Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร - บทที่ 1221 : เข้าร่วมหน่วยนภา!
“หลิงหยุน!”
ครั้งนี้โจวเหวินอี้ไม่เรียกหลิงหยุนว่าสหายน้อยอีกต่อไปและพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เคร่งเครียด
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าหากเจ้าจะแก้แค้นในกับตระกูลฉินจะต้องมีผู้คนอีกมากมายในยุทธภพที่จะต้องจบชีวิต”
“อาวุโส..อภัยให้ข้าด้วยหากจะต้องบอกกับท่านว่ามันคือเรื่องของเวรกรรม ทำเช่นใดย่อมได้รับผลเช่นนั้น!”
โจวเหวินอี้รู้ดีว่าหากยังฝืนเจรจาต่อไปคงยากที่จะหลีกเลี่ยงการปะทะได้ จึงหันไปมองหลิงลี่คล้ายจะขอให้หลิงลี่พูดอะไรสักอย่าง..
“ท่านโจว..ข้าได้บอกกับท่านก่อนหน้านี้แล้วว่า เรื่องราวทั้งภายใน และภายนอกตระกูลหลิง ล้วนแล้วแต่ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของหลิงหยุน ข้าเองทำได้แค่เพียงรับฟังเท่านั้น!”
หลังจากที่ปฏิเสธไปตามมารยาทแล้วในที่สุดหลิงลี่ก็ย้ำว่า “อีกอย่าง.. สิ่งที่หลิงหยุนพูดมาก็ไม่มีอะไรผิด!”
โจวเหวินอี้ถึงกับยิ้มขื่นเมื่อได้ยินคำตอบของหลิงลี่..เขาถอนหายใจแรง และพูดขึ้นอย่างหมดหนทาง
“เฮ้อ..อาวุโสหลิง ใช่ว่าข้าจะไม่เข้าใจความรู้สึกของสหายน้อยหลิงหยุน เพียงแต่นี่ไม่ใช่การตัดสินใจของข้าเพียงคนเดียว!”
ในหน่วยนภานั้นมียอดฝีมือขึ้นพลังเหนือธรรมชาติอยู่มากกว่าร้อยคนเรื่องนี้จึงไม่ใช่การตัดสินใจของเขาแต่เพียงผู้เดียว..
“หลิงหยุนเข้าใจความหวังดีของอาวุโสที่มีต่อตระกูลหลิงดีและขอบคุณอาวุโสอีกครั้ง!”
หลังจากที่เห็นท่าทีของโจวเหวินอี้หลิงหยุนก็รู้ได้ทันทีว่าชายชราผู้นี้เป็นคนประนีประนอม และเข้าใจความลำบากใจของโจวเหวินอี้ดี
หากหลิงหยุนยอมปล่อยตัวตี๋ยั่วถังโจวเหวินอี้ก็จะพาตัวเขากลับไป และพยายามแก้ไขให้เรื่องใหญ่กลายเป็นเรื่องเล็ก แต่หากหลิงหยุนยืนกรานไม่ยอมมอบตี๋ยั่วถังให้เช่นนี้ ความขัดแย้งระหว่างตระกูลหลิงกับหน่วยนภาก็จะยิ่งบานปลายมากขึ้น ถึงตอนนั้นแม้แต่เขาในฐานะหัวหน้าอาวุโสก็ยากที่จะห้ามปรามเหล่าสมาชิกได้เช่นกัน..
เมื่อคิดได้เช่นนี้หลิงหยุนจึงได้หันไปพูดกับโจวเหวินอี้ว่า “อาวุโส.. หลิงหยุนขอรบกวนให้ท่านกลับไปบอกสมาชิกของหน่วยนภาด้วยว่า เวลานี้ตี๋ยั่วถังอยู่ในมือของตระกูลหลิง หากผู้ใดต้องการยื่นมือเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ ก็ขอให้ประเมินตนเองให้ดีเสียก่อน!”
หลิงหยุนประกาศกร้าวอย่างไร้ความเกรงกลัวต่อหน่วยนภา!
….
แม้ว่าหลิงหยุนจะประกาศกร้าวอย่างองอาจและแสดงจุดยืนที่มั่นคงของตนเองเช่นนั้น แต่ถ้อยคำของเขาก็เป็นไปด้วยความสุภาพ และเพียงแค่ต้องการเตือนให้ผู้ที่คิดจะยื่นมือเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องของตี๋ยั่วถัง ได้ประเมินความสามารถของตนเองให้ดีเสียก่อน..
นั่นเพราะโจวเหวินอี้ที่อยู่ต่อหน้าหลิงหยุนนั้นก็เป็นหนึ่งในผู้ที่ต้องการยื่นมือเข้ามายุ่งเกี่ยวในเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน อีกทั้งโจวเหวินอี้ยังมีฐานะเป็นถึงหัวหน้าอาวุโสของหน่วยนภา หลิงหยุนจึงต้องใช้คำพูดที่ให้หน้าเขาด้วยเช่นกัน!
อีกทั้งโจวเหวินอี้ก็ได้แสดงท่าทีอย่างชัดเจนว่าไม่ได้มีประสงค์ร้ายกับตระกุลหลิง!
หากเป็นที่จิงฉูหลิงหยุนอาจไม่จำเป็นต้องรักษาหน้าใครเช่นนี้เพราะที่จิงฉูหลิงหยุนก็คือหลิงหยุน!
แต่ที่นี่คือปักกิ่งซึ่งแตกต่างจากจิงฉู..ปักกิ่งนั้นซับซ้อนกว่าจิงฉูมากนัก และที่นี่หลิงหยุนคือตัวแทนของตระกูลหลิง ไม่ว่าจะทำสิ่งใดลงไป เขาจึงต้องคิดเผื่อตระกูลหลิงด้วย!
ถึงแม้ว่าเวลานี้ตระกูลหลิงจะมีกองกำลังที่ค่อนข้างแข็งแกร่งและการป้องกันที่แข็งแรงมากพอ แต่ก็ยังห่างไกลคำว่าสูงสุดอยู่มาก!
