Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร - บทที่ 1218 : มังกรยาวหมื่นลี้!
จู่ๆหลิงซิ่วก็กระโดดมายืนตรงหน้าหลิงหยุน พร้อมกับทำสีหน้าขมึงทึง นั่นเพราะหลิงหยุนมารบกวนการฝึกวิชาของนางนั่นเอง
หลิงหยุนเห็นเช่นนั้นจึงรีบโบกไม้โบกมือไล่อีกาทองคำที่กำลังส่งเสียงร้องอยู่บนท้องฟ้าให้บินออกไป แต่อีกาทองคำนั้นรู้ดีว่าคนตระกูลหลิงจะไม่ทำร้ายมัน ทันทีที่เห็นหลิงหยุนยกมือขึ้นโบก มันจึงบินร่อนลงมาเกาะที่แขนของเขาแทนที่จะบินหนีไป..
“เจ้าทองใหญ่..เจ้ามาอาศัยอยู่ในบ้านของข้า แต่กลับส่งเสียงร้องดังรบกวนสมาชิกในบ้านเช่นนี้ ข้าจะทำโทษเจ้าเช่นไรดี” หลิงหยุนทำเสียงตำหนิ..
ในเมื่อเหมี่ยวเสี่ยวเหมาเรียกดักแด้ทองคำของตนว่าเจ้าทองอ้วนหลิงหยุนจึงเรียกอีกาทองคำว่าเจ้าทองใหญ่เพื่อให้คล้องจองกัน..
เจ้าทองใหญ่เกาะอยู่บนแขนของหลิงหยุนดวงตาสีทองของมันจ้องมองหลิงหยุนไม่กระพริบ และด้วยความเฉลียวฉลาดที่ดูเหมือนจะเข้าใจภาษาคน มันจึงทำตามที่หลิงหยุนบอกแต่โดยดี..
หลิงหยุนยิ้มออกมาอย่างมีความสุขพร้อมกับสั่งว่า“เอาล่ะ.. ในเมื่อเข้าใจคำพูดของข้า ในเมื่อเจ้าอิ่มแล้วก็ไปได้!”
พูดจบหลิงหยุนก็ยกแขนขึ้นแล้วเจ้าทองใหญ่ก็ขยับปีกบินขึ้นไปบนท้องฟ้าทันที..
“พี่หลิงซิ่ว..ยินดีด้วย! ท่านเข้าสู่ระดับสูงสุดขั้นเซียงเทียน-5 แล้ว!”
หลังจากที่สั่งอีกาทองคำให้บินไปที่อื่นแล้วหลิงหยุนก็หันไปแสดงความยินดีกับหลิงซิ่วทันที..
ในบรรดาเหล่าทายาทรุ่นเล็กของตระกูลหลิงนั้นหลิงซิ่วเป็นผู้ที่ก้าวหน้าได้รวดเร็วที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวันที่ได้รับปราณอมตะเสวียนหวงเข้าไป นางก็สามารถเข้าสู่ระดับสูงสุดขั้นเซียงเทียน-3 ได้ในทันที และเวลานี้ก็สามารถเข้าสู่ด่านกลางของขั้นเซียงเทียนได้แล้ว..
เหล่าสมาชิกตระกูลหลิงต่างก็ได้ดูดซับเอาของขวัญที่ต้นหลิวเทวะวิญญาณปลดปล่อยออกมาให้อย่างเท่าเทียมกันแต่ที่หลิงซิ่วก้าวหน้าได้รวดเร็วกว่าผู้อื่นนั้น เป็นเพราะเมื่อครั้งที่หลิงหยุนมาปักกิ่งครั้งแรก และได้ใช้ปราณเสวียนหวงจากหลิวเทวะช่วยให้หลิงลี่พัฒนาขั้นนั้น หลิงซิ่วก็อยู่ในเหตุการณ์ด้วย นางจึงได้ดูดซับเอาปราณเสวียนหวงที่หลิงลี่ดูดซับเข้าไปได้ไม่หมดเข้าไปนั่นเอง..
นับว่าหลิงซิ่วก้าวหน้าได้รวดเร็วกว่าหลิงหย่งซึ่งเวลานี้อยู่ในระดับสูงสุดขั้นเซียงเทียน-4!
“ฮึ่ม!”
แม้หลิงหยุนจะเอ่ยชื่นชมแต่หลิงซิ่วก็ยังคงทำเสียงฮึมฮัมในลำคออย่างไม่พอใจ ก่อนจะเอื้อมมือออกไปลากแขนหลิงหยุนให้เดินตามเข้าไปบ้าน ระหว่างที่เดินก็ร้องตะโกนถามออกไปว่า
“นี่เจ้ากลับบ้านได้แล้วรึ” หลิงหยุนรีบร้องบอกหลิงซิ่วตามความเป็นจริง..
“พี่หลิงซิ่ว..ข้านั่งเล่นไพ่อยู่ในบ่อนของเย่เทียนสุ่ย แล้วได้พบสหายเก่าเข้าโดยบังเอิญ ก็เลยไปนั่งดื่มกันต่อที่บาร์ในซานหลี่ถุน!”
หลิงซิ่วหันขวับไปมองหน้าหลิงหยุนพร้อมกับร้องตะโกนถามกลับไปทันที “นี่เจ้าไปเล่นไพ่ในบ่อนของเจ้าหมูอ้วนด้วยรึ! แล้วสหายเก่าที่ว่าเป็นใครกัน?!”
“นางชื่อเซิ่งหยิงหยิงเป็นลูกสาวของโคตรเซียนอันดับหนึ่งเซิ่งลิ่วฉี!เจ้าเองก็น่าจะเคยได้ยินชื่อของนางมาบ้าง ข้ากับนางเคยพบกันที่จิงฉูมาก่อน..”
“อ่อ..ที่แท้ก็เป็นนางเองงั้นรึ!”
หลิงซิ่วจ้องมองหลิงหยุนอย่างมีเลศนัยจนหลิงหยุนต้องร้องถามออกไป “เหตุใดเจ้าต้องมองข้าด้วยสายตาเช่นนี้.. มีอะไรรึ!”
“ในบรรดาสาวงามทั้งสิบแห่งปักกิ่งเซิ่งหยิงหยิงก็คือสาวงามอันดับหนึ่งยังไงล่ะ คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะรู้จักกับนางก่อนแล้ว!”
หลิงหยุนถึงกับพูดอะไรไม่ออกเมื่อได้ยินว่าเซิ่งหยิงหยิงคือสาวงามอันดับหนึ่งแห่งปักกิ่งแต่จะว่าไปความงดงามของนางก็เหมาะสมกับตำแหน่งนี้ไม่น้อย
“นี่เจ้าเด็กแสบ..ดูท่าเมื่อครั้งที่อยู่จิงฉูเจ้าคงจะมีอีกหลายเรื่องที่ปิดบังพี่สาวอย่างข้าสินะ!”
หลิงซิ่วแสยะยิ้มและบอกกับหลิงหยุนว่า“แต่ข้าขอเตือนเจ้าไว้ก่อน.. ความสามารถในการเล่นพนันของเซิ่งหยิงหยิงนับว่าล้ำเลิศมาก แม้แต่เจ้าเองก็คงจะยากที่จะเอาชนะนางได้..”
