Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร - บทที่ 1201 : ประโยชน์ล้นหลาม!
ทั้งฝูซีจักรพรรดิแห่งมนุษย์และเสินหนงจักรพรรดิแห่งผืนดิน ล้วนเป็นหนึ่งในจักรพรรดิตามตำนานของประเทศจีน ด้วยเหตุนี้พลังอมตะที่พู่กันจักรพรรดิ และสมุดจักรพรรดิปลดปล่อยออกมานั้น ย่อมเป็นพลังที่มีอำนาจบารมีแห่งองค์จักรพรรดิแฝงอยู่ ทันทีที่พลังอมตะทั้งสองสายรวมเข้ากับปราณรูปร่างมังกรทั้งเก้าตัวที่พุ่งเข้าสู่ร่างของหลิงหยุนนั้น พลังปราณทั้งสามชนิดก็ได้รวมตัวเข้าด้วยกันอย่างสมบูรณ์ และกลายเป็นปราณราชามังกรขนาดใหญ่พุ่งเข้าสู่จุดซือไห่ซึ่งอยู่กึ่งกลางหว่าวคิ้วของหลิงหยุน ก่อนจะรวมตัวกันอย่างหนาแน่นจนกลายเป็นกระบี่สีทองเล่มเล็ก..
หลิงหยุนเองก็สามารถสัมผัสได้ถึงรัศมีสีทองของกระบี่จักรพรรดิมังกรซึ่งกำลังเปล่งประกายอยู่ตรงจุดกึ่งกลางหน้าผากของตนเอง แม้ว่ากระบี่จักรพรรดิมังกรจะยังมีขนาดที่เล็กมาก แต่มังกรทั้งเก้าที่พันอยู่บนตัวกระบี่นั้น ตั้งแต่หัวจรดหางล้วนเป็นสีทองสะดุดตา ดูราวกับมีชีวิตชีวาจริงๆ และน่าเกรงขามยิ่งนัก!
ความน่าเกรงขามและมีพลังอำนาจของงกระบี่จักรพรรดิมังกรเล่มนี้ ทำให้หลิงหยุนรู้สึกราวกับว่ามันคือกระบี่ขององค์จักรพรรดิจริงๆ!
ปราณราชามังกรจำนวนมากที่พุ่งเข้าสู่ร่างกายของหลิงหยุนจนกระทั่งหลอมรวมกับปราณมังกร พลังอมตะของสมุดจักรพรรดิ และพู่กันจักรพรรดิในร่างของเขา จนกลายเป็นกระบี่จักรพรรดิมังกรนั้น หลิงหยุนไม่สามารถคบคุมอะไรได้เลยแม้แต่น้อย ทั้งหมดล้วนเป็นไปตามความต้องการของพู่กันจักรพรรดิ และสมุดจักรพรรดิเองทั้งสิ้น..
‘ช่างน่าอัศจรรย์ยิ่งนัก!คิดไม่ถึงจริงๆว่าการมาพระราชวังต้องห้ามในวันนี้ จะทำให้ข้าได้รับกระบี่จักรพรรดิมังกรกลับไปเช่นนี้!’
และเวลานี้แม้ปราณมังกรพลังอมตะจากสมุดจักรพรรดิ และพู่กันจักรพรรดิภายในร่างกายของหลิงหยุนทั้งหมด จะไปหลอมรวมกันเป็นกระบี่จักรพรรดิจนหมด ทำให้ภายในจุดตันเถียน และเส้นลมปราณทั่วร่างของหลิงหยุนเหลือเพียงแค่พลังหยินหยางสีเทา เขาก็ไม่สนใจนัก..
แต่ถึงแม้ปราณราชามังกรจะได้หลอมรวมเขากับปราณมังกรพลังอมตะของพู่กันจักรพรรดิ และสมุดจักรพรรดิ จนกลายเป็นกระบี่จักรพรรดิมังกรแล้ว แต่ก็ยังไม่หยุดอยู่เพียงแค่นั้น..
ตูม!
ในวินาทีนั้นเอง..พระราชวังต้องห้ามที่เงียบสงบมานับหลายศตวรรษ ก็เริ่มสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ทุกคนที่อยู่ภายในพระราชวังแห่งนี้ ต่างก็สัมผัสได้ถึงแรงสั่นสะเทือนที่ราวกับกำลังเกิดแผ่นดินไหวนี้ ไปทั่วทั้งหมดของพื้นที่ในบริเวณพระราชวังต้องห้าม..
ครืน..ครืน.. ครืน.. เวลานี้ไม่ว่าจะเป็นผนังเสาหิน หรือที่ใดในพระราชวังต้องห้ามแห่งนี้ หากมีรูปวาด หรือรูปสลักมังกร ก็มีจะวิญญาณของเหล่ามังกรน้อยใหญ่ที่มีขนาดต่างๆกันปรากฏออกมา และกำลังลอยไปในทิศทางเดียวกัน..
ซึ่งจุดหมายของมังกรนับพันนับหมื่นตัวนั้นต่างก็กำลังบินตรงไปหาหลิงหยุน!
จากนั้น..ภาพอันน่ามหัศจรรย์ก็ปรากฏขึ้น!
ที่ด้านนอกของประตูหวงจี่เหมินก่อนจะถึงกำแพงเก้ามังกรนั้นมีมังกรนับหมื่นตัวกำลังเหาะอยู่ และต่างก็บินตรงมาที่ร่างของหลิงหยุน พวกมันบินวนรอบร่างของหลิงหยุนอยู่ครู่ใหญ่
และในที่สุด..เงาที่มีรูปร่างคล้ายมังกรมากมายเหล่านั้น ก็ได้แยกกันออกเป็นสาย สายหนึ่งพุ่งตรงเข้าสู่จุดซือไห่ซึ่งอยู่กึ่งกลางหว่างคิ้วของหลิงหยุน และได้ถูกกระบี่จักรพรรดิมังกรดูดซับเข้าไปจนตัวกระบี่ขยายใหญ่ขึ้น ส่วนอีกหนึ่งสาย..พุ่งเข้าสู่จุดตันเถียนอันน่าอัศจรรย์ของหลิงหยุน และได้ถูกเส้นโค้งรูปมังกรดูดซับเข้าไป จนเวลานี้ได้มีบางส่วนยื่นออกมาจากเส้นโค้งรูปมังกร และดูคล้ายกับเป็นเท้าทั้งสี่ข้างของมังกร
‘นี่มันเกิดอะไรขึ้น!’