ดังนั้น..หากตระกูลหลิงสามารถอยู่ได้โดยไม่มีผู้ใดกล้ามาก่อกวนเช่นนี้ไปได้เรื่อยๆ ก็จะยิ่งเป็นผลดีต่อเสถียรภาพของตระกูลหลิงมากยิ่งขึ้น
ถ้าคุณทำบาปต่อหน้าโจวเหวินอี้จริงๆและคุณไม่ได้เป็นอันตรายต่อตระกูลหลิงนั่นไม่ใช่ว่ากลุ่มสกายทั้งหมดจะผลักดันไปยังค่ายของฝ่ายตรงข้ามของตระกูลหลิง
และหากหลิงหยุนสร้างความไม่พอใจให้กับโจวเหวินอี้ก็เท่ากับสร้างความเสียหายให้กับตระกูลหลิงด้วยเช่นกัน เพราะนั่นย่อมหมายถึงการผลักให้เหล่าสมาชิกทั้งหมดของกลุ่มนภา ไปเป็นฝ่ายตรงข้ามกับตระกูลหลิงด้วยเช่นกัน!
และสีหน้าของหลิงลี่เวลานี้ก็บ่งบอกชัดเจนว่าไม่ต้องการให้หลิงหยุนสร้างความขุ่นเคืองใจให้กับโจวเหวินอี้ เขาต้องการให้ทั้งสองฝ่ายเจรจาหาทางออกอย่างใจเย็น เพื่อให้สถานการณ์ไม่บานปลายเป็นเลวร้ายมากจนเกินไป และต่างฝ่ายต่างก็จะได้มีทางเดิน..
แต่หลังจากที่ได้ฟังคำประกาศกร้าวของหลิงหยุนแม้แต่หลิงลี่เองยังถึงกับสะดุ้ง และโจวเหวินอี้ก็ถึงกับตกใจ แต่ทั้งคู่ต่างก็นิ่งเงียบไม่พูดอะไรออกมา..
ทางด้านหลิงหยุนหลังจากที่ประกาศเจตจำนงค์ที่แน่วแน่ของตนเองออกไปแล้วเมื่อเห็นว่าชายชราทั้งสองคนยังคงนิ่งเงียบ จึงได้จัดการรินชาลงในถ้วยให้กับคนทั้งคู่..
โจวเหวินอี้เห็นท่าทีเช่นนั้นของหลิงหยุนก็ได้แต่คิดในใจว่านี่ไม่ต่างจากการตบหัวแล้วลูบหลังเลยแม้แต่น้อย แต่ก็ไม่ได้ห้ามปราม หรือขัดขวางหลิงหยุน เขาเพียงแค่ถอนหายใจ แล้วยกถ้วยชาขึ้นดื่มแทน..
“เอาล่ะ..ในเมื่อสหายน้อยหลิงหยุนยืนกรานเช่นนั้น ข้าโจวเหวินอี้ก็ไม่มีอะไรจะกล่าวอีก!” ในที่สุดโจวเหวินอี้ก็เลือกที่จะเป็นฝ่ายประนีประนอม..
หลิงหยุนผ่อนไหล่ที่เกร็งอยู่ของตนลงทันทีจากนั้นจึงยกถ้วยชาตรงหน้าขึ้นดื่ม แล้วพูดกับโจวเหวินอี้ว่า
“หลิงหยุนขอบคุณอาวุโสที่เข้าใจ!”
โจวเหวินอี้เงยหน้าขึ้นมองหลิงหยุนพร้อมกับตอบไปว่า“เจ้าเข้าใจ หรือไม่เข้าใจ ผลก็ต้องเป็นเช่นนี้ไม่ใช่รึ!”
หลิงหยุนไม่ตอบและเพียงแค่ยิ้ม..
หลิงลี่จึงพูดแทรกขึ้นมาทันที“ท่านโจว.. หากข้าจำไม่ผิด เมื่อสิบแปดปีก่อน ท่านก็เคยมาเยี่ยมเยียนตระกูลหลิงของข้าครั้งหนึ่งไม่ใช่รึ”
โจวเหวินอี้กับหลิงลี่นั้นมีวัยใกล้เคียงกันความอาวุโสจึงนับได้ว่าเท่าเทียมกัน คำพูดคำจาของเขาที่พูดกับโจวเหวินอี้ จึงค่อนข้างแตกต่างจากคำพูดของหลิงหยุนที่ใช้พูดกับโจวเหวินอี้ “ท่านหลิง..ท่านกล่าวได้ถูกต้อง! ข้าเคยมาตระกูลหลิงเมื่อสิบแปดปีก่อนจริงๆ!”
หลิงหยุนถึงกับใจสั่นเมื่อคิดได้ว่าหรือการมาของโจวเหวินอี้ในครั้งนั้น จะนำพาตระกูลหลิงให้พบกับโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่เมื่อสิบแปดปีก่อน!
ระหว่างที่กำลังครุ่นคิดอยู่นั้นหลิงหยุนก็ได้ยินหลิงลี่พูดขึ้นว่า“แต่ไม่ว่าครั้งนี้ท่านโจวจะมาตระกูลหลิงด้วยเรื่องอะไรก็ตามแต่ คงต้องอยู่ทานอาหารร่วมกันก่อนจึงจะกลับได้!”
โจวเหวินอี้หัวเราะออกมาพร้อมตอบกลับไปว่า“ฮ่า.. ฮ่า.. ข้าเองก็ตั้งใจที่จะมาทานอาหารที่นี่อยู่แล้ว!”
“นับเป็นเรื่องที่ดี!”
ทันทีที่ได้ยินโจวเหวินอี้ตอบตกลงหลิงลี่ก็รีบร้องสั่งพ่อครัวให้เตรียมเสริฟอาหารทันที..
