Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร - บทที่ 1206 : ไม่มีใครเก่งเกินใคร!
- Home
- Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร
- บทที่ 1206 : ไม่มีใครเก่งเกินใคร!
เย่เทียนสุ่ยนั้นไม่ธรรมดาอย่างแน่นอนและหลิงหยุนก็มั่นใจว่าเขากำลังแสร้งเล่นเป็นหมู นั่นเพราะจนถึงตอนนี้หลิงหยุนยังไม่สามารถมองเห็นขั้นกำลังภายในของเย่เทียนสุ่ยได้เลย..
หลิงหยุนเชื่อว่านอกจากเย่เทียนสุ่ยจะมีวรุยุทธแล้วกำลังภายในของเขายังต้องสูงส่งมากด้วย แต่ที่น่าแปลกก็คือ.. เหตุใดเย่เทียนสุ่ยจึงได้มีร่างกายที่อ้วนท้วนเช่นนี้ เย่เทียนสุ่ยเตี้ยกว่าหลิงหยุนเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่กลับมีน้ำหนักมากกว่า 150 กิโลกรัมเลยทีเดียว
ในความคิดของหลิงหยุน..ลักษณะเช่นนี้ไม่พึงเกิดกับผู้ที่มีกำลังภายในสูงส่งเช่นนี้!
แม้ขณะที่นั่งอยู่บนโซฟาตัวใหญ่ไขมันตามเนื้อตัวของเย่เทียนสุ่ยก็ถึงกับล้นออกมาจากโซฟาที่เขานั่ง รูปร่างของเย่เทียนสุ่ยเวลานี้นับได้ว่าเข้าข่ายเป็นโรคอ้วนได้เลยทีเดียว! ‘น่าแปลกแต่ก็น่าสนใจ แล้วก็น่าขบขันไม่น้อยเลยทีเดียว!’
หลิงหยุนได้แต่แอบคิดอยู่ในใจคนเดียวเงียบๆพร้อมกับจ้องมองเย่เทียนสุ่ยด้วยความสนอกสนใจมากขึ้น
ระหว่างนั้นเย่เทียนสุ่ยก็ได้เอื้อมมือไปกดปุ่มบนโซฟาที่ตนเองนั่งอยู่จากนั้นเสียงเคาะประตูห้องก็ดังขึ้น..
“เข้ามาได้!”
ชายสวมเสื้อสูทอย่างสุภาพเรียบร้อยเปิดประตูเดินเข้ามาเขาก็คือหวังเฟิง – ผู้จัดการของคาสิโนแห่งนี้นั่นเอง
“ผู้จัดการหวัง..เจ้าช่วยพาสหายของข้าทั้งสามคนไปเสี่ยงโชคที่ห้องวีไอพีที!”
เย่เทียนสุ่ยร้องสั่งผู้จัดการหวังพร้อมกับผายมือไปทางถังเมิ่ง ตี้เสี่ยวอู๋ แล้วก็โม่วู๋เตา..
หลิงหยุนเข้าใจได้ทันทีว่าเย่เทียนสุ่ยนั้นต้องการเจรจากับตนเพียงลำพังเท่านั้น จึงหาเหตุให้ทุกคนออกไปจากห้องนี้ “ครับคุณชาย..ขอเชิญคุณชายทั้งสามท่านทางนี้ครับ!”
หวังเฟิงเองก็เข้าใจความหมายของเย่เทียนสุ่ยได้ดีเช่นกันจึงไม่ต้องการเสียเวลาอยู่ในห้องนานนัก และรีบเชื้อเชิญชายหนุ่มทั้งสามคนทันที
ถังเมิ่งยังคงนั่งนิ่งและหันไปมองหลิงหยุนพร้อมกับพูดขึ้นว่า “พี่หยุน!”
หลิงหยุนยิ้มเล็กน้อยก่อนจะตอบไปว่า“ในเมื่อมาถึงที่นี่ทั้งที.. นายก็ควรจะไปลองเสี่ยงโชคดูสักหน่อย แต่อย่าให้เสียมากเกินไปล่ะ ไม่งั้นจะเสียชื่อเซียนพนันรุ่นเล็กหมด!”
“ได้ๆไปเสี่ยงโชคกันดีกว่า!”
ถังเมิ่งเองก็เฉลียวฉลาดไม่น้อยเช่นกันเขารู้ว่าเย่เทียนสุ่ยต้องการเจรจากับหลิงหยุนตามลำพัง และเมื่อได้ยินคำตอบของหลิงหยุน ถังเมิ่งก็เดินนำหน้าทุกคนออกไปนอกห้องทันที
ความจริงแล้ว..เวลานี้ถังเมิ่งเองก็ตื่นเต้นอย่างมาก เพราะคาสิโนของเย่เทียนสุ่ยนั้นนับว่าหรูหรากว่าคาสิโนใหญ่ๆในมาเก๊าเสียอีก ในฐานะเซียนพนันรุ่นเล็ก ถังเมิ่งย่อมต้องการที่จะเสี่ยงโชคเป็นธรรมดา..
ทันทีที่ถังเมิ่งลุกขึ้นเดินออกไปโม่วู๋เตาที่เอาแต่นั่งนิ่งไม่พูดไม่จาตั้งแต่เข้ามาในห้อง ก็รีบลุกขึ้นยืน แต่ก็ยังไม่เดินออกไปนอกห้องทันที โม่วู๋เตายืนเอามือไขว้หลังนิ่งพร้อมกับสำรวจไปรอบๆ ห้องอย่างตั้งใจ ก่อนจะพึมพำออกมาว่า
“ห้องของคุณชายเย่นับว่าฮวงจุ้ยล้ำเลิศมากทีเดียว!”
จากนั้นโม่วู๋เตาก็หันหน้ามองไปทางหลิงหยุนก่อนจะก้าวเท้าเดินออกนอกห้องไป..