หลิงหยุนตกใจสุดขีด!
เพราะเวลานี้เส้นโค้งรูปมังกรภายในจุดตันเถียนของหลิงหยุนนั้นมีขางอกออกมาทั้งซ้ายและขวารวมกันถึงสี่ขา จนเขาอดคิดไม่ได้ว่า.. หรือนี่จะเป็นมังกรจริงๆอย่างนั้นหรือ!
หลิงหยุนพบว่า..ระหว่างที่เกิดเสียงดังครืนๆ คล้ายเสียงฟ้าร้องนั้น เส้นโค้งรูปมังกรทองกับผนังทั้งใน และนอกจุดตันเถียนของหลิงหยุน ก็เริ่มเคลื่อนไหวด้วยเช่นกัน..
อสุนีบาตทั้งสีเงินและสีทองต่างก็เคลื่อนไปรวมเข้ากับเส้นโค้งรูปมังกร ทำให้ดูราวกับมังกรทองกำลังกลืนกินพลังสายฟ้าทั้งหมดเข้าไป เรียกได้ว่า..พระราชวังต้องห้ามแห่งนี้ได้มอบประโยชน์มหาศาลใหักับหลิงหยุนอย่างไม่น่าเชื่อ!
และจนถึงตอนนี้หลิงหยุนเองก็ไม่รู้ว่า..การที่เขารู้สึกคล้ายกับมีบางสิ่งบางอย่างกำลังรอคอยตนเองอยู่ที่นี่นั้น เป็นเพราะการเรียกหาของกำแพงเก้ามังกร หรือเป็นเพราะความต้องการของพู่กันจักรพรรดิ กับสมุดจักรพรรดิ หรือเป็นเพราะจิตใต้สำนึกของตนเองกันแน่!
เพราะจนถึงตอนนี้..หลิงหยุนเองก็ยังคงสับสนอยู่ไม่น้อย!
……
“พระเจ้า!นี่มันเกิดอะไรขึ้น! ทำไมจู่ๆถึงได้เกินแผ่นดินไหวได้?!”
“นี่..คุณทับฉันอยู่ ลุกขึ้นได้แล้ว!”
“โอ๊ย…”
เนื่องจากเกิดแรงสั่นสะเทือนคล้ายแผ่นดินไหวทำให้นักท่องเที่ยวจำนวนมากถึงกับล้มลงไปกองกับพื้น บ้างก็เซล้มทับกันจนโกลาหลวุ่นวายไปทั้งพระราชวังต้องห้าม!
นับว่าโชคดีที่แรงสั่นสะเทือนรุนแรงนี้เกิดขึ้นเพียงแค่สองหรือสามวินาทีเท่านั้น จึงไม่มีนักท่องเที่ยวได้รับบาดเจ็บ อีกทั้งตัวพระราชวังต้องห้ามเองก็แข็งแรงอย่างมาก จึงไม่มีส่วนไหนพังครืนลงเลย..
โม่วู๋เตาเองก็ไม่ทันได้ระวังตัวและเกือบจะล้มลงไปกองกับพื้นเช่นกัน แต่ใบหน้าของเขานั้นเต็มไปด้วยความประหลาดใจ!
เพราะภาพที่ดวงวิญญาณของเหล่ามังกรมากมายที่พุ่งเข้าสู่ร่างของหลิงหยุนนั้นไม่ว่าจะเป็นมังกรทั้งเก้าจากกำแพงเก้ามังกร หรือมังกรจากทั่วทุกสารทิศภายในพระราชวังแห่งนี้ มีเพียงหลิงหยุนเท่านั้นที่มองเห็น คนอื่นๆ แม้กระทั่งโม่วู๋เตาก็ไม่เห็น!
หลังจากที่ตั้งสติได้..โม่วู๋เตาก็รีบหันไปถามหลิงหยุนทันที
–หลิงหยุน..นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่! หรือเจ้าไปเหยียบกลไกเปิดสุสานใต้ดินเข้างั้นรึ?!-
–ไม่ใช่!แต่ข้าได้รับประโยชน์จากการมาพระราชวังต้องห้ามอย่างน่าอัศจรรย์ยิ่งนัก!-
ระหว่างนั้นหลิงหยุนรวมทั้งเกาเฉินเฉินหนิงหลิงยู่ และตี้เสี่ยวอู๋ ต่างก็พากันเดินเข้าไปช่วยพยุงนักท่องเที่ยวคนอื่นๆ ที่กำลังล้มกองอยู่กับพื้นบริเวณด้านหน้ากำแพงเก้ามังกรให้ลุกขึ้น และหลังจากที่นักท่องเที่ยวเหล่านั้นลุกขึ้นได้ ต่างก็พากันรีบเดินออกไปจากบริเวณนั้นด้วยความตกใจ
และเวลานี้ก็เหลือเพียงแค่หลิงหยุนกับเพื่อนๆเท่านั้นที่ยืนอยู่หน้ากำแพงเก้ามังกรแห่งนี้..
แม้กำแพงเก้ามังกรจะยังคงมีภาพมังกรทั้งเก้าที่ดูราวกับมีชีวิตในสายตาของนักท่องเที่ยว แต่สำหรับหลิงหยุนแล้ว เวลานี้มังกรทั้งเก้าตัวนั้นได้กลายเป็นเพียงแค่งานศิลปะชิ้นหนึ่งเท่านั้น เพราะเวลานี้มันได้ไร้ซึ่งวิญญาณของเหล่ามังกรที่เคยสิงสถิตอยู่แล้ว!
และไม่ใช่เพียงแค่มังกรทั้งเก้าบนกำแพงเก้ามังกรแห่งนี้เท่านั้นเวลานี้มังกรทั่วทั้งพระราชวังต้องห้ามก็ไมีมีดวงวิญญาณของเหล่ามังกรสิงสถิตอีกแล้ว..