ความจริงแล้วทันทีที่โจวเหวินอี้ก้าวเท้าเข้ามาในคฤหาสน์ตระกูลหลิงหลิงลี่ก็ได้สั่งให้พ่อครัวจัดเตรียมอาหารไว้ก่อนล่วงหน้า และนี่ก็ผ่านไปกว่าหนึ่งชั่วโมงแล้ว พ่อครัวจึงได้เตรียมอาหารเสร็จ และพร้อมนำขึ้นโต๊ะทันที
และเวลานี้บนโต๊ะก็เต็มไปด้วยอาหารร้อนเย็นและเหล้าชั้นดี!
“ดื่ม!”
“ดื่ม!”
หลิงหยุนในฐานะที่อายุน้อยที่สุดทำหน้าที่รินเหล้าเหมาไถซึ่งเก็บมานานหลายปีของหลิงลี่ลงในถ้วยให้กับอาวุโสทั้งสอง จากนั้นทั้งสามคนก็เริ่มดื่มกินพร้อมกับพูดคุยกันไปด้วย..
หลังจากดื่มเหล้าไปสองสามจอกหลิงลี่ก็เป็นฝ่ายพูดขึ้นว่า “ท่านโจว.. หลิงหยุนยังเด็กนัก และเพิ่งจะมาอยู่ปักกิ่งได้ไม่นาน หากเขาพูดหรือทำสิ่งใดที่ไม่เหมาะสมลงไป ท่านก็อย่าได้ถือสา และอภัยให้เขาด้วยเถิดนะ!”
โจวเหวินอี้จ้องมองหลิงหยุนอย่างพินิจพิจารณาในที่สุดก็พูดขึ้นว่า “ผู้นำตระกูลหลิง.. ข้าต่างหากที่ต้องขออภัย ที่จู่ๆ ก็บุ่มบ่ามมาตระกูลหลิง หนำซ้ำยังพูดจาไร้มารยาท!”
“อาวุโส..อย่าได้กล่าวเช่นนั้น!”
แน่นอนว่าหลิงหยุนย่อมไม่เสียมารยาทกับโจวเหวินอี้อีกในเมื่อเขาเองก็ได้บรรลุเป้าหมายที่ตนเองต้องการแล้ว..
โจวเหวินอี้หัวเราะจากนั้นทั้งหลิงลี่กับโจวเหวินอี้ต่างก็กระดกถ้วยเหล้าขึ้นดื่ม..
หลังจากที่ดื่มเข้าไปจนหมดจอกแล้วโจวเหวินอี้ก็หันไปพูดกับหลิงหยุนว่า “หลิงหยุน.. ในเมื่อเจ้าเองไม่ต้องการให้ข้าเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องของตี๋ยั่วถัง ข้าก็จะรามือ ส่วนเจ้าเองก็ลืมเรื่องที่ข้าพูดเมื่อครู่ไปซะ!”
“เช่นนี้ดีหรือไม่”
หลิงหยุนรู้ว่าการที่โจวเหวินอี้เกริ่นขึ้นมาเช่นนี้ย่อมมีเรื่องที่จะพูดต่อเป็นแน่ เขาจึงไม่ตอบอะไร และรับฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ..
“แต่ในการประลองระหว่างตระกูลหลิงกับตระกูลซันและตระกูลเย่นั้นทำให้หน่วยนภาต้องสูญเสียยอดฝีมือไปเช่นนี้ ข้าในฐานะหัวหน้าอาวุโสของหน่วยนภา จำเป็นต้องให้เจ้าร่วมรับผิดชอบ..”
หลังจากที่ดื่มไปหลายจอกโจวเหวินอี้ก็เริ่มพูดกับหลิงหยุนด้วยสายตาเจ้าเล่ห์ราวกับจิ้งจอกเฒ่า..
ตะเกียบในมือของหลิงหยุนชะงักทันทีและร้องถามออกไปอย่างไม่เข้าใจ “ไม่ทราบอาวุโสหมายความเช่นใด!”
โจวเหวินอี้ยิ้มให้หลิงหยุนพร้อมกับอธิบายว่า“คนตายก็ไม่อาจฟื้นคืน.. เจ้าสังหารยอดฝีมือของหน่วยนภาตายไปสี่คน ส่วนหลู่หมิงฉู่ก็ประกาศลาออกจากหน่วยนภา ตี๋ยั่วถังก็อยู่กับเจ้า เจ้าคิดดูว่านี่ใช่ความสูญเสียอย่างมากของหน่วยนภาหรือไม่”
หลิงหยุนยังคงไม่เข้าใจเขายิ้มมุมปากก่อนจะถามไปว่า “อาวุโสต้องการจะบอกสิ่งใดกับข้ากันแน่!”
โจวเหวินอี้หันไปมองหลิงลี่พร้อมกับพูดขึ้นว่า“ท่านหลิง.. เพราะเหตุการณ์เมื่อสิบแปดปีก่อน ทำให้หน่วยนภาไร้ซึ่งสมาชิกจากตระกูลหลิงของท่าน คิดแล้วช่างน่าเสียดายยิ่งนัก!”
และในที่สุดโจวเหวินอี้ก็ได้บอกสิ่งที่ตนเองต้องการออกไป..ซึ่งก็คือการขอให้ตระกูลหลิงส่งคนไปเข้าร่วมกับหน่วยนภารนั่นเอง!
“นี่..นี่หมายความว่า..”
หลิงลี่ถึงกับตกตะลึงเขายกถ้วยเหล้าขึ้นดื่มก่อนจะถามโจวเหวินอี้ไปว่า “ตระกูลหลิงของเราตกต่ำมานานหลายปี จะหาผู้ที่มีคุณสมบัติเข้าร่วมกับหน่วยนภาได้อย่างไรกัน”
ระหว่างที่พูดนั้น..หลิงลี่ก็เหลือบมองไปทางหลิงหยุน!
การได้เคยเข้าร่วมในหน่วยนภาซึ่งทำงานเพื่อประเทศชาตินั้น นับเป็นเกียรติประวัติอันยิ่งใหญ่ของตระกูลหลิง ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นหนึ่งในสามตระกูลใหญ่ของประเทศนี้!