ไม่ช้า..หวังเฟิงก็เดินนำถังเมิ่ง โม่วู๋เตา และตี้เสี่ยวอู๋ออกจากห้องทำงานของเย่เทียนสุ่ยไปที่ห้องวีไอพีชั้นสาม
เวลานี้จึงเหลือเพียงแค่หลิงหยุนกับเย่เทียนสุ่ยอยู่ในห้องตามลำพังเท่านั้น.. “คุณชายหลิง..เชิญดื่มชาก่อน!”
หลังจากที่ทุกคนออกไปจากห้องแล้วเย่เทียนสุ่ยก็ยกซิการ์ในมือขึ้นดูดอีกครั้ง พร้อมกับเชื้อเชิญให้หลิงหยุนดื่มชาที่ตนรินไว้ให้
หลิงหยุนยิ้มเล็กน้อยพร้อมกับยกถ้วยชาขึ้นดื่มด้วยท่าทีสงบนิ่ง ก่อนจะวางถ้วยเปล่าลง..
ความจริงแล้วหลิงหยุนแทบไม่ต้องให้โม่วู๋เตาเตือนก่อนจะเดินออกจากห้องไปด้วยซ้ำเพราะตั้งแต่เข้ามาในห้องทำงานของเย่เทียนสุ่ย หลิงหยุนก็สังเกตเห็นการวางผังห้องได้อย่างชัดเจนแล้ว และการที่โม่วู๋เตาแสร้งทำเป็นพึมพำว่าห้องนี้มีฮวงจุ้ยล้ำเลิศนั้น ก็ไม่ได้หมายถึงฮวงจุ้ยจริงๆ แต่โม่วู๋เตาต้องการจะบอกว่า..
ภายในห้องนี้อบอวลไปด้วยพลังชี่!
เห็นได้ชัดว่าภายในห้องแห่งนี้เป็นสถานที่ซึ่งเย่เทียนสุ่ยใช้เป็นที่กักเก็บพลังชี่..
“คุณชายหลิง..การที่คุณชายสามารถผงาดขึ้นมาได้รวดเร็วเช่นนี้ คงจะไม่ใช่เรื่องบังเอิญ หรือความโชคดีแต่อย่างใด เพราะดูจากพี่น้องทั้งสามคนของคุณชายที่มาด้วยนั้น แต่ละคนล้วนมีบุคลิกโดดเด่นแตกต่างกัน นับเป็นบุคคลที่หาได้ยาก..”
เย่เทียนสุ่ยเริ่มบทสนทนาด้วยการประจบประแจงหลิงหยุนอย่างเปิดเผย..
หลิงหยุนเพียงแค่ยิ้มเล็กน้อยและตอบกลับไปว่า “เจ้ามีอะไรอยากจะพูดกับข้าก็พูดออกมาตรงๆเลยดีกว่า อย่าได้อ้อมค้อมนัก ข้ารู้สึกรำคาญ!”
“เช่นนั้นก็ดี..”
ครั้งนี้เย่เทียนสุ่ยไม่หัวเราะเหมือนทุกครั้งเขาพยักหน้าพร้อมกับพูดขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง “คุณชายหลิง.. ในเมื่อข้ามอบเงินจำนวนหนึ่งหมื่นห้าพันล้านหยวนให้กับท่านแล้ว..”
“เงินจำนวนมากมายมหาศาลเช่นนี้ท่านคิดว่าข้าไม่ควรได้ฟังเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นในสนามประลองเลยอย่างนั้นรึ! หากข้าจะขอให้ท่านเล่าให้ข้าฟัง ไม่ทราบคุณชายหลิงจะคิดเห็นเช่นใด?”
ระหว่างที่พูดนั้น..ดวงตาของเย่เทียนสุ่ยก็จับจ้องอยู่ที่ใบหน้าของหลิงหยุนแทบไม่กระพริบตา..
หลิงหยุนได้แต่แอบคิดในใจว่า..‘ข้ายังไม่ทันได้ทดสอบเจ้า เจ้าก็เป็นฝ่ายเริ่มแล้วงั้นรึ!”
ครั้งนี้หลิงหยุนเป็นฝ่ายหัวเราะออกมาและจ้องหน้าเย่เทียนสุ่ยกลับอย่างไม่เกรงกลัวเช่นกัน
“เรื่องการประลองไม่ได้เป็นความลับอะไรข้าย่อมเล่าให้เจ้าฟังได้ เพียงแต่..”
“เจ้าเองก็ไม่รู้วรยุทธไม่ใช่รึเหตุใดยังอยากรู้เรื่องการประลอง? รู้แล้วจะเกิดประโยชน์อะไรกับเจ้า?”
หลิงหยุนจงใจที่จะถามเย่เทียนสุ่ยกลับไปตรงๆเช่นนั้น..
“ฮ่า..ฮ่า.. ฮ่า..” ทันทีที่คำพูดประโยคนี้หลุดออกมาจากปากของหลิงหยุนเย่เทียนสุ่ยก็ถึงกับหัวเราะออกมาเสียงดัง ใบหน้าที่เต็มไปด้วยไขมันนั้นกระเพื่อมไปมา และดวงตาคู่นั้นยังคงจับจ้องอยู่ที่ใบหน้าของหลิงหยุนเช่นกัน
ในที่สุดเย่เทียนสุ่ยก็พูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม“คุณชายหลิง! ท่านช่างเป็นคนขี้เล่นนัก ข้าอาจจะสามารถปกปิดผู้อื่นได้ แต่เชื่อว่าไม่สามารถปกปิดคุณชายได้แน่!”
จากนั้นเย่เทียนสุ่ยก็ยกซิการ์ในมือขึ้นสูบแล้วค่อยๆพ่นควันออกมาอย่างช้าๆ
ครั้งนี้..ควันที่เย่เทียนสุ่ยพ่นออกมานั้น มีลักษณะเป็นรูปวงกลมสีขาวหลายวง ที่มีขนาด และระยะห่างเท่ากันพอดิบพอดี และกำลังพุ่งตรงเข้าไปหาหลิงหยุนซึ่งนั่งอยู่ตรงข้าม..
“ไม่เลวทีเดียว!”