โม่วู๋เตาเดินกลับไปกลับมาเพื่อสำรวจทั้งด้านหน้าและด้านหลังของกำแพงเก้ามังกรอย่างละเอียด แต่ก็ไม่พบสิ่งใดที่ดูคล้ายกับกลไกเลย จึงได้แต่ร้องบอกหลิงหยุนด้วยความกระวนกระวายใจ
“หลิงหยุน..ข้าไม่พบกลไกเลย!”
หลิงหยุนเองก็ยังหาไม่พบเช่นกันแต่ท่าทีของเขาก็ไม่กระวนกระวายเช่นเดียวกับโม่วู๋เตา อีกทั้งยังสงบนิ่งอย่างมาก เพราะในเวลานี้เขามีสิ่งหนึ่งอยู่กับตัว นั่นก็คือป้ายหยกมังกรเขียว!
และนี่คือกุญแจเปิดสุสานใต้ดิน!
…..
ป้ายหยกมังกรเขียวแผ่นนี้เป็นสิ่งที่หลงคุนได้มอบให้กับหลิงหยุนไว้และได้ย้ำกับเขาว่าให้เก็บเรื่องนี้เป็นความลับอย่างดี อย่าได้แพร่งพรายให้ผู้ใดรู้จนกว่าหลิงหยุนจะมั่นใจว่าตนนั้นแข็งแกร่งมากพอ และเมื่อถึงวันนั้นเขาจะบอกความลับของป้ายหยกมังกรเขียวนี้ให้หลิงหยุนได้รู้!
แต่ก่อนที่หลิงหยุนจะเดินทางมาปักกิ่งอีกครั้งนั้นเขาก็ได้ดูกล้องวงจรปิดภายในบ้านของหลงคุน จึงได้รู้ว่าป้ายหยกมังกรเขียวแผ่นนี้ แท้จริงก็คือกุญแจสำหรับเปิดสุสานใต้ดินแห่งนี้นั่นเอง!
‘ดูท่าป้ายหยกมังกรเขียวนี้จะเป็นกุญแจเปิดสุสานใต้ดินจริงๆ!ว่าแต่เป็นสุสานใต้ดินแห่งใดกันแน่นะ!’
หลิงหยุนเฝ้าครุ่นคิดเรื่องนี้อยู่คนเดียวเงียบๆ..
นั่นเพราะในโลกใบนี้มีสุสานใต้ดินอยู่มากมายไม่ใช่เพียงแค่ภายในพระราชวังต้องห้ามแห่งนี้..
แต่ถึงกระนั้น..หลิงหยุนก็สัมผัสได้ว่าปราณมังกรที่กระจายออกจากป้ายหยกมังกรเขียวชิ้นนี้ มีความคล้ายคลึงกับปราณมังกรที่อยู่ภายในพระราชวังต้องห้ามแห่งนี้มาก..
โม่วู๋เตายังคงเดินวนรอบกำแพงเก้ามังกรเพื่อหากลไกที่ซ่อนอยู่เขาทั้งคลำ ทั้งแนบหูไปบนกำแพงเก้ามังกรเพื่อฟังเสียง แต่ก็ดูเหมือนจะไม่พบอะไรเลย ทำให้หลิงหยุนอดคิดไม่ได้ว่า หากกลไกสำหรับเปิดสุสานใต้ดินซ่อนอยู่ที่นี่จริง ก็คงมีคนค้นพบสุสานใต้ดินภายในพระราชวังต้องห้ามไปนานแล้ว..
หลิงหยุนถอยห่างออกจากกำแพงเก้ามังกรไปไกลถึงสิบเมตรและสำรวจพื้นผิวของกำแพงอย่างละเอียด เพื่อหาว่ามีพื้นผิวใดบนกำแพงที่พอจะรับกับป้ายหยกมังกรเขียวของตนได้อย่างพอดิบพอดีหรือไม่
และหากที่กำแพงเก้ามังกรนี้ไม่มี..ก็น่าจะเป็นกำแพงในห้องใดห้องหนึ่งภายในพระราชวังต้องห้ามแห่งนี้
หลังจากสำรวจอยู่นานหลิงหยุนก็ไม่พบพื้นที่ว่างใดบนกำแพงเก้ามังกร ที่มีขนาดเท่ากับป้ายหยกมังกรเขียวของตนเลย จึงหันไปบอกกับโม่วู๋เตาว่า.. “นี่..เจ้าไม่ต้องหาแล้วล่ะ!”
“ข้าว่าถ้ากำแพงนี้จะเป็นกลไกจริงเจ้าคงต้องผลักกำแพงนี้ให้เคลื่อนออก..”
โม่วู๋เตาถึงกับกลืนน้ำลายอึกใหญ่..นั่นเพราะกำแพงเก้ามังกรนั้นยาวถึงสามสิบเมตร สูงถึงเสามเมตรครึ่ง และหนากว่าครึ่งเมตร ต่อให้ฝึกำลังภายในก็ใช่ว่าจะสามารถผลักได้ง่ายๆ!
หลิงหยุนเห็นสีหน้าจริงจังของโม่วู๋เตาก็นึกขันจึงหันไปบอกกับโม่วู๋เตาว่า
“ฮ่า..ฮ่า.. นี่เจ้าคิดจะผลักกำแพงนี่จริงๆรึ!”
“ข้าว่าพวกเราไปหาวิธีอื่นกันดีกว่าอย่าทำอะไรโง่ๆแบบนั้นเลย!”
ระหว่างนั้น..หนิงหลิงยู่กับตี้เสี่ยวอู๋ที่เพิ่งเคยมาพระราชวังต้องห้าเป็นครั้งแรก ก็ได้เดินชมกำแพงเก้ามังกรด้วยความตื่นเต้น หลังจากนั้นทั้งหมดก็ได้เดินกลับไปทางเดิม และเมื่อพบกับหลิงซิ่วเข้า หลิงหยุนจึงได้ร้องถามขึ้นว่า
“พี่หลิงซิ่ว..ไกด์คนสวยของพวกเราล่ะ”
ขณะนั้นหลิงซวี่กับฉีเสี่ยวชิงก็กำลังประคอบมัคคุเทศน์สาวหลี่เฟยเดินตามมาสีหน้าของเธอนั้นบ่งบอกว่ากำลังเจ็บปวดอย่างมาก และรีบร้องตอบหลิงหยุนไปว่า..
