Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร - บทที่ 1224 : ถ่ายทอดวรยุทธ!
เมื่อออกมาจากบ้านของหลิงลี่หลิงหยุนก็ได้ไปหาหลิงซิ่วที่ห้อง แต่ทันทีที่เปิดประตูเข้าไป หลิงหยุนก็พบว่าทั้งถังเมิ่ง ตี้เสี่ยวอู๋ โม่วู๋เตา หลิงซวี่ หนิงหลิงยู่ และฉีเสี่ยวชิง ทุกคนต่างก็มารวมตัวกันอยู่ภายในห้องหลิงซิ่วทั้งหมดแล้ว..
“หลิงหยุน..เจ้าน่าจะจัดการตาเฒ่านั่นซะ!”
หลิงหยุนเหลือบมองโม่วู๋เตาที่เอาแต่จะยุยงให้เขามีเรื่องกับผู้คนไปทั่วพร้อมกับถอนหายใจและตอบกลับด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม..
“เหตุใดข้าต้องทำร้ายผู้ที่นำผลประโยชน์มหาศาลมาให้ข้าถึงที่บ้านด้วยเล่า!”
จากนั้นหลิงหยุนจึงนั่งลงและเริ่มเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ทุกคนฟังตั้งแต่ต้นจนจบ และท้ายที่สุดหลิงหยุนก็พูดขึ้นว่า
“ความจริงเรื่องจำนวนคนเป็นเพียงข้ออ้างของโจวเหวินอี้ที่จะมอบทรัพยากรในการฝึกวิชาให้กับตระกูลหลิงนั่นเอง..”
“คิดไม่ถึงว่าตาเฒ่านั่นจะเป็นคนดีถึงเพียงนี้..”โม่วู๋เตาส่ายหน้าพร้อมกับพึมพำออกมา
หลิงหยุนไม่สนใจโม่วู๋เตาอีกและหันไปพูดกับทุกคนในห้องว่า “ไว้วันหลังพวกเราค่อยหาเวลาไปเที่ยวพระราชวังฤดูร้อน และเขาเซียงซานใหม่!”
หลังจากนั้นหลิงหยุนก็หันไปสั่งตี้เสี่ยวอู๋กับหนิงหลิงยู่ให้ตามตนเองออกไปข้างนอกทุกคนต่างก็รู้ดีว่าทั้งตี้เสี่ยวอู๋และหนิงหลิงยู่นั้นกำลังเข้าสู่ช่วงเวลาสำคัญ ซึ่งก็คือการพัฒนาเข้าสู่ขั้นต่อไปนั่นเอง จึงไม่มีใครสนใจทั้งสามคนที่กำลังเดินออกไป
มีเพียงฉีเสี่ยวชิงเท่านั้นที่จ้องมองคนทั้งสามเดินออกไปแววตากระตือรือร้นปรากฏขึ้นในดวงตาคู่งามของฉีเสี่ยวชิงวูบหนึ่ง แล้วจึงดับลงอย่างรวดเร็วเพื่อปกปิดความรู้สึกที่แท้จริงไว้อย่างมิดชิด.. แต่ถึงกระนั้นท่าทีที่เปลี่ยนไปของฉีเสี่ยวชิงเมื่อครู่ก็ไม่สามารถรอดพ้นสายตาอันแหลมคมของหลิงซิ่วไปได้..
ตั้งแต่ที่ฉีเสี่ยวชิงมาพักอยู่ในบ้านตระกูลหลิงหลายวันมานี้หลิงซิ่วก็เป็นผู้ดูแลนางมาโดยตลอด ทำให้รู้จักนิสัยใจคอของฉีเสี่ยวชิงได้ดีว่า หญิงสาวผู้นี้เป็นคนเฉลียวฉลาด แต่ก็ดื้อรั้นยิ่งนัก ถึงแม้นางจะเกิดมาในครอบครัวที่ยากจน แต่ก็ไม่เคยรู้สึกต่ำต้อย มิหนำซ้ำยังค่อนข้างมีความเคารพในตัวเองสูงมากด้วย นับว่าเป็นเด็กสาวที่น่าสนใจในความรู้สึกของหลิงซิ่วมาก!
แม้กระทั่งเมื่อวานที่หลิงหยุนซื้อนาฬิกาPatek Philippe ซึ่งมีราคาแพงหูฉี่ให้นั้น ฉีเสี่ยวชิงกลับหยิบขึ้นมาดูเพียงแค่ครั้งเดียวด้วยสีหน้าแววตาเรียบเฉย จากนั้นจึงวางไว้บนโต๊ะในห้องนอนโดยไม่แตะต้องอีกเลย และไม่แม้แต่จะถ่ายรูปโพสลงในโลกโซเชียลดังเช่นเด็กสาวทั่วไป..
แต่ครั้งนี้..หลิงซิ่วกลับสังเกตเห็นแววตาตื่นเต้น และกระตือรือร้นของฉีเสี่ยวชิง!
ฉีเสี่ยวชิงและหนิงหลิงยู่นั้นนับเป็นเด็กสาวที่มีภูมิหลังคล้ายคลึงกันยิ่งนักเพียงแต่ฉีเสี่ยวชิงไม่มีพี่ชายที่เก่งกาจดังเช่นหลิงหยุนคอยปกป้อง..
หญิงสาวผู้นี้อยากจะฝึกวรยุทธด้วยเช่นนั้นหรือ!
หลิงซิ่วที่จับตามองอยู่จึงได้แต่ยิ้มออกมาอย่างมีเลศนัย..
……
หลิงหยุนเดินนำตี้เสี่ยวอู๋กับหนิงหลิงยู่ไปที่ห้องฝึกวรยุทธของตระกูลหลิงและทันทีที่ไปถึงหลิงหยุนก็หันไปสั่งตี้เสี่ยวอู๋ว่า..
“เอาล่ะเสี่ยวอู๋..ฉันถ่ายทอดวิชาไปให้นายตั้งมากมาย นายแสดงให้ฉันดูหน่อยสิ!”
“เสี่ยวอู๋..ฉันสอนวรยุทธให้กับนายไปตั้งมากมาย นายแสดงให้ฉันดูหน่อย!”
มาถึงวันนี้..หลิงหยุนได้ถ่ายทอดวิชาให้กับตี้เสี่ยวอู๋ไปตั้งมากมาย ไม่ว่าจะเป็นวิชาเท้าทองคำหมื่นลี้ วิชามังกรพรางร่าง วิชาหมัดปีศาจเถียนกัง วิชาเท้าวายุ วิชากรงเล็บเส้าหลิน วิชาดาราคุ้มกาย และอีกมากมาย..
จนกระทั่งถึงวันนี้..หลิงหยุนถ่ายทอดวิชาให้กับตี้เสี่ยวอู๋ไปมากมาย ไม่ว่าจะเป็นวิชาเท้าทองคำหมื่นลี้ วิชามังกรพรางร่าง วิชานู่เตา วิชาหมัดปีศาจเถียนกัง วิชาเท้าวายุ วิชากรงเล็บเส้าหลิน วิชาดาราคุ้มกาย แม้กระทั่งวิชาพลังมังกร..