แต่หลังจากที่เกิดโศกนาฏกรรมในครั้งนั้นตระกูลหลิงก็ตกต่ำมานานหลายปี แม้แต่ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดอย่างหลิงเจิ้นยังอยู่เพียงแค่ขั้นเซียงเทียน-2 เช่นนี้แล้วจะมีคุณสมบัติเข้าร่วมกลุ่มนภาซึ่งมีแต่ยอดฝีมือขั้นเหนือธรรมชาติได้อย่างไรกัน
เมื่อครั้งที่หลิงหยุนมาปักกิ่งครั้งแรกและหลิงลี่ได้ล่วงรู้ถึงความแข็งแกร่งของเขานั้น หลิงลี่ยังหวังว่าจะให้หลิงหยุนเข้าร่วมกับหน่วยนภา แต่ก็ต้องผิดหวังเมื่อหลิงหยุนปฏิเสธ!
อีกทั้งในครั้งนั้นตระกูลหลิงก็ยังตกอยู่ในอันตรายหลิงลี่จึงไม่เคยพูดถึงเรื่องนี้กับหลิงหยุนอีก!
แต่เวลานี้โอกาสได้มาถึงแล้ว..และผู้ที่เอ่ยปากชักชวนก็เป็นถึงหัวหน้าอาวุโสของหน่วยนภา – โจวเหวินอี้!
ระหว่างที่หลิงลี่กำลังรอฟังคำตอบของหลิงหยุนที่ยังคงนิ่งเงียบอยู่นานในที่สุดหลิงหยุนก็เอ่ยปากถามโจวเหวินอี้ และคำถามของหลิงหยุนก็ทำให้โจวเหวินอี้แทบกระอักเลือด..
“เข้าร่วมกลุ่มนภาแล้วจะได้ประโยชน์อะไรงั้นรึ!”
โจวเหวินอี้ซึ่งกำลังยกถ้วยเหล้าขึ้นดื่มนั้นถึงกับสำลักขึ้นมาทันที!
การได้เข้าร่วมเป็นสมาชิกของหน่วยนภาล้วนมีแต่จะนำพาชื่อเสียง และความรุ่งเรืองมาสู่ตระกูล ไม่ว่ายอดฝีมือจากสำนักใด หรือตระกูลใด ต่างก็ต้องการจะเข้าเป็นสมาชิกของหน่วยนภากันทั้งสิ้น!
แต่หลิงหยุนกลับถามถึงประโยชน์ที่จะได้รับเช่นนี้..
“ย่อมได้รับประโยชน์มากมายทีเดียวอย่างน้อยเจ้าก็จะไม่นึกเสียใจที่ได้เข้าร่วมกับกลุ่มนภาแน่!”
แต่โจวเหวินอี้ก็ไม่ได้นึกโกรธหลิงหยุนและยินดีที่จะตอบคำถามของเขา..
หลิงหยุนฟังแล้วก็ได้แต่ยิ้มจากนั้นจึงถามต่อว่า “ให้ตระกูลหลิงเข้าร่วมได้กี่คนงั้นรึ!”
โจวเหวินอี้ตอบกลับอย่างรวดเร็ว“เจ้าทำให้ยอดฝีมือของหน่วยนภาหายไปพร้อมกันทีเดียวถึงหกคน.. ก็ต้องหามาแทนที่อย่างน้อยหกคนสิ!”
หลิงลี่เห็นหลิงหยุนยังคงนิ่งไม่ตอบจึงรีบร้องบอกหลิงหยุนผ่านกระแสจิต..
–หลิงหยุน..นี่จะเป็นการดีต่อตระกูลหลิงของเราอย่างมาก ปู่อยากให้เจ้าตกลง!-
แต่หลิงหยุนกลับขมวดคิ้วและพูดขึ้นว่า “หกคน.. ไม่มากเกินไปหน่อยรึ!”
โจวเหวินอี้ได้ยินถึงตอบเสียงห้วน“หากเจ้าคิดว่ามากเกินไป เจ้าจะเข้าร่วมในหน่วยนภาเพียงคนเดียวก็ได้!”
หลิงหยุนหัวเราะออกมาอย่างอารมณ์ดีพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ฮ่า.. ฮ่า.. อาวุโส.. อย่าด่วนฉุนเฉียว หกคนก็หกคน แต่ข้าจะเป็นผู้ตัดสินใจเองว่าจะส่งผู้ใดไปเข้าร่วมหน่วยนภา!”
โจวเหวินอี้ดีใจอย่างมากแต่ก็ไม่แสดงออกมาทางสีหน้าพร้อมกับอธิบายให้หลิงหยุนฟังว่า “เจ้าจะส่งผู้ใดมาก็ย่อมได้ แต่หน่วยนภาของเราก็มีกฏระเบียบ หลังจากที่เจ้าคัดเลือกคนมาแล้ว หน่วยนภาของเราจะเป็นผู้ตรวจสอบคุณสมบัติอีกครั้งก่อน จึงจะสามารถเข้าร่วมได้อย่างเป็นทางการ..”
หลิงหยุนไม่ได้มีปัญหาอะไรจึงตอบกลับไปทันที“ได้!”
หลิงลี่นั่งฟังหลิงหยุนคุยกับโจวเหวินอี้ด้วยดวงตาที่แดงก่ำ..
ในอดีตเมื่อสี่สิบปีก่อน..ตระกูลหลิงก็เคยส่งคนของตนเข้าร่วมในหน่วยนภาร่วมยี่สิบคน เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในสี่ส่วนของสมาชิกทั้งหมดเลยก็ว่าได้!
แต่หลังจากเหตุการณ์เมื่อสิบแปดปีที่แล้วตระกูลหลิงก็ไม่หลงเหลือสมาชิกที่ทำงานในกลุ่มนภาอีกเลยแม้แต่คนเดียว! แต่เวลานี้..ตระกูลหลิงกำลังจะได้เข้าร่วมกับหน่วยนภาอีกครั้ง และพร้อมกันคราวเดียวถึงหกคน!
“ท่านโจว..หลิงลี่ของดื่มให้ท่านสามจอก!”
หลิงลี่เอ่ยขึ้นด้วยความดีใจและตื้นตันใจอย่างที่สุด..