“แต่ข้ากลับไม่คิดเช่นนั้น”หลิงหยุนตอบกลับหลิงซิ่วทันที
แต่ดูเหมือนหลิงซิ่วจะไม่สนใจเรื่องของเซิ่งหยิงหยิงสักเท่าไหร่นางดึงแขนหลิงหยุนมาเพื่อที่จะสอบถามเรื่องสำคัญ “แล้วเรื่องที่ข้าสั่งให้เจ้าจัดการกับเจ้าหมูอ้วนนั่นล่ะ!”
“พี่หลิงซิ่ว..ต่อให้เย่เทียนสุ่ยอ้วนแบบนั้น เจ้าก็ไม่ควรไปเรียกเขาว่าเจ้าหมูอ้วน!”
หลิงซิ่วกระพริบตางุนงงพร้อมถามกลับไปว่า“หมอนั่นอ้วนถึงเพียงนั้น ไม่ให้ข้าเรียกเขาว่าหมูอ้วน เจ้าจะให้ข้าเรียกเขาว่าอะไร”
หลิงหยุนตอบกลับด้วยสีหน้าจริงจัง“พี่หลิงซิ่ว.. มีบางเรื่องที่เจ้าเองก็ยังไม่รู้ ที่เย่เทียนสุ่ยมีร่างกายอ้วนเช่นนั้น เป็นผลจากการฝึกวิชากระบี่ไท่จี๋ และเขาก็ไม่ได้แข็งแกร่งน้อยไปกว่าข้าเลย!”
“อะไรนะ!”
หลิงซิ่วถึงกับร้องอุทานออกมาด้วยความตกใจเดิมทีนางคิดว่าเย่เทียนสุ่ยเป็นเพียงแค่เด็กหนุ่มเพลย์บอยรักสนุกไม่เอาถ่านคนหนึ่งเท่านั้น แต่เมื่อได้ฟังเรื่องที่อีกฝ่ายปกปิดไว้ ก็ถึงกับตกตะลึง..
หลิงหยุนขยิบตาให้หลิงซิ่วพร้อมกับพูดหยอกเย้า“นี่พี่หลิงซิ่ว.. เจ้าเริ่มสนใจเย่เทียนสุ่ยขึ้นมาแล้วสิ!”
“เจ้าอย่าได้พูดจาเพ้อเจ้อ!”
หลิงซิ่วร้องตะโกนต่อไปว่า“ต่อให้เย่เทียนตูกับเย่เทียนเฟิงมายืนอยู่ต่อหน้าข้า ข้าก็ไม่ได้รู้สึกสนใจเลยแม้แต่น้อย!”
หลิงหยุนหัวเราะออกมาอย่างอารมณ์ดี“พี่หลิงซิ่ว.. ดูท่าเย่เทียนสุ่ยจะหลงรักเจ้ามากจริงๆ เมื่อคืนข้าจงใจข่มเหงเขารังแกเขามากมาย แต่ไม่ว่าเรื่องอะไรเขาก็ยอมข้าโดยไม่มีเงื่อนไข..”
“แต่พอเป็นเรื่องของเจ้า..เขากลับไม่ยอม พร้อมกับยืนยันว่าต่อให้ตาย เขาก็จะไม่ยอมเลิกชอบเจ้า.. โอ้!”
“นี่เจ้าเด็กตัวแสบ..หากเจ้ายังกล้าพูดอีกแม้แต่คำเดียว ข้าจะตัดลิ้นเจ้าทิ้งซะ!”
หลิงซิ่วร้องห้ามหลิงหยุนด้วยน้ำเสียงที่โกรธเกรี้ยว“แม้แต่เจ้ายังจัดการกับเย่เทียนสุ่ยไม่ได้รึ!” หลิงหยุนยิ้มและตอบกลับไปว่า“พี่หลิงซิ่ว.. จะให้ข้าทำเช่นใดในเมื่อเหตุผลของเขาเหนือกว่าข้า..”
“เหตุผลอะไรกัน!”
“การชื่นชอบใครสักคนไม่ใช่ความผิดไม่ใช่รึ!”
หลิงหยุนทำน้ำเสียงจริงจังจนหลิงซิ่วทนไม่ได้ และยื่นมือออกไปบิดหูหลิงหยุนพร้อมกับถามขึ้นว่า “เจ้ายังกล้าพูดเช่นนี้อีกรึ”
หลิงหยุนถึงกับต้องร้องขอความเมตตาและในที่สุดสองพี่น้องก็เดินมาถึงบ้านของหลิงซิ่ว หลิงซิ่วนั่งลงและสั่งหลิงหยุนว่า
“เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้ให้ข้าฟังอย่างละเอียด..”
…..
“แต่การชื่นชอบใครสักคนก็ไม่ใช่ความผิดไม่ใช่รึ!”
ในขณะที่หลิงหยุนพูดประโยคนี้กับหลิงซิ่วในอีกมุมของปักกิ่งเด็กสาวคนหนึ่งก็กำลังพูดประโยคเดียวกันนี้กับพ่อของตน..
เซิ่งหยิงหยิงบอกกับผู้เป็นพ่อด้วยสีหน้าที่ราบเรียบ..
การชื่นชอบใครสักคนไม่จำเป็นต้องจบลงด้วยการครองคู่กันเสมอไป เพียงแค่ได้ชื่นชอบฝ่ายเดียวก็เพียงพอแล้ว..
เซิ่งลิ่วฉีได้แต่ถอนหายใจและยังไม่คิดที่จะห้าม หรือรั้งเซิ่งหยิงหยิงไว้ เพราะเขารู้จักนิสัยของบุตรสาวดี หากคิดที่จะทำอะไรแล้ว ต่อให้เอาช้างมาฉุดก็ยากที่จะฉุดรั้งนางไว้ได้..
เซิ่งลิ่วฉีจ้องมองเซิ่งหยิงหยิงพร้อมกับพูดออกมาด้วยความหนักใจ“ข้าเกรงว่ามันจะหนักหนาเกินกว่าที่เจ้าจะรับไหวน่ะสิ!”
“แต่ข้าไม่กลัว..”
เซิ่งหยิงหยิงตอบกลับไปทันทีจากนั้นจึงลุกขึ้นวิ่งกลับไปที่ห้องนอนของตนเอง แต่วิ่งไปได้เพียงครึ่งทางก็หันมาพูดกับเซิ่งลิ่วฉีผู้เป็นพ่อ
“ท่านพ่อ..ท่านเคยบอกข้าว่าในโลกนี้มีคนบางคนเกิดมาพร้อมกับพลังเหนือธรรมชาติ เมื่อก่อนข้าไม่เคยเชื่อ แต่ตอนนี้ข้าเชื่อแล้ว!”
เซิ่งลิ่วฉีได้ยินคำพูดของบุตรสาวจึงได้แต่เงยหน้าขึ้นมองเซิ่งหยิงหยิงที่วิ่งกลับขึ้นไปบนห้อง และได้แต่พึมพำกับตัวเองว่า
“เฮ้อ..พลังเหนือธรรมชาติงั้นรึ! ข้าเกรงว่ามันจะไม่ใช่แค่นั้นน่สิ!”
