Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร - บทที่ 1211 : จักรพรรดิและมังกร!
เย่เทียนสุ่ยพยักหน้ารับรู้พร้อมกับตำหนิชายชราด้วยความห่วงใย“ท่านปู่เหลย.. เหตุใดยังสูบยาเส้นพวกนี้อีกเล่า ท่านต้องดูแลเอาใจใส่ตัวเองให้มากกว่านี้!”
ระหว่างที่พูดคุยกันอยู่นั้นชายชราแซ่เหลยก็ยังคงยกไปป์ในมือขึ้นสูบ..
“แค๊ก..แค๊ก..”
หลังจากไออยู่สองสามครั้งแล้วจึงพูดขึ้นว่า “ข้าเองก็แก่มากแล้ว คุณชายอย่าได้สนใจเลย!”
จากนั้นชายชราก็ลืมตาขุ่มมัวของตนเองขึ้นมองร่างอ้วนท้วนของเย่เทียนสุ่ยก่อนจะพูดขึ้นด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
“ดูเหมือนกระบี่ในร่างของคุณชายใหญ่จะเข้าสู่ช่วงเวลาสำคัญอีกครั้งแล้วสินะ!ไม่นานคงจะสามารถควบคุมมันได้แล้ว..”
จากนั้นชายชราแซ่เหลยก็ได้ยกมือขึ้นตบบ่าของเย่เทียนสุ่ยเบาๆแล้วจึงร้องเตือนว่า “รีบๆเข้าไป อย่าให้ท่านผู้นำตระกูลต้องรอนาน!”
เย่เทียนสุ่ยพยักหน้าและไม่พูดอะไรอีก จากนั้นจึงพาร่างอ้วนๆของตนหายเข้าไปภายในบ้านหลังใหญ่ทันที
หลังจากที่เย่เทียนสุ่ยเข้าไปแล้วชายชราแซ่เหลยก็ถือไปป์ในมือเดินไปนั่งเฝ้าประตูบ้านตระกูลเย่ต่อ..
ชายชราผู้นี้มีนามว่าเหลยก่วงเฟิงมีทำหน้าที่เป็นยามเฝ้าหน้าประตูตระกูลเย่มากว่าหกสิบปีแล้ว..
เย่เทียนสุ่ยเดินตรงเข้าไปที่สวนด้านหลังด้วยความคุ้นเคยไม่นานนักเขาก็เดินไปถึงบ้านที่เงียบสงัดหลังหนึ่งซึ่งอยู่ด้านใน
“เทียสุ่ย..มาถึงแล้วรึ เข้ามาข้างในสิ!”
เสียงเรียกนั้นดังมาจากสวนเล็กๆภายในบ้าน แม้น้ำเสียงของคนผู้นี้จะเบา แต่ก็เปี่ยมไปด้วยพลังอำนาจซึ่งสามารถทำให้ผู้ที่ได้ยินขนหัวลุกได้เลยทีเดียว
เย่เทียนสุ่ยก้าวเท้าเข้าไปหาและทันทีที่เห็นคนผู้นั้นนั่งรออยู่ในสวนแล้ว จงรีบร้องทักทายขึ้นอย่างมีมารยาท
“ท่านลุงสอง!”
และชายผู้นี้ก็ไม่ใช่ใครที่ไหนเขาก็คือผู้นำตระกูลเย่คนปัจจุบันนามว่าเย่ชิงเฟิงนั่นเอง!
เย่ชิงเฟิงเป็นชายวัยห้าสิบรูปร่างผอมบางสมส่วน จมูกโด่งเป็นสัน คิ้วทั้งสองข้างเฉียงขึ้น ดวงตาทั้งสองข้างหรี่เล็ก แต่ก็ไม่ได้ดูเหมือนคนที่มีจิตใจชั่วร้าย ตรงข้ามเขากลับดูเหมือนกับผู้ที่หยิ่งทะนงในศักดิศรียิ่งนัก
เย่ชิงเฟิงนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ไผ่สีหน้าของเขานิ่งเรียบไม่บ่งบอกอารมณ์ความรู้สึก และกำลังดื่มชาด้วยท่าทีสงบนิ่ง
หากดูจากนรลักษณ์ภายนอกของเย่ชิงเฟิงแล้วทุกคนจะต้องคิดเหมือนกันว่าชายผู้นี้เป็นคนมีระเบียบวินัย และยึดมั่นในกฏเกณฑ์เป็นที่ตั้ง..
เย่เทียนสุ่ยเดินเข้ามาหาเย่ชิงเฟิงด้วยท่าทางนอบน้อมเขาก้มศรีษะ และน้อมตัวลงขณะที่ยืนอยู่ตรงหน้าเย่ชิงเฟิง
“ดูเหมือนเจ้าจะก้าวหน้าได้มากทีเดียว!”
เย่เทียนสุ่ยรีบโค้งคำนับพร้อมตอบกลับไปว่า“ขอบคุณท่านลุงสำหรับคำชมเชย!”
เย่ชิงเฟิงผายมือเป็นการเชื้อเชิญให้เย่เทียนสุ่ยนั่งลง“เจ้านั่งลงก่อน แล้วค่อยคุยกัน!”
เย่เทียนสุ่ยรับรู้ได้ว่าวันนี้เย่ชิงเฟิงดูเหมือนจะอารมณ์ดีเป็นพิเศษจึงรีบนั่งลงทันที..
“เจ้าได้พบกับหลิงหยุนหรือไม่”ทันทีที่เย่เทียนสุ่ยนั่งลง เย่ชิงเฟิงก็ตรงเข้าเรื่องที่ต้องการจะพูดทันที!
“พบ..”
“เจ้าคิดเห็นเช่นใดหลังจากที่ได้พบกับเขา” “เขาไม่ใช่คนที่ข้าจะรับมือได้ง่ายๆ!”
เย่ชิงเฟิงได้ฟังคำตอบของเย่เทียนสุ่ยมือที่ถือถ้วยชาก็ถึงกับชะงักทันที!
“เขาอยู่ในขั้นใดแล้ว!”
“ระดับสูงสุดขั้นซานฉางชี่!”
“แต่หากหลิงหยุนเปิดไพ่ในมือออกมาแม้แต่ข้าเองก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา!”