ครั้งนี้โจวเหวินอี้ไม่เรียกหลิงหยุนว่าสหายน้อยอีกต่อไปและพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เคร่งเครียด
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าหากเจ้าจะแก้แค้นในกับตระกูลฉินจะต้องมีผู้คนอีกมากมายในยุทธภพที่จะต้องจบชีวิต”
“อาวุโส..อภัยให้ข้าด้วยหากจะต้องบอกกับท่านว่ามันคือเรื่องของเวรกรรม ทำเช่นใดย่อมได้รับผลเช่นนั้น!”
โจวเหวินอี้รู้ดีว่าหากยังฝืนเจรจาต่อไปคงยากที่จะหลีกเลี่ยงการปะทะได้ จึงหันไปมองหลิงลี่คล้ายจะขอให้หลิงลี่พูดอะไรสักอย่าง..
“ท่านโจว..ข้าได้บอกกับท่านก่อนหน้านี้แล้วว่า เรื่องราวทั้งภายใน และภายนอกตระกูลหลิง ล้วนแล้วแต่ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของหลิงหยุน ข้าเองทำได้แค่เพียงรับฟังเท่านั้น!”
หลังจากที่ปฏิเสธไปตามมารยาทแล้วในที่สุดหลิงลี่ก็ย้ำว่า “อีกอย่าง.. สิ่งที่หลิงหยุนพูดมาก็ไม่มีอะไรผิด!”
โจวเหวินอี้ถึงกับยิ้มขื่นเมื่อได้ยินคำตอบของหลิงลี่..เขาถอนหายใจแรง และพูดขึ้นอย่างหมดหนทาง
“เฮ้อ..อาวุโสหลิง ใช่ว่าข้าจะไม่เข้าใจความรู้สึกของสหายน้อยหลิงหยุน เพียงแต่นี่ไม่ใช่การตัดสินใจของข้าเพียงคนเดียว!”
ในหน่วยนภานั้นมียอดฝีมือขึ้นพลังเหนือธรรมชาติอยู่มากกว่าร้อยคนเรื่องนี้จึงไม่ใช่การตัดสินใจของเขาแต่เพียงผู้เดียว..
“หลิงหยุนเข้าใจความหวังดีของอาวุโสที่มีต่อตระกูลหลิงดีและขอบคุณอาวุโสอีกครั้ง!”
หลังจากที่เห็นท่าทีของโจวเหวินอี้หลิงหยุนก็รู้ได้ทันทีว่าชายชราผู้นี้เป็นคนประนีประนอม และเข้าใจความลำบากใจของโจวเหวินอี้ดี
หากหลิงหยุนยอมปล่อยตัวตี๋ยั่วถังโจวเหวินอี้ก็จะพาตัวเขากลับไป และพยายามแก้ไขให้เรื่องใหญ่กลายเป็นเรื่องเล็ก แต่หากหลิงหยุนยืนกรานไม่ยอมมอบตี๋ยั่วถังให้เช่นนี้ ความขัดแย้งระหว่างตระกูลหลิงกับหน่วยนภาก็จะยิ่งบานปลายมากขึ้น ถึงตอนนั้นแม้แต่เขาในฐานะหัวหน้าอาวุโสก็ยากที่จะห้ามปรามเหล่าสมาชิกได้เช่นกัน..
เมื่อคิดได้เช่นนี้หลิงหยุนจึงได้หันไปพูดกับโจวเหวินอี้ว่า “อาวุโส.. หลิงหยุนขอรบกวนให้ท่านกลับไปบอกสมาชิกของหน่วยนภาด้วยว่า เวลานี้ตี๋ยั่วถังอยู่ในมือของตระกูลหลิง หากผู้ใดต้องการยื่นมือเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ ก็ขอให้ประเมินตนเองให้ดีเสียก่อน!”
หลิงหยุนประกาศกร้าวอย่างไร้ความเกรงกลัวต่อหน่วยนภา!
….
แม้ว่าหลิงหยุนจะประกาศกร้าวอย่างองอาจและแสดงจุดยืนที่มั่นคงของตนเองเช่นนั้น แต่ถ้อยคำของเขาก็เป็นไปด้วยความสุภาพ และเพียงแค่ต้องการเตือนให้ผู้ที่คิดจะยื่นมือเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องของตี๋ยั่วถัง ได้ประเมินความสามารถของตนเองให้ดีเสียก่อน..
นั่นเพราะโจวเหวินอี้ที่อยู่ต่อหน้าหลิงหยุนนั้นก็เป็นหนึ่งในผู้ที่ต้องการยื่นมือเข้ามายุ่งเกี่ยวในเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน อีกทั้งโจวเหวินอี้ยังมีฐานะเป็นถึงหัวหน้าอาวุโสของหน่วยนภา หลิงหยุนจึงต้องใช้คำพูดที่ให้หน้าเขาด้วยเช่นกัน!
อีกทั้งโจวเหวินอี้ก็ได้แสดงท่าทีอย่างชัดเจนว่าไม่ได้มีประสงค์ร้ายกับตระกุลหลิง!
หากเป็นที่จิงฉูหลิงหยุนอาจไม่จำเป็นต้องรักษาหน้าใครเช่นนี้เพราะที่จิงฉูหลิงหยุนก็คือหลิงหยุน!
แต่ที่นี่คือปักกิ่งซึ่งแตกต่างจากจิงฉู..ปักกิ่งนั้นซับซ้อนกว่าจิงฉูมากนัก และที่นี่หลิงหยุนคือตัวแทนของตระกูลหลิง ไม่ว่าจะทำสิ่งใดลงไป เขาจึงต้องคิดเผื่อตระกูลหลิงด้วย!
ถึงแม้ว่าเวลานี้ตระกูลหลิงจะมีกองกำลังที่ค่อนข้างแข็งแกร่งและการป้องกันที่แข็งแรงมากพอ แต่ก็ยังห่างไกลคำว่าสูงสุดอยู่มาก!