สำหรับวิชาเท้าทองคำหมื่นลี้นั้นเป็นวิชาที่เหมาะแก่การวิ่งในระยะทางไกล ซึ่งผู้ที่ฝึกวิชานี้จะสามารถวิ่งได้เร็วและแกร่งราวกับม้าศึก แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับพลังปราณของคนผู้นั้นด้วย หากมีพลังปราณที่แข็งแกร่งพอ ก็ย่อมสามารถวิ่งได้นานเป็นวันๆเลยทีเดียว..
ส่วนวิชามังกรพรางร่างนั้นเหมาะที่จะใช้ในการประลอง หรือต่อสู้กับศัตรู ผู้ที่ฝึกวิชานี้ได้ก้าวหน้าถึงขั้นสูง ก็จะสามารถพัฒนาเป็นวิชาเงาลวงตา ซึ่งจะทำให้คนผู้นั้นสามารถเคลื่อนที่ได้รวดเร็วราวกับหายตัวได้ และสามารถสร้างเงาเสมือนจริงขึ้นมาได้ราวกับโคนนิ่งร่างได้พร้อมกันทีเดียวหลายๆร่างด้วย!
เวลานี้ตี้เสี่ยวอู๋ได้เข้าสู่ระดับสูงสุดขั้นโฮ่วเทียน-9แล้ว วิชานู่เตาก็เข้าสู่ขั้นที่พลังปราณในร่างกายไหลเวียนรุนแรงดั่งคลื่นที่ซัดกระทบฝั่งอย่างคลุ้มคลั่ง จึงส่งเสียงดังครืนๆอยู่ตลอดเวลา..
“พี่หยุน..นี่พี่จะให้ฉันแสดงให้พี่ดูทุกวิชาจริงๆเหรอ!”
ตี้เสี่ยวอู๋ถามขึ้นด้วยความงุนงงเพราะไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นแสดงวิชาใหนให้หลิงหยุนดูก่อนดี
“ไม่..เฉพาะวรยุทธที่ใช้ในการต่อสู้เท่านั้นพอ!”
“เฉพาะวรยุทธที่ฉันถ่ายทอดให้กับนายวิชาอื่นที่เกี่ยวกับกำลังภายในไม่ต้อง..”
ตี้เสี่ยวอู๋พยักหน้าในขณะที่หลิงหยุนดึงหนิงหลิงยู่ไปยืนหลบอยู่ที่มุมห้อง และปล่อยให้ตี้เสี่ยวอู๋แสดงวรยุทธให้ดู.. จากนั้นตี้เสี่ยวอู๋ก็เริ่มร่ายรำหมัดปีศาจเถียนให้หลิงหยุนดูร่างสูงใหญ่ราวกับตึกของตี้เสี่ยวอู๋ร่ายรำเพลงหมัดออกมาอย่างดุเดือด แต่ละหมัดที่ซัดออกมานั้น แม้จะไม่ปะทะเข้ากับสิ่งใดในห้อง แต่ก็เกิดเสียงหมัดที่ปะทะลมดับพรึบๆทุกครั้งไป..
“น้ำหนักหมัดของเสี่ยวอู๋เวลานี้สามารถฆ่าเสือตายได้ในทันทีเลยทีเดียว!”
ระหว่างที่ดูหลิงหยุนก็วิจารณ์ให้หนิงหลิงยู่ที่ยืนอยู่ข้างๆฟังไปด้วย“ต่อให้เป็นยอดฝีมือขั้นเซียงเทียน-6 ก็ใช่ว่าจะได้เปรียบเสี่ยวอู๋มากนัก!”
หลังจากที่ร่ายรำเพลงหมัดจบแล้วตี้เสี่ยวอู๋ก็ได้โชว์ฝ่าเท้าวายุให้หลิงหยุนดูต่อทันที..
ตี้เสี่ยวอู๋นั้นมีรูปร่างสูงถึงหนึ่งเมตรเก้าสิบเซ็นติเมตรขาทั้งสองขาวจึงไม่ต่างจากเสาขนาดใหญ่สองต้น และทุกครั้งที่ตี้เสี่ยวอู๋ยกขาเตะออกไป และกวาดไปรอบตัวนั้น จึงดูไม่ต่างจากกังหันขนาดใหญ่ที่กำลังหมุน..
หลิงหยุนได้แต่ยืนยิ้มออกมาด้วยความพึงพอใจเพราะร่างกายที่สูงใหญ่ของตี้เสี่ยวอู๋นั้น ทำให้หมัดและเท้าของเขากลายเป็นอาวุธที่น่ากลัวในการต่อสู้
จากนั้นตี้เสี่ยวอู๋ก็ได้ร่ายรำกรงเล็บมังกรเส้าหลินให้หลิงหยุนดูเป็นชุดสุดท้ายและนี่คือวรยุทธที่หลิงหยุนได้ถ่ายทอดให้ตี้เสี่ยวอู๋เป็นวิชาแรก เขาจึงสามารถใช้ได้อย่างคล่องแคล่วมากกว่าวิชาอื่น..
“พี่หยุน..เป็นยังไงบ้าง!”
หลังจากที่ได้ร่ายรำทั้งเพลงหมัดมวยและกรงเล็บเส้าหลินให้หลิงหยุนดูแล้ว ตี้เสี่ยวอู๋ก็ร้องถามความคิดเห็นของหลิงหยุน และกำลังรอคอยฟังคำชี้แนะจากเขาด้วยความตั้งอกตั้งใจ..
“อืมม..หมัดของนายหนักหน่วงราวกับฆ้อน เท้าและขาของนายสะบัดได้รวดเร็วว่องไวราวกับแส้ ส่วนกรงเล็บก็แหลมคมราวกับจะฉีกเนื้อคู่ต่อสู้ นับว่าวรยุทธทั้งสามนั้นดุดัน และเยี่ยมยอดมาก!”
“ไม่มีที่ติเลย!” หลิงหยุนเดินเข้าไปหาตี้เสี่ยวอู๋พร้อมกับยื่นมือออกไปตบบ่าด้วยความชื่นชม!
ตี้เสี่ยวอู๋ไม่ทำให้หลิงหยุนผิดหวังเลยจริงๆเพราะพื้นฐานวรยุทธของเขานั้นค่อนข้างแข็งแกร่งมากทีเดียว..
“เพียงแต่..วรยุทธแค่สามวิชานี้ยังน้อยเกินไป!”
หลิงหยุนจ้องมองตี้เสี่ยวอู๋พร้อมกับพูดต่อว่า“ที่ผ่านมาฉันต้องการให้นายจดจ่ออยู่กับการฝึกวิชานู่เตาเพียงอย่างเดียวเท่านั้น จึงตั้งใจที่จะถ่ายทอดวรยุทธให้นายเพียงเท่านั้นก่อน..”
“แต่ตอนนี้..ถึงเวลาที่นายจะต้องเรียนวรยุทธเพิ่มเติมแล้ว!”