เย่ชิงเฟิงถึงกับขมวดคิ้วเข้าหากันหากแม้แต่เย่เทียนสุ่ยยังพูดเช่นนี้ เย่ชิงเฟิงก็อดที่จะสะดุดใจไม่ได้..
“แล้วเจ้าจัดการเช่นใด”
“ข้าไม่ได้พยายามที่ทำตัวเป็นปฏิปักษ์กับเขาแต่พูดคุยกับเขาอย่างเปิดอก และปล่อยให้เขาได้ทุกอย่างตามที่ต้องการไป.. ”
เย่ชิงเฟิงเงยหน้าขึ้นมองเย่เทียนสุ่ยที่อยู่ตรงหน้าพร้อมกับถามขึ้นว่า “เจ้ากับหลิงหยุนพูดคุยกันเรื่องใดบ้าง”
เย่เทียนสุ่ยจึงได้เล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้เย่ชิงเฟิงฟังตั้งแต่หลิงหยุนก้าวเข้าประตูบ่อนของตน จนกระทั่งก้าวเท้าออกไป เขาเล่าทุกคำพูดโดยไม่ตกหล่นแม้แต่คำเดียว..
หลังจากที่ฟังเรื่องราวทั้งหมดจนจบเย่ชิงเฟิงที่นั่งนิ่งฟังด้วยสีหน้าเรียบเฉยมาโดยตลอด ในที่สุดจึงถามขึ้นว่า
“เจ้าดูไม่ออกรึว่าคืนนี้หลิงหยุนตั้งใจที่จะไปหาเรื่องกับเจ้า”
เย่เทียนสุ่ยพยักหน้าหงึกๆพร้อมตอบกลับไปว่า “ไม่เลยท่านลุง! ข้าดูออกตั้งแต่แรกแล้ว และรู้ว่าหากข้าตัดสินใจผิดพลาดแม้แต่นิดเดียว หลิงหยุนคงต้องถล่มบ่อนของข้าราบแน่!”
“เขามาเพื่อทดสอบ..”
เย่ชิงเฟิงยกมือขึ้นห้ามเย่เทียนสุ่ยให้หยุดพูดพร้อมกับแสดงความคิดเห็นของตนเองออกมา
“หลิงหยุนต้องการรู้ว่าตระกูลเย่ของเราแข็งแกร่งเพียงใดและต้องการทดสอบท่าทีของตระกูลเย่ที่มีต่อตระกูลหลิง..” เย่ชิงเฟิงยิ้มออกมาอย่างมีเลศนัยในขณะที่พูดขึ้นว่า“นับว่าเป็นการดีที่ตระกูลเย่ของเราไม่ยื่นมือเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการประลองระหว่างตระกูลหลิงกับตระกูลซัน และตระกูลเฉิน! ทำให้หลิงหยุนไม่สามารถคาดเดาได้..”
“หลิงหยุนกล้าแม้กระทั่งท้าทายหลงฮ่าวหลานและไม่กลัวว่าตระกูลหลงกับตระกูลเย่จะเข้าไปยุ่งกับการประลองในครั้งนี้ นับว่าเป็นเด็กที่ทึ่งไม่น้อย!”
เย่เทียนสุ่ยได้แต่ยกมือขึ้นเกาศรีษะพร้อมกับถามขึ้นด้วยความสงสัย “ท่านลุง.. ข้าไม่เข้าอยู่ดี ด้วยขั้นของหลิงหยุนเวลานี้ เหตุใดเขาจึงกล้ารับคำท้าประลองของสองพันธมิตรอย่างตระกูลซัน และตระกูลเฉิน หนำซ้ำยังไม่เกรงกลัวตระกูลหลงกับตระกูลเย่เช่นนี้!”
“เหตุใดหลิงหยุนจึงกล้าผยองเช่นนี้!”
“นั่นเป็นสิ่งที่เจ้าคิดเอาเองทั้งสิ้น!”
เย่ชิงเฟิงยิ้มเล็กน้อยและคำตอบของเขาก็ทำให้เย่เทียนสุ่ยถึงกับนั่งนิ่งเป็นหิน..
“นั่นเพราะหลิงหยุนมั่นใจว่าไพ่ตายอยู่ในมือน่ะสิ!”
“เจ้าอย่าลืมว่าหลิงหยุนมาจากจิงฉู..และดูเหมือนว่าเวลานี้ทั้งพู่กันจักรพรรดิ และสมุดจักรพรรดิในตำนาน ล้วนแล้วแต่อยู่ในมือของเขาแล้วทั้งสิ้น!”
“ห๊ะ!อะไรนะ?!”
ร่างอ้วนท้วนของเย่เทียนสุ่ยถึงกับสั่นสะท้านและร้องอุทานออกมาเสียงดัง!
“เหตุใดเจ้ายังต้องตื่นเต้นเช่นนี้!เจ้าเองก็คิดเช่นเดียวกับข้าไม่ใช่รึ?!”
เมื่อเห็นเย่เทียนสุ่ยมีสีหน้าท่าทางตกอกตกใจเช่นนั้นเย่ชิงเฟิงจึงถามขึ้นด้วยสีหน้าสงบนิ่ง หลังจากที่ร่างอ้วนท้วนของเย่เทียนสุ่ยค่อยๆสงบลง เขาจึงตอบเย่ชิงเฟิงกลับไปว่า
“ท่านลุงสอง..ข้าเพียงแต่เคยคาดเดาเท่านั้น แต่ไม่กล้าปักใจเชื่อเสียทีเดียว!” “ข้าเองก็เพียงแค่คาดเดาเช่นกัน!”
เย่ชิงเฟิงยังคงนั่งดื่มชาต่อด้วยท่าทีที่สงบนิ่งแล้วจึงพูดต่อว่า “ในโลกยุทธภพ.. มีชาวยุทธผู้ใดบ้างที่ไม่เคยได้ยินคำพูดที่ว่า
‘เมื่อใดก็ตามที่จักรพรรดิแห่งมนุษย์และจักรพรรดิแห่งพิภพถือกำเนิดขึ้นที่จิงฉู เมื่อนั้นใต้หล้าจะมีเพียงผู้เดียวที่ได้ครอบครอง’”
“ไม่ว่าจะสำนักใดธรรมะ หรืออธรรม ทุกคนก็ล้วนแล้วแต่เคยได้ยินมาทั้งสิ้น..”