ดังนั้น..หากตระกูลหลิงสามารถอยู่ได้โดยไม่มีผู้ใดกล้ามาก่อกวนเช่นนี้ไปได้เรื่อยๆ ก็จะยิ่งเป็นผลดีต่อเสถียรภาพของตระกูลหลิงมากยิ่งขึ้น
ถ้าคุณทำบาปต่อหน้าโจวเหวินอี้จริงๆและคุณไม่ได้เป็นอันตรายต่อตระกูลหลิงนั่นไม่ใช่ว่ากลุ่มสกายทั้งหมดจะผลักดันไปยังค่ายของฝ่ายตรงข้ามของตระกูลหลิง
และหากหลิงหยุนสร้างความไม่พอใจให้กับโจวเหวินอี้ก็เท่ากับสร้างความเสียหายให้กับตระกูลหลิงด้วยเช่นกัน เพราะนั่นย่อมหมายถึงการผลักให้เหล่าสมาชิกทั้งหมดของกลุ่มนภา ไปเป็นฝ่ายตรงข้ามกับตระกูลหลิงด้วยเช่นกัน!
และสีหน้าของหลิงลี่เวลานี้ก็บ่งบอกชัดเจนว่าไม่ต้องการให้หลิงหยุนสร้างความขุ่นเคืองใจให้กับโจวเหวินอี้ เขาต้องการให้ทั้งสองฝ่ายเจรจาหาทางออกอย่างใจเย็น เพื่อให้สถานการณ์ไม่บานปลายเป็นเลวร้ายมากจนเกินไป และต่างฝ่ายต่างก็จะได้มีทางเดิน..
แต่หลังจากที่ได้ฟังคำประกาศกร้าวของหลิงหยุนแม้แต่หลิงลี่เองยังถึงกับสะดุ้ง และโจวเหวินอี้ก็ถึงกับตกใจ แต่ทั้งคู่ต่างก็นิ่งเงียบไม่พูดอะไรออกมา..
ทางด้านหลิงหยุนหลังจากที่ประกาศเจตจำนงค์ที่แน่วแน่ของตนเองออกไปแล้วเมื่อเห็นว่าชายชราทั้งสองคนยังคงนิ่งเงียบ จึงได้จัดการรินชาลงในถ้วยให้กับคนทั้งคู่..
โจวเหวินอี้เห็นท่าทีเช่นนั้นของหลิงหยุนก็ได้แต่คิดในใจว่านี่ไม่ต่างจากการตบหัวแล้วลูบหลังเลยแม้แต่น้อย แต่ก็ไม่ได้ห้ามปราม หรือขัดขวางหลิงหยุน เขาเพียงแค่ถอนหายใจ แล้วยกถ้วยชาขึ้นดื่มแทน..
“เอาล่ะ..ในเมื่อสหายน้อยหลิงหยุนยืนกรานเช่นนั้น ข้าโจวเหวินอี้ก็ไม่มีอะไรจะกล่าวอีก!” ในที่สุดโจวเหวินอี้ก็เลือกที่จะเป็นฝ่ายประนีประนอม..
หลิงหยุนผ่อนไหล่ที่เกร็งอยู่ของตนลงทันทีจากนั้นจึงยกถ้วยชาตรงหน้าขึ้นดื่ม แล้วพูดกับโจวเหวินอี้ว่า
“หลิงหยุนขอบคุณอาวุโสที่เข้าใจ!”
โจวเหวินอี้เงยหน้าขึ้นมองหลิงหยุนพร้อมกับตอบไปว่า“เจ้าเข้าใจ หรือไม่เข้าใจ ผลก็ต้องเป็นเช่นนี้ไม่ใช่รึ!”
หลิงหยุนไม่ตอบและเพียงแค่ยิ้ม..
หลิงลี่จึงพูดแทรกขึ้นมาทันที“ท่านโจว.. หากข้าจำไม่ผิด เมื่อสิบแปดปีก่อน ท่านก็เคยมาเยี่ยมเยียนตระกูลหลิงของข้าครั้งหนึ่งไม่ใช่รึ”
โจวเหวินอี้กับหลิงลี่นั้นมีวัยใกล้เคียงกันความอาวุโสจึงนับได้ว่าเท่าเทียมกัน คำพูดคำจาของเขาที่พูดกับโจวเหวินอี้ จึงค่อนข้างแตกต่างจากคำพูดของหลิงหยุนที่ใช้พูดกับโจวเหวินอี้ “ท่านหลิง..ท่านกล่าวได้ถูกต้อง! ข้าเคยมาตระกูลหลิงเมื่อสิบแปดปีก่อนจริงๆ!”
หลิงหยุนถึงกับใจสั่นเมื่อคิดได้ว่าหรือการมาของโจวเหวินอี้ในครั้งนั้น จะนำพาตระกูลหลิงให้พบกับโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่เมื่อสิบแปดปีก่อน!
ระหว่างที่กำลังครุ่นคิดอยู่นั้นหลิงหยุนก็ได้ยินหลิงลี่พูดขึ้นว่า“แต่ไม่ว่าครั้งนี้ท่านโจวจะมาตระกูลหลิงด้วยเรื่องอะไรก็ตามแต่ คงต้องอยู่ทานอาหารร่วมกันก่อนจึงจะกลับได้!”
โจวเหวินอี้หัวเราะออกมาพร้อมตอบกลับไปว่า“ฮ่า.. ฮ่า.. ข้าเองก็ตั้งใจที่จะมาทานอาหารที่นี่อยู่แล้ว!”
“นับเป็นเรื่องที่ดี!”
ทันทีที่ได้ยินโจวเหวินอี้ตอบตกลงหลิงลี่ก็รีบร้องสั่งพ่อครัวให้เตรียมเสริฟอาหารทันที..
ความจริงแล้วทันทีที่โจวเหวินอี้ก้าวเท้าเข้ามาในคฤหาสน์ตระกูลหลิงหลิงลี่ก็ได้สั่งให้พ่อครัวจัดเตรียมอาหารไว้ก่อนล่วงหน้า และนี่ก็ผ่านไปกว่าหนึ่งชั่วโมงแล้ว พ่อครัวจึงได้เตรียมอาหารเสร็จ และพร้อมนำขึ้นโต๊ะทันที
และเวลานี้บนโต๊ะก็เต็มไปด้วยอาหารร้อนเย็นและเหล้าชั้นดี!