จากนั้นหลิงหยุนก็หันไปทางหนิงหลิงยู่พร้อมกับสั่งว่า“หลิงยู่.. เสี่ยวอู๋.. ตั้งใจดูที่ร่างกาย และหมัดของฉันให้ดี!”
จากนั้นหลิงหยุนจึงเริ่มร่ายรำเพลงยุทธที่เขาจดจำมาจากหลวงจีนหลู่หมิงฉู่ให้กับทั้งสองคนดูทันที..
และนี่คือเพลงหมัดอรหันต์ซึ่งเป็นหนึ่งในเจ็ดสิบสองกระบวนท่าวิชาของวัดเส้าหลินเช่นเดียวกันกับวิชากรงเล็บเส้าหลินนั่นเอง..
ในคืนวันประลองนั้น..หลิงหยุนปล่อยให้หลวงจีนหลู่หมิงฉู่ร่ายรำเพลงหมัดอรหันต์จนครบกระบวนท่า แล้วจึงแอบจดจำกลับมาร่ายรำให้กับตี้เสี่ยวอู๋ และหนิงหลิงยู่ดู..
หลังจากแสดงให้ทัังสองคนดูถึงสองครั้งตี้เสี่ยวอู๋ซึ่งไม่ใช่เด็กใหม่ที่เริ่มฝึกวรุยทธเหมือนเมื่อก่อน เขามีพื้นฐานวรยุทธค่อนข้างแข็งแกร่ง อีกทั้งกำลังภายในก็กำลังจะเข้าสู่ขั้นเซียงเทียนแล้ว และยังเป็นผู้ฝักใฝ่ในการฝึกวิชาเช่นนี้ จึงสามารถจดจำได้อย่างแม่นยำ..
ตี้เสี่ยวอู๋พยักหน้าหลิงหยุนจึงสั่งให้ตี้เสี่ยวอู๋แสดงให้ตนเองดู ตี้เสี่ยวอู๋กระโดไปยืนอยู่กลางห้อง และเริ่มร่ายรำเพลงหมัดอรหันต์ให้หลิงหยุนดูทันที!
หนิงหลิงยู่เองก็จดจำได้อย่างแม่นยำเช่นกันและกำลังจะร่ายรำให้กับหลิงหยุนดู แต่หลิงหยุนกลับห้ามไว้
“หลิงยู่..วรยุทธของวัดเส้าหลินล้วนดุดัน พี่ให้เธอดูไว้เท่านั้น แต่ไม่จำเป็นต้องฝึก..”
ระหว่างที่มองดูตี้เสี่ยวอู๋ร่ายรำเพลงหมัดอรหันต์อยู่นั้นหลิงหยุนก็นึกถึงคฑาทองคำของหลวงจีนจื้อกงขึ้นมาได้ จึงได้เรียกออกมาจากแหวนจักรวาลของตน และยื่นใหักับตี้เสี่ยวอู๋
“เสี่ยวอู๋..นายเก็บคฑานี้ไว้!”
…..
ภายในเวลาเพียงแค่สามชั่วโมง..หลิงหยุนก็ได้ถ่ายทอดวรยุทธให้กับตี้เสี่ยวอู๋ไปถึงห้าวิชา ซึ่งมีทั้งเพลงมวย เพลงทวน เพลงกระบอง และพลอง..
“เสี่ยวอู๋..หลังจากนี้นายเข้าสู่ขั้นเซียงเทียนแล้ว นายจะเป็นคู่ต่อสู้ที่ร้ายกาจของเหล่ายอดฝีมือขั้นเซียงเทียนเลยทีเดียว!”
หลิงหยุนพึมพำออกมาระหว่างที่จ้องมองตี้เสี่ยวอู๋ใช้คฑาทองคำของหลวงจีนจื้อกงร่ายรำเพลงกระบองอย่างตั้งอกตั้งใจ..
“พี่ใหญ่..นี่ถ้าคฑาทองคำบังเอิญฟาดโดนผนังห้องฝึกวรยุทธนี้เข้า ห้องทั้งห้องคงต้องพังทลายลงมาแน่เลย!”
หนิงหลิงยู่ร้องบอกหลิงหยุนพร้อมกับหัวเราะคิกคักอย่างอารมณ์ดี..
“ฮ่า..ฮ่า.. ถ้าเป็นแบบนั้นจริงๆ ท่านปู่คงต้องโมโหแน่ๆ!” หลิงหยุนเองก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้เช่นกัน
ตี้เสี่ยวอู๋นับเป็นผู้ที่มีพรสวรรค์ในการฝึกวรยุทธที่หาได้ยากคนหนึ่งเด็กหนุ่มผู้นี้มีจิตใจฝักใฝ่เพียงแค่เรื่องการฝึกฝนวิชา นับตั้งแต่ที่หลิงหยุนนำตี้เสี่ยวอู๋เข้าสู่เส้นทางนี้ เขาก็หมกมุ่นอยู่กับแต่เรื่องการฝึกฝนเท่านั้น จนถังเมิ่งเองยังเคยเอ่ยปากว่าตี้เสี่ยวอู๋บ้าไปแล้ว..
ตลอดสองเดือนที่ผ่านมานั้น..นอกเหนือจากเวลาที่ใช้ไปกับการกินและการนอนแล้ว เวลาที่เหลือทั้งหมดในชีวิตของตี้เสี่ยวอู๋ก็คือการฝึกวรยุทธ จึงทำให้เขาสามารถก้าวหน้าได้รวดเร็วอย่างน่าอัศจรรย์เช่นนี้
จุดเด่นของตี้เสี่ยวอู๋นั้น..นอกจากเขาจะมีร่างกายที่ราวกับเกิดมาเพื่อการฝึกวรยุทธแล้ว เขายังมีความเข้าใจในเรื่องเหล่านี้ได้เป็นอย่างดีด้วย
“เอาล่ะเสี่ยวอู๋..นายใช้วิชาที่ฉันเพิ่งสอนจู่โจมเข้ามาเต็มที่เลย ใช้กำลังทั้งหมดของนายได้เลย!
“พี่หยุน..ระวังตัวด้วย!”
ตี้เสี่ยวอู๋ใช้คฑาทองคำในมือพุ่งเข้าจู่โจมหลิงหยุนอย่างดุเดือดโดยไม่กังวลแม้แต่น้อยว่าหลิงหยุนจะได้รับอันตราย นั่นเพราะเขาติดตามหลิงหยุนมานาน และรู้ว่าหลิงหยุนกำลังจะฝึกให้เขาเอาชนะคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งกว่าให้ได้นั่นเอง..
ระหว่างที่ตี้เสี่ยวอู๋จู่โจมตนเองนั้นหลิงหยุนก็คอยรับมือไปด้วย และชี้แนะตี้เสี่ยวอู๋ไปด้วย..
“คฑาของนายยังช้าเกินไป!” “นายต้องผสานลมหายใจของตนเองให้เข้ากับการเคลื่อนไหวของร่างกายด้วย..”