……
เช้าวันที่8 กันยายน เวลาเก้าโมงตรง.. ทุกคนต่างก็ไปถึงกำแพงเมืองจีนปาต๋าหลิงซึ่งเป็นจุดชมวิวที่มีชื่อเสียงของเมืองปักกิ่ง
หลิงหยุนโม่วู๋เตา หนิงหลิงยู่ ฉีเสี่ยวชิง หลิงซิ่ว หลิงซวี่ ทั้งหกคนต่างกออกเดินทางโดยรถบัสคันหรูของตระกูลหลิงเช่นเคย
วันนี้จำนวนคนลดลงจากที่ไปพระราชวังต้องห้ามถึงครึ่งหนึ่งเพราะถังเมิ่งเองก็ยังคงหลับอยู่ ส่วนตี้เสี่ยวอู๋ก็ตั้งใจฝึกฝนวิชา ในขณะที่พี่ชายน้องชายของหลิงหยุนต่างก็ไปช่วยฝึกวรยุทธให้กับศิษย์สำนักหมอสวรรค์ทั้งเจ็ดสิบสองคน..
ส่วนเกาเฉินเฉินกับฉางหลิงนั้นก็กลับไปค้างที่บ้านตระกูลเกาสองคืน..
หลิงหยุนคิดว่าโม่วู๋เตาคงจะไม่ไปด้วยเพราะเมื่อคืนกว่าจะได้นอนก็รุ่งเช้าแต่กลับคิดไม่ถึงว่าโม่วู๋เตาจะตื่นมาตั้งแต่เจ็ดโมงเช้า และดูเหมือนจะตื่นเต้นกับการได้ไปปีนกำแพงเมืองจีนมากกว่าการไปเยี่ยมชมพระราชวังต้องห้ามเสียอีก..
ในเช้าของฤดูใบไม้ร่วงเช่นนี้..อากาศจึงค่อนข้างแจ่มใส และท้องฟ้าก็ปลอดโปร่ง..
“บนนี้อากาศเย็นทีเดียว..”
เพียงแค่เดินลงจากรถบัส..หลิงหยุนก็สัมผัสได้ถึงอากาศที่เย็นขึ้น จึงได้แต่พึมพำออกมาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
แม้หลิงหยุนจะอยู่ในระดับสูงสุดขั้นซานฉางชี่(ขั้นพลังชี่-3) และฝึกวิชาดาราคุ้มกายถึงระดับย่อยที่สิบสี่ ต่อให้ร่างกายของเขาไม่สะทกสะท้านต่อไปหรือน้ำ แต่ก็ใช่ว่าจะไม่สามารถรับรู้อุณหภูมิร้อนหนาวได้..
ตรงกันข้าม..เวลานี้ประสาทสัมผัสทั้งห้าของหลิงหยุนกลับละเอียดอ่อนกว่าคนธรรมดามากนัก หากอุณหภูมิรอบตัวเปลี่ยนแปลงไปแม้เพียงเล็กน้อย เขาก็จะสามารถรับรู้ได้ทันที
“แน่นอนอยู่แล้ว!อุณหภูมิบนเขาก็ต้องต่ำกว่าอุณหภูมิในเมืองน่ะสิ!”
หลิงซิ่วที่ชอบขัดคอหลิงหยุนพูดขึ้นมาพร้อมกับแนะนำให้ฉีเสี่ยวชิงสวมเสื้อกันหนาว..
ในบรรดาทั้งหกคนที่มานั้นล้วนแล้วแต่ฝึกฝนกำลังภายในทั้งสิ้น มีเพียงฉีเสี่ยวชิงเท่านั้นที่เป็นเพียงหญิงสาวธรรมดาสามัญ
ฉีเสี่ยวชิงเอ่ยขอบคุณหลิงซิ่วและสวมเสื้อกันหนาวทันที ตั้งแต่มาถึงปักกิ่งนั้นฉีเสี่ยวชิงก็แทบจะไม่ค่อยพูดค่อยจา เธอเพียงแค่คอยมองทุกอย่างที่พบเห็นอย่างเงียบๆ และคอยซึมซับสิ่งที่ได้ยิน และได้เห็นแปลกใหม่รอบตัว
หลิงหยุนเองก็ไม่ได้แสดงความเอาใจใส่ฉีเสี่ยวชิงอย่างออกหน้าออกตา..
“น่าแปลก!ในข้อมูลจากอินเทอร์เน็ตบอกไว้ว่าช่วงนี้เป็นฤดูท่องเที่ยวของกำแพงเมืองจีนปาต๋าหลิง แต่เหตุใดจึงไม่มีนักท่องเที่ยวเลยแม้แต่คนเดียว!”
โม่วู๋เตายังคงสวมชุดนักพรตและในมือก็ถือแส้สะบัดไปมา หลังจากที่สังเกตเห็นว่ามีเพียงรถบัสของพวกตนเท่านั้นที่จอดอู่ จึงอดที่จะถามออกมาด้วยความประหลาดใจไม่ได้
“นี่พวกเราไม่ได้มาผิดที่ใช่หรือไม่”
แต่หลังจากที่สังเกตเห็นสายตาของหลิงหยุนโม่วู๋เตาจึงถามออกไปด้วยความงุนงง..
“ข้าพูดอะไรผิดงั้นรึ!”
หลิงหยุนยิ้มหยันก่อนจะตอบไปว่า“ที่ไม่มีคนมาเที่ยวที่นี่ก็เพราะวันนี้มีแขกสำคัญมาเยี่ยมชมกำแพงเมืองจีนปาต๋าหลิงน่ะสิ!”
โม่วู๋เตารีบถามต่อทันที“แขกสำคัญที่ใหนกัน! แล้วพวกเราไม่สำคัญงั้นรึ?!”
หลิงหยุนกรอกตามองโม่วู๋เตาพร้อมตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหน่าย“เจ้านักพรตโง่.. ก็พวกเราไงเล่าแขกคนสำคัญ!”
หญิงสาวหน้าตางดงามทั้งสี่คนได้ยินก็ถึงกับหัวเราะออกมา..
“ห๊ะ!นี่หมายความว่าวันนี้จะมีเฉพาะพวกเราเท่านั้นรึ?!”
หลิงหยุนพยักหน้า“เอาล่ะ.. รีบขึ้นไปดูกันดีกว่า!”
หลังจากที่ทุกคนตกลงกันได้ว่าวันนี้จะมาเที่ยวกำแพงเมืองจีนปาต๋าหลิงเกาเฉินเฉินก็ได้ขอให้ปู่ของนางใช้สิทธิพิเศษเล็กๆน้อยๆ
–ยินดีต้อนรับคณะแขกผู้มีเกียรติเข้าเยี่ยมชมกำแพงเมืองจีนปาต๋าหลิง..-
หลิงหยุนหันไปเห็นป้ายที่เขียนต้อนรับคณะของพวกตนติดไว้ที่ใกล้กับจุดจำหน่ายบัตรและหลิงหยุนก็เพียงแค่แจ้งชื่อของตนเพื่อเข้าไปเยี่ยมชมเท่านั้น แต่ไม่ขอรับสิ่งอื่นๆที่ทางเจ้าหน้าที่ได้จัดเตรียมไว้ให้
หลิงหยุนบอกกับเจ้าหน้าที่ว่า“พวกเราจะขึ้นไปเยี่ยมชมเท่านั้น อีกสองชั่วโมงก็จะลงมา..”