“แม้หลิงหยุนจะพยายามปกปิดเรื่องนี้ไว้เป็นอย่างดีแต่ก็มีความจริงบางอย่างที่เขาก็ยากจะปกปิดมันไว้ได้ ซึ่งก็คือ.. ความก้าวหน้าที่รวดเร็วอย่างน่าอัศจรรย์จนเกินไปของเขาเอง!”
เย่เทียนสุ่ยรีบร้องถามขึ้นมาทันที“ท่านลุงสอง.. ท่านคงจะมั่นใจอย่างยิ่งว่าพู่กันจักรพรรดิ และสมุดจักรพรรดิล้วนอยู่ที่หลิงหยุนงั้นรึ”
เย่ชิงเฟิงพยักหน้าแต่แล้วก็ส่ายหน้าพร้อมตอบกลับไปว่า “เวลานี้ข้ามั่นใจเพียงแค่หกสิบเปอร์เซ็นต์เท่านั้น..”
เย่เทียนสุ่ยรู้นิสัยของเย่ชิงเฟิงดีว่าเป็นคนที่ระมัดระวังและละเอียดรอบคอบมากเพียงใด หากเขาเชื่อมั่นถึงหกสิบเปอร์เซ็นต์ ย่อมหมายความว่าเรื่องนี้จะต้องมีมูลความจริง และมีแนวโน้มที่จะเป็นจริงได้มาก!
“หากเป็นเช่นนั้นจริงๆ..ตระกูลเย่ของเราควรทำเช่นใด! หรือพวกเราควรหาทางแย่งชิงมาจากหลิงหยุนให้ได้อย่างนั้นรึ?!”
เย่ชิงเฟิงยิ้มพร้อมกับจ้องหน้าเย่เทียนสุ่ยนิ่งก่อนจะตอบไปว่า “หากเจ้าคิดเช่นนี้ เหตุใดจึงไม่พยายามแย่งชิงสมบัติล้ำค่าทั้งสองสิ่งนี้มาจากหลิงหยุนมาตั้งแต่คืนเล่า”
เย่เทียนสุ่ยถอนหายใจพร้อมกับพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ไม่พอใจนัก“ท่านลุง.. เพราะข้ารู้ตัวว่าเวลานี้ข้ายังไม่สามารถเอาชนะหลิงหยุนได้น่ะสิ!”
เย่ชิงเฟิงหัวเราะหึๆหลังจากที่ได้จงใจยั่วโมโหเย่เทียนสุ่ยไปแล้ว เขาจึงเอ่ยชมว่า“เทียนสุ่ย.. คืนนี้เจ้าทำได้ดีมาก! โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ยอมรับว่าเทียนตูคือผู้ที่ลอบสังหารเฉินจิ้งเทียนในคืนนั้น..”
“เรื่องนี้ย้อนกลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้แล้วและไม่มีเหตุผลที่จะต้องปกปิดหลิงหยุน เพราะไม่ว่าอย่างไรเขาก็ต้องสืบรู้จนได้!”
“ตระกูลเย่ของเราเองก็ต้องทดสอบท่าทีของหลิงหยุนเช่นกันโดยเฉพาะอย่างยิ่งท่าทีของเขาที่มีต่อตระกูลเย่หลังจากที่ได้ล่วงรู้ความลับเมื่อหลายปีก่อน พวกเราคงต้องจับตาดูหลิงหยุนไว้ให้ดี!”
เย่เทียนสุ่ยแสยะยิ้มและใบหน้าอ้วนท้วนที่มีแต่ไขมันนั้นก็กระเพื่อมขึ้นทันที และหากผู้ใดมองว่าเย่เทียนสุ่ยเป็นคนโง่ คนผู้นั้นย่อมหลงกลเย่เทียนสุ่ยเข้าแล้ว!
“พู่กันจักรพรรดิและสมุดจักรพรรดิล้วนเป็นสมบัติล้ำค่า หากไม่ถึงเวลาที่จะถือกำเนิดแล้วล่ะก็ ต่อให้เราขุดผืนดินทั่วทั้งเมืองจิงฉูขึ้นดู ก็ไม่มีทางที่จะพบพานได้!”
“สมบัติบางอย่างได้ถูกกำหนดเจ้าของไว้แล้วและหากไม่ได้ถูกกำหนดให้เป็นของตระกูลเย่ ต่อให้ตระกูลเย่สามารถแย่งชิงมาได้ ไม่เพียงจะไม่เกิดประโยชน์ต่อตระกูลเย่ แต่อาจกลายเป็นอันตรายต่อตระกูลเย่ก็เป็นได้!”
เย่ชิงเฟิงกระดกถ้วยชาขึ้นดื่มอีกหนึ่งแก้วจากนั้นจึงถามเย่เทียนสุ่ยว่า “เทียนสุ่ย.. เจ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดหลิงหยุนจึงต้องทำลายตระกูลซันจนสิ้นซากเช่นนี้”
“หากดูผิวเผิน..อาจเห็นว่าเป็นเพราะเรื่องระหว่างซันจิ้งกับเฉิงเม่ยเฟิง จนทำให้อารามจิ้งซินนำตัวเฉิงเม่ยเฟิงไป หรืออาจเป็นเพราะตระกูลซันได้ทำเรื่องไร้สาระอย่างการกลั่นแกล้งให้หลิงหยุนได้คะแนนสอบเอนทรานซ์เป็นศูนย์..”
“แต่นั่นคือมุมมองของคนทั่วไปไม่ใช่มุมมองของผู้บ่มเพาะตนเช่นข้า! แม้หลิงหยุนจะดูเหมือนเป็นเด็กหนุ่มเลือดร้อน แต่เขาก็ไม่เคยล้ำเส้นผู้ใด และหากมีความขัดแย้งเกิดขึ้น หากสามารถแก้ไขได้ เขาก็จะรีบแก้ไขทันที..” “แต่ตระกูลซันได้เคยส่งยอดฝีมือไปเมืองจิงฉูเพื่อค้นหาพู่กันจักรพรรดิและสมุดจักรพรรดิอย่างเปิดเผย และแสดงออกอย่างชัดเจนว่าต้องการได้มาครอบครอง..”