คนเป็นหมอนั้นยิ่งรักษาคนไข้มากเท่าใดก็จะยิ่งเก่งกาจมากขึ้นเท่านั้น เช่นเดียวกับผู้ฝึกวรยุทธ ยิ่งเข้าสู่สนามประลองมากเพียงใด ก็จะยิ่งเก่งกาจมากขึ้นเช่นกัน!
หลังจากที่ประมือกับตี้เสี่ยวอู๋และชี้แนะไปพอควรแล้ว หลิงหยุนจึงกระโดดถอยออกมา..
“ขอบคุณพี่หยุน!”
ตี้เสี่ยวอู๋เอ่ยขอบคุณหลิงหยุนด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหอบหลิงหยุนจึงได้แต่ยิ้มและถามไปว่า “เวลานี้พลังปราณในร่างกายของนายเหลืออยู่เท่าไหร่”
“ไม่น่าจะถึงยี่สิบเปอร์เซ็น!”
ตึ้เสี่ยวอู๋ตอบหลิงหยุนไปตามความจริงก่อนที่จะเริ่มประลองกับหลิงหยุนนั้น พลังปราณในร่างกายของเขายังเหลืออยู่ราวเก้าสิบเปอร์เซ็นต์ได้ แต่เพียงแค่ประมือกับหลิงหยุนไปราวครึ่งชั่วโมง ก็ลดลงเหลือเพียงแค่ยี่สิบเปอร์เซ็นต์
“นี่นายเป็นฝ่ายจู่โจมฉันฝ่ายเดียวถ้าฉันจู่โจมนายกลับด้วย พลังปราณของนายจะหมดภายในเวลาไม่ถึงห้านาที!”
จากนั้นหลิงหยุนก็ปรายตามองไปทางหนิงหลิงยู่พร้อมกับอธิบายต่อว่า “นี่คือความแตกต่างระหว่างการฝึกซ้อม และการต่อสู้ในสนามจริง!”
“การต่อสู้ในสนามจริงนั้นอย่าคิดเพียงแค่ต้องการเอาชนะคู่ต่อสู้ให้ได้เร็วๆเท่านั้น แต่ต้องคอยสังเกตไพ่ในมือของคู่ต่อสู้ด้วย หากเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ขึ้นมา ก็ต้องรีบคิดหาวิธีเอาตัวรอดให้ได้ อย่าโง่ยืนให้คู่ต่อสู้ฆ่าตายง่ายๆ!”
“แต่หากสามารถฆ่าได้ก็ต้องฆ่าทันที!”
“เข้าใจมั๊ย”
ตี้เสี่ยวอู๋และหนิงหลิงยู่ต่างก็พยักหน้าทันที.. “เอาล่ะ..นี่ก็ใกล้จะถึงเวลาอาหารเย็นแล้ว!”
“เสี่ยวอู๋..คืนนี้ฉันจะช่วยให้นายเข้าสู่ขั้นต่อไป หลังจากกินข้าวเสร็จแล้ว นายก็เตรียมตัวให้พร้อมล่ะ!”
ตี้เสี่ยวอู๋พยักหน้าด้วยความตื่นเต้น“ได้เลยพี่หยุน!”
จากนั้นหลิงหยุนกับหนิงหลิงยู่ก็ได้เดินออกไปจากห้องฝึกวรยุทธระหว่างทางหลิงหยุนก็ได้หันไปบอกกับหนิงหลิงยู่ว่า
“หลิงยู่..เธอเป็นคนที่สำคัญอย่างมากในชีวิตของพี่ รับปากพี่ใหญ่ได้มั๊ยว่าเธอจะดูแล และระมัดระวังตัวเองให้ดี”
หนิงหลิงยู่ได้ฟังคำพูดแสดงความห่วงใยของหลิงหยุนราวกับจะสั่งเสียเช่นนี้จึงได้แต่นิ่งไป และในที่สุดก็ถามออกไปว่า
“พี่ใหญ่..ทำไมจู่ๆถึงได้พูดอะไรแบบนี้”
หลิงหยุนเห็นแววตาตกตะลึงของหนิงหลิงยู่ก็ถึงกับหัวเราะออกมาพร้อมกับตอบไปว่า “ฮ่า.. ฮ่า.. ก็น้องสาวของพี่เป็นเด็กหัวดื้อ พี่ก็เป็นห่วงว่าระหว่างที่พี่ไม่ได้อยู่ดูแล เธอจะไปเที่ยวมีเรื่องกับผู้คนจนเป็นอันตรายถึงชีวิตน่ะสิ!”
แม้หลิงหยุนจะหัวเราะกลบเกลื่อนแต่น้ำเสียงของเขากลับเคร่งเครียดจริงๆจัง จนหนิงหลิงยู่ต้องตอบไปว่า
“พี่ใหญ่..ฉันจะจำไว้!”
ระหว่างที่เดินผ่านสวนชั้นที่หกซึ่งปลูกต้นหลิวเทวะวิญญาณไว้นั้นหลิงหยุนก็สังเกตเห็นพลังชีวิตธาตุไม้ถูกดูดเข้าสู่ร่างของหนิงหลิงยู่ทันที
“หลิงยู่..รู้สึกหวาดกลัวกับทัณฑ์สวรรค์ที่จะต้องรับบ้างมั๊ย”
หลิงหยุนหันไปมองใบหน้างดงามชวนฝันของหนิงหลิงยู่พร้อมกับเอ่ยถามออกมา..
หนิงหลิงยู่ถึงกับเม้มริมฝีปากแน่และกำลังครุ่นคิดถึงสายฟ้าสีทอง ที่ฟาดใส่ร่างของหลิงหยุนเมื่อครั้งที่อยู่บ้านเลขที่-1 ในเมืองจิงฉู เช่นนี้แล้วเธอจะไม่รู้สึกหวาดกลัวได้อย่างไรกันเล่า!
ดูเหมือนหลิงหยุนเองก็พอจะเข้าใจได้ว่าหนิงหลิงยู่กำลังคิดอะไรอยู่จึงได้อธิบายให้หนิงหลิงยู่ฟังว่า
“หลิงยู่..อสุนีบาตของพี่กับของเธอไม่เหมือนกัน อสุนีบาตที่เธอต้องรับนั้นอย่างมากก็มีขนาดเท่านิ้วโป้ง เธอเองก็ฝึกดาราคุ้มกายถึงขั้นที่สองแล้ว อสุนีบาตเส้นเท่านั้นทำอะไรร่างกายของเธอไม่ได้แน่!”
“หลิงยู่..น้องมีร่างเป็นกายอัปสร ไม่มีทางได้รับอันตรายแน่!”
หลิงหยุนอธิบายให้หนิงหลิงยู่ฟังด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน..
“หลิงยู่..ไปสวนชั้นที่ห้ากันดีกว่า พี่จะถ่ายทอดวิชาพฤกษาขจีให้กับเธอ!”