“ดื่ม!”
“ดื่ม!”
หลิงหยุนในฐานะที่อายุน้อยที่สุดทำหน้าที่รินเหล้าเหมาไถซึ่งเก็บมานานหลายปีของหลิงลี่ลงในถ้วยให้กับอาวุโสทั้งสอง จากนั้นทั้งสามคนก็เริ่มดื่มกินพร้อมกับพูดคุยกันไปด้วย..
หลังจากดื่มเหล้าไปสองสามจอกหลิงลี่ก็เป็นฝ่ายพูดขึ้นว่า “ท่านโจว.. หลิงหยุนยังเด็กนัก และเพิ่งจะมาอยู่ปักกิ่งได้ไม่นาน หากเขาพูดหรือทำสิ่งใดที่ไม่เหมาะสมลงไป ท่านก็อย่าได้ถือสา และอภัยให้เขาด้วยเถิดนะ!”
โจวเหวินอี้จ้องมองหลิงหยุนอย่างพินิจพิจารณาในที่สุดก็พูดขึ้นว่า “ผู้นำตระกูลหลิง.. ข้าต่างหากที่ต้องขออภัย ที่จู่ๆ ก็บุ่มบ่ามมาตระกูลหลิง หนำซ้ำยังพูดจาไร้มารยาท!”
“อาวุโส..อย่าได้กล่าวเช่นนั้น!”
แน่นอนว่าหลิงหยุนย่อมไม่เสียมารยาทกับโจวเหวินอี้อีกในเมื่อเขาเองก็ได้บรรลุเป้าหมายที่ตนเองต้องการแล้ว..
โจวเหวินอี้หัวเราะจากนั้นทั้งหลิงลี่กับโจวเหวินอี้ต่างก็กระดกถ้วยเหล้าขึ้นดื่ม..
หลังจากที่ดื่มเข้าไปจนหมดจอกแล้วโจวเหวินอี้ก็หันไปพูดกับหลิงหยุนว่า “หลิงหยุน.. ในเมื่อเจ้าเองไม่ต้องการให้ข้าเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องของตี๋ยั่วถัง ข้าก็จะรามือ ส่วนเจ้าเองก็ลืมเรื่องที่ข้าพูดเมื่อครู่ไปซะ!”
“เช่นนี้ดีหรือไม่”
หลิงหยุนรู้ว่าการที่โจวเหวินอี้เกริ่นขึ้นมาเช่นนี้ย่อมมีเรื่องที่จะพูดต่อเป็นแน่ เขาจึงไม่ตอบอะไร และรับฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ..
“แต่ในการประลองระหว่างตระกูลหลิงกับตระกูลซันและตระกูลเย่นั้นทำให้หน่วยนภาต้องสูญเสียยอดฝีมือไปเช่นนี้ ข้าในฐานะหัวหน้าอาวุโสของหน่วยนภา จำเป็นต้องให้เจ้าร่วมรับผิดชอบ..”
หลังจากที่ดื่มไปหลายจอกโจวเหวินอี้ก็เริ่มพูดกับหลิงหยุนด้วยสายตาเจ้าเล่ห์ราวกับจิ้งจอกเฒ่า..
ตะเกียบในมือของหลิงหยุนชะงักทันทีและร้องถามออกไปอย่างไม่เข้าใจ “ไม่ทราบอาวุโสหมายความเช่นใด!”
โจวเหวินอี้ยิ้มให้หลิงหยุนพร้อมกับอธิบายว่า“คนตายก็ไม่อาจฟื้นคืน.. เจ้าสังหารยอดฝีมือของหน่วยนภาตายไปสี่คน ส่วนหลู่หมิงฉู่ก็ประกาศลาออกจากหน่วยนภา ตี๋ยั่วถังก็อยู่กับเจ้า เจ้าคิดดูว่านี่ใช่ความสูญเสียอย่างมากของหน่วยนภาหรือไม่”
หลิงหยุนยังคงไม่เข้าใจเขายิ้มมุมปากก่อนจะถามไปว่า “อาวุโสต้องการจะบอกสิ่งใดกับข้ากันแน่!”
โจวเหวินอี้หันไปมองหลิงลี่พร้อมกับพูดขึ้นว่า“ท่านหลิง.. เพราะเหตุการณ์เมื่อสิบแปดปีก่อน ทำให้หน่วยนภาไร้ซึ่งสมาชิกจากตระกูลหลิงของท่าน คิดแล้วช่างน่าเสียดายยิ่งนัก!”
และในที่สุดโจวเหวินอี้ก็ได้บอกสิ่งที่ตนเองต้องการออกไป..ซึ่งก็คือการขอให้ตระกูลหลิงส่งคนไปเข้าร่วมกับหน่วยนภารนั่นเอง!
“นี่..นี่หมายความว่า..”
หลิงลี่ถึงกับตกตะลึงเขายกถ้วยเหล้าขึ้นดื่มก่อนจะถามโจวเหวินอี้ไปว่า “ตระกูลหลิงของเราตกต่ำมานานหลายปี จะหาผู้ที่มีคุณสมบัติเข้าร่วมกับหน่วยนภาได้อย่างไรกัน”
ระหว่างที่พูดนั้น..หลิงลี่ก็เหลือบมองไปทางหลิงหยุน!
การได้เคยเข้าร่วมในหน่วยนภาซึ่งทำงานเพื่อประเทศชาตินั้น นับเป็นเกียรติประวัติอันยิ่งใหญ่ของตระกูลหลิง ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นหนึ่งในสามตระกูลใหญ่ของประเทศนี้!