“….”
เย่เทียนสุ่ยถึงกับนิ่งอึ้งเมื่อได้ฟังการวิเคราะห์ที่ลึกซึ้งของเย่ชิงเทียน..
อย่าว่าแต่เย่เทียนสุ่ยที่ถึงกับพูดไม่ออกหากหลิงหยุนอยู่ในที่นี้ด้วย เขาก็คงต้องลุกขึ้นปรบมือให้กับการวิเคราะห์ที่ลึกซึ้งของเย่ชิงเฟิงในครั้งนี้..
“แต่ไม่แน่ว่า..การที่หลิงหยุนตัดสินใจทำไปเช่นนั้น เขาอาจจะไม่รู้ตัวด้วยซ้ำไป แต่ทำไปตามความรู้สึกลึกๆที่เรียกร้องเท่านั้น!”
หลังจากที่หายตกตะลึงเย่เทียนสุ่ยก็ถามขึ้นว่า “ท่านลุง.. เช่นนี้แล้วท่านคิดอ่านเช่นไรนับจากนี้”
เย่ชิงเฟิงเพียงแค่หัวเราะและดื่มชาด้วยท่าทางสงบนิ่ง แต่ไม่ตอบอะไร.. เมื่อเห็นเย่ชิงเฟิงเอาแต่นิ่งเงียบเช่นนี้เย่เทียนสุ่ยก็อดที่จะท้วงขึ้นอย่างกระวนกระวายใจไม่ได้
“ท่านลุงสอง..ว่าอย่างไร!”
“พวกเราก็แค่นิ่งรอดูต่อไป..”
ในที่สุดเย่ชิงเฟิงก็เอ่ยปากพูดออกไปว่า“เจ้าอย่าได้ร้อนใจไปนัก! อย่าลืมว่ายังมีตระกูลหลงอยู่อีก พวกเรายังต้องนิ่งดูท่าทีของตระกูลหลงก่อนเช่นกัน จะได้สามารถตอบโต้ไปในทางเดียวกันได้..”
“ไม่ว่าสมุดจักรพรรดิและพู่กันจักรพรรดิจะถือกำเนิดขึ้นแล้วหรือไม่ก็ตาม ความจริงเรื่องนี้ส่งผลกระทบต่อตระกูลเย่ของเราน้อยมาก แต่กลับส่งผลกระทบต่อตระกูลหลงมากเลยทีเดียว!”
“มังกรในโลกนี้มีหลายเผ่าพันธุ์และมังกรตามความคิดของชาวตะวันตก ก็แตกต่างจากมังกรตามความเชื่อและตำนานของพวกเราชาวจีนอย่างมาก!” “ชาวจีนนั้นเชื่อว่ามังกรมีความเกี่ยวพันกับองค์จักรพรรดิซึ่งในถือว่าเป็นโอรสสวรรค์อย่างแท้จริง!”
“เจ้าดูแต่ละสถานที่ที่ตระกูลหลงอยากครอบครองสิ..มีทั้งสุสานฉินซีหวงซึ่งเวลานี้ผู้ที่ดูแลปกป้องก็คือตระกูลฉิน กำแพงเมืองจีนที่ดูแลปกป้องโดยสำนักกระบี่คุนหลุน..”
“ตั้งแต่อดีตมา..ตระกูลหลงมักส่งคนไปตามสุสานขององค์จักรพรรดิแทบทุกพระองค์ อีกทั้งยังไปทุกที่ที่มีการกักเก็บปราณมังกร”
“และหากหลิงหยุนเป็นผู้ครอบครองพู่กันจักรพรรดิและสมุดจักรพรรดิ ซึ่งเสมือนสมบัติอันป็นมรดกตกทอดจากจักรพรรดิในอดีตทั้งสามพระองค์เช่นนี้ เจ้าคิดดูว่าตระกูลเย่ หรือตระกูลหลงจะร้อนใจมากกว่ากันเล่า”
เย่เทียนสุ่ยพยักหน้าอย่างเข้าใจและรีบตอบกลับไปทันที “ย่อมเป็นตระกูลหลง!”
“ท่านลุงสอง..เหตุใดวันนี้ท่านจึงได้พูดเรื่องนี้กับข้า!” ในฐานะคุณชายใหญ่แห่งตระกูลเย่เย่เทียนสุ่ยย่อมเคยได้ยินได้ฟังเรื่องราวเกี่ยวกับพู่กันจักรพรรดิ และสมุดจักรพรรดิมาบ้าง แต่ครั้งนี้เย่ชิงเฟิงซึ่งเป็นผู้นำตระกูลเย่ เป็นผู้ที่พูดคุยกับตนในเรื่องนี้ด้วยตัวเอง อีกทั้งข้อความที่พูดคุยยังลึกซึ้งกว่าธรรมดาอีกด้วย
เย่ชิงเฟิงยิ้มและตอบกลับไปว่า“ข้าบอกเจ้าไปแล้วก่อนหน้านี้ไม่ใช่รึ คืนนี้เจ้าทำงานได้ดีมาก!”
“คืนนี้หลิงหยุนจงใจไปหาเรื่องเจ้าถึงที่บ่อนแต่เจ้ากลับสามารถอดทนอดกลั้น และแก้ปัญหาได้เป็นอย่างดีโดยไม่มีผลร้ายตามมาเช่นนี้ ข้าชื่นชมเจ้ามาก เพราะเจ้าได้แสดงให้ข้าเห็นแล้วว่าเจ้าพร้อมที่จะทำงานใหญ่ได้แล้ว!”
เย่เทียนสุ่ยยกมือขึ้นเกาศรีษะพร้อมตอบกลับไปว่า“ท่านลุงสอง.. ท่านกล่าวชมข้าเกินไป! เพราะความจริงแล้วข้าเองก็เกือบจะทนไม่ได้เช่นกัน!”