ในเมื่อแม้แต่ตี้เสี่ยวอู๋หลิงหยุนยังเอาใจใส่ฝึกฝนให้เช่นนั้นมีหรือที่เขาจะละเลยหนิงหลิงยู่ไปได้.. แม้หนิงหลิงยู่จะเป็นผู้ที่มีธาตุทั้งห้าทรงพลังแต่ธาตุน้ำกับธาตุไม้นับว่าแข็งแกร่งสุด หลิงหยุนจึงคิดที่จะถ่ายทอดวิชาพฤกษาขจีให้กับนางด้วย..
“หลิงหยุน..เจ้าน่าจะจัดการตาเฒ่านั่นซะ!”
หลิงหยุนเหลือบมองโม่วู๋เตาที่เอาแต่จะยุยงให้เขามีเรื่องกับผู้คนไปทั่วพร้อมกับถอนหายใจและตอบกลับด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม..
“เหตุใดข้าต้องทำร้ายผู้ที่นำผลประโยชน์มหาศาลมาให้ข้าถึงที่บ้านด้วยเล่า!”
จากนั้นหลิงหยุนจึงนั่งลงและเริ่มเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ทุกคนฟังตั้งแต่ต้นจนจบ และท้ายที่สุดหลิงหยุนก็พูดขึ้นว่า
“ความจริงเรื่องจำนวนคนเป็นเพียงข้ออ้างของโจวเหวินอี้ที่จะมอบทรัพยากรในการฝึกวิชาให้กับตระกูลหลิงนั่นเอง..”
“คิดไม่ถึงว่าตาเฒ่านั่นจะเป็นคนดีถึงเพียงนี้..”โม่วู๋เตาส่ายหน้าพร้อมกับพึมพำออกมา
หลิงหยุนไม่สนใจโม่วู๋เตาอีกและหันไปพูดกับทุกคนในห้องว่า “ไว้วันหลังพวกเราค่อยหาเวลาไปเที่ยวพระราชวังฤดูร้อน และเขาเซียงซานใหม่!”
หลังจากนั้นหลิงหยุนก็หันไปสั่งตี้เสี่ยวอู๋กับหนิงหลิงยู่ให้ตามตนเองออกไปข้างนอกทุกคนต่างก็รู้ดีว่าทั้งตี้เสี่ยวอู๋และหนิงหลิงยู่นั้นกำลังเข้าสู่ช่วงเวลาสำคัญ ซึ่งก็คือการพัฒนาเข้าสู่ขั้นต่อไปนั่นเอง จึงไม่มีใครสนใจทั้งสามคนที่กำลังเดินออกไป
มีเพียงฉีเสี่ยวชิงเท่านั้นที่จ้องมองคนทั้งสามเดินออกไปแววตากระตือรือร้นปรากฏขึ้นในดวงตาคู่งามของฉีเสี่ยวชิงวูบหนึ่ง แล้วจึงดับลงอย่างรวดเร็วเพื่อปกปิดความรู้สึกที่แท้จริงไว้อย่างมิดชิด.. แต่ถึงกระนั้นท่าทีที่เปลี่ยนไปของฉีเสี่ยวชิงเมื่อครู่ก็ไม่สามารถรอดพ้นสายตาอันแหลมคมของหลิงซิ่วไปได้..
ตั้งแต่ที่ฉีเสี่ยวชิงมาพักอยู่ในบ้านตระกูลหลิงหลายวันมานี้หลิงซิ่วก็เป็นผู้ดูแลนางมาโดยตลอด ทำให้รู้จักนิสัยใจคอของฉีเสี่ยวชิงได้ดีว่า หญิงสาวผู้นี้เป็นคนเฉลียวฉลาด แต่ก็ดื้อรั้นยิ่งนัก ถึงแม้นางจะเกิดมาในครอบครัวที่ยากจน แต่ก็ไม่เคยรู้สึกต่ำต้อย มิหนำซ้ำยังค่อนข้างมีความเคารพในตัวเองสูงมากด้วย นับว่าเป็นเด็กสาวที่น่าสนใจในความรู้สึกของหลิงซิ่วมาก!
แม้กระทั่งเมื่อวานที่หลิงหยุนซื้อนาฬิกาPatek Philippe ซึ่งมีราคาแพงหูฉี่ให้นั้น ฉีเสี่ยวชิงกลับหยิบขึ้นมาดูเพียงแค่ครั้งเดียวด้วยสีหน้าแววตาเรียบเฉย จากนั้นจึงวางไว้บนโต๊ะในห้องนอนโดยไม่แตะต้องอีกเลย และไม่แม้แต่จะถ่ายรูปโพสลงในโลกโซเชียลดังเช่นเด็กสาวทั่วไป..
แต่ครั้งนี้..หลิงซิ่วกลับสังเกตเห็นแววตาตื่นเต้น และกระตือรือร้นของฉีเสี่ยวชิง!
ฉีเสี่ยวชิงและหนิงหลิงยู่นั้นนับเป็นเด็กสาวที่มีภูมิหลังคล้ายคลึงกันยิ่งนักเพียงแต่ฉีเสี่ยวชิงไม่มีพี่ชายที่เก่งกาจดังเช่นหลิงหยุนคอยปกป้อง..
หญิงสาวผู้นี้อยากจะฝึกวรยุทธด้วยเช่นนั้นหรือ!
หลิงซิ่วที่จับตามองอยู่จึงได้แต่ยิ้มออกมาอย่างมีเลศนัย..
……
หลิงหยุนเดินนำตี้เสี่ยวอู๋กับหนิงหลิงยู่ไปที่ห้องฝึกวรยุทธของตระกูลหลิงและทันทีที่ไปถึงหลิงหยุนก็หันไปสั่งตี้เสี่ยวอู๋ว่า..
“เอาล่ะเสี่ยวอู๋..ฉันถ่ายทอดวิชาไปให้นายตั้งมากมาย นายแสดงให้ฉันดูหน่อยสิ!”
“เสี่ยวอู๋..ฉันสอนวรยุทธให้กับนายไปตั้งมากมาย นายแสดงให้ฉันดูหน่อย!”
มาถึงวันนี้..หลิงหยุนได้ถ่ายทอดวิชาให้กับตี้เสี่ยวอู๋ไปตั้งมากมาย ไม่ว่าจะเป็นวิชาเท้าทองคำหมื่นลี้ วิชามังกรพรางร่าง วิชาหมัดปีศาจเถียนกัง วิชาเท้าวายุ วิชากรงเล็บเส้าหลิน วิชาดาราคุ้มกาย และอีกมากมาย..
จนกระทั่งถึงวันนี้..หลิงหยุนถ่ายทอดวิชาให้กับตี้เสี่ยวอู๋ไปมากมาย ไม่ว่าจะเป็นวิชาเท้าทองคำหมื่นลี้ วิชามังกรพรางร่าง วิชานู่เตา วิชาหมัดปีศาจเถียนกัง วิชาเท้าวายุ วิชากรงเล็บเส้าหลิน วิชาดาราคุ้มกาย แม้กระทั่งวิชาพลังมังกร..