หลังจากนั้นหลิงหยุนกับคนอื่นๆก็เดินขึ้นกำแพงเมืองจีนไป..
“พี่หลิงซิ่ว..ข้ากับโม่วู๋เตาจะขึ้นไปก่อน พวกเจ้ากับคนอื่นๆ ก็ค่อยๆเดินตามขึ้นไปล่ะ ไม่ต้องรีบร้อน!”
หลังจากที่หลิงหยุนร้องบอกหลิงซิ่วแล้วเขาก็เหลือบมองโม่วู๋เตาเป็นการส่งสัญญาณ จากนั้นชายหนุ่มทั้งสองคนก็วิ่งแข่งกันขึ้นไปอย่างรวดเร็ว
“นี่พวกเจ้าสองคนคิดที่จะทำอะไรกันแน่!”
หลิงซิ่วร้องตะโกนไล่หลังชายหนุ่มทั้งคู่ไปจากนั้นจึงหันไปพูดกับหญิงสาวทั้งสามคนว่า “พวกเราอย่าไปสนใจพวกเขาเลย ไปเดินหาวิวถ่ายรูปกันดีกว่า!” ภายในเวลาเพียงแค่สองสามนาทีทั้งหลิงหยุนกับโม่วู๋เตาต่างก็วิ่งขึ้นไปถึงจุดสูงสุดได้โดยไม่ต้องใช้วิชาตัวเบาใดๆ
“นี่น่ะหรือกำแพงเมืองจีนที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นหนึ่งในแปดสิ่งมหัศจรรย์ของโลก!”
นี่คือประโยคแรกที่หลุดออกมาจากปากของหลิงหยุนทันทีที่เขาขึ้นไปยืนอยู่บนจุดสูงสุดของกำแพงเมืองจีนแห่งนี้..
หลิงหยุนทอดสายตามไปตามเส้นทางที่โค้งขึ้นโค้งลงของกำแพงเมืองจีนที่ยิ่งใหญ่ดูช่างคล้ายคลึงกับมังกรตัวใหญ่ ที่กำลังเลื้อยขึ้นเลื้อยลงไปตามภูเขาลูกแล้วลูกเล่า ช่างเป็นภาพที่งดงามตระการตายิ่งนัก..
โม่วู๋เตาเองก็ยังคงยืนนิ่งจ้องมองทัศนียภาพรอบๆตัวโดยไม่พูดไม่จา..
“วู๋เตา..เจ้ายืนดูอยู่ตรงนี้ไปก่อน ข้าจะเดินไปดูรอบๆเสียหน่อย!”
หลังจากพูดจบหลิงหยุนก็ใช้วิชาเงาลวงตาหายไปทันทีและร่างของเขาก็ไปปรากฏอยู่อีกหนึ่งร้อยเมตรด้านหน้า..
“หลิงหยุน..นับวันเจ้าก็ยิ่งทำให้ข้ารู้สึกทึ่งมากขึ้น!”
โม่วู๋เตาพึมพำกับตัวเองในระหว่างที่จ้องมองร่างของหลิงหยุนที่หายวับไปกับตา..
กำแพงเมืองจีนปาต๋าหลิงในสายตาของคนธรรมดาทั่วไปก็เป็นเพียงแค่สถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียง ซึ่งเหล่านักท่องเที่ยวจะนิยมมาเยี่ยมชม และถ่ายรูปกลับไปเป็นที่ระลึก..
แต่ในสายตาของหลิงหยุนกับโม่วู๋เตานั้น..กำแพงเมืองจีนแห่งนี้กลับเสมือนชีพจรมังกรขนาดใหญ่ แม้กระนั้นทั้งคู่ก็ยังจดจ่ออยู่กันคนละเรื่อง โม่วู๋เตากำลังชื่นชมกับฮวงจุ้ยของสถานที่แห่งนี้ ในขณะหลิงหยุนกำลังสนใจปราณมังกรที่อยู่โดยรอบ
เพราะหากจะพูดไปแล้ว..ในโลกบ่มเพาะที่หลิงหยุนจากมานั้น มีกำแพงที่สูงใหญ่ และยาวกว่ากำแพงเมืองจีนนี้หลายเท่านัก กำแพงเมืองจีนนี้จึงไม่ได้ทำให้หลิงหยุนรู้สึกตื่นตาตื่นใจอะไร.. แต่หลิงหยุนกำลังสนใจอยู่กับภูเขาและแม่น้ำของสถานที่แห่งนี้ ซึ่งเสมือนชีพจรมังกร!
เวลานี้..ร่างกายของหลิงหยุนแตกต่างจากก่อนหน้านี้มาก เพราะเมื่อวานเขาเพิ่งได้ดูดซับเอาปราณราชามังกรจากพระราชวังต้องห้ามเข้าไปจนหมด!
สำหรับผู้ที่มีปราณราชามังกรอัดแน่นอยู่เต็มร่างกายดังเช่นหลิงหยุนนั้นทำให้เขาสามารถมองเห็นชีพจรมังกรขนาดใหญ่นี้ได้อย่างชัดเจน!
และเวลานี้หลิงหยุนก็สัมผัสได้อย่างชัดเจนว่า‘มังกรทอง’ ในจุดตันเถียนของตนนั้น กำลังขยับตัวไปมา และกำลังดูดซับเอาปราณมังกรเข้าไปอย่างมีความสุข..
หลังจากผ่านไปเพียงแค่ไม่กี่นาที..หลิงหยุนก็กลับไปหาโม่วู๋เตา และสัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงของมังกรทองในจุดตันเถียน ซึ่งแม้จะไม่มากแต่ก็สามารถสัมผัสได้อย่างชัดเจน! “เจ้าเห็นอะไรบ้าง!”
หลังจากที่ยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่งในที่สุดหลิงหยุนก็หันไปถามโม่วู๋เตา..
โม่วู๋เตาตอบกลับยิ้มๆ“ชีพจรมังกรขนาดใหญ่..”
หลิงหยุนยิ้มพร้อมกับสำทับว่า“ในความเห็นของข้า.. ที่นี่นอกจากจะเป็นชีพจรมังกรขนาดใหญ่แล้ว แต่ยังเป็นมังกรที่มีความยาวกว่าหนึ่งหมื่นลี้ด้วย..”
“ในตำราเรียนของข้าเขียนไว้ว่า..กำแพงเมืองจีนนี้สร้างในสมัยราชวงศ์ฉิน เพื่อป้องกันชาวมองโกลที่จะบุกรุกเข้ามา เจ้าเชื่อตามตำราหรือไม่”
“….”
โม่วู๋เตานิ่งเงียบไม่ตอบหลิงหยุนจึงพูดต่อว่า “ในความเห็นของข้า แค่ภูเขาสูงทางตอนเหนือนี้ก็สามารถป้องกันเหล่าทหารม้าได้แล้ว การสร้างกำแพงที่สูงถึงเพียงนี้ขึ้นมาเพื่อวัตถุประสงค์นี้ ข้ารู้สึกว่ามันไม่ใช่เรื่องที่จำเป็นนัก..”