“ข้ารู้..ไม่ง่ายเลยที่จะอดทนได้ถึงเพียงนั้น”
เย่ชิงเฟิงพยักหน้ารับรู้และพูดต่อด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ที่ข้าพูดมาตั้งมากมายนั้น ก็เพื่อจะบอกว่าประเทศจีนกำลังจะเกิดการเปลี่ยนแปลง!”
ระหว่างที่พูดคุยกันอยู่นั้นชายชราแซ่เหลยก็ยังคงยกไปป์ในมือขึ้นสูบ..
“แค๊ก..แค๊ก..”
หลังจากไออยู่สองสามครั้งแล้วจึงพูดขึ้นว่า “ข้าเองก็แก่มากแล้ว คุณชายอย่าได้สนใจเลย!”
จากนั้นชายชราก็ลืมตาขุ่มมัวของตนเองขึ้นมองร่างอ้วนท้วนของเย่เทียนสุ่ยก่อนจะพูดขึ้นด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
“ดูเหมือนกระบี่ในร่างของคุณชายใหญ่จะเข้าสู่ช่วงเวลาสำคัญอีกครั้งแล้วสินะ!ไม่นานคงจะสามารถควบคุมมันได้แล้ว..”
จากนั้นชายชราแซ่เหลยก็ได้ยกมือขึ้นตบบ่าของเย่เทียนสุ่ยเบาๆแล้วจึงร้องเตือนว่า “รีบๆเข้าไป อย่าให้ท่านผู้นำตระกูลต้องรอนาน!”
เย่เทียนสุ่ยพยักหน้าและไม่พูดอะไรอีก จากนั้นจึงพาร่างอ้วนๆของตนหายเข้าไปภายในบ้านหลังใหญ่ทันที
หลังจากที่เย่เทียนสุ่ยเข้าไปแล้วชายชราแซ่เหลยก็ถือไปป์ในมือเดินไปนั่งเฝ้าประตูบ้านตระกูลเย่ต่อ..
ชายชราผู้นี้มีนามว่าเหลยก่วงเฟิงมีทำหน้าที่เป็นยามเฝ้าหน้าประตูตระกูลเย่มากว่าหกสิบปีแล้ว..
เย่เทียนสุ่ยเดินตรงเข้าไปที่สวนด้านหลังด้วยความคุ้นเคยไม่นานนักเขาก็เดินไปถึงบ้านที่เงียบสงัดหลังหนึ่งซึ่งอยู่ด้านใน
“เทียสุ่ย..มาถึงแล้วรึ เข้ามาข้างในสิ!”
เสียงเรียกนั้นดังมาจากสวนเล็กๆภายในบ้าน แม้น้ำเสียงของคนผู้นี้จะเบา แต่ก็เปี่ยมไปด้วยพลังอำนาจซึ่งสามารถทำให้ผู้ที่ได้ยินขนหัวลุกได้เลยทีเดียว
เย่เทียนสุ่ยก้าวเท้าเข้าไปหาและทันทีที่เห็นคนผู้นั้นนั่งรออยู่ในสวนแล้ว จงรีบร้องทักทายขึ้นอย่างมีมารยาท
“ท่านลุงสอง!”
และชายผู้นี้ก็ไม่ใช่ใครที่ไหนเขาก็คือผู้นำตระกูลเย่คนปัจจุบันนามว่าเย่ชิงเฟิงนั่นเอง!
เย่ชิงเฟิงเป็นชายวัยห้าสิบรูปร่างผอมบางสมส่วน จมูกโด่งเป็นสัน คิ้วทั้งสองข้างเฉียงขึ้น ดวงตาทั้งสองข้างหรี่เล็ก แต่ก็ไม่ได้ดูเหมือนคนที่มีจิตใจชั่วร้าย ตรงข้ามเขากลับดูเหมือนกับผู้ที่หยิ่งทะนงในศักดิศรียิ่งนัก
เย่ชิงเฟิงนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ไผ่สีหน้าของเขานิ่งเรียบไม่บ่งบอกอารมณ์ความรู้สึก และกำลังดื่มชาด้วยท่าทีสงบนิ่ง
หากดูจากนรลักษณ์ภายนอกของเย่ชิงเฟิงแล้วทุกคนจะต้องคิดเหมือนกันว่าชายผู้นี้เป็นคนมีระเบียบวินัย และยึดมั่นในกฏเกณฑ์เป็นที่ตั้ง..
เย่เทียนสุ่ยเดินเข้ามาหาเย่ชิงเฟิงด้วยท่าทางนอบน้อมเขาก้มศรีษะ และน้อมตัวลงขณะที่ยืนอยู่ตรงหน้าเย่ชิงเฟิง
“ดูเหมือนเจ้าจะก้าวหน้าได้มากทีเดียว!”
เย่เทียนสุ่ยรีบโค้งคำนับพร้อมตอบกลับไปว่า“ขอบคุณท่านลุงสำหรับคำชมเชย!”
เย่ชิงเฟิงผายมือเป็นการเชื้อเชิญให้เย่เทียนสุ่ยนั่งลง“เจ้านั่งลงก่อน แล้วค่อยคุยกัน!”
เย่เทียนสุ่ยรับรู้ได้ว่าวันนี้เย่ชิงเฟิงดูเหมือนจะอารมณ์ดีเป็นพิเศษจึงรีบนั่งลงทันที..
“เจ้าได้พบกับหลิงหยุนหรือไม่”ทันทีที่เย่เทียนสุ่ยนั่งลง เย่ชิงเฟิงก็ตรงเข้าเรื่องที่ต้องการจะพูดทันที!
“พบ..”
“เจ้าคิดเห็นเช่นใดหลังจากที่ได้พบกับเขา” “เขาไม่ใช่คนที่ข้าจะรับมือได้ง่ายๆ!”
เย่ชิงเฟิงได้ฟังคำตอบของเย่เทียนสุ่ยมือที่ถือถ้วยชาก็ถึงกับชะงักทันที!
“เขาอยู่ในขั้นใดแล้ว!”
“ระดับสูงสุดขั้นซานฉางชี่!”
“แต่หากหลิงหยุนเปิดไพ่ในมือออกมาแม้แต่ข้าเองก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา!”
เย่ชิงเฟิงถึงกับขมวดคิ้วเข้าหากันหากแม้แต่เย่เทียนสุ่ยยังพูดเช่นนี้ เย่ชิงเฟิงก็อดที่จะสะดุดใจไม่ได้..