หลิงหยุนเอ่ยชมออกมาเมื่อเห็นว่าเย่เทียนสุ่ยจงใจที่จะแสดงออกมาให้ตนเห็นเช่นนั้น หลิงหยุนยังคงนั่งนิ่ง ไม่ปกป้อง และไม่แม้แต่จะหลบ กลับปล่อยให้ควันสีขาววงกลมเหล่านั้นพุ่งเข้าหาตนเอง..
แต่เมื่อควันสีขาวรูปวงกลมอันแรกลอยเข้าไปใกล้หลิงหยุนในระยะห้าเซ็นติเมตรก็ต้องชะงักอยู่เช่นนั้น เพราะไม่สามารถลอยเข้าไปใกล้ได้มากกว่านั้น
ตามมาด้วยควันสีขาวรูปวงกลมอันที่สองที่สาม และอีกกว่าสิบวง ทำให้ภาพที่เห็นอยู่ในเวลานี้ดูคล้ายกับโซ่ยาวสีขาวที่ลอยอยู่เบื้องหน้าหลิงหยุน
“คุณชายหลิง..ท่านเองก็แข็งแกร่งไม่น้อยทีเดียว!”
เย่เทียนสุ่ยเห็นหลิงหยุนไม่เพียงไม่หลบหรือปัดป้อง อีกทั้งยังสามารถควบคุมกลุ่มควันได้โดยใช้เพียงแค่ลมหายใจเช่นนี้ จึงอดที่จะเอ่ยปากชมไม่ได้เช่นกัน
หลิงหยุนเพียงแค่ยิ้มเล็กน้อยแต่ไม่ตอบอะไร ในขณะเดียวกันก็ยกนิ้วชี้ของตนเองชี้ไปทางด้านหน้าผ่านกลุ่มควันรูปวงกลมทั้งหมดไป พลังปราณพุ่งออกจากปลายนิ้วของหลิงหยุนทันที และไปหยุดอยู่ใกล้กับบริเวณริมฝีปากของเย่เทียนสุ่ย
“เจ้าเองก็เหมือนกัน..ไม่กลัวว่าข้าจะสังหารเจ้ารึ!”
หลิงหยุนไม่ขยับนิ้วและร้องถามเย่เทียนสุ่ยด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม..
“พวกเราสองคนต่างก็ไม่เคยมีเรื่องบาดหมางใจกันอีกทั้งยังไม่ใช่ศัตรูกันมาก่อน มีเหตุผลอะไรที่คุณชายหลิงจะต้องสังหารข้าด้วยเล่า”
ระหว่างที่พูดเย่เทียนสุ่ยก็ผ่อนพลังปราณของตนเองลงหลิงหยุนก็ดึงพลังปราณของตนกลับเช่นกัน ครั้งนี้ทั้งสองฝ่ายต่างก็ไม่ได้ต้องการที่จะเข่นฆ่ากัน เพียงแค่ทดสอบซึ่งกันและกันดูเท่านั้น และดูเหมือนทั้งคู่จะยังไม่มีฝ่ายใดเหนือกว่าฝ่ายใด
หลิงหยุนตอบกลับเย่เทียนสุ่ยไปว่า“นี่เจ้ายังอยากจะให้ข้าเล่าเรื่องราวในคืนประลองให้ฟังอีกงั้นรึ” “ฮ่า..ฮ่า..”
เย่เทียนสุ่ยหัวเราะร่วนในเมื่อต่างฝ่ายต่างก็รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นยอดฝีมือ จึงไม่จำเป็นต้องพูดไร้สาระอะไรอีก หลังจากการทดสอบผ่านพ้นไป การเจรจาจึงเป็นไปอย่างเป็นกันเองมากขึ้น..
หลิงหยุนเอนกายพิงโซฟาในท่วงท่าที่สบายที่สุดแล้วจึงถามขึ้นว่า “เหตุใดเจ้าจึงมั่นใจนักว่าข้าจะเป็นฝ่ายชนะการประลองครั้งนี้!”
เย่เทียนสุ่ยตอบกลับไปอย่างตรงไปตรงมา“หน่วยข่าวกรองของตระกูลเย่ล้วนเชื่อถือได้!”
“เฮ้อ..แต่กำไรครั้งนี้ของข้า กลับต้องนำมาจ่ายให้เจ้าจนหมด!”
เย่เทียนสุ่ยบ่นพึมพำออกมาด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความผิดหวังแต่แล้วก็ถามหลิงหยุนกลับไปทันที
“หลิงหยุน..ข้าขอถามเจ้าตามตรง.. เจ้าพอจะบอกข้าได้หรือไม่ว่าเวลานี้เจ้าอยู่ในขั้นใด”
มาถึงตอนนี้..หลิงหยุนเองก็เริ่มรู้แล้วหากเขาไม่แสดงความแข็งแกร่งออกไปให้เย่เทียนสุ่ยได้เห็นบ้าง ก็คงยากนักที่จะข่มชายร่างอ้วนที่อยู่ตรงหน้านี้ได้ อีกทั้งเย่เทียนสุ่ยเองก็ตอบคำถามของเขาอย่างตรงไปตรงมา หลิงหยุนจึงคร้านที่จะปกปิดเช่นกัน และได้ตอบเย่เทียนสุ่ยไปตามความจริง
“ระดับสูงสุดขั้นซานฉางชี่!”
อีกเหตุผลหนึ่งก็คือ..เย่เทียนสุ่ยคงต้องสืบประวัติ และข้อมูลเกี่ยวกับเขามามากมายแล้วเป็นแน่ ในขณะที่ตัวเขาเองกลับไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเย่เทียนสุ่ยเลย และรู้เพียงแค่ว่าเย่เทียนสุ่ยเป็นคนของตระกูลเย่แห่งปักกิ่งเท่านั้น เช่นนี้แล้วการเปิดอกคุยกับเย่เทียนสุ่ยอย่างเปิดเผยตรงไปตรงมา จึงน่าจะเป็นประโยชน์กับตัวเขาเองเสียมากกว่า..
หลังจากตอบคำถามของเย่ซิงฉุ่ยไปแล้วหลิงหยุนจึงเป็นฝ่ายถามขึ้นบ้าง “เย่เทียนสุ่ย.. เจ้าพอจะบอกข้าได้หรือไม่ว่า เหตุใดเจ้าจึงมีรูปร่างอ้วนท้วนถึงเพียงนี้ได้!”