หลิงหยุนเห็นเช่นนั้นจึงรีบโบกไม้โบกมือไล่อีกาทองคำที่กำลังส่งเสียงร้องอยู่บนท้องฟ้าให้บินออกไป แต่อีกาทองคำนั้นรู้ดีว่าคนตระกูลหลิงจะไม่ทำร้ายมัน ทันทีที่เห็นหลิงหยุนยกมือขึ้นโบก มันจึงบินร่อนลงมาเกาะที่แขนของเขาแทนที่จะบินหนีไป..
“เจ้าทองใหญ่..เจ้ามาอาศัยอยู่ในบ้านของข้า แต่กลับส่งเสียงร้องดังรบกวนสมาชิกในบ้านเช่นนี้ ข้าจะทำโทษเจ้าเช่นไรดี” หลิงหยุนทำเสียงตำหนิ..
ในเมื่อเหมี่ยวเสี่ยวเหมาเรียกดักแด้ทองคำของตนว่าเจ้าทองอ้วนหลิงหยุนจึงเรียกอีกาทองคำว่าเจ้าทองใหญ่เพื่อให้คล้องจองกัน..
เจ้าทองใหญ่เกาะอยู่บนแขนของหลิงหยุนดวงตาสีทองของมันจ้องมองหลิงหยุนไม่กระพริบ และด้วยความเฉลียวฉลาดที่ดูเหมือนจะเข้าใจภาษาคน มันจึงทำตามที่หลิงหยุนบอกแต่โดยดี..
หลิงหยุนยิ้มออกมาอย่างมีความสุขพร้อมกับสั่งว่า“เอาล่ะ.. ในเมื่อเข้าใจคำพูดของข้า ในเมื่อเจ้าอิ่มแล้วก็ไปได้!”
พูดจบหลิงหยุนก็ยกแขนขึ้นแล้วเจ้าทองใหญ่ก็ขยับปีกบินขึ้นไปบนท้องฟ้าทันที..
“พี่หลิงซิ่ว..ยินดีด้วย! ท่านเข้าสู่ระดับสูงสุดขั้นเซียงเทียน-5 แล้ว!”
หลังจากที่สั่งอีกาทองคำให้บินไปที่อื่นแล้วหลิงหยุนก็หันไปแสดงความยินดีกับหลิงซิ่วทันที..
ในบรรดาเหล่าทายาทรุ่นเล็กของตระกูลหลิงนั้นหลิงซิ่วเป็นผู้ที่ก้าวหน้าได้รวดเร็วที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวันที่ได้รับปราณอมตะเสวียนหวงเข้าไป นางก็สามารถเข้าสู่ระดับสูงสุดขั้นเซียงเทียน-3 ได้ในทันที และเวลานี้ก็สามารถเข้าสู่ด่านกลางของขั้นเซียงเทียนได้แล้ว..
เหล่าสมาชิกตระกูลหลิงต่างก็ได้ดูดซับเอาของขวัญที่ต้นหลิวเทวะวิญญาณปลดปล่อยออกมาให้อย่างเท่าเทียมกันแต่ที่หลิงซิ่วก้าวหน้าได้รวดเร็วกว่าผู้อื่นนั้น เป็นเพราะเมื่อครั้งที่หลิงหยุนมาปักกิ่งครั้งแรก และได้ใช้ปราณเสวียนหวงจากหลิวเทวะช่วยให้หลิงลี่พัฒนาขั้นนั้น หลิงซิ่วก็อยู่ในเหตุการณ์ด้วย นางจึงได้ดูดซับเอาปราณเสวียนหวงที่หลิงลี่ดูดซับเข้าไปได้ไม่หมดเข้าไปนั่นเอง..
นับว่าหลิงซิ่วก้าวหน้าได้รวดเร็วกว่าหลิงหย่งซึ่งเวลานี้อยู่ในระดับสูงสุดขั้นเซียงเทียน-4!
“ฮึ่ม!”
แม้หลิงหยุนจะเอ่ยชื่นชมแต่หลิงซิ่วก็ยังคงทำเสียงฮึมฮัมในลำคออย่างไม่พอใจ ก่อนจะเอื้อมมือออกไปลากแขนหลิงหยุนให้เดินตามเข้าไปบ้าน ระหว่างที่เดินก็ร้องตะโกนถามออกไปว่า
“นี่เจ้ากลับบ้านได้แล้วรึ” หลิงหยุนรีบร้องบอกหลิงซิ่วตามความเป็นจริง..
“พี่หลิงซิ่ว..ข้านั่งเล่นไพ่อยู่ในบ่อนของเย่เทียนสุ่ย แล้วได้พบสหายเก่าเข้าโดยบังเอิญ ก็เลยไปนั่งดื่มกันต่อที่บาร์ในซานหลี่ถุน!”
หลิงซิ่วหันขวับไปมองหน้าหลิงหยุนพร้อมกับร้องตะโกนถามกลับไปทันที “นี่เจ้าไปเล่นไพ่ในบ่อนของเจ้าหมูอ้วนด้วยรึ! แล้วสหายเก่าที่ว่าเป็นใครกัน?!”
“นางชื่อเซิ่งหยิงหยิงเป็นลูกสาวของโคตรเซียนอันดับหนึ่งเซิ่งลิ่วฉี!เจ้าเองก็น่าจะเคยได้ยินชื่อของนางมาบ้าง ข้ากับนางเคยพบกันที่จิงฉูมาก่อน..”
“อ่อ..ที่แท้ก็เป็นนางเองงั้นรึ!”
หลิงซิ่วจ้องมองหลิงหยุนอย่างมีเลศนัยจนหลิงหยุนต้องร้องถามออกไป “เหตุใดเจ้าต้องมองข้าด้วยสายตาเช่นนี้.. มีอะไรรึ!”
“ในบรรดาสาวงามทั้งสิบแห่งปักกิ่งเซิ่งหยิงหยิงก็คือสาวงามอันดับหนึ่งยังไงล่ะ คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะรู้จักกับนางก่อนแล้ว!”
หลิงหยุนถึงกับพูดอะไรไม่ออกเมื่อได้ยินว่าเซิ่งหยิงหยิงคือสาวงามอันดับหนึ่งแห่งปักกิ่งแต่จะว่าไปความงดงามของนางก็เหมาะสมกับตำแหน่งนี้ไม่น้อย
“นี่เจ้าเด็กแสบ..ดูท่าเมื่อครั้งที่อยู่จิงฉูเจ้าคงจะมีอีกหลายเรื่องที่ปิดบังพี่สาวอย่างข้าสินะ!”
หลิงซิ่วแสยะยิ้มและบอกกับหลิงหยุนว่า“แต่ข้าขอเตือนเจ้าไว้ก่อน.. ความสามารถในการเล่นพนันของเซิ่งหยิงหยิงนับว่าล้ำเลิศมาก แม้แต่เจ้าเองก็คงจะยากที่จะเอาชนะนางได้..”