“แล้วเจ้าจัดการเช่นใด”
“ข้าไม่ได้พยายามที่ทำตัวเป็นปฏิปักษ์กับเขาแต่พูดคุยกับเขาอย่างเปิดอก และปล่อยให้เขาได้ทุกอย่างตามที่ต้องการไป.. ”
เย่ชิงเฟิงเงยหน้าขึ้นมองเย่เทียนสุ่ยที่อยู่ตรงหน้าพร้อมกับถามขึ้นว่า “เจ้ากับหลิงหยุนพูดคุยกันเรื่องใดบ้าง”
เย่เทียนสุ่ยจึงได้เล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้เย่ชิงเฟิงฟังตั้งแต่หลิงหยุนก้าวเข้าประตูบ่อนของตน จนกระทั่งก้าวเท้าออกไป เขาเล่าทุกคำพูดโดยไม่ตกหล่นแม้แต่คำเดียว..
หลังจากที่ฟังเรื่องราวทั้งหมดจนจบเย่ชิงเฟิงที่นั่งนิ่งฟังด้วยสีหน้าเรียบเฉยมาโดยตลอด ในที่สุดจึงถามขึ้นว่า
“เจ้าดูไม่ออกรึว่าคืนนี้หลิงหยุนตั้งใจที่จะไปหาเรื่องกับเจ้า”
เย่เทียนสุ่ยพยักหน้าหงึกๆพร้อมตอบกลับไปว่า “ไม่เลยท่านลุง! ข้าดูออกตั้งแต่แรกแล้ว และรู้ว่าหากข้าตัดสินใจผิดพลาดแม้แต่นิดเดียว หลิงหยุนคงต้องถล่มบ่อนของข้าราบแน่!”
“เขามาเพื่อทดสอบ..”
เย่ชิงเฟิงยกมือขึ้นห้ามเย่เทียนสุ่ยให้หยุดพูดพร้อมกับแสดงความคิดเห็นของตนเองออกมา
“หลิงหยุนต้องการรู้ว่าตระกูลเย่ของเราแข็งแกร่งเพียงใดและต้องการทดสอบท่าทีของตระกูลเย่ที่มีต่อตระกูลหลิง..” เย่ชิงเฟิงยิ้มออกมาอย่างมีเลศนัยในขณะที่พูดขึ้นว่า“นับว่าเป็นการดีที่ตระกูลเย่ของเราไม่ยื่นมือเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการประลองระหว่างตระกูลหลิงกับตระกูลซัน และตระกูลเฉิน! ทำให้หลิงหยุนไม่สามารถคาดเดาได้..”
“หลิงหยุนกล้าแม้กระทั่งท้าทายหลงฮ่าวหลานและไม่กลัวว่าตระกูลหลงกับตระกูลเย่จะเข้าไปยุ่งกับการประลองในครั้งนี้ นับว่าเป็นเด็กที่ทึ่งไม่น้อย!”
เย่เทียนสุ่ยได้แต่ยกมือขึ้นเกาศรีษะพร้อมกับถามขึ้นด้วยความสงสัย “ท่านลุง.. ข้าไม่เข้าอยู่ดี ด้วยขั้นของหลิงหยุนเวลานี้ เหตุใดเขาจึงกล้ารับคำท้าประลองของสองพันธมิตรอย่างตระกูลซัน และตระกูลเฉิน หนำซ้ำยังไม่เกรงกลัวตระกูลหลงกับตระกูลเย่เช่นนี้!”
“เหตุใดหลิงหยุนจึงกล้าผยองเช่นนี้!”
“นั่นเป็นสิ่งที่เจ้าคิดเอาเองทั้งสิ้น!”
เย่ชิงเฟิงยิ้มเล็กน้อยและคำตอบของเขาก็ทำให้เย่เทียนสุ่ยถึงกับนั่งนิ่งเป็นหิน..
“นั่นเพราะหลิงหยุนมั่นใจว่าไพ่ตายอยู่ในมือน่ะสิ!”
“เจ้าอย่าลืมว่าหลิงหยุนมาจากจิงฉู..และดูเหมือนว่าเวลานี้ทั้งพู่กันจักรพรรดิ และสมุดจักรพรรดิในตำนาน ล้วนแล้วแต่อยู่ในมือของเขาแล้วทั้งสิ้น!”
“ห๊ะ!อะไรนะ?!”
ร่างอ้วนท้วนของเย่เทียนสุ่ยถึงกับสั่นสะท้านและร้องอุทานออกมาเสียงดัง!
“เหตุใดเจ้ายังต้องตื่นเต้นเช่นนี้!เจ้าเองก็คิดเช่นเดียวกับข้าไม่ใช่รึ?!”
เมื่อเห็นเย่เทียนสุ่ยมีสีหน้าท่าทางตกอกตกใจเช่นนั้นเย่ชิงเฟิงจึงถามขึ้นด้วยสีหน้าสงบนิ่ง หลังจากที่ร่างอ้วนท้วนของเย่เทียนสุ่ยค่อยๆสงบลง เขาจึงตอบเย่ชิงเฟิงกลับไปว่า
“ท่านลุงสอง..ข้าเพียงแต่เคยคาดเดาเท่านั้น แต่ไม่กล้าปักใจเชื่อเสียทีเดียว!” “ข้าเองก็เพียงแค่คาดเดาเช่นกัน!”
เย่ชิงเฟิงยังคงนั่งดื่มชาต่อด้วยท่าทีที่สงบนิ่งแล้วจึงพูดต่อว่า “ในโลกยุทธภพ.. มีชาวยุทธผู้ใดบ้างที่ไม่เคยได้ยินคำพูดที่ว่า
‘เมื่อใดก็ตามที่จักรพรรดิแห่งมนุษย์และจักรพรรดิแห่งพิภพถือกำเนิดขึ้นที่จิงฉู เมื่อนั้นใต้หล้าจะมีเพียงผู้เดียวที่ได้ครอบครอง’”
“ไม่ว่าจะสำนักใดธรรมะ หรืออธรรม ทุกคนก็ล้วนแล้วแต่เคยได้ยินมาทั้งสิ้น..”
