสี่ยวอู๋..
“พี่หยุน..อย่าบอกนะว่านี่คือ..” ตี้เสี่ยวอู๋ร้องตะโกนออกมาด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น และดวงตาเป็นประกาย
“ใช่แล้ว..มันคือแหวนพื้นที่!” หลิงหยุนบอกวิธีใช้แหวนให้กับตี้เสี่ยวอู๋แล้วสอนให้เขาลองเชื่อมต่อ และสื่อสารกับแหวนดู..
“ว้าวพี่หยุน!ข้างในกว้างใหญ่มากเลย..”
ตี้เสี่ยวอู๋ทดลองสื่อสารกับแหวนพื้นที่เพียงแค่สองสามครั้งก็สามารถใช้แหวนพื้นที่ได้แล้ว จึงร้องอุทานออกมาด้วยความตื่นเต้นดีใจ
ถังเมิ่งเห็นเช่นนั้นจึงแทบอยากจะร้องไห้ออกมาหลิงหยุนเหลือบมองถังเมิ่งพร้อมพูดกับตี้เสี่ยวอู๋ว่า
“ไม่เหมือนใครบางคน..ป่านนี้ยังสื่อสสารกับแหวนไม่ได้!”
ถังเมิ่งทำหน้าตาบึ้งตึง..หลิงหยุนไม่สนใจ และเรียกบางสิ่งบางอย่างออกมาจากแหวนของตนเองอีก
“ส่วนนี่ก็อาวุธของนาย!ทดลองใช้ดูสิ!”
“แม่เจ้า!”
ตี้เสี่ยวอู๋ร้องอุทานออกมาด้วยความตื่นเต้นดีใจเมื่อเห็นกระบองคู่ไคเจี๋วยกระบองคู่นี้ไม่เพียงทำจากพลองม่วงทอง แต่ยังผสมโลหะดำลงไปด้วย กระบองข้างหนึ่งจึงมีน้ำหนักถึงร้อยกิโลกรัมเลยทีเดียว แต่ตี้เสี่ยวอู๋กลับยกมันขึ้นได้อย่างง่ายดาย..
“ขอบคุณพี่หยุน..”
“นายพกติดตัวไว้ก่อนเมื่อไหร่ที่เข้าสู่ขั้นเซียงเทียนได้ ฉันจะถ่ายทอดวิชาให้กับนายเพิ่ม..!”
ตี้เสี่ยวอู๋เก็บกระบองคู่ไคเจี๋วยของตนเองเข้าไปไว้ในแหวนพื้นที่ทันที..
“เอาล่ะ..พวกเราไปกินข้าวเช้ากันได้แล้ว หลิงยู่กับทุกคนรออยู่แล้ว!”
“นี่..รอข้าด้วยสิ!”
โม่วู๋เตาร้องตะโกนเรียกชายหนุ่มทั้งสามพร้อมกับวิ่งหน้าตั้งออกมาจากบ้านทันที เมื่อมาถึงก็บ่มพึมพำออกมาด้วยความโมโห!
“หลิงหยุน..เจ้าช่างแล้งน้ำใจนัก! จะไปกินข้าวก็ไม่คิดที่จะชวนข้าไปด้วยเลยงั้นรึ! นี่เจ้ายังเห็นข้าเป็นพี่น้องอยู่หรือไม่?”
หลิงหยุนหัวเราะร่วนพร้อมกับตอบไปว่า“แค่ไปกินข้าวเช้า จำเป็นต้องอ้างพี่อ้างน้องเชียวรึ”
โม่วู๋เตาวิ่งตามหลิงหยุนไปติดๆพร้อมกับร้องโวยวาย “ก็เพราะว่าหลังจากกินข้าวเช้าเสร็จแล้ว พวกเจ้าก็จะพากันหนีไปเที่ยว แล้วทิ้งข้าไว้ที่บ้านคนเดียวน่ะสิ!”
ความจริงแล้วเมื่อวานนี้โม่วู๋เตาได้ยินทั้งสามคนนัดแนะกันว่าจะออกไปเที่ยวข้างนอกในวันนี้ เมื่อเห็นว่าไม่มีผู้ใดชักชวนตนเองไปด้วย จึงได้รู้สึกหงุดหงิดเป็นอย่างมาก
หลิงหยุนหันไปบอกกับโม่วู๋เตาพร้อมกับต่อว่า “ใครใช้ให้เจ้าเกียจคร้านฝึกฝนวิชาอยู่คนเดียวเล่า”
โม่วู๋เตาร้องโวยวายปฏิเสธทันที“หลิงหยุน.. เมื่อคืนข้าฝึกวิชาจนถึงตีหนึ่ง แต่เจ้าไม่เห็น..”