“แผ่นดินไหวเมื่อครู่นี้ทำให้ฉันหกล้มขาแพลง..”
หลี่เฟยกัดริมฝีปากด้วยความเจ็บปวดและร้องตอบหลิงหยุนไป..
หลิงหยุนสั่งให้คนพยุงหลี่เฟยไปนั่งสบายๆบนเก้าอี้ที่อยู่ด้านข้างจากนั้นจึงคุกเข้าลงตรงหน้าพร้อมกับสังเกตอาการเท้าแพลงของหลี่เฟย
“เอ่อ..คุณรักษาได้จริงๆเหรอคะ!”
หลี่เฟยมองหน้าหลิงหยุนพร้อมกับร้องถามขึ้นมาด้วยความสงสัย..
“สบายมากครับ..รับรอบว่าเดี๋ยวเดียวคุณก็จะหายทันที!” หลิงหยุนยิ้มให้กับหลี่เฟยพร้อมกับจับที่ข้อเท้าของเธอและพูดขึ้นว่า “โชคดีที่กระดูกไม่หัก..”
จากนั้นจึงค่อยใช้มือสัมผัสและคลึงที่ข้อเท้าของหลี่เฟยเบาๆ พร้อมกับถ่ายเทพลังชีวิตของตนลงไป และภายในเวลาแค่ชั่วพริบตาเดียว รอยแดง และอาการบวมที่ข้อเท้าของหลี่เฟยก็หายไปอย่างรวดเร็ว ราวกับว่าไม่เคยเป็นอะไรมาก่อน..
“คุณลองลุกขึ้นยืนดูว่ายังเจ็บอยู่หรือเปล่า”
หลี่ยี่เฟยค่อยๆลุกขึ้นยืน แต่แล้วก็ต้องร้องอุทานออกมาด้วยความตกตะลึง..
“นี่มัน..”
“ขอบคุณมาก!”หลี่เฟยเอ่ยขอบคุณหลิงหยุนหลังจากที่หายตกใจ
หลิงหยุนเพียงแค่พยักหน้าและหันไปบอกกับทุกคนว่า “เอาล่ะ.. พักกินอะไรกันก่อน แล้วค่อยเที่ยวชมพระราชวังต้องห้ามในตอนบ่ายกันต่อ..”
แม้จะพบว่ากำแพงเก้ามังกรจะไม่ใช่กลไกเข้าสุสานใต้ดินอย่างที่คาดคิดแต่หลิงหยุนก็ยังไม่ยอมแพ้ง่ายๆ
หลี่เฟยเดินนำทุกคนไปยังสถานที่สำหรับพักและรับประทานอาหารภายในเขตพระราชวังต้องห้าม จากนั้นทุกคนก็เริ่มลงมือรับประทานอาหารกลางวันกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา..
จนกระทั่งเวลาบ่ายโมงตรงมัคุเทศน์สาวจึงพาลูกทัวร์ทั้งหมดเดินเยี่ยมชมพระราชวังต้องห้ามทั้งหมดต่อ
หลังจากที่เกิดแผ่นดินไหวอย่างไม่มีสาเหตุขึ้นนักท่องเที่ยวจำนวนมากมายต่างก็พากันกลับออกไป การเยี่ยมชมพระราชวังต้องห้ามของหลิงหยุนกับเพื่อนในช่วงบ่าย จึงเป็นไปอย่างสะดวกสบาย
ระหว่างการเยี่ยมชมกว่าสามชั่วโมงในช่วงบ่าย..หลี่เฟยก็ได้บรรยายสถานที่ต่างๆ ภายในพระราชวังต้องห้ามให้กับลูกทัวร์ของเธอฟังอย่างละเอียดเช่นเคย จนกระทั่งเวลาบ่ายสี่โมงครึ่ง หลิงหยุนก็ได้เดินส่ายหน้าออกมาจากประตูหวงจี่เหมิน และทุกคนต่างก็หัวเราะในท่าทางของเขา..
“เจ้าหน้าที่ซึ่งดูแล้วพระราชวังต้องห้ามจะเริ่มไล่ต้อนนักท่องเที่ยวให้ออกจากเขตพระราชวังตั้งแต่เวลาบ่ายสี่โมงทุกคนค่อยๆเดินออกทางประตูเสินหวู่เหมิได้แล้ว..”
หลี่เฟยร้องบอกลูกทัวร์ของตนเอง
“ที่นี่ห้ามเข้ามาในเวลากลางคืนจริงๆงั้นรึ!”
ท้ายที่สุด..โม่วู๋เตาก็ไม่สามารถหาทางเข้าสุสานใต้ดินพบ เขาจึงร้องถามหลี่เฟยด้วยความร้อนใจ!
หลี่เฟยส่ายหน้าพร้อมกับพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงและสีหน้าเคร่งเครียด “ห้ามเข้าจริงๆค่ะ! ฉันตอบคุณไปหลายครั้งแล้ว..”
“อีกอย่าง..ว่ากันว่าภายในพระราชวังต้องห้ามแห่งนี้ กลางคืนนั้นน่ากลัวมาก แล้วก็มีภูติผีวิญญาณมาปรากฏตัว แม้แต่เจ้าหน้าที่เองก็ยังไม่มีใครอยากจะอยู่ดึกๆ!”
โม่วู๋เตาเองก็อยากจะบอกว่าตนนั้นก็เคยเจอภูติผีวิญญาณมานักต่อนักแล้วแต่เมื่อคิดได้ว่าไม่สมควรพูด จึงได้นิ่งเงียบไป
เมื่อได้ยินคำพูดของหลี่เฟยหลายคนถึงกับนึกอยากให้ถึงประตูเสินหวู่เหมินโดยเร็ว จะได้รีบออกไปจากพระราชวังแห่งนี้
หลิงหยุนได้แต่ยิ้มและพูดขึ้นว่า“การมาเยี่ยมชมพระราชวังต้องห้ามในวันนี้ นับว่าได้รับประโยชน์มากมายทีเดียว ต้องขอขอบคุณคำบรรยายอย่างละเอียดของไกด์สาวแสนสวยด้วยนะครับ!”