สำหรับวิชาเท้าทองคำหมื่นลี้นั้นเป็นวิชาที่เหมาะแก่การวิ่งในระยะทางไกล ซึ่งผู้ที่ฝึกวิชานี้จะสามารถวิ่งได้เร็วและแกร่งราวกับม้าศึก แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับพลังปราณของคนผู้นั้นด้วย หากมีพลังปราณที่แข็งแกร่งพอ ก็ย่อมสามารถวิ่งได้นานเป็นวันๆเลยทีเดียว..
ส่วนวิชามังกรพรางร่างนั้นเหมาะที่จะใช้ในการประลอง หรือต่อสู้กับศัตรู ผู้ที่ฝึกวิชานี้ได้ก้าวหน้าถึงขั้นสูง ก็จะสามารถพัฒนาเป็นวิชาเงาลวงตา ซึ่งจะทำให้คนผู้นั้นสามารถเคลื่อนที่ได้รวดเร็วราวกับหายตัวได้ และสามารถสร้างเงาเสมือนจริงขึ้นมาได้ราวกับโคนนิ่งร่างได้พร้อมกันทีเดียวหลายๆร่างด้วย!
เวลานี้ตี้เสี่ยวอู๋ได้เข้าสู่ระดับสูงสุดขั้นโฮ่วเทียน-9แล้ว วิชานู่เตาก็เข้าสู่ขั้นที่พลังปราณในร่างกายไหลเวียนรุนแรงดั่งคลื่นที่ซัดกระทบฝั่งอย่างคลุ้มคลั่ง จึงส่งเสียงดังครืนๆอยู่ตลอดเวลา..
“พี่หยุน..นี่พี่จะให้ฉันแสดงให้พี่ดูทุกวิชาจริงๆเหรอ!”
ตี้เสี่ยวอู๋ถามขึ้นด้วยความงุนงงเพราะไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นแสดงวิชาใหนให้หลิงหยุนดูก่อนดี
“ไม่..เฉพาะวรยุทธที่ใช้ในการต่อสู้เท่านั้นพอ!”
“เฉพาะวรยุทธที่ฉันถ่ายทอดให้กับนายวิชาอื่นที่เกี่ยวกับกำลังภายในไม่ต้อง..”
ตี้เสี่ยวอู๋พยักหน้าในขณะที่หลิงหยุนดึงหนิงหลิงยู่ไปยืนหลบอยู่ที่มุมห้อง และปล่อยให้ตี้เสี่ยวอู๋แสดงวรยุทธให้ดู.. จากนั้นตี้เสี่ยวอู๋ก็เริ่มร่ายรำหมัดปีศาจเถียนให้หลิงหยุนดูร่างสูงใหญ่ราวกับตึกของตี้เสี่ยวอู๋ร่ายรำเพลงหมัดออกมาอย่างดุเดือด แต่ละหมัดที่ซัดออกมานั้น แม้จะไม่ปะทะเข้ากับสิ่งใดในห้อง แต่ก็เกิดเสียงหมัดที่ปะทะลมดับพรึบๆทุกครั้งไป..
“น้ำหนักหมัดของเสี่ยวอู๋เวลานี้สามารถฆ่าเสือตายได้ในทันทีเลยทีเดียว!”
ระหว่างที่ดูหลิงหยุนก็วิจารณ์ให้หนิงหลิงยู่ที่ยืนอยู่ข้างๆฟังไปด้วย“ต่อให้เป็นยอดฝีมือขั้นเซียงเทียน-6 ก็ใช่ว่าจะได้เปรียบเสี่ยวอู๋มากนัก!”
หลังจากที่ร่ายรำเพลงหมัดจบแล้วตี้เสี่ยวอู๋ก็ได้โชว์ฝ่าเท้าวายุให้หลิงหยุนดูต่อทันที..
ตี้เสี่ยวอู๋นั้นมีรูปร่างสูงถึงหนึ่งเมตรเก้าสิบเซ็นติเมตรขาทั้งสองขาวจึงไม่ต่างจากเสาขนาดใหญ่สองต้น และทุกครั้งที่ตี้เสี่ยวอู๋ยกขาเตะออกไป และกวาดไปรอบตัวนั้น จึงดูไม่ต่างจากกังหันขนาดใหญ่ที่กำลังหมุน..
หลิงหยุนได้แต่ยืนยิ้มออกมาด้วยความพึงพอใจเพราะร่างกายที่สูงใหญ่ของตี้เสี่ยวอู๋นั้น ทำให้หมัดและเท้าของเขากลายเป็นอาวุธที่น่ากลัวในการต่อสู้
จากนั้นตี้เสี่ยวอู๋ก็ได้ร่ายรำกรงเล็บมังกรเส้าหลินให้หลิงหยุนดูเป็นชุดสุดท้ายและนี่คือวรยุทธที่หลิงหยุนได้ถ่ายทอดให้ตี้เสี่ยวอู๋เป็นวิชาแรก เขาจึงสามารถใช้ได้อย่างคล่องแคล่วมากกว่าวิชาอื่น..
“พี่หยุน..เป็นยังไงบ้าง!”
หลังจากที่ได้ร่ายรำทั้งเพลงหมัดมวยและกรงเล็บเส้าหลินให้หลิงหยุนดูแล้ว ตี้เสี่ยวอู๋ก็ร้องถามความคิดเห็นของหลิงหยุน และกำลังรอคอยฟังคำชี้แนะจากเขาด้วยความตั้งอกตั้งใจ..
“อืมม..หมัดของนายหนักหน่วงราวกับฆ้อน เท้าและขาของนายสะบัดได้รวดเร็วว่องไวราวกับแส้ ส่วนกรงเล็บก็แหลมคมราวกับจะฉีกเนื้อคู่ต่อสู้ นับว่าวรยุทธทั้งสามนั้นดุดัน และเยี่ยมยอดมาก!”
“ไม่มีที่ติเลย!” หลิงหยุนเดินเข้าไปหาตี้เสี่ยวอู๋พร้อมกับยื่นมือออกไปตบบ่าด้วยความชื่นชม!
ตี้เสี่ยวอู๋ไม่ทำให้หลิงหยุนผิดหวังเลยจริงๆเพราะพื้นฐานวรยุทธของเขานั้นค่อนข้างแข็งแกร่งมากทีเดียว..
“เพียงแต่..วรยุทธแค่สามวิชานี้ยังน้อยเกินไป!”
หลิงหยุนจ้องมองตี้เสี่ยวอู๋พร้อมกับพูดต่อว่า“ที่ผ่านมาฉันต้องการให้นายจดจ่ออยู่กับการฝึกวิชานู่เตาเพียงอย่างเดียวเท่านั้น จึงตั้งใจที่จะถ่ายทอดวรยุทธให้นายเพียงเท่านั้นก่อน..”
“แต่ตอนนี้..ถึงเวลาที่นายจะต้องเรียนวรยุทธเพิ่มเติมแล้ว!”
จากนั้นหลิงหยุนก็หันไปทางหนิงหลิงยู่พร้อมกับสั่งว่า“หลิงยู่.. เสี่ยวอู๋.. ตั้งใจดูที่ร่างกาย และหมัดของฉันให้ดี!”