“แม้หลิงหยุนจะพยายามปกปิดเรื่องนี้ไว้เป็นอย่างดีแต่ก็มีความจริงบางอย่างที่เขาก็ยากจะปกปิดมันไว้ได้ ซึ่งก็คือ.. ความก้าวหน้าที่รวดเร็วอย่างน่าอัศจรรย์จนเกินไปของเขาเอง!”
เย่เทียนสุ่ยรีบร้องถามขึ้นมาทันที“ท่านลุงสอง.. ท่านคงจะมั่นใจอย่างยิ่งว่าพู่กันจักรพรรดิ และสมุดจักรพรรดิล้วนอยู่ที่หลิงหยุนงั้นรึ”
เย่ชิงเฟิงพยักหน้าแต่แล้วก็ส่ายหน้าพร้อมตอบกลับไปว่า “เวลานี้ข้ามั่นใจเพียงแค่หกสิบเปอร์เซ็นต์เท่านั้น..”
เย่เทียนสุ่ยรู้นิสัยของเย่ชิงเฟิงดีว่าเป็นคนที่ระมัดระวังและละเอียดรอบคอบมากเพียงใด หากเขาเชื่อมั่นถึงหกสิบเปอร์เซ็นต์ ย่อมหมายความว่าเรื่องนี้จะต้องมีมูลความจริง และมีแนวโน้มที่จะเป็นจริงได้มาก!
“หากเป็นเช่นนั้นจริงๆ..ตระกูลเย่ของเราควรทำเช่นใด! หรือพวกเราควรหาทางแย่งชิงมาจากหลิงหยุนให้ได้อย่างนั้นรึ?!”
เย่ชิงเฟิงยิ้มพร้อมกับจ้องหน้าเย่เทียนสุ่ยนิ่งก่อนจะตอบไปว่า “หากเจ้าคิดเช่นนี้ เหตุใดจึงไม่พยายามแย่งชิงสมบัติล้ำค่าทั้งสองสิ่งนี้มาจากหลิงหยุนมาตั้งแต่คืนเล่า”
เย่เทียนสุ่ยถอนหายใจพร้อมกับพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ไม่พอใจนัก“ท่านลุง.. เพราะข้ารู้ตัวว่าเวลานี้ข้ายังไม่สามารถเอาชนะหลิงหยุนได้น่ะสิ!”
เย่ชิงเฟิงหัวเราะหึๆหลังจากที่ได้จงใจยั่วโมโหเย่เทียนสุ่ยไปแล้ว เขาจึงเอ่ยชมว่า“เทียนสุ่ย.. คืนนี้เจ้าทำได้ดีมาก! โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ยอมรับว่าเทียนตูคือผู้ที่ลอบสังหารเฉินจิ้งเทียนในคืนนั้น..”
“เรื่องนี้ย้อนกลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้แล้วและไม่มีเหตุผลที่จะต้องปกปิดหลิงหยุน เพราะไม่ว่าอย่างไรเขาก็ต้องสืบรู้จนได้!”
“ตระกูลเย่ของเราเองก็ต้องทดสอบท่าทีของหลิงหยุนเช่นกันโดยเฉพาะอย่างยิ่งท่าทีของเขาที่มีต่อตระกูลเย่หลังจากที่ได้ล่วงรู้ความลับเมื่อหลายปีก่อน พวกเราคงต้องจับตาดูหลิงหยุนไว้ให้ดี!”
เย่เทียนสุ่ยแสยะยิ้มและใบหน้าอ้วนท้วนที่มีแต่ไขมันนั้นก็กระเพื่อมขึ้นทันที และหากผู้ใดมองว่าเย่เทียนสุ่ยเป็นคนโง่ คนผู้นั้นย่อมหลงกลเย่เทียนสุ่ยเข้าแล้ว!
“พู่กันจักรพรรดิและสมุดจักรพรรดิล้วนเป็นสมบัติล้ำค่า หากไม่ถึงเวลาที่จะถือกำเนิดแล้วล่ะก็ ต่อให้เราขุดผืนดินทั่วทั้งเมืองจิงฉูขึ้นดู ก็ไม่มีทางที่จะพบพานได้!”
“สมบัติบางอย่างได้ถูกกำหนดเจ้าของไว้แล้วและหากไม่ได้ถูกกำหนดให้เป็นของตระกูลเย่ ต่อให้ตระกูลเย่สามารถแย่งชิงมาได้ ไม่เพียงจะไม่เกิดประโยชน์ต่อตระกูลเย่ แต่อาจกลายเป็นอันตรายต่อตระกูลเย่ก็เป็นได้!”
เย่ชิงเฟิงกระดกถ้วยชาขึ้นดื่มอีกหนึ่งแก้วจากนั้นจึงถามเย่เทียนสุ่ยว่า “เทียนสุ่ย.. เจ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดหลิงหยุนจึงต้องทำลายตระกูลซันจนสิ้นซากเช่นนี้”
“หากดูผิวเผิน..อาจเห็นว่าเป็นเพราะเรื่องระหว่างซันจิ้งกับเฉิงเม่ยเฟิง จนทำให้อารามจิ้งซินนำตัวเฉิงเม่ยเฟิงไป หรืออาจเป็นเพราะตระกูลซันได้ทำเรื่องไร้สาระอย่างการกลั่นแกล้งให้หลิงหยุนได้คะแนนสอบเอนทรานซ์เป็นศูนย์..”
“แต่นั่นคือมุมมองของคนทั่วไปไม่ใช่มุมมองของผู้บ่มเพาะตนเช่นข้า! แม้หลิงหยุนจะดูเหมือนเป็นเด็กหนุ่มเลือดร้อน แต่เขาก็ไม่เคยล้ำเส้นผู้ใด และหากมีความขัดแย้งเกิดขึ้น หากสามารถแก้ไขได้ เขาก็จะรีบแก้ไขทันที..” “แต่ตระกูลซันได้เคยส่งยอดฝีมือไปเมืองจิงฉูเพื่อค้นหาพู่กันจักรพรรดิและสมุดจักรพรรดิอย่างเปิดเผย และแสดงออกอย่างชัดเจนว่าต้องการได้มาครอบครอง..”