“แต่ข้ากลับไม่คิดเช่นนั้น”หลิงหยุนตอบกลับหลิงซิ่วทันที
แต่ดูเหมือนหลิงซิ่วจะไม่สนใจเรื่องของเซิ่งหยิงหยิงสักเท่าไหร่นางดึงแขนหลิงหยุนมาเพื่อที่จะสอบถามเรื่องสำคัญ “แล้วเรื่องที่ข้าสั่งให้เจ้าจัดการกับเจ้าหมูอ้วนนั่นล่ะ!”
“พี่หลิงซิ่ว..ต่อให้เย่เทียนสุ่ยอ้วนแบบนั้น เจ้าก็ไม่ควรไปเรียกเขาว่าเจ้าหมูอ้วน!”
หลิงซิ่วกระพริบตางุนงงพร้อมถามกลับไปว่า“หมอนั่นอ้วนถึงเพียงนั้น ไม่ให้ข้าเรียกเขาว่าหมูอ้วน เจ้าจะให้ข้าเรียกเขาว่าอะไร”
หลิงหยุนตอบกลับด้วยสีหน้าจริงจัง“พี่หลิงซิ่ว.. มีบางเรื่องที่เจ้าเองก็ยังไม่รู้ ที่เย่เทียนสุ่ยมีร่างกายอ้วนเช่นนั้น เป็นผลจากการฝึกวิชากระบี่ไท่จี๋ และเขาก็ไม่ได้แข็งแกร่งน้อยไปกว่าข้าเลย!”
“อะไรนะ!”
หลิงซิ่วถึงกับร้องอุทานออกมาด้วยความตกใจเดิมทีนางคิดว่าเย่เทียนสุ่ยเป็นเพียงแค่เด็กหนุ่มเพลย์บอยรักสนุกไม่เอาถ่านคนหนึ่งเท่านั้น แต่เมื่อได้ฟังเรื่องที่อีกฝ่ายปกปิดไว้ ก็ถึงกับตกตะลึง..
หลิงหยุนขยิบตาให้หลิงซิ่วพร้อมกับพูดหยอกเย้า“นี่พี่หลิงซิ่ว.. เจ้าเริ่มสนใจเย่เทียนสุ่ยขึ้นมาแล้วสิ!”
“เจ้าอย่าได้พูดจาเพ้อเจ้อ!”
หลิงซิ่วร้องตะโกนต่อไปว่า“ต่อให้เย่เทียนตูกับเย่เทียนเฟิงมายืนอยู่ต่อหน้าข้า ข้าก็ไม่ได้รู้สึกสนใจเลยแม้แต่น้อย!”
หลิงหยุนหัวเราะออกมาอย่างอารมณ์ดี“พี่หลิงซิ่ว.. ดูท่าเย่เทียนสุ่ยจะหลงรักเจ้ามากจริงๆ เมื่อคืนข้าจงใจข่มเหงเขารังแกเขามากมาย แต่ไม่ว่าเรื่องอะไรเขาก็ยอมข้าโดยไม่มีเงื่อนไข..”
“แต่พอเป็นเรื่องของเจ้า..เขากลับไม่ยอม พร้อมกับยืนยันว่าต่อให้ตาย เขาก็จะไม่ยอมเลิกชอบเจ้า.. โอ้!”
“นี่เจ้าเด็กตัวแสบ..หากเจ้ายังกล้าพูดอีกแม้แต่คำเดียว ข้าจะตัดลิ้นเจ้าทิ้งซะ!”
หลิงซิ่วร้องห้ามหลิงหยุนด้วยน้ำเสียงที่โกรธเกรี้ยว“แม้แต่เจ้ายังจัดการกับเย่เทียนสุ่ยไม่ได้รึ!” หลิงหยุนยิ้มและตอบกลับไปว่า“พี่หลิงซิ่ว.. จะให้ข้าทำเช่นใดในเมื่อเหตุผลของเขาเหนือกว่าข้า..”
“เหตุผลอะไรกัน!”
“การชื่นชอบใครสักคนไม่ใช่ความผิดไม่ใช่รึ!”
หลิงหยุนทำน้ำเสียงจริงจังจนหลิงซิ่วทนไม่ได้ และยื่นมือออกไปบิดหูหลิงหยุนพร้อมกับถามขึ้นว่า “เจ้ายังกล้าพูดเช่นนี้อีกรึ”
หลิงหยุนถึงกับต้องร้องขอความเมตตาและในที่สุดสองพี่น้องก็เดินมาถึงบ้านของหลิงซิ่ว หลิงซิ่วนั่งลงและสั่งหลิงหยุนว่า
“เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้ให้ข้าฟังอย่างละเอียด..”
…..
“แต่การชื่นชอบใครสักคนก็ไม่ใช่ความผิดไม่ใช่รึ!”
ในขณะที่หลิงหยุนพูดประโยคนี้กับหลิงซิ่วในอีกมุมของปักกิ่งเด็กสาวคนหนึ่งก็กำลังพูดประโยคเดียวกันนี้กับพ่อของตน..
เซิ่งหยิงหยิงบอกกับผู้เป็นพ่อด้วยสีหน้าที่ราบเรียบ..
การชื่นชอบใครสักคนไม่จำเป็นต้องจบลงด้วยการครองคู่กันเสมอไป เพียงแค่ได้ชื่นชอบฝ่ายเดียวก็เพียงพอแล้ว..
เซิ่งลิ่วฉีได้แต่ถอนหายใจและยังไม่คิดที่จะห้าม หรือรั้งเซิ่งหยิงหยิงไว้ เพราะเขารู้จักนิสัยของบุตรสาวดี หากคิดที่จะทำอะไรแล้ว ต่อให้เอาช้างมาฉุดก็ยากที่จะฉุดรั้งนางไว้ได้..
เซิ่งลิ่วฉีจ้องมองเซิ่งหยิงหยิงพร้อมกับพูดออกมาด้วยความหนักใจ“ข้าเกรงว่ามันจะหนักหนาเกินกว่าที่เจ้าจะรับไหวน่ะสิ!”
“แต่ข้าไม่กลัว..”
เซิ่งหยิงหยิงตอบกลับไปทันทีจากนั้นจึงลุกขึ้นวิ่งกลับไปที่ห้องนอนของตนเอง แต่วิ่งไปได้เพียงครึ่งทางก็หันมาพูดกับเซิ่งลิ่วฉีผู้เป็นพ่อ
“ท่านพ่อ..ท่านเคยบอกข้าว่าในโลกนี้มีคนบางคนเกิดมาพร้อมกับพลังเหนือธรรมชาติ เมื่อก่อนข้าไม่เคยเชื่อ แต่ตอนนี้ข้าเชื่อแล้ว!”
เซิ่งลิ่วฉีได้ยินคำพูดของบุตรสาวจึงได้แต่เงยหน้าขึ้นมองเซิ่งหยิงหยิงที่วิ่งกลับขึ้นไปบนห้อง และได้แต่พึมพำกับตัวเองว่า
“เฮ้อ..พลังเหนือธรรมชาติงั้นรึ! ข้าเกรงว่ามันจะไม่ใช่แค่นั้นน่สิ!”