เย่เทียนสุ่ยถอนหายใจพร้อมกับก้มลงมองร่างอ้วนใหญ่ของตนเองก่อนจะตอบหลิงหยุนไปตามตรงเช่นกัน
“เฮ้อ..ข้าไม่มีทางเลือก เวลานี้ข้ากำลังกลั่นกระบี่อยู่น่ะสิ!”
“อ่อ..ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้!”
หลิงหยุนพึมพำออกมาอย่างเข้าใจ..จากคำตอบของเย่เทียนสุ่ย ทำให้หลิงหยุนรู้ว่าเย่เทียนสุ่ยได้ฝึกฝนจนเข้าสู่ขั้นพลังชี่แล้วเช่นกัน เพราะนอกจากภายในห้องของเย่เทียนสุ่ยจะเป็นสถานที่กักเก็บพลังชี่เช่นนี้แล้ว ร่างกายที่อ้วนท้วนของเขาก็เป็นผลมาจากการที่เย่เทียนสุ่ยกำลังกลั่นกระบี่อยู่นั่นเอง..
“ระดับสูงสุดขั้นซานฉางชี่งั้นรึ!ถ้าเช่นนั้นจิตหยั่งรู้ของเจ้าเวลานี้ครอบคลุมกว้างไกลมากเพียงใดงั้นรึ?!”
เย่เทียนสุ่ยถามขึ้นมาอีกครั้ง.. “เวลานี้จิตหยั่งรู้ของข้ามีรัศมีครอบคลุมไกลถึงสามกิโลเมตร!”
นับว่าการสนทนาของทั้งสองฝ่ายต่างก็เป็นไปด้วยความจริงใจและเปิดเผย ต่างฝ่ายต่างก็ตอบคำถามของอีกฝ่ายอย่างตรงไปตรงมาโดยไม่ปิดบัง..
“แต่ข้ากลับสัมผัสจิตหยั่งรู้ของเจ้าไม่ได้เลย..”
หลิงหยุนเอ่ยถามเย่เทียนสุ่ยไปตามตรงเพราะตั้งแต่เดินเข้ามาเขากลับพบว่าเย่เทียนสุ่ยไม่ได้เปิดจิตหยั่งรู้ของตนเองออกเลย..
เย่เทียนสุ่ยเงยหน้าขึ้นมองหลิงหยุนพร้อมตอบกลับด้วยสีหน้าภาคภูมิใจ “รัศมีจิตหยั่งรู้ของข้านับว่าไกลกว่าเจ้า.. เพราะครอบคลุมถึงห้ากิโลเมตร!”
“ห๊ะ!อะไรนะ?!”
‘จิตหยั่งรู้มีรัศมีไกลถึงห้ากิโลเมตรงั้นรึ!นี่ย่อมหมายความว่าเย่เทียนสุ่ยเข้าสู่ขั้นอู่เฉิงชี่ (ขั้นพลังชี่-5) แล้วงั้นรึ?!’ หลิงหยุนถึงกับร้องอุทานออกมาด้วยความตกใจและไม่สามารถทนนิ่งเฉยต่อไปได้อีก!
หลิงหยุนแทบไม่อยากจะเชื่อและได้แต่ถามออกไปเพื่อให้มั่นใจ “ถ้าเช่นนั้น.. เจ้าก็ต้องเคยเผ่านการรับทัณฑ์สวรรค์มาแล้วสินะ!”
แต่เย่เทียนสุ่ยกลับส่ายหน้าและอธิบายให้หลิงหยุนฟังว่า “ข้ากำลังกลั่นกระบี่ จึงยังไม่เคยรับทัณฑ์สวรรค์ แต่เย่เทียนตูเพิ่งจะผ่านการรับทัณฑ์สวรรค์ได้สำเร็จไปเมื่อต้นปี เขาคือผู้ที่มีพรสวรรค์ที่สุดในตระกูลเย่แล้ว!”
“เย่เทียนตูงั้นรึ!”
และนี่เป็นครั้งแรกที่หลิงหยุนได้ยินคนพูดถึงชื่อนี้และผู้ที่พูดก็คือเย่เทียนสุ่ย..
เย่เทียนสุ่ยเห็นสีหน้าประหลาดใจของหลิงหยุนจึงได้แต่ถามขึ้นว่า “เย่เทียนตู.. เจ้าน่าจะเคยได้ยินชื่อของเขามาก่อนไม่ใช่รึ!”
หลิงหยุนตอบกลับยิ้มๆ“แน่นอน.. ข้าย่อมต้องเคยได้ยินอยู่แล้ว!”
เย่เทียนสุ่ยจึงพูดต่อว่า“เย่เทียนตูเป็นลูกชายคนเดียวของผู้นำตระกูลเย่ในเวลานี้ เขาเป็นผู้ที่มีพรสวรรค์อย่างหาได้ยากยิ่งนัก อายุเพียงแค่ยี่สิบปี แต่กลับสามารถใช้กระบี่เหินได้แล้ว ข้าเองไม่อาจเทียบกับเขาได้เลยแม้แต่น้อย!”
หลิงหยุนฟังแล้วจึงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเหยียดหยัน“หึ.. ก็แค่กระบี่เหินมีอะไรน่าตื่นเต้นนักรึ! แต่ข้าว่าเจ้าเองก็ไม่ได้ด้อยกว่าเย่เทียนตูนักหรอก!”
เย่เทียนสุ่ยเงยหน้าขึ้นมองหลิงหยุนพร้อมกับเหัวเราะเสียงดังแต่ก็ไม่พูดอะไร..
หลิงหยุนจึงถามขึ้นว่า“ในเมื่อเจ้าเป็นฝ่ายพูดถึงเย่เทียนตูขึ้นมา.. ถ้าเช่นนั้นข้าขอถามว่าในคืนวันที่ 31 สิงหาคมนั้น ชายที่ใช้กระบี่เหินสีม่วงเข้าไปลอบสังหารเฉินจิ้งเทียนที่บ้านตระกูลเฉิน ก็คือเย่เทียนตูใช่หรือไม่!”