หลี่เฟยยิ้มให้หลิงหยุนพร้อมกับตอบไปว่า“มันเป็นหน้าที่ของฉันค่ะ ฉันต่างหากที่ต้องขอบคุณพวกคุณทุกคน!”
หลิงหยุนยิ้มพร้อมกับเดินออกนอกจากประตูเสินหวู่เหมินไป..
เพราะการมาพระราชวังต้องห้ามในครั้งนี้เขาได้รับประโยชน์กลับไปอย่างมากมายมหาศาล!
หลิงหยุนเองก็สามารถสัมผัสได้ถึงรัศมีสีทองของกระบี่จักรพรรดิมังกรซึ่งกำลังเปล่งประกายอยู่ตรงจุดกึ่งกลางหน้าผากของตนเอง แม้ว่ากระบี่จักรพรรดิมังกรจะยังมีขนาดที่เล็กมาก แต่มังกรทั้งเก้าที่พันอยู่บนตัวกระบี่นั้น ตั้งแต่หัวจรดหางล้วนเป็นสีทองสะดุดตา ดูราวกับมีชีวิตชีวาจริงๆ และน่าเกรงขามยิ่งนัก!
ความน่าเกรงขามและมีพลังอำนาจของงกระบี่จักรพรรดิมังกรเล่มนี้ ทำให้หลิงหยุนรู้สึกราวกับว่ามันคือกระบี่ขององค์จักรพรรดิจริงๆ!
ปราณราชามังกรจำนวนมากที่พุ่งเข้าสู่ร่างกายของหลิงหยุนจนกระทั่งหลอมรวมกับปราณมังกร พลังอมตะของสมุดจักรพรรดิ และพู่กันจักรพรรดิในร่างของเขา จนกลายเป็นกระบี่จักรพรรดิมังกรนั้น หลิงหยุนไม่สามารถคบคุมอะไรได้เลยแม้แต่น้อย ทั้งหมดล้วนเป็นไปตามความต้องการของพู่กันจักรพรรดิ และสมุดจักรพรรดิเองทั้งสิ้น..
‘ช่างน่าอัศจรรย์ยิ่งนัก!คิดไม่ถึงจริงๆว่าการมาพระราชวังต้องห้ามในวันนี้ จะทำให้ข้าได้รับกระบี่จักรพรรดิมังกรกลับไปเช่นนี้!’
และเวลานี้แม้ปราณมังกรพลังอมตะจากสมุดจักรพรรดิ และพู่กันจักรพรรดิภายในร่างกายของหลิงหยุนทั้งหมด จะไปหลอมรวมกันเป็นกระบี่จักรพรรดิจนหมด ทำให้ภายในจุดตันเถียน และเส้นลมปราณทั่วร่างของหลิงหยุนเหลือเพียงแค่พลังหยินหยางสีเทา เขาก็ไม่สนใจนัก..
แต่ถึงแม้ปราณราชามังกรจะได้หลอมรวมเขากับปราณมังกรพลังอมตะของพู่กันจักรพรรดิ และสมุดจักรพรรดิ จนกลายเป็นกระบี่จักรพรรดิมังกรแล้ว แต่ก็ยังไม่หยุดอยู่เพียงแค่นั้น..
ตูม!
ในวินาทีนั้นเอง..พระราชวังต้องห้ามที่เงียบสงบมานับหลายศตวรรษ ก็เริ่มสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ทุกคนที่อยู่ภายในพระราชวังแห่งนี้ ต่างก็สัมผัสได้ถึงแรงสั่นสะเทือนที่ราวกับกำลังเกิดแผ่นดินไหวนี้ ไปทั่วทั้งหมดของพื้นที่ในบริเวณพระราชวังต้องห้าม..
ครืน..ครืน.. ครืน.. เวลานี้ไม่ว่าจะเป็นผนังเสาหิน หรือที่ใดในพระราชวังต้องห้ามแห่งนี้ หากมีรูปวาด หรือรูปสลักมังกร ก็มีจะวิญญาณของเหล่ามังกรน้อยใหญ่ที่มีขนาดต่างๆกันปรากฏออกมา และกำลังลอยไปในทิศทางเดียวกัน..
ซึ่งจุดหมายของมังกรนับพันนับหมื่นตัวนั้นต่างก็กำลังบินตรงไปหาหลิงหยุน!
จากนั้น..ภาพอันน่ามหัศจรรย์ก็ปรากฏขึ้น!
ที่ด้านนอกของประตูหวงจี่เหมินก่อนจะถึงกำแพงเก้ามังกรนั้นมีมังกรนับหมื่นตัวกำลังเหาะอยู่ และต่างก็บินตรงมาที่ร่างของหลิงหยุน พวกมันบินวนรอบร่างของหลิงหยุนอยู่ครู่ใหญ่
และในที่สุด..เงาที่มีรูปร่างคล้ายมังกรมากมายเหล่านั้น ก็ได้แยกกันออกเป็นสาย สายหนึ่งพุ่งตรงเข้าสู่จุดซือไห่ซึ่งอยู่กึ่งกลางหว่างคิ้วของหลิงหยุน และได้ถูกกระบี่จักรพรรดิมังกรดูดซับเข้าไปจนตัวกระบี่ขยายใหญ่ขึ้น ส่วนอีกหนึ่งสาย..พุ่งเข้าสู่จุดตันเถียนอันน่าอัศจรรย์ของหลิงหยุน และได้ถูกเส้นโค้งรูปมังกรดูดซับเข้าไป จนเวลานี้ได้มีบางส่วนยื่นออกมาจากเส้นโค้งรูปมังกร และดูคล้ายกับเป็นเท้าทั้งสี่ข้างของมังกร
‘นี่มันเกิดอะไรขึ้น!’
หลิงหยุนตกใจสุดขีด!
เพราะเวลานี้เส้นโค้งรูปมังกรภายในจุดตันเถียนของหลิงหยุนนั้นมีขางอกออกมาทั้งซ้ายและขวารวมกันถึงสี่ขา จนเขาอดคิดไม่ได้ว่า.. หรือนี่จะเป็นมังกรจริงๆอย่างนั้นหรือ!