……
เช้าวันที่8 กันยายน เวลาเก้าโมงตรง.. ทุกคนต่างก็ไปถึงกำแพงเมืองจีนปาต๋าหลิงซึ่งเป็นจุดชมวิวที่มีชื่อเสียงของเมืองปักกิ่ง
หลิงหยุนโม่วู๋เตา หนิงหลิงยู่ ฉีเสี่ยวชิง หลิงซิ่ว หลิงซวี่ ทั้งหกคนต่างกออกเดินทางโดยรถบัสคันหรูของตระกูลหลิงเช่นเคย
วันนี้จำนวนคนลดลงจากที่ไปพระราชวังต้องห้ามถึงครึ่งหนึ่งเพราะถังเมิ่งเองก็ยังคงหลับอยู่ ส่วนตี้เสี่ยวอู๋ก็ตั้งใจฝึกฝนวิชา ในขณะที่พี่ชายน้องชายของหลิงหยุนต่างก็ไปช่วยฝึกวรยุทธให้กับศิษย์สำนักหมอสวรรค์ทั้งเจ็ดสิบสองคน..
ส่วนเกาเฉินเฉินกับฉางหลิงนั้นก็กลับไปค้างที่บ้านตระกูลเกาสองคืน..
หลิงหยุนคิดว่าโม่วู๋เตาคงจะไม่ไปด้วยเพราะเมื่อคืนกว่าจะได้นอนก็รุ่งเช้าแต่กลับคิดไม่ถึงว่าโม่วู๋เตาจะตื่นมาตั้งแต่เจ็ดโมงเช้า และดูเหมือนจะตื่นเต้นกับการได้ไปปีนกำแพงเมืองจีนมากกว่าการไปเยี่ยมชมพระราชวังต้องห้ามเสียอีก..
ในเช้าของฤดูใบไม้ร่วงเช่นนี้..อากาศจึงค่อนข้างแจ่มใส และท้องฟ้าก็ปลอดโปร่ง..
“บนนี้อากาศเย็นทีเดียว..”
เพียงแค่เดินลงจากรถบัส..หลิงหยุนก็สัมผัสได้ถึงอากาศที่เย็นขึ้น จึงได้แต่พึมพำออกมาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
แม้หลิงหยุนจะอยู่ในระดับสูงสุดขั้นซานฉางชี่(ขั้นพลังชี่-3) และฝึกวิชาดาราคุ้มกายถึงระดับย่อยที่สิบสี่ ต่อให้ร่างกายของเขาไม่สะทกสะท้านต่อไปหรือน้ำ แต่ก็ใช่ว่าจะไม่สามารถรับรู้อุณหภูมิร้อนหนาวได้..
ตรงกันข้าม..เวลานี้ประสาทสัมผัสทั้งห้าของหลิงหยุนกลับละเอียดอ่อนกว่าคนธรรมดามากนัก หากอุณหภูมิรอบตัวเปลี่ยนแปลงไปแม้เพียงเล็กน้อย เขาก็จะสามารถรับรู้ได้ทันที
“แน่นอนอยู่แล้ว!อุณหภูมิบนเขาก็ต้องต่ำกว่าอุณหภูมิในเมืองน่ะสิ!”
หลิงซิ่วที่ชอบขัดคอหลิงหยุนพูดขึ้นมาพร้อมกับแนะนำให้ฉีเสี่ยวชิงสวมเสื้อกันหนาว..
ในบรรดาทั้งหกคนที่มานั้นล้วนแล้วแต่ฝึกฝนกำลังภายในทั้งสิ้น มีเพียงฉีเสี่ยวชิงเท่านั้นที่เป็นเพียงหญิงสาวธรรมดาสามัญ
ฉีเสี่ยวชิงเอ่ยขอบคุณหลิงซิ่วและสวมเสื้อกันหนาวทันที ตั้งแต่มาถึงปักกิ่งนั้นฉีเสี่ยวชิงก็แทบจะไม่ค่อยพูดค่อยจา เธอเพียงแค่คอยมองทุกอย่างที่พบเห็นอย่างเงียบๆ และคอยซึมซับสิ่งที่ได้ยิน และได้เห็นแปลกใหม่รอบตัว
หลิงหยุนเองก็ไม่ได้แสดงความเอาใจใส่ฉีเสี่ยวชิงอย่างออกหน้าออกตา..
“น่าแปลก!ในข้อมูลจากอินเทอร์เน็ตบอกไว้ว่าช่วงนี้เป็นฤดูท่องเที่ยวของกำแพงเมืองจีนปาต๋าหลิง แต่เหตุใดจึงไม่มีนักท่องเที่ยวเลยแม้แต่คนเดียว!”
โม่วู๋เตายังคงสวมชุดนักพรตและในมือก็ถือแส้สะบัดไปมา หลังจากที่สังเกตเห็นว่ามีเพียงรถบัสของพวกตนเท่านั้นที่จอดอู่ จึงอดที่จะถามออกมาด้วยความประหลาดใจไม่ได้
“นี่พวกเราไม่ได้มาผิดที่ใช่หรือไม่”
แต่หลังจากที่สังเกตเห็นสายตาของหลิงหยุนโม่วู๋เตาจึงถามออกไปด้วยความงุนงง..
“ข้าพูดอะไรผิดงั้นรึ!”
หลิงหยุนยิ้มหยันก่อนจะตอบไปว่า“ที่ไม่มีคนมาเที่ยวที่นี่ก็เพราะวันนี้มีแขกสำคัญมาเยี่ยมชมกำแพงเมืองจีนปาต๋าหลิงน่ะสิ!”
โม่วู๋เตารีบถามต่อทันที“แขกสำคัญที่ใหนกัน! แล้วพวกเราไม่สำคัญงั้นรึ?!”
หลิงหยุนกรอกตามองโม่วู๋เตาพร้อมตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหน่าย“เจ้านักพรตโง่.. ก็พวกเราไงเล่าแขกคนสำคัญ!”
หญิงสาวหน้าตางดงามทั้งสี่คนได้ยินก็ถึงกับหัวเราะออกมา..
“ห๊ะ!นี่หมายความว่าวันนี้จะมีเฉพาะพวกเราเท่านั้นรึ?!”
หลิงหยุนพยักหน้า“เอาล่ะ.. รีบขึ้นไปดูกันดีกว่า!”
หลังจากที่ทุกคนตกลงกันได้ว่าวันนี้จะมาเที่ยวกำแพงเมืองจีนปาต๋าหลิงเกาเฉินเฉินก็ได้ขอให้ปู่ของนางใช้สิทธิพิเศษเล็กๆน้อยๆ
–ยินดีต้อนรับคณะแขกผู้มีเกียรติเข้าเยี่ยมชมกำแพงเมืองจีนปาต๋าหลิง..-
หลิงหยุนหันไปเห็นป้ายที่เขียนต้อนรับคณะของพวกตนติดไว้ที่ใกล้กับจุดจำหน่ายบัตรและหลิงหยุนก็เพียงแค่แจ้งชื่อของตนเพื่อเข้าไปเยี่ยมชมเท่านั้น แต่ไม่ขอรับสิ่งอื่นๆที่ทางเจ้าหน้าที่ได้จัดเตรียมไว้ให้
หลิงหยุนบอกกับเจ้าหน้าที่ว่า“พวกเราจะขึ้นไปเยี่ยมชมเท่านั้น อีกสองชั่วโมงก็จะลงมา..”