หลิงหยุนจ้องตาเย่เทียนสุ่ยนิ่งในขณะที่รอคอยคำตอบจากเขา..
หลิงหยุนเชื่อว่านอกจากเย่เทียนสุ่ยจะมีวรุยุทธแล้วกำลังภายในของเขายังต้องสูงส่งมากด้วย แต่ที่น่าแปลกก็คือ.. เหตุใดเย่เทียนสุ่ยจึงได้มีร่างกายที่อ้วนท้วนเช่นนี้ เย่เทียนสุ่ยเตี้ยกว่าหลิงหยุนเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่กลับมีน้ำหนักมากกว่า 150 กิโลกรัมเลยทีเดียว
ในความคิดของหลิงหยุน..ลักษณะเช่นนี้ไม่พึงเกิดกับผู้ที่มีกำลังภายในสูงส่งเช่นนี้!
แม้ขณะที่นั่งอยู่บนโซฟาตัวใหญ่ไขมันตามเนื้อตัวของเย่เทียนสุ่ยก็ถึงกับล้นออกมาจากโซฟาที่เขานั่ง รูปร่างของเย่เทียนสุ่ยเวลานี้นับได้ว่าเข้าข่ายเป็นโรคอ้วนได้เลยทีเดียว! ‘น่าแปลกแต่ก็น่าสนใจ แล้วก็น่าขบขันไม่น้อยเลยทีเดียว!’
หลิงหยุนได้แต่แอบคิดอยู่ในใจคนเดียวเงียบๆพร้อมกับจ้องมองเย่เทียนสุ่ยด้วยความสนอกสนใจมากขึ้น
ระหว่างนั้นเย่เทียนสุ่ยก็ได้เอื้อมมือไปกดปุ่มบนโซฟาที่ตนเองนั่งอยู่จากนั้นเสียงเคาะประตูห้องก็ดังขึ้น..
“เข้ามาได้!”
ชายสวมเสื้อสูทอย่างสุภาพเรียบร้อยเปิดประตูเดินเข้ามาเขาก็คือหวังเฟิง – ผู้จัดการของคาสิโนแห่งนี้นั่นเอง
“ผู้จัดการหวัง..เจ้าช่วยพาสหายของข้าทั้งสามคนไปเสี่ยงโชคที่ห้องวีไอพีที!”
เย่เทียนสุ่ยร้องสั่งผู้จัดการหวังพร้อมกับผายมือไปทางถังเมิ่ง ตี้เสี่ยวอู๋ แล้วก็โม่วู๋เตา..
หลิงหยุนเข้าใจได้ทันทีว่าเย่เทียนสุ่ยนั้นต้องการเจรจากับตนเพียงลำพังเท่านั้น จึงหาเหตุให้ทุกคนออกไปจากห้องนี้ “ครับคุณชาย..ขอเชิญคุณชายทั้งสามท่านทางนี้ครับ!”
หวังเฟิงเองก็เข้าใจความหมายของเย่เทียนสุ่ยได้ดีเช่นกันจึงไม่ต้องการเสียเวลาอยู่ในห้องนานนัก และรีบเชื้อเชิญชายหนุ่มทั้งสามคนทันที
ถังเมิ่งยังคงนั่งนิ่งและหันไปมองหลิงหยุนพร้อมกับพูดขึ้นว่า “พี่หยุน!”
หลิงหยุนยิ้มเล็กน้อยก่อนจะตอบไปว่า“ในเมื่อมาถึงที่นี่ทั้งที.. นายก็ควรจะไปลองเสี่ยงโชคดูสักหน่อย แต่อย่าให้เสียมากเกินไปล่ะ ไม่งั้นจะเสียชื่อเซียนพนันรุ่นเล็กหมด!”
“ได้ๆไปเสี่ยงโชคกันดีกว่า!”
ถังเมิ่งเองก็เฉลียวฉลาดไม่น้อยเช่นกันเขารู้ว่าเย่เทียนสุ่ยต้องการเจรจากับหลิงหยุนตามลำพัง และเมื่อได้ยินคำตอบของหลิงหยุน ถังเมิ่งก็เดินนำหน้าทุกคนออกไปนอกห้องทันที
ความจริงแล้ว..เวลานี้ถังเมิ่งเองก็ตื่นเต้นอย่างมาก เพราะคาสิโนของเย่เทียนสุ่ยนั้นนับว่าหรูหรากว่าคาสิโนใหญ่ๆในมาเก๊าเสียอีก ในฐานะเซียนพนันรุ่นเล็ก ถังเมิ่งย่อมต้องการที่จะเสี่ยงโชคเป็นธรรมดา..
ทันทีที่ถังเมิ่งลุกขึ้นเดินออกไปโม่วู๋เตาที่เอาแต่นั่งนิ่งไม่พูดไม่จาตั้งแต่เข้ามาในห้อง ก็รีบลุกขึ้นยืน แต่ก็ยังไม่เดินออกไปนอกห้องทันที โม่วู๋เตายืนเอามือไขว้หลังนิ่งพร้อมกับสำรวจไปรอบๆ ห้องอย่างตั้งใจ ก่อนจะพึมพำออกมาว่า
“ห้องของคุณชายเย่นับว่าฮวงจุ้ยล้ำเลิศมากทีเดียว!”
จากนั้นโม่วู๋เตาก็หันหน้ามองไปทางหลิงหยุนก่อนจะก้าวเท้าเดินออกนอกห้องไป..
ไม่ช้า..หวังเฟิงก็เดินนำถังเมิ่ง โม่วู๋เตา และตี้เสี่ยวอู๋ออกจากห้องทำงานของเย่เทียนสุ่ยไปที่ห้องวีไอพีชั้นสาม
เวลานี้จึงเหลือเพียงแค่หลิงหยุนกับเย่เทียนสุ่ยอยู่ในห้องตามลำพังเท่านั้น.. “คุณชายหลิง..เชิญดื่มชาก่อน!”