หลิงหยุนหันไปจ้องหน้าโม่วู๋เตาพร้อมกับพูดยิ้มๆอย่างรู้ทัน “หึ.. เจ้าท่องอินเทอร์เน็ตจนถึงตีห้าต่างหากเล่า.. เข้าพูดถูกหรือไม่”
“เอ่อ..”
“นี่เจ้ามีนิสัยชอบแอบดูผู้อื่นมากหรือยังไง”โม่วู๋เตาร้องโวยวายเสียงดัง
หลิงหยุนคร้านจะโต้เถียงกับโม่วู๋เตาจึงเดินไปยังสวนด้านหน้าคฤหาสน์ทันที..
…..
“พี่ใหญ่..”
หนิงหลิงยู่ได้ยินเสียงโวยวายของทั้งสี่คนจึงได้ออกมายืนรอหลิงหยุนที่หน้าประตูบ้านของหลิงซิ่ว และทันทีที่เห็นหน้าโม่วู๋เตาหนิงหลิงยู่ก็อดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้
หลิงหยุนตรงเข้าไปลูบศรีษะหนิงหลิงยู่อย่างรักใคร่พร้อมกับพูดขึ้นว่า “ไปกินข้าวเช้ากันได้แล้ว..”
“หลิงหยุน..เจ้ากับเพื่อนๆ รอข้าอยู่ข้างนอกประเดี๋ยว!”
เสียงร้องตะโกนของหลิงซิ่วดังออกมาจากบ้านและในระหว่างที่รอนั้น หลิงหยุนจึงได้พูดคุยกับหนิงหลิงยู่ สอบถามเรื่องการฝึกวิชาของนางเสียเป็นส่วนใหญ่ แต่ไม่ถามถึงเรื่องราวภายในตระกูลฉินเลยแม้แต่น้อย..
ไม่นานนักหลิงซิ่วก็เดินออกมาจากบ้านพร้อมกับฉีเสี่ยวชิงและได้ร้องบอกทุกคนว่า “ใกล้ๆ นี้มีภัตตาคารขึ้นชื่อ ข้าจะพาพวกเจ้าไปกินอาหารเช้าที่นั่น!”
ฉีเสี่ยวชิงเพียงแค่พยักหน้าให้หลิงหยุนจากนั้นหลิงซิ่วก็ร้องตะโกนถามขึ้นว่า “เฉินเฉินกับฉางหลิงเล่า พวกนางไม่ไปกับพวกเรารึ?!”
หลิงหยุนยกมือขึ้นเกาศรีษะและตอบกลับไปด้วยท่าทางลุกลี้ลุกลน “ก็แค่อาหารเช้า.. พวกนางทานที่บ้านก็ได้!”
หลิงซิ่วขยิบตาอย่างรู้ทันพร้อมกับพูดขึ้นว่า“เจ้าพูดอะไร.. พวกเรานัดแนะกันเรียบร้อยแล้วว่าจะออกไปด้วยกัน ว่าแต่.. ทำไมเจ้าดูลุกลี้ลุกลนนักนะ!”
ทุกคนที่ได้ยินต่างก็พากันหัวเราะออกมาพร้อมกัน..
“ได้ๆพี่หลิงซิ่ว ข้าจะชวนพวกนางไปด้วย..”
จากนั้นหลิงหยุนจึงร้องเรียกเกาเฉินเฉินกับฉางหลิงผ่านทางกระแสจิต..
เมื่อคืนฉางหลิงไปอยู่ที่บ้านของเขากับเกาเฉินเฉินหลิงหยุนจึงไม่รู้ว่าหญิงสาวทั้งคู่จะกระซิบกระซาบกันเรื่องอะไรกันบ้าง และนี่คือเหตุผลที่หลิงหยุนเลือกที่จะฝึกวิชาอยู่ข้างนอกตลอดทั้งคืนไม่ยอมกลับบ้าน..
เกาเฉินเฉินกับฉางหลิงตามออกมาสมทบกับทุกคนและยิ่งเห็นเกาเฉินเฉินกับฉางหลิงกระซิบกระซาบแล้วก็หัวเราะคิกคัก ก็ยิ่งทำให้หลิงหยุนเก้อเขินมากขึ้น แต่ก็แสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้กลบเกลื่อน..