หลิงหยุนพบว่า..ระหว่างที่เกิดเสียงดังครืนๆ คล้ายเสียงฟ้าร้องนั้น เส้นโค้งรูปมังกรทองกับผนังทั้งใน และนอกจุดตันเถียนของหลิงหยุน ก็เริ่มเคลื่อนไหวด้วยเช่นกัน..
อสุนีบาตทั้งสีเงินและสีทองต่างก็เคลื่อนไปรวมเข้ากับเส้นโค้งรูปมังกร ทำให้ดูราวกับมังกรทองกำลังกลืนกินพลังสายฟ้าทั้งหมดเข้าไป เรียกได้ว่า..พระราชวังต้องห้ามแห่งนี้ได้มอบประโยชน์มหาศาลใหักับหลิงหยุนอย่างไม่น่าเชื่อ!
และจนถึงตอนนี้หลิงหยุนเองก็ไม่รู้ว่า..การที่เขารู้สึกคล้ายกับมีบางสิ่งบางอย่างกำลังรอคอยตนเองอยู่ที่นี่นั้น เป็นเพราะการเรียกหาของกำแพงเก้ามังกร หรือเป็นเพราะความต้องการของพู่กันจักรพรรดิ กับสมุดจักรพรรดิ หรือเป็นเพราะจิตใต้สำนึกของตนเองกันแน่!
เพราะจนถึงตอนนี้..หลิงหยุนเองก็ยังคงสับสนอยู่ไม่น้อย!
……
“พระเจ้า!นี่มันเกิดอะไรขึ้น! ทำไมจู่ๆถึงได้เกินแผ่นดินไหวได้?!”
“นี่..คุณทับฉันอยู่ ลุกขึ้นได้แล้ว!”
“โอ๊ย…”
เนื่องจากเกิดแรงสั่นสะเทือนคล้ายแผ่นดินไหวทำให้นักท่องเที่ยวจำนวนมากถึงกับล้มลงไปกองกับพื้น บ้างก็เซล้มทับกันจนโกลาหลวุ่นวายไปทั้งพระราชวังต้องห้าม!
นับว่าโชคดีที่แรงสั่นสะเทือนรุนแรงนี้เกิดขึ้นเพียงแค่สองหรือสามวินาทีเท่านั้น จึงไม่มีนักท่องเที่ยวได้รับบาดเจ็บ อีกทั้งตัวพระราชวังต้องห้ามเองก็แข็งแรงอย่างมาก จึงไม่มีส่วนไหนพังครืนลงเลย..
โม่วู๋เตาเองก็ไม่ทันได้ระวังตัวและเกือบจะล้มลงไปกองกับพื้นเช่นกัน แต่ใบหน้าของเขานั้นเต็มไปด้วยความประหลาดใจ!
เพราะภาพที่ดวงวิญญาณของเหล่ามังกรมากมายที่พุ่งเข้าสู่ร่างของหลิงหยุนนั้นไม่ว่าจะเป็นมังกรทั้งเก้าจากกำแพงเก้ามังกร หรือมังกรจากทั่วทุกสารทิศภายในพระราชวังแห่งนี้ มีเพียงหลิงหยุนเท่านั้นที่มองเห็น คนอื่นๆ แม้กระทั่งโม่วู๋เตาก็ไม่เห็น!
หลังจากที่ตั้งสติได้..โม่วู๋เตาก็รีบหันไปถามหลิงหยุนทันที
–หลิงหยุน..นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่! หรือเจ้าไปเหยียบกลไกเปิดสุสานใต้ดินเข้างั้นรึ?!-
–ไม่ใช่!แต่ข้าได้รับประโยชน์จากการมาพระราชวังต้องห้ามอย่างน่าอัศจรรย์ยิ่งนัก!-
ระหว่างนั้นหลิงหยุนรวมทั้งเกาเฉินเฉินหนิงหลิงยู่ และตี้เสี่ยวอู๋ ต่างก็พากันเดินเข้าไปช่วยพยุงนักท่องเที่ยวคนอื่นๆ ที่กำลังล้มกองอยู่กับพื้นบริเวณด้านหน้ากำแพงเก้ามังกรให้ลุกขึ้น และหลังจากที่นักท่องเที่ยวเหล่านั้นลุกขึ้นได้ ต่างก็พากันรีบเดินออกไปจากบริเวณนั้นด้วยความตกใจ
และเวลานี้ก็เหลือเพียงแค่หลิงหยุนกับเพื่อนๆเท่านั้นที่ยืนอยู่หน้ากำแพงเก้ามังกรแห่งนี้..
แม้กำแพงเก้ามังกรจะยังคงมีภาพมังกรทั้งเก้าที่ดูราวกับมีชีวิตในสายตาของนักท่องเที่ยว แต่สำหรับหลิงหยุนแล้ว เวลานี้มังกรทั้งเก้าตัวนั้นได้กลายเป็นเพียงแค่งานศิลปะชิ้นหนึ่งเท่านั้น เพราะเวลานี้มันได้ไร้ซึ่งวิญญาณของเหล่ามังกรที่เคยสิงสถิตอยู่แล้ว!
และไม่ใช่เพียงแค่มังกรทั้งเก้าบนกำแพงเก้ามังกรแห่งนี้เท่านั้นเวลานี้มังกรทั่วทั้งพระราชวังต้องห้ามก็ไมีมีดวงวิญญาณของเหล่ามังกรสิงสถิตอีกแล้ว..
โม่วู๋เตาเดินกลับไปกลับมาเพื่อสำรวจทั้งด้านหน้าและด้านหลังของกำแพงเก้ามังกรอย่างละเอียด แต่ก็ไม่พบสิ่งใดที่ดูคล้ายกับกลไกเลย จึงได้แต่ร้องบอกหลิงหยุนด้วยความกระวนกระวายใจ
“หลิงหยุน..ข้าไม่พบกลไกเลย!”
หลิงหยุนเองก็ยังหาไม่พบเช่นกันแต่ท่าทีของเขาก็ไม่กระวนกระวายเช่นเดียวกับโม่วู๋เตา อีกทั้งยังสงบนิ่งอย่างมาก เพราะในเวลานี้เขามีสิ่งหนึ่งอยู่กับตัว นั่นก็คือป้ายหยกมังกรเขียว!