หลังจากนั้นหลิงหยุนกับคนอื่นๆก็เดินขึ้นกำแพงเมืองจีนไป..
“พี่หลิงซิ่ว..ข้ากับโม่วู๋เตาจะขึ้นไปก่อน พวกเจ้ากับคนอื่นๆ ก็ค่อยๆเดินตามขึ้นไปล่ะ ไม่ต้องรีบร้อน!”
หลังจากที่หลิงหยุนร้องบอกหลิงซิ่วแล้วเขาก็เหลือบมองโม่วู๋เตาเป็นการส่งสัญญาณ จากนั้นชายหนุ่มทั้งสองคนก็วิ่งแข่งกันขึ้นไปอย่างรวดเร็ว
“นี่พวกเจ้าสองคนคิดที่จะทำอะไรกันแน่!”
หลิงซิ่วร้องตะโกนไล่หลังชายหนุ่มทั้งคู่ไปจากนั้นจึงหันไปพูดกับหญิงสาวทั้งสามคนว่า “พวกเราอย่าไปสนใจพวกเขาเลย ไปเดินหาวิวถ่ายรูปกันดีกว่า!” ภายในเวลาเพียงแค่สองสามนาทีทั้งหลิงหยุนกับโม่วู๋เตาต่างก็วิ่งขึ้นไปถึงจุดสูงสุดได้โดยไม่ต้องใช้วิชาตัวเบาใดๆ
“นี่น่ะหรือกำแพงเมืองจีนที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นหนึ่งในแปดสิ่งมหัศจรรย์ของโลก!”
นี่คือประโยคแรกที่หลุดออกมาจากปากของหลิงหยุนทันทีที่เขาขึ้นไปยืนอยู่บนจุดสูงสุดของกำแพงเมืองจีนแห่งนี้..
หลิงหยุนทอดสายตามไปตามเส้นทางที่โค้งขึ้นโค้งลงของกำแพงเมืองจีนที่ยิ่งใหญ่ดูช่างคล้ายคลึงกับมังกรตัวใหญ่ ที่กำลังเลื้อยขึ้นเลื้อยลงไปตามภูเขาลูกแล้วลูกเล่า ช่างเป็นภาพที่งดงามตระการตายิ่งนัก..
โม่วู๋เตาเองก็ยังคงยืนนิ่งจ้องมองทัศนียภาพรอบๆตัวโดยไม่พูดไม่จา..
“วู๋เตา..เจ้ายืนดูอยู่ตรงนี้ไปก่อน ข้าจะเดินไปดูรอบๆเสียหน่อย!”
หลังจากพูดจบหลิงหยุนก็ใช้วิชาเงาลวงตาหายไปทันทีและร่างของเขาก็ไปปรากฏอยู่อีกหนึ่งร้อยเมตรด้านหน้า..
“หลิงหยุน..นับวันเจ้าก็ยิ่งทำให้ข้ารู้สึกทึ่งมากขึ้น!”
โม่วู๋เตาพึมพำกับตัวเองในระหว่างที่จ้องมองร่างของหลิงหยุนที่หายวับไปกับตา..
กำแพงเมืองจีนปาต๋าหลิงในสายตาของคนธรรมดาทั่วไปก็เป็นเพียงแค่สถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียง ซึ่งเหล่านักท่องเที่ยวจะนิยมมาเยี่ยมชม และถ่ายรูปกลับไปเป็นที่ระลึก..
แต่ในสายตาของหลิงหยุนกับโม่วู๋เตานั้น..กำแพงเมืองจีนแห่งนี้กลับเสมือนชีพจรมังกรขนาดใหญ่ แม้กระนั้นทั้งคู่ก็ยังจดจ่ออยู่กันคนละเรื่อง โม่วู๋เตากำลังชื่นชมกับฮวงจุ้ยของสถานที่แห่งนี้ ในขณะหลิงหยุนกำลังสนใจปราณมังกรที่อยู่โดยรอบ
เพราะหากจะพูดไปแล้ว..ในโลกบ่มเพาะที่หลิงหยุนจากมานั้น มีกำแพงที่สูงใหญ่ และยาวกว่ากำแพงเมืองจีนนี้หลายเท่านัก กำแพงเมืองจีนนี้จึงไม่ได้ทำให้หลิงหยุนรู้สึกตื่นตาตื่นใจอะไร.. แต่หลิงหยุนกำลังสนใจอยู่กับภูเขาและแม่น้ำของสถานที่แห่งนี้ ซึ่งเสมือนชีพจรมังกร!
เวลานี้..ร่างกายของหลิงหยุนแตกต่างจากก่อนหน้านี้มาก เพราะเมื่อวานเขาเพิ่งได้ดูดซับเอาปราณราชามังกรจากพระราชวังต้องห้ามเข้าไปจนหมด!
สำหรับผู้ที่มีปราณราชามังกรอัดแน่นอยู่เต็มร่างกายดังเช่นหลิงหยุนนั้นทำให้เขาสามารถมองเห็นชีพจรมังกรขนาดใหญ่นี้ได้อย่างชัดเจน!
และเวลานี้หลิงหยุนก็สัมผัสได้อย่างชัดเจนว่า‘มังกรทอง’ ในจุดตันเถียนของตนนั้น กำลังขยับตัวไปมา และกำลังดูดซับเอาปราณมังกรเข้าไปอย่างมีความสุข..
หลังจากผ่านไปเพียงแค่ไม่กี่นาที..หลิงหยุนก็กลับไปหาโม่วู๋เตา และสัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงของมังกรทองในจุดตันเถียน ซึ่งแม้จะไม่มากแต่ก็สามารถสัมผัสได้อย่างชัดเจน! “เจ้าเห็นอะไรบ้าง!”
หลังจากที่ยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่งในที่สุดหลิงหยุนก็หันไปถามโม่วู๋เตา..
โม่วู๋เตาตอบกลับยิ้มๆ“ชีพจรมังกรขนาดใหญ่..”
หลิงหยุนยิ้มพร้อมกับสำทับว่า“ในความเห็นของข้า.. ที่นี่นอกจากจะเป็นชีพจรมังกรขนาดใหญ่แล้ว แต่ยังเป็นมังกรที่มีความยาวกว่าหนึ่งหมื่นลี้ด้วย..”
“ในตำราเรียนของข้าเขียนไว้ว่า..กำแพงเมืองจีนนี้สร้างในสมัยราชวงศ์ฉิน เพื่อป้องกันชาวมองโกลที่จะบุกรุกเข้ามา เจ้าเชื่อตามตำราหรือไม่”
“….”
โม่วู๋เตานิ่งเงียบไม่ตอบหลิงหยุนจึงพูดต่อว่า “ในความเห็นของข้า แค่ภูเขาสูงทางตอนเหนือนี้ก็สามารถป้องกันเหล่าทหารม้าได้แล้ว การสร้างกำแพงที่สูงถึงเพียงนี้ขึ้นมาเพื่อวัตถุประสงค์นี้ ข้ารู้สึกว่ามันไม่ใช่เรื่องที่จำเป็นนัก..”