หลังจากที่ทุกคนออกไปจากห้องแล้วเย่เทียนสุ่ยก็ยกซิการ์ในมือขึ้นดูดอีกครั้ง พร้อมกับเชื้อเชิญให้หลิงหยุนดื่มชาที่ตนรินไว้ให้
หลิงหยุนยิ้มเล็กน้อยพร้อมกับยกถ้วยชาขึ้นดื่มด้วยท่าทีสงบนิ่ง ก่อนจะวางถ้วยเปล่าลง..
ความจริงแล้วหลิงหยุนแทบไม่ต้องให้โม่วู๋เตาเตือนก่อนจะเดินออกจากห้องไปด้วยซ้ำเพราะตั้งแต่เข้ามาในห้องทำงานของเย่เทียนสุ่ย หลิงหยุนก็สังเกตเห็นการวางผังห้องได้อย่างชัดเจนแล้ว และการที่โม่วู๋เตาแสร้งทำเป็นพึมพำว่าห้องนี้มีฮวงจุ้ยล้ำเลิศนั้น ก็ไม่ได้หมายถึงฮวงจุ้ยจริงๆ แต่โม่วู๋เตาต้องการจะบอกว่า..
ภายในห้องนี้อบอวลไปด้วยพลังชี่!
เห็นได้ชัดว่าภายในห้องแห่งนี้เป็นสถานที่ซึ่งเย่เทียนสุ่ยใช้เป็นที่กักเก็บพลังชี่..
“คุณชายหลิง..การที่คุณชายสามารถผงาดขึ้นมาได้รวดเร็วเช่นนี้ คงจะไม่ใช่เรื่องบังเอิญ หรือความโชคดีแต่อย่างใด เพราะดูจากพี่น้องทั้งสามคนของคุณชายที่มาด้วยนั้น แต่ละคนล้วนมีบุคลิกโดดเด่นแตกต่างกัน นับเป็นบุคคลที่หาได้ยาก..”
เย่เทียนสุ่ยเริ่มบทสนทนาด้วยการประจบประแจงหลิงหยุนอย่างเปิดเผย..
หลิงหยุนเพียงแค่ยิ้มเล็กน้อยและตอบกลับไปว่า “เจ้ามีอะไรอยากจะพูดกับข้าก็พูดออกมาตรงๆเลยดีกว่า อย่าได้อ้อมค้อมนัก ข้ารู้สึกรำคาญ!”
“เช่นนั้นก็ดี..”
ครั้งนี้เย่เทียนสุ่ยไม่หัวเราะเหมือนทุกครั้งเขาพยักหน้าพร้อมกับพูดขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง “คุณชายหลิง.. ในเมื่อข้ามอบเงินจำนวนหนึ่งหมื่นห้าพันล้านหยวนให้กับท่านแล้ว..”
“เงินจำนวนมากมายมหาศาลเช่นนี้ท่านคิดว่าข้าไม่ควรได้ฟังเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นในสนามประลองเลยอย่างนั้นรึ! หากข้าจะขอให้ท่านเล่าให้ข้าฟัง ไม่ทราบคุณชายหลิงจะคิดเห็นเช่นใด?”
ระหว่างที่พูดนั้น..ดวงตาของเย่เทียนสุ่ยก็จับจ้องอยู่ที่ใบหน้าของหลิงหยุนแทบไม่กระพริบตา..
หลิงหยุนได้แต่แอบคิดในใจว่า..‘ข้ายังไม่ทันได้ทดสอบเจ้า เจ้าก็เป็นฝ่ายเริ่มแล้วงั้นรึ!”
ครั้งนี้หลิงหยุนเป็นฝ่ายหัวเราะออกมาและจ้องหน้าเย่เทียนสุ่ยกลับอย่างไม่เกรงกลัวเช่นกัน
“เรื่องการประลองไม่ได้เป็นความลับอะไรข้าย่อมเล่าให้เจ้าฟังได้ เพียงแต่..”
“เจ้าเองก็ไม่รู้วรยุทธไม่ใช่รึเหตุใดยังอยากรู้เรื่องการประลอง? รู้แล้วจะเกิดประโยชน์อะไรกับเจ้า?”
หลิงหยุนจงใจที่จะถามเย่เทียนสุ่ยกลับไปตรงๆเช่นนั้น..
“ฮ่า..ฮ่า.. ฮ่า..” ทันทีที่คำพูดประโยคนี้หลุดออกมาจากปากของหลิงหยุนเย่เทียนสุ่ยก็ถึงกับหัวเราะออกมาเสียงดัง ใบหน้าที่เต็มไปด้วยไขมันนั้นกระเพื่อมไปมา และดวงตาคู่นั้นยังคงจับจ้องอยู่ที่ใบหน้าของหลิงหยุนเช่นกัน
ในที่สุดเย่เทียนสุ่ยก็พูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม“คุณชายหลิง! ท่านช่างเป็นคนขี้เล่นนัก ข้าอาจจะสามารถปกปิดผู้อื่นได้ แต่เชื่อว่าไม่สามารถปกปิดคุณชายได้แน่!”
จากนั้นเย่เทียนสุ่ยก็ยกซิการ์ในมือขึ้นสูบแล้วค่อยๆพ่นควันออกมาอย่างช้าๆ
ครั้งนี้..ควันที่เย่เทียนสุ่ยพ่นออกมานั้น มีลักษณะเป็นรูปวงกลมสีขาวหลายวง ที่มีขนาด และระยะห่างเท่ากันพอดิบพอดี และกำลังพุ่งตรงเข้าไปหาหลิงหยุนซึ่งนั่งอยู่ตรงข้าม..
“ไม่เลวทีเดียว!”
หลิงหยุนเอ่ยชมออกมาเมื่อเห็นว่าเย่เทียนสุ่ยจงใจที่จะแสดงออกมาให้ตนเห็นเช่นนั้น หลิงหยุนยังคงนั่งนิ่ง ไม่ปกป้อง และไม่แม้แต่จะหลบ กลับปล่อยให้ควันสีขาววงกลมเหล่านั้นพุ่งเข้าหาตนเอง..