และนี่คือกุญแจเปิดสุสานใต้ดิน!
…..
ป้ายหยกมังกรเขียวแผ่นนี้เป็นสิ่งที่หลงคุนได้มอบให้กับหลิงหยุนไว้และได้ย้ำกับเขาว่าให้เก็บเรื่องนี้เป็นความลับอย่างดี อย่าได้แพร่งพรายให้ผู้ใดรู้จนกว่าหลิงหยุนจะมั่นใจว่าตนนั้นแข็งแกร่งมากพอ และเมื่อถึงวันนั้นเขาจะบอกความลับของป้ายหยกมังกรเขียวนี้ให้หลิงหยุนได้รู้!
แต่ก่อนที่หลิงหยุนจะเดินทางมาปักกิ่งอีกครั้งนั้นเขาก็ได้ดูกล้องวงจรปิดภายในบ้านของหลงคุน จึงได้รู้ว่าป้ายหยกมังกรเขียวแผ่นนี้ แท้จริงก็คือกุญแจสำหรับเปิดสุสานใต้ดินแห่งนี้นั่นเอง!
‘ดูท่าป้ายหยกมังกรเขียวนี้จะเป็นกุญแจเปิดสุสานใต้ดินจริงๆ!ว่าแต่เป็นสุสานใต้ดินแห่งใดกันแน่นะ!’
หลิงหยุนเฝ้าครุ่นคิดเรื่องนี้อยู่คนเดียวเงียบๆ..
นั่นเพราะในโลกใบนี้มีสุสานใต้ดินอยู่มากมายไม่ใช่เพียงแค่ภายในพระราชวังต้องห้ามแห่งนี้..
แต่ถึงกระนั้น..หลิงหยุนก็สัมผัสได้ว่าปราณมังกรที่กระจายออกจากป้ายหยกมังกรเขียวชิ้นนี้ มีความคล้ายคลึงกับปราณมังกรที่อยู่ภายในพระราชวังต้องห้ามแห่งนี้มาก..
โม่วู๋เตายังคงเดินวนรอบกำแพงเก้ามังกรเพื่อหากลไกที่ซ่อนอยู่เขาทั้งคลำ ทั้งแนบหูไปบนกำแพงเก้ามังกรเพื่อฟังเสียง แต่ก็ดูเหมือนจะไม่พบอะไรเลย ทำให้หลิงหยุนอดคิดไม่ได้ว่า หากกลไกสำหรับเปิดสุสานใต้ดินซ่อนอยู่ที่นี่จริง ก็คงมีคนค้นพบสุสานใต้ดินภายในพระราชวังต้องห้ามไปนานแล้ว..
หลิงหยุนถอยห่างออกจากกำแพงเก้ามังกรไปไกลถึงสิบเมตรและสำรวจพื้นผิวของกำแพงอย่างละเอียด เพื่อหาว่ามีพื้นผิวใดบนกำแพงที่พอจะรับกับป้ายหยกมังกรเขียวของตนได้อย่างพอดิบพอดีหรือไม่
และหากที่กำแพงเก้ามังกรนี้ไม่มี..ก็น่าจะเป็นกำแพงในห้องใดห้องหนึ่งภายในพระราชวังต้องห้ามแห่งนี้
หลังจากสำรวจอยู่นานหลิงหยุนก็ไม่พบพื้นที่ว่างใดบนกำแพงเก้ามังกร ที่มีขนาดเท่ากับป้ายหยกมังกรเขียวของตนเลย จึงหันไปบอกกับโม่วู๋เตาว่า.. “นี่..เจ้าไม่ต้องหาแล้วล่ะ!”
“ข้าว่าถ้ากำแพงนี้จะเป็นกลไกจริงเจ้าคงต้องผลักกำแพงนี้ให้เคลื่อนออก..”
โม่วู๋เตาถึงกับกลืนน้ำลายอึกใหญ่..นั่นเพราะกำแพงเก้ามังกรนั้นยาวถึงสามสิบเมตร สูงถึงเสามเมตรครึ่ง และหนากว่าครึ่งเมตร ต่อให้ฝึกำลังภายในก็ใช่ว่าจะสามารถผลักได้ง่ายๆ!
หลิงหยุนเห็นสีหน้าจริงจังของโม่วู๋เตาก็นึกขันจึงหันไปบอกกับโม่วู๋เตาว่า
“ฮ่า..ฮ่า.. นี่เจ้าคิดจะผลักกำแพงนี่จริงๆรึ!”
“ข้าว่าพวกเราไปหาวิธีอื่นกันดีกว่าอย่าทำอะไรโง่ๆแบบนั้นเลย!”
ระหว่างนั้น..หนิงหลิงยู่กับตี้เสี่ยวอู๋ที่เพิ่งเคยมาพระราชวังต้องห้าเป็นครั้งแรก ก็ได้เดินชมกำแพงเก้ามังกรด้วยความตื่นเต้น หลังจากนั้นทั้งหมดก็ได้เดินกลับไปทางเดิม และเมื่อพบกับหลิงซิ่วเข้า หลิงหยุนจึงได้ร้องถามขึ้นว่า
“พี่หลิงซิ่ว..ไกด์คนสวยของพวกเราล่ะ”
ขณะนั้นหลิงซวี่กับฉีเสี่ยวชิงก็กำลังประคอบมัคคุเทศน์สาวหลี่เฟยเดินตามมาสีหน้าของเธอนั้นบ่งบอกว่ากำลังเจ็บปวดอย่างมาก และรีบร้องตอบหลิงหยุนไปว่า..
“แผ่นดินไหวเมื่อครู่นี้ทำให้ฉันหกล้มขาแพลง..”
หลี่เฟยกัดริมฝีปากด้วยความเจ็บปวดและร้องตอบหลิงหยุนไป..
หลิงหยุนสั่งให้คนพยุงหลี่เฟยไปนั่งสบายๆบนเก้าอี้ที่อยู่ด้านข้างจากนั้นจึงคุกเข้าลงตรงหน้าพร้อมกับสังเกตอาการเท้าแพลงของหลี่เฟย
“เอ่อ..คุณรักษาได้จริงๆเหรอคะ!”