จากนั้นหลิงหยุนจึงเริ่มร่ายรำเพลงยุทธที่เขาจดจำมาจากหลวงจีนหลู่หมิงฉู่ให้กับทั้งสองคนดูทันที..
และนี่คือเพลงหมัดอรหันต์ซึ่งเป็นหนึ่งในเจ็ดสิบสองกระบวนท่าวิชาของวัดเส้าหลินเช่นเดียวกันกับวิชากรงเล็บเส้าหลินนั่นเอง..
ในคืนวันประลองนั้น..หลิงหยุนปล่อยให้หลวงจีนหลู่หมิงฉู่ร่ายรำเพลงหมัดอรหันต์จนครบกระบวนท่า แล้วจึงแอบจดจำกลับมาร่ายรำให้กับตี้เสี่ยวอู๋ และหนิงหลิงยู่ดู..
หลังจากแสดงให้ทัังสองคนดูถึงสองครั้งตี้เสี่ยวอู๋ซึ่งไม่ใช่เด็กใหม่ที่เริ่มฝึกวรุยทธเหมือนเมื่อก่อน เขามีพื้นฐานวรยุทธค่อนข้างแข็งแกร่ง อีกทั้งกำลังภายในก็กำลังจะเข้าสู่ขั้นเซียงเทียนแล้ว และยังเป็นผู้ฝักใฝ่ในการฝึกวิชาเช่นนี้ จึงสามารถจดจำได้อย่างแม่นยำ..
ตี้เสี่ยวอู๋พยักหน้าหลิงหยุนจึงสั่งให้ตี้เสี่ยวอู๋แสดงให้ตนเองดู ตี้เสี่ยวอู๋กระโดไปยืนอยู่กลางห้อง และเริ่มร่ายรำเพลงหมัดอรหันต์ให้หลิงหยุนดูทันที!
หนิงหลิงยู่เองก็จดจำได้อย่างแม่นยำเช่นกันและกำลังจะร่ายรำให้กับหลิงหยุนดู แต่หลิงหยุนกลับห้ามไว้
“หลิงยู่..วรยุทธของวัดเส้าหลินล้วนดุดัน พี่ให้เธอดูไว้เท่านั้น แต่ไม่จำเป็นต้องฝึก..”
ระหว่างที่มองดูตี้เสี่ยวอู๋ร่ายรำเพลงหมัดอรหันต์อยู่นั้นหลิงหยุนก็นึกถึงคฑาทองคำของหลวงจีนจื้อกงขึ้นมาได้ จึงได้เรียกออกมาจากแหวนจักรวาลของตน และยื่นใหักับตี้เสี่ยวอู๋
“เสี่ยวอู๋..นายเก็บคฑานี้ไว้!”
…..
ภายในเวลาเพียงแค่สามชั่วโมง..หลิงหยุนก็ได้ถ่ายทอดวรยุทธให้กับตี้เสี่ยวอู๋ไปถึงห้าวิชา ซึ่งมีทั้งเพลงมวย เพลงทวน เพลงกระบอง และพลอง..
“เสี่ยวอู๋..หลังจากนี้นายเข้าสู่ขั้นเซียงเทียนแล้ว นายจะเป็นคู่ต่อสู้ที่ร้ายกาจของเหล่ายอดฝีมือขั้นเซียงเทียนเลยทีเดียว!”
หลิงหยุนพึมพำออกมาระหว่างที่จ้องมองตี้เสี่ยวอู๋ใช้คฑาทองคำของหลวงจีนจื้อกงร่ายรำเพลงกระบองอย่างตั้งอกตั้งใจ..
“พี่ใหญ่..นี่ถ้าคฑาทองคำบังเอิญฟาดโดนผนังห้องฝึกวรยุทธนี้เข้า ห้องทั้งห้องคงต้องพังทลายลงมาแน่เลย!”
หนิงหลิงยู่ร้องบอกหลิงหยุนพร้อมกับหัวเราะคิกคักอย่างอารมณ์ดี..
“ฮ่า..ฮ่า.. ถ้าเป็นแบบนั้นจริงๆ ท่านปู่คงต้องโมโหแน่ๆ!” หลิงหยุนเองก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้เช่นกัน
ตี้เสี่ยวอู๋นับเป็นผู้ที่มีพรสวรรค์ในการฝึกวรยุทธที่หาได้ยากคนหนึ่งเด็กหนุ่มผู้นี้มีจิตใจฝักใฝ่เพียงแค่เรื่องการฝึกฝนวิชา นับตั้งแต่ที่หลิงหยุนนำตี้เสี่ยวอู๋เข้าสู่เส้นทางนี้ เขาก็หมกมุ่นอยู่กับแต่เรื่องการฝึกฝนเท่านั้น จนถังเมิ่งเองยังเคยเอ่ยปากว่าตี้เสี่ยวอู๋บ้าไปแล้ว..
ตลอดสองเดือนที่ผ่านมานั้น..นอกเหนือจากเวลาที่ใช้ไปกับการกินและการนอนแล้ว เวลาที่เหลือทั้งหมดในชีวิตของตี้เสี่ยวอู๋ก็คือการฝึกวรยุทธ จึงทำให้เขาสามารถก้าวหน้าได้รวดเร็วอย่างน่าอัศจรรย์เช่นนี้
จุดเด่นของตี้เสี่ยวอู๋นั้น..นอกจากเขาจะมีร่างกายที่ราวกับเกิดมาเพื่อการฝึกวรยุทธแล้ว เขายังมีความเข้าใจในเรื่องเหล่านี้ได้เป็นอย่างดีด้วย
“เอาล่ะเสี่ยวอู๋..นายใช้วิชาที่ฉันเพิ่งสอนจู่โจมเข้ามาเต็มที่เลย ใช้กำลังทั้งหมดของนายได้เลย!
“พี่หยุน..ระวังตัวด้วย!”
ตี้เสี่ยวอู๋ใช้คฑาทองคำในมือพุ่งเข้าจู่โจมหลิงหยุนอย่างดุเดือดโดยไม่กังวลแม้แต่น้อยว่าหลิงหยุนจะได้รับอันตราย นั่นเพราะเขาติดตามหลิงหยุนมานาน และรู้ว่าหลิงหยุนกำลังจะฝึกให้เขาเอาชนะคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งกว่าให้ได้นั่นเอง..
ระหว่างที่ตี้เสี่ยวอู๋จู่โจมตนเองนั้นหลิงหยุนก็คอยรับมือไปด้วย และชี้แนะตี้เสี่ยวอู๋ไปด้วย..
“คฑาของนายยังช้าเกินไป!” “นายต้องผสานลมหายใจของตนเองให้เข้ากับการเคลื่อนไหวของร่างกายด้วย..”
คนเป็นหมอนั้นยิ่งรักษาคนไข้มากเท่าใดก็จะยิ่งเก่งกาจมากขึ้นเท่านั้น เช่นเดียวกับผู้ฝึกวรยุทธ ยิ่งเข้าสู่สนามประลองมากเพียงใด ก็จะยิ่งเก่งกาจมากขึ้นเช่นกัน!