แต่เมื่อควันสีขาวรูปวงกลมอันแรกลอยเข้าไปใกล้หลิงหยุนในระยะห้าเซ็นติเมตรก็ต้องชะงักอยู่เช่นนั้น เพราะไม่สามารถลอยเข้าไปใกล้ได้มากกว่านั้น
ตามมาด้วยควันสีขาวรูปวงกลมอันที่สองที่สาม และอีกกว่าสิบวง ทำให้ภาพที่เห็นอยู่ในเวลานี้ดูคล้ายกับโซ่ยาวสีขาวที่ลอยอยู่เบื้องหน้าหลิงหยุน
“คุณชายหลิง..ท่านเองก็แข็งแกร่งไม่น้อยทีเดียว!”
เย่เทียนสุ่ยเห็นหลิงหยุนไม่เพียงไม่หลบหรือปัดป้อง อีกทั้งยังสามารถควบคุมกลุ่มควันได้โดยใช้เพียงแค่ลมหายใจเช่นนี้ จึงอดที่จะเอ่ยปากชมไม่ได้เช่นกัน
หลิงหยุนเพียงแค่ยิ้มเล็กน้อยแต่ไม่ตอบอะไร ในขณะเดียวกันก็ยกนิ้วชี้ของตนเองชี้ไปทางด้านหน้าผ่านกลุ่มควันรูปวงกลมทั้งหมดไป พลังปราณพุ่งออกจากปลายนิ้วของหลิงหยุนทันที และไปหยุดอยู่ใกล้กับบริเวณริมฝีปากของเย่เทียนสุ่ย
“เจ้าเองก็เหมือนกัน..ไม่กลัวว่าข้าจะสังหารเจ้ารึ!”
หลิงหยุนไม่ขยับนิ้วและร้องถามเย่เทียนสุ่ยด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม..
“พวกเราสองคนต่างก็ไม่เคยมีเรื่องบาดหมางใจกันอีกทั้งยังไม่ใช่ศัตรูกันมาก่อน มีเหตุผลอะไรที่คุณชายหลิงจะต้องสังหารข้าด้วยเล่า”
ระหว่างที่พูดเย่เทียนสุ่ยก็ผ่อนพลังปราณของตนเองลงหลิงหยุนก็ดึงพลังปราณของตนกลับเช่นกัน ครั้งนี้ทั้งสองฝ่ายต่างก็ไม่ได้ต้องการที่จะเข่นฆ่ากัน เพียงแค่ทดสอบซึ่งกันและกันดูเท่านั้น และดูเหมือนทั้งคู่จะยังไม่มีฝ่ายใดเหนือกว่าฝ่ายใด
หลิงหยุนตอบกลับเย่เทียนสุ่ยไปว่า“นี่เจ้ายังอยากจะให้ข้าเล่าเรื่องราวในคืนประลองให้ฟังอีกงั้นรึ” “ฮ่า..ฮ่า..”
เย่เทียนสุ่ยหัวเราะร่วนในเมื่อต่างฝ่ายต่างก็รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นยอดฝีมือ จึงไม่จำเป็นต้องพูดไร้สาระอะไรอีก หลังจากการทดสอบผ่านพ้นไป การเจรจาจึงเป็นไปอย่างเป็นกันเองมากขึ้น..
หลิงหยุนเอนกายพิงโซฟาในท่วงท่าที่สบายที่สุดแล้วจึงถามขึ้นว่า “เหตุใดเจ้าจึงมั่นใจนักว่าข้าจะเป็นฝ่ายชนะการประลองครั้งนี้!”
เย่เทียนสุ่ยตอบกลับไปอย่างตรงไปตรงมา“หน่วยข่าวกรองของตระกูลเย่ล้วนเชื่อถือได้!”
“เฮ้อ..แต่กำไรครั้งนี้ของข้า กลับต้องนำมาจ่ายให้เจ้าจนหมด!”
เย่เทียนสุ่ยบ่นพึมพำออกมาด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความผิดหวังแต่แล้วก็ถามหลิงหยุนกลับไปทันที
“หลิงหยุน..ข้าขอถามเจ้าตามตรง.. เจ้าพอจะบอกข้าได้หรือไม่ว่าเวลานี้เจ้าอยู่ในขั้นใด”
มาถึงตอนนี้..หลิงหยุนเองก็เริ่มรู้แล้วหากเขาไม่แสดงความแข็งแกร่งออกไปให้เย่เทียนสุ่ยได้เห็นบ้าง ก็คงยากนักที่จะข่มชายร่างอ้วนที่อยู่ตรงหน้านี้ได้ อีกทั้งเย่เทียนสุ่ยเองก็ตอบคำถามของเขาอย่างตรงไปตรงมา หลิงหยุนจึงคร้านที่จะปกปิดเช่นกัน และได้ตอบเย่เทียนสุ่ยไปตามความจริง
“ระดับสูงสุดขั้นซานฉางชี่!”
อีกเหตุผลหนึ่งก็คือ..เย่เทียนสุ่ยคงต้องสืบประวัติ และข้อมูลเกี่ยวกับเขามามากมายแล้วเป็นแน่ ในขณะที่ตัวเขาเองกลับไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเย่เทียนสุ่ยเลย และรู้เพียงแค่ว่าเย่เทียนสุ่ยเป็นคนของตระกูลเย่แห่งปักกิ่งเท่านั้น เช่นนี้แล้วการเปิดอกคุยกับเย่เทียนสุ่ยอย่างเปิดเผยตรงไปตรงมา จึงน่าจะเป็นประโยชน์กับตัวเขาเองเสียมากกว่า..
หลังจากตอบคำถามของเย่ซิงฉุ่ยไปแล้วหลิงหยุนจึงเป็นฝ่ายถามขึ้นบ้าง “เย่เทียนสุ่ย.. เจ้าพอจะบอกข้าได้หรือไม่ว่า เหตุใดเจ้าจึงมีรูปร่างอ้วนท้วนถึงเพียงนี้ได้!”