หลี่เฟยมองหน้าหลิงหยุนพร้อมกับร้องถามขึ้นมาด้วยความสงสัย..
“สบายมากครับ..รับรอบว่าเดี๋ยวเดียวคุณก็จะหายทันที!” หลิงหยุนยิ้มให้กับหลี่เฟยพร้อมกับจับที่ข้อเท้าของเธอและพูดขึ้นว่า “โชคดีที่กระดูกไม่หัก..”
จากนั้นจึงค่อยใช้มือสัมผัสและคลึงที่ข้อเท้าของหลี่เฟยเบาๆ พร้อมกับถ่ายเทพลังชีวิตของตนลงไป และภายในเวลาแค่ชั่วพริบตาเดียว รอยแดง และอาการบวมที่ข้อเท้าของหลี่เฟยก็หายไปอย่างรวดเร็ว ราวกับว่าไม่เคยเป็นอะไรมาก่อน..
“คุณลองลุกขึ้นยืนดูว่ายังเจ็บอยู่หรือเปล่า”
หลี่ยี่เฟยค่อยๆลุกขึ้นยืน แต่แล้วก็ต้องร้องอุทานออกมาด้วยความตกตะลึง..
“นี่มัน..”
“ขอบคุณมาก!”หลี่เฟยเอ่ยขอบคุณหลิงหยุนหลังจากที่หายตกใจ
หลิงหยุนเพียงแค่พยักหน้าและหันไปบอกกับทุกคนว่า “เอาล่ะ.. พักกินอะไรกันก่อน แล้วค่อยเที่ยวชมพระราชวังต้องห้ามในตอนบ่ายกันต่อ..”
แม้จะพบว่ากำแพงเก้ามังกรจะไม่ใช่กลไกเข้าสุสานใต้ดินอย่างที่คาดคิดแต่หลิงหยุนก็ยังไม่ยอมแพ้ง่ายๆ
หลี่เฟยเดินนำทุกคนไปยังสถานที่สำหรับพักและรับประทานอาหารภายในเขตพระราชวังต้องห้าม จากนั้นทุกคนก็เริ่มลงมือรับประทานอาหารกลางวันกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา..
จนกระทั่งเวลาบ่ายโมงตรงมัคุเทศน์สาวจึงพาลูกทัวร์ทั้งหมดเดินเยี่ยมชมพระราชวังต้องห้ามทั้งหมดต่อ
หลังจากที่เกิดแผ่นดินไหวอย่างไม่มีสาเหตุขึ้นนักท่องเที่ยวจำนวนมากมายต่างก็พากันกลับออกไป การเยี่ยมชมพระราชวังต้องห้ามของหลิงหยุนกับเพื่อนในช่วงบ่าย จึงเป็นไปอย่างสะดวกสบาย
ระหว่างการเยี่ยมชมกว่าสามชั่วโมงในช่วงบ่าย..หลี่เฟยก็ได้บรรยายสถานที่ต่างๆ ภายในพระราชวังต้องห้ามให้กับลูกทัวร์ของเธอฟังอย่างละเอียดเช่นเคย จนกระทั่งเวลาบ่ายสี่โมงครึ่ง หลิงหยุนก็ได้เดินส่ายหน้าออกมาจากประตูหวงจี่เหมิน และทุกคนต่างก็หัวเราะในท่าทางของเขา..
“เจ้าหน้าที่ซึ่งดูแล้วพระราชวังต้องห้ามจะเริ่มไล่ต้อนนักท่องเที่ยวให้ออกจากเขตพระราชวังตั้งแต่เวลาบ่ายสี่โมงทุกคนค่อยๆเดินออกทางประตูเสินหวู่เหมิได้แล้ว..”
หลี่เฟยร้องบอกลูกทัวร์ของตนเอง
“ที่นี่ห้ามเข้ามาในเวลากลางคืนจริงๆงั้นรึ!”
ท้ายที่สุด..โม่วู๋เตาก็ไม่สามารถหาทางเข้าสุสานใต้ดินพบ เขาจึงร้องถามหลี่เฟยด้วยความร้อนใจ!
หลี่เฟยส่ายหน้าพร้อมกับพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงและสีหน้าเคร่งเครียด “ห้ามเข้าจริงๆค่ะ! ฉันตอบคุณไปหลายครั้งแล้ว..”
“อีกอย่าง..ว่ากันว่าภายในพระราชวังต้องห้ามแห่งนี้ กลางคืนนั้นน่ากลัวมาก แล้วก็มีภูติผีวิญญาณมาปรากฏตัว แม้แต่เจ้าหน้าที่เองก็ยังไม่มีใครอยากจะอยู่ดึกๆ!”
โม่วู๋เตาเองก็อยากจะบอกว่าตนนั้นก็เคยเจอภูติผีวิญญาณมานักต่อนักแล้วแต่เมื่อคิดได้ว่าไม่สมควรพูด จึงได้นิ่งเงียบไป
เมื่อได้ยินคำพูดของหลี่เฟยหลายคนถึงกับนึกอยากให้ถึงประตูเสินหวู่เหมินโดยเร็ว จะได้รีบออกไปจากพระราชวังแห่งนี้
หลิงหยุนได้แต่ยิ้มและพูดขึ้นว่า“การมาเยี่ยมชมพระราชวังต้องห้ามในวันนี้ นับว่าได้รับประโยชน์มากมายทีเดียว ต้องขอขอบคุณคำบรรยายอย่างละเอียดของไกด์สาวแสนสวยด้วยนะครับ!”
หลี่เฟยยิ้มให้หลิงหยุนพร้อมกับตอบไปว่า“มันเป็นหน้าที่ของฉันค่ะ ฉันต่างหากที่ต้องขอบคุณพวกคุณทุกคน!”
หลิงหยุนยิ้มพร้อมกับเดินออกนอกจากประตูเสินหวู่เหมินไป..
เพราะการมาพระราชวังต้องห้ามในครั้งนี้เขาได้รับประโยชน์กลับไปอย่างมากมายมหาศาล!