แต่หลังจากที่เกิดโศกนาฏกรรมในครั้งนั้นตระกูลหลิงก็ตกต่ำมานานหลายปี แม้แต่ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดอย่างหลิงเจิ้นยังอยู่เพียงแค่ขั้นเซียงเทียน-2 เช่นนี้แล้วจะมีคุณสมบัติเข้าร่วมกลุ่มนภาซึ่งมีแต่ยอดฝีมือขั้นเหนือธรรมชาติได้อย่างไรกัน
เมื่อครั้งที่หลิงหยุนมาปักกิ่งครั้งแรกและหลิงลี่ได้ล่วงรู้ถึงความแข็งแกร่งของเขานั้น หลิงลี่ยังหวังว่าจะให้หลิงหยุนเข้าร่วมกับหน่วยนภา แต่ก็ต้องผิดหวังเมื่อหลิงหยุนปฏิเสธ!
อีกทั้งในครั้งนั้นตระกูลหลิงก็ยังตกอยู่ในอันตรายหลิงลี่จึงไม่เคยพูดถึงเรื่องนี้กับหลิงหยุนอีก!
แต่เวลานี้โอกาสได้มาถึงแล้ว..และผู้ที่เอ่ยปากชักชวนก็เป็นถึงหัวหน้าอาวุโสของหน่วยนภา – โจวเหวินอี้!
ระหว่างที่หลิงลี่กำลังรอฟังคำตอบของหลิงหยุนที่ยังคงนิ่งเงียบอยู่นานในที่สุดหลิงหยุนก็เอ่ยปากถามโจวเหวินอี้ และคำถามของหลิงหยุนก็ทำให้โจวเหวินอี้แทบกระอักเลือด..
“เข้าร่วมกลุ่มนภาแล้วจะได้ประโยชน์อะไรงั้นรึ!”
โจวเหวินอี้ซึ่งกำลังยกถ้วยเหล้าขึ้นดื่มนั้นถึงกับสำลักขึ้นมาทันที!
การได้เข้าร่วมเป็นสมาชิกของหน่วยนภาล้วนมีแต่จะนำพาชื่อเสียง และความรุ่งเรืองมาสู่ตระกูล ไม่ว่ายอดฝีมือจากสำนักใด หรือตระกูลใด ต่างก็ต้องการจะเข้าเป็นสมาชิกของหน่วยนภากันทั้งสิ้น!
แต่หลิงหยุนกลับถามถึงประโยชน์ที่จะได้รับเช่นนี้..
“ย่อมได้รับประโยชน์มากมายทีเดียวอย่างน้อยเจ้าก็จะไม่นึกเสียใจที่ได้เข้าร่วมกับกลุ่มนภาแน่!”
แต่โจวเหวินอี้ก็ไม่ได้นึกโกรธหลิงหยุนและยินดีที่จะตอบคำถามของเขา..
หลิงหยุนฟังแล้วก็ได้แต่ยิ้มจากนั้นจึงถามต่อว่า “ให้ตระกูลหลิงเข้าร่วมได้กี่คนงั้นรึ!”
โจวเหวินอี้ตอบกลับอย่างรวดเร็ว“เจ้าทำให้ยอดฝีมือของหน่วยนภาหายไปพร้อมกันทีเดียวถึงหกคน.. ก็ต้องหามาแทนที่อย่างน้อยหกคนสิ!”
หลิงลี่เห็นหลิงหยุนยังคงนิ่งไม่ตอบจึงรีบร้องบอกหลิงหยุนผ่านกระแสจิต..
–หลิงหยุน..นี่จะเป็นการดีต่อตระกูลหลิงของเราอย่างมาก ปู่อยากให้เจ้าตกลง!-
แต่หลิงหยุนกลับขมวดคิ้วและพูดขึ้นว่า “หกคน.. ไม่มากเกินไปหน่อยรึ!”
โจวเหวินอี้ได้ยินถึงตอบเสียงห้วน“หากเจ้าคิดว่ามากเกินไป เจ้าจะเข้าร่วมในหน่วยนภาเพียงคนเดียวก็ได้!”
หลิงหยุนหัวเราะออกมาอย่างอารมณ์ดีพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ฮ่า.. ฮ่า.. อาวุโส.. อย่าด่วนฉุนเฉียว หกคนก็หกคน แต่ข้าจะเป็นผู้ตัดสินใจเองว่าจะส่งผู้ใดไปเข้าร่วมหน่วยนภา!”
โจวเหวินอี้ดีใจอย่างมากแต่ก็ไม่แสดงออกมาทางสีหน้าพร้อมกับอธิบายให้หลิงหยุนฟังว่า “เจ้าจะส่งผู้ใดมาก็ย่อมได้ แต่หน่วยนภาของเราก็มีกฏระเบียบ หลังจากที่เจ้าคัดเลือกคนมาแล้ว หน่วยนภาของเราจะเป็นผู้ตรวจสอบคุณสมบัติอีกครั้งก่อน จึงจะสามารถเข้าร่วมได้อย่างเป็นทางการ..”
หลิงหยุนไม่ได้มีปัญหาอะไรจึงตอบกลับไปทันที“ได้!”
หลิงลี่นั่งฟังหลิงหยุนคุยกับโจวเหวินอี้ด้วยดวงตาที่แดงก่ำ..
ในอดีตเมื่อสี่สิบปีก่อน..ตระกูลหลิงก็เคยส่งคนของตนเข้าร่วมในหน่วยนภาร่วมยี่สิบคน เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในสี่ส่วนของสมาชิกทั้งหมดเลยก็ว่าได้!
แต่หลังจากเหตุการณ์เมื่อสิบแปดปีที่แล้วตระกูลหลิงก็ไม่หลงเหลือสมาชิกที่ทำงานในกลุ่มนภาอีกเลยแม้แต่คนเดียว! แต่เวลานี้..ตระกูลหลิงกำลังจะได้เข้าร่วมกับหน่วยนภาอีกครั้ง และพร้อมกันคราวเดียวถึงหกคน!
“ท่านโจว..หลิงลี่ของดื่มให้ท่านสามจอก!”
หลิงลี่เอ่ยขึ้นด้วยความดีใจและตื้นตันใจอย่างที่สุด..