“เอาล่ะ..ในเมื่อทุกคนมาพร้อมหน้าแล้ว ก็ออกเดินทางกันได้!”
หลิงหยุนเป็นฝ่ายร้องตะโกนบอกทุกคน..
“นี่..รอพวกข้าสองคนด้วยสิ!” หลิงเฟิงกับหลิงเลี่วยวิ่งตามออกมา..
แต่หลิงซิ่วกลับร้องตะโกนบอกไปว่า“พวกเจ้าสองคนห้ามไปใหนทั้งนั้น ต้องอยู่บ้านฝึกวิชา!”
หลิงเฟิงกับหลิงเลี่วยหน้าเสียและหันไปมองหลิงหยุนด้วยแววตาอ้อนวอน หลิงหยุนอดสงสารไม่ได้จึงหันไปบอกกับหลิงซิ่วว่า..
“พี่หลิงซิ่ว..ออกไปเที่ยวเล่นพร้อมกันหลายๆ คนสนุกกว่าไม่ใช่รึ!”
ในเมื่อหลิงหยุนออกปากช่วยพูดให้หลิงซิ่วจึงยอมโอนอ่อนให้ “ก็ได้.. แต่พวกเจ้าสองคนต้องเชื่อฟังคำสั่งของข้า ข้าจึงจะให้พวกเจ้าสองคนไปด้วย!”
“พวกเรายินดีทำตามคำสั่งของพี่หลิงซิ่วทุกอย่าง..ท่านสั่งมาได้เลย!”
หลิงเฟิงกับหลิงเลี่วยร้องตะโกนออกมาด้วยความดีอกดีใจ..
แต่หลังจากที่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งหลิงซวี่จึงหันไปมองหลิงหยุนพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ในเมื่อทุกคนไปกันหมด เหตุใดจึงไม่ชวนน้องหลิงซวี่ไปด้วยเล่า”
หลิงซิ่วนั้นเป็นหญิงสาวที่เฉลียวฉลาดนางจงใจให้หลิงหยุนเป็นคนเอ่ยปากชักชวนหลิงซวี่ ก็เพื่อให้ทั้งคู่ได้มีโอกาสทำความสนิทสนมกันมากขึ้น
หลิงหยุนเอ่ยชักชวนหลิงซวี่ผ่านทางกระแสจิตและนางก็ตอบตกลงทันที..
หลิงซวี่นั้นเป็นเพียงเด็กสาวที่เพิ่งจะอายุเพียงแค่สิบหกปีเท่านั้นและเป็นน้องสุดท้องของตระกูลหลิง เมื่อได้ยินว่าทุกคนจะออกไปเที่ยวเล่นข้างนอก จึงรีบรับปากทันทีที่หลิงหยุนเอ่ยชวน..
“พี่หลิงยู่!”
ทันทีที่ปรากฏตัวหลิงซวี่ก็เป็นฝ่ายเอ่ยทักทายหนิงหลิงยู่หนิงหลิงยู่เองก็พูดคุยกับหลิงซวี่อย่างสนิทสนมเช่นกัน
Inthis way, one of these young and young ones will not fall, even if it iscomplete.
“เอาล่ะ..สาวงามกับหนุ่มหล่อทั้งหก ออกเดินทางกันได้แล้ว!”
หลังจากที่ทุกคนขึ้นไปบนรถบัสแล้ว..หลิงซิ่วสั่งให้คนขับรถไปที่ภัตตาคารใกล้บ้านตระกูลหลิงเพื่อทานอาหารเช้า
….
หลังจากที่รับประทานอาหารเช้าและกลับขึ้นรถบัสเรียบร้อยแล้ว หลิงซิ่วจึงทำหน้าที่เป็นไกด์พาทุกคนท่องเที่ยว
“เอาล่ะทุกคน..สถานที่แรกที่พวกเราจะไปก็คือพระราชวังต้องห้าม!”
“ห๊ะ…”
“เอ่อ..”
ทันทีที่ได้ยินคำว่าพระราชวังต้องห้ามทั้งหลิงหยุนและโม่วู๋เตาต่างก็หันไปมองหน้ากันด้วยควาตกใจ และตกตะลึง..
และเวลานี้รถบัสก็กำลังมุ่งหน้าไปยังพระราชวังต้องห้าม..