“….”
เย่เทียนสุ่ยถึงกับนิ่งอึ้งเมื่อได้ฟังการวิเคราะห์ที่ลึกซึ้งของเย่ชิงเทียน..
อย่าว่าแต่เย่เทียนสุ่ยที่ถึงกับพูดไม่ออกหากหลิงหยุนอยู่ในที่นี้ด้วย เขาก็คงต้องลุกขึ้นปรบมือให้กับการวิเคราะห์ที่ลึกซึ้งของเย่ชิงเฟิงในครั้งนี้..
“แต่ไม่แน่ว่า..การที่หลิงหยุนตัดสินใจทำไปเช่นนั้น เขาอาจจะไม่รู้ตัวด้วยซ้ำไป แต่ทำไปตามความรู้สึกลึกๆที่เรียกร้องเท่านั้น!”
หลังจากที่หายตกตะลึงเย่เทียนสุ่ยก็ถามขึ้นว่า “ท่านลุง.. เช่นนี้แล้วท่านคิดอ่านเช่นไรนับจากนี้”
เย่ชิงเฟิงเพียงแค่หัวเราะและดื่มชาด้วยท่าทางสงบนิ่ง แต่ไม่ตอบอะไร.. เมื่อเห็นเย่ชิงเฟิงเอาแต่นิ่งเงียบเช่นนี้เย่เทียนสุ่ยก็อดที่จะท้วงขึ้นอย่างกระวนกระวายใจไม่ได้
“ท่านลุงสอง..ว่าอย่างไร!”
“พวกเราก็แค่นิ่งรอดูต่อไป..”
ในที่สุดเย่ชิงเฟิงก็เอ่ยปากพูดออกไปว่า“เจ้าอย่าได้ร้อนใจไปนัก! อย่าลืมว่ายังมีตระกูลหลงอยู่อีก พวกเรายังต้องนิ่งดูท่าทีของตระกูลหลงก่อนเช่นกัน จะได้สามารถตอบโต้ไปในทางเดียวกันได้..”
“ไม่ว่าสมุดจักรพรรดิและพู่กันจักรพรรดิจะถือกำเนิดขึ้นแล้วหรือไม่ก็ตาม ความจริงเรื่องนี้ส่งผลกระทบต่อตระกูลเย่ของเราน้อยมาก แต่กลับส่งผลกระทบต่อตระกูลหลงมากเลยทีเดียว!”
“มังกรในโลกนี้มีหลายเผ่าพันธุ์และมังกรตามความคิดของชาวตะวันตก ก็แตกต่างจากมังกรตามความเชื่อและตำนานของพวกเราชาวจีนอย่างมาก!” “ชาวจีนนั้นเชื่อว่ามังกรมีความเกี่ยวพันกับองค์จักรพรรดิซึ่งในถือว่าเป็นโอรสสวรรค์อย่างแท้จริง!”
“เจ้าดูแต่ละสถานที่ที่ตระกูลหลงอยากครอบครองสิ..มีทั้งสุสานฉินซีหวงซึ่งเวลานี้ผู้ที่ดูแลปกป้องก็คือตระกูลฉิน กำแพงเมืองจีนที่ดูแลปกป้องโดยสำนักกระบี่คุนหลุน..”
“ตั้งแต่อดีตมา..ตระกูลหลงมักส่งคนไปตามสุสานขององค์จักรพรรดิแทบทุกพระองค์ อีกทั้งยังไปทุกที่ที่มีการกักเก็บปราณมังกร”
“และหากหลิงหยุนเป็นผู้ครอบครองพู่กันจักรพรรดิและสมุดจักรพรรดิ ซึ่งเสมือนสมบัติอันป็นมรดกตกทอดจากจักรพรรดิในอดีตทั้งสามพระองค์เช่นนี้ เจ้าคิดดูว่าตระกูลเย่ หรือตระกูลหลงจะร้อนใจมากกว่ากันเล่า”
เย่เทียนสุ่ยพยักหน้าอย่างเข้าใจและรีบตอบกลับไปทันที “ย่อมเป็นตระกูลหลง!”
“ท่านลุงสอง..เหตุใดวันนี้ท่านจึงได้พูดเรื่องนี้กับข้า!” ในฐานะคุณชายใหญ่แห่งตระกูลเย่เย่เทียนสุ่ยย่อมเคยได้ยินได้ฟังเรื่องราวเกี่ยวกับพู่กันจักรพรรดิ และสมุดจักรพรรดิมาบ้าง แต่ครั้งนี้เย่ชิงเฟิงซึ่งเป็นผู้นำตระกูลเย่ เป็นผู้ที่พูดคุยกับตนในเรื่องนี้ด้วยตัวเอง อีกทั้งข้อความที่พูดคุยยังลึกซึ้งกว่าธรรมดาอีกด้วย
เย่ชิงเฟิงยิ้มและตอบกลับไปว่า“ข้าบอกเจ้าไปแล้วก่อนหน้านี้ไม่ใช่รึ คืนนี้เจ้าทำงานได้ดีมาก!”
“คืนนี้หลิงหยุนจงใจไปหาเรื่องเจ้าถึงที่บ่อนแต่เจ้ากลับสามารถอดทนอดกลั้น และแก้ปัญหาได้เป็นอย่างดีโดยไม่มีผลร้ายตามมาเช่นนี้ ข้าชื่นชมเจ้ามาก เพราะเจ้าได้แสดงให้ข้าเห็นแล้วว่าเจ้าพร้อมที่จะทำงานใหญ่ได้แล้ว!”
เย่เทียนสุ่ยยกมือขึ้นเกาศรีษะพร้อมตอบกลับไปว่า“ท่านลุงสอง.. ท่านกล่าวชมข้าเกินไป! เพราะความจริงแล้วข้าเองก็เกือบจะทนไม่ได้เช่นกัน!”
“ข้ารู้..ไม่ง่ายเลยที่จะอดทนได้ถึงเพียงนั้น”
เย่ชิงเฟิงพยักหน้ารับรู้และพูดต่อด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ที่ข้าพูดมาตั้งมากมายนั้น ก็เพื่อจะบอกว่าประเทศจีนกำลังจะเกิดการเปลี่ยนแปลง!”