เย่เทียนสุ่ยถอนหายใจพร้อมกับก้มลงมองร่างอ้วนใหญ่ของตนเองก่อนจะตอบหลิงหยุนไปตามตรงเช่นกัน
“เฮ้อ..ข้าไม่มีทางเลือก เวลานี้ข้ากำลังกลั่นกระบี่อยู่น่ะสิ!”
“อ่อ..ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้!”
หลิงหยุนพึมพำออกมาอย่างเข้าใจ..จากคำตอบของเย่เทียนสุ่ย ทำให้หลิงหยุนรู้ว่าเย่เทียนสุ่ยได้ฝึกฝนจนเข้าสู่ขั้นพลังชี่แล้วเช่นกัน เพราะนอกจากภายในห้องของเย่เทียนสุ่ยจะเป็นสถานที่กักเก็บพลังชี่เช่นนี้แล้ว ร่างกายที่อ้วนท้วนของเขาก็เป็นผลมาจากการที่เย่เทียนสุ่ยกำลังกลั่นกระบี่อยู่นั่นเอง..
“ระดับสูงสุดขั้นซานฉางชี่งั้นรึ!ถ้าเช่นนั้นจิตหยั่งรู้ของเจ้าเวลานี้ครอบคลุมกว้างไกลมากเพียงใดงั้นรึ?!”
เย่เทียนสุ่ยถามขึ้นมาอีกครั้ง.. “เวลานี้จิตหยั่งรู้ของข้ามีรัศมีครอบคลุมไกลถึงสามกิโลเมตร!”
นับว่าการสนทนาของทั้งสองฝ่ายต่างก็เป็นไปด้วยความจริงใจและเปิดเผย ต่างฝ่ายต่างก็ตอบคำถามของอีกฝ่ายอย่างตรงไปตรงมาโดยไม่ปิดบัง..
“แต่ข้ากลับสัมผัสจิตหยั่งรู้ของเจ้าไม่ได้เลย..”
หลิงหยุนเอ่ยถามเย่เทียนสุ่ยไปตามตรงเพราะตั้งแต่เดินเข้ามาเขากลับพบว่าเย่เทียนสุ่ยไม่ได้เปิดจิตหยั่งรู้ของตนเองออกเลย..
เย่เทียนสุ่ยเงยหน้าขึ้นมองหลิงหยุนพร้อมตอบกลับด้วยสีหน้าภาคภูมิใจ “รัศมีจิตหยั่งรู้ของข้านับว่าไกลกว่าเจ้า.. เพราะครอบคลุมถึงห้ากิโลเมตร!”
“ห๊ะ!อะไรนะ?!”
‘จิตหยั่งรู้มีรัศมีไกลถึงห้ากิโลเมตรงั้นรึ!นี่ย่อมหมายความว่าเย่เทียนสุ่ยเข้าสู่ขั้นอู่เฉิงชี่ (ขั้นพลังชี่-5) แล้วงั้นรึ?!’ หลิงหยุนถึงกับร้องอุทานออกมาด้วยความตกใจและไม่สามารถทนนิ่งเฉยต่อไปได้อีก!
หลิงหยุนแทบไม่อยากจะเชื่อและได้แต่ถามออกไปเพื่อให้มั่นใจ “ถ้าเช่นนั้น.. เจ้าก็ต้องเคยเผ่านการรับทัณฑ์สวรรค์มาแล้วสินะ!”
แต่เย่เทียนสุ่ยกลับส่ายหน้าและอธิบายให้หลิงหยุนฟังว่า “ข้ากำลังกลั่นกระบี่ จึงยังไม่เคยรับทัณฑ์สวรรค์ แต่เย่เทียนตูเพิ่งจะผ่านการรับทัณฑ์สวรรค์ได้สำเร็จไปเมื่อต้นปี เขาคือผู้ที่มีพรสวรรค์ที่สุดในตระกูลเย่แล้ว!”
“เย่เทียนตูงั้นรึ!”
และนี่เป็นครั้งแรกที่หลิงหยุนได้ยินคนพูดถึงชื่อนี้และผู้ที่พูดก็คือเย่เทียนสุ่ย..
เย่เทียนสุ่ยเห็นสีหน้าประหลาดใจของหลิงหยุนจึงได้แต่ถามขึ้นว่า “เย่เทียนตู.. เจ้าน่าจะเคยได้ยินชื่อของเขามาก่อนไม่ใช่รึ!”
หลิงหยุนตอบกลับยิ้มๆ“แน่นอน.. ข้าย่อมต้องเคยได้ยินอยู่แล้ว!”
เย่เทียนสุ่ยจึงพูดต่อว่า“เย่เทียนตูเป็นลูกชายคนเดียวของผู้นำตระกูลเย่ในเวลานี้ เขาเป็นผู้ที่มีพรสวรรค์อย่างหาได้ยากยิ่งนัก อายุเพียงแค่ยี่สิบปี แต่กลับสามารถใช้กระบี่เหินได้แล้ว ข้าเองไม่อาจเทียบกับเขาได้เลยแม้แต่น้อย!”
หลิงหยุนฟังแล้วจึงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเหยียดหยัน“หึ.. ก็แค่กระบี่เหินมีอะไรน่าตื่นเต้นนักรึ! แต่ข้าว่าเจ้าเองก็ไม่ได้ด้อยกว่าเย่เทียนตูนักหรอก!”
เย่เทียนสุ่ยเงยหน้าขึ้นมองหลิงหยุนพร้อมกับเหัวเราะเสียงดังแต่ก็ไม่พูดอะไร..
หลิงหยุนจึงถามขึ้นว่า“ในเมื่อเจ้าเป็นฝ่ายพูดถึงเย่เทียนตูขึ้นมา.. ถ้าเช่นนั้นข้าขอถามว่าในคืนวันที่ 31 สิงหาคมนั้น ชายที่ใช้กระบี่เหินสีม่วงเข้าไปลอบสังหารเฉินจิ้งเทียนที่บ้านตระกูลเฉิน ก็คือเย่เทียนตูใช่หรือไม่!”
หลิงหยุนจ้องตาเย่เทียนสุ่ยนิ่งในขณะที่รอคอยคำตอบจากเขา..