หลังจากที่ประมือกับตี้เสี่ยวอู๋และชี้แนะไปพอควรแล้ว หลิงหยุนจึงกระโดดถอยออกมา..
“ขอบคุณพี่หยุน!”
ตี้เสี่ยวอู๋เอ่ยขอบคุณหลิงหยุนด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหอบหลิงหยุนจึงได้แต่ยิ้มและถามไปว่า “เวลานี้พลังปราณในร่างกายของนายเหลืออยู่เท่าไหร่”
“ไม่น่าจะถึงยี่สิบเปอร์เซ็น!”
ตึ้เสี่ยวอู๋ตอบหลิงหยุนไปตามความจริงก่อนที่จะเริ่มประลองกับหลิงหยุนนั้น พลังปราณในร่างกายของเขายังเหลืออยู่ราวเก้าสิบเปอร์เซ็นต์ได้ แต่เพียงแค่ประมือกับหลิงหยุนไปราวครึ่งชั่วโมง ก็ลดลงเหลือเพียงแค่ยี่สิบเปอร์เซ็นต์
“นี่นายเป็นฝ่ายจู่โจมฉันฝ่ายเดียวถ้าฉันจู่โจมนายกลับด้วย พลังปราณของนายจะหมดภายในเวลาไม่ถึงห้านาที!”
จากนั้นหลิงหยุนก็ปรายตามองไปทางหนิงหลิงยู่พร้อมกับอธิบายต่อว่า “นี่คือความแตกต่างระหว่างการฝึกซ้อม และการต่อสู้ในสนามจริง!”
“การต่อสู้ในสนามจริงนั้นอย่าคิดเพียงแค่ต้องการเอาชนะคู่ต่อสู้ให้ได้เร็วๆเท่านั้น แต่ต้องคอยสังเกตไพ่ในมือของคู่ต่อสู้ด้วย หากเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ขึ้นมา ก็ต้องรีบคิดหาวิธีเอาตัวรอดให้ได้ อย่าโง่ยืนให้คู่ต่อสู้ฆ่าตายง่ายๆ!”
“แต่หากสามารถฆ่าได้ก็ต้องฆ่าทันที!”
“เข้าใจมั๊ย”
ตี้เสี่ยวอู๋และหนิงหลิงยู่ต่างก็พยักหน้าทันที.. “เอาล่ะ..นี่ก็ใกล้จะถึงเวลาอาหารเย็นแล้ว!”
“เสี่ยวอู๋..คืนนี้ฉันจะช่วยให้นายเข้าสู่ขั้นต่อไป หลังจากกินข้าวเสร็จแล้ว นายก็เตรียมตัวให้พร้อมล่ะ!”
ตี้เสี่ยวอู๋พยักหน้าด้วยความตื่นเต้น“ได้เลยพี่หยุน!”
จากนั้นหลิงหยุนกับหนิงหลิงยู่ก็ได้เดินออกไปจากห้องฝึกวรยุทธระหว่างทางหลิงหยุนก็ได้หันไปบอกกับหนิงหลิงยู่ว่า
“หลิงยู่..เธอเป็นคนที่สำคัญอย่างมากในชีวิตของพี่ รับปากพี่ใหญ่ได้มั๊ยว่าเธอจะดูแล และระมัดระวังตัวเองให้ดี”
หนิงหลิงยู่ได้ฟังคำพูดแสดงความห่วงใยของหลิงหยุนราวกับจะสั่งเสียเช่นนี้จึงได้แต่นิ่งไป และในที่สุดก็ถามออกไปว่า
“พี่ใหญ่..ทำไมจู่ๆถึงได้พูดอะไรแบบนี้”
หลิงหยุนเห็นแววตาตกตะลึงของหนิงหลิงยู่ก็ถึงกับหัวเราะออกมาพร้อมกับตอบไปว่า “ฮ่า.. ฮ่า.. ก็น้องสาวของพี่เป็นเด็กหัวดื้อ พี่ก็เป็นห่วงว่าระหว่างที่พี่ไม่ได้อยู่ดูแล เธอจะไปเที่ยวมีเรื่องกับผู้คนจนเป็นอันตรายถึงชีวิตน่ะสิ!”
แม้หลิงหยุนจะหัวเราะกลบเกลื่อนแต่น้ำเสียงของเขากลับเคร่งเครียดจริงๆจัง จนหนิงหลิงยู่ต้องตอบไปว่า
“พี่ใหญ่..ฉันจะจำไว้!”
ระหว่างที่เดินผ่านสวนชั้นที่หกซึ่งปลูกต้นหลิวเทวะวิญญาณไว้นั้นหลิงหยุนก็สังเกตเห็นพลังชีวิตธาตุไม้ถูกดูดเข้าสู่ร่างของหนิงหลิงยู่ทันที
“หลิงยู่..รู้สึกหวาดกลัวกับทัณฑ์สวรรค์ที่จะต้องรับบ้างมั๊ย”
หลิงหยุนหันไปมองใบหน้างดงามชวนฝันของหนิงหลิงยู่พร้อมกับเอ่ยถามออกมา..
หนิงหลิงยู่ถึงกับเม้มริมฝีปากแน่และกำลังครุ่นคิดถึงสายฟ้าสีทอง ที่ฟาดใส่ร่างของหลิงหยุนเมื่อครั้งที่อยู่บ้านเลขที่-1 ในเมืองจิงฉู เช่นนี้แล้วเธอจะไม่รู้สึกหวาดกลัวได้อย่างไรกันเล่า!
ดูเหมือนหลิงหยุนเองก็พอจะเข้าใจได้ว่าหนิงหลิงยู่กำลังคิดอะไรอยู่จึงได้อธิบายให้หนิงหลิงยู่ฟังว่า
“หลิงยู่..อสุนีบาตของพี่กับของเธอไม่เหมือนกัน อสุนีบาตที่เธอต้องรับนั้นอย่างมากก็มีขนาดเท่านิ้วโป้ง เธอเองก็ฝึกดาราคุ้มกายถึงขั้นที่สองแล้ว อสุนีบาตเส้นเท่านั้นทำอะไรร่างกายของเธอไม่ได้แน่!”
“หลิงยู่..น้องมีร่างเป็นกายอัปสร ไม่มีทางได้รับอันตรายแน่!”
หลิงหยุนอธิบายให้หนิงหลิงยู่ฟังด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน..
“หลิงยู่..ไปสวนชั้นที่ห้ากันดีกว่า พี่จะถ่ายทอดวิชาพฤกษาขจีให้กับเธอ!”
ในเมื่อแม้แต่ตี้เสี่ยวอู๋หลิงหยุนยังเอาใจใส่ฝึกฝนให้เช่นนั้นมีหรือที่เขาจะละเลยหนิงหลิงยู่ไปได้.. แม้หนิงหลิงยู่จะเป็นผู้ที่มีธาตุทั้งห้าทรงพลังแต่ธาตุน้ำกับธาตุไม้นับว่าแข็งแกร่งสุด หลิงหยุนจึงคิดที่จะถ่ายทอดวิชาพฤกษาขจีให้กับนางด้วย..