Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร - บทที่ 1226 : ทัณฑ์สวรรค์ซื่อจิ่ว!
- Home
- Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร
- บทที่ 1226 : ทัณฑ์สวรรค์ซื่อจิ่ว!
“หลิงยู่..ร่างของเธอเป็นกายอัปสร การเข้าสู่ด่านกลางของขั้นพลังชี่จึงไม่ใช่เรื่องลำบากยากเย็นอะไร!”
หลิงหยุนเห็นหนิงหลิงยู่สามารถเข้าสู่ด่านกลางขั้นพลังชี่ได้อย่างง่ายดายและราบรื่นเช่นนี้ ก็ถึงกับหัวเราะออกมาอย่างมีความสุข
“ฮ่า..ฮ่า.. หลังจากเข้าสู่ด่านกลางของขั้นพลังชี่ได้แล้ว จะมีหลายสิ่งหลายอย่างที่พิเศษตามมาเลยทีเดียว!”
เมื่อใดที่ผู้บ่มเพาะตนเข้าสู่ขั้นพลังชี่..ย่อมหมายความว่าคนผู้นั้นได้เข้าสู่กระบวนการกลั่นปราณบ่มเพาะจิตแล้ว ซึ่งกระบวนการนี้ก็คือการกลั่นปราณในร่างกายให้เกิดเป็นหยดเสินหยวนนั่นเอง และยิ่งจิตหยั่งรู้ของคนผู้นั้นขยายขอบเขตออกไปได้กว้างไกลมากเพียงใด ย่อมหมายถึงพลังจิตที่จะมีกำลังแข็งแกร่งเพิ่มขึ้นตามไปด้วย การกลั่นหยดเสินหยวนก็จะค่อยๆเพิ่มประสิทธิภาพขึ้นตามลำดับ และเมื่อใดที่สามารถกลั่นหยดเสินหยวนได้แล้ว คนผู้นั้นก็ย่อมใช้พลังเหนือธรรมชาติได้
ในด่านแรกของขั้นพลังชี่ซึ่งก็คือตั้งแต่ขั้นปฐมชี่ไปจนถึงขั้นซานฉางชี่นั้น(ขั้นพลังชี่-1 ไปจนถึงขั้นพลังชี่-3) อาจเรียกได้ว่าเป็นช่วงของการเตรียมตัว และสะสมเสินหยวน เมื่อใดที่ร่างกายสะสมเสินหยวนได้มากพอ คนผู้นั้นก็จะสามารถเข้าสู่ด่านกลางของขั้นพลังชี่ได้ ซึ่งก็คือตั้งแต่ขั้นซื่อเฉิงชี่ (ขั้นพลังชี่-4) ขึ้นไปนั่นเอง
และในด่านกลางของขั้นพลังชี่นี้เองที่ผู้บ่มเพาะตนจะสามารถเผาหยดเสินหยวนเพื่อใช้พลังวิเศษได้ตามใจชอบ และตราบใดที่คนผู้นั้นสามารถใช้พลังเหนือธรรมชาติได้ คนผู้นั้นก็ย่อมไม่ใช่คนธรรมดาอีกต่อไป..
ด้วยเหตุนี้..ผู้บ่มเพาะตนที่ฝึกฝนจนสามารถเข้าสู่ด่านกลางของขั้นพลังชี่ได้ จึงต้องทนรับบททดสอบตามกฏของสวรรค์ หรือที่เรียกว่าการรับทัณฑ์สวรรค์นั่นเอง
และนี่ก็คือทัณฑ์สวรรค์ซื่อจิ่ว!
ผู้ฝึกบ่มเพาะตนทุกคนไม่ว่าจะเป็นใครก็ตามไม่เว้นแม้แต่หลิงหยุน หรือหนิงหลิงยู่ซึ่งมีกายอัปสร ทุกคนล้วนแล้วแต่ต้องผ่านการับทัณฑ์สวรรค์ด้วยกันทั้งสิ้น..
หลิงหยุนเดินตรงเข้าไปหาหนิงหลิงยู่จากนั้นจึงเงยหน้าขึ้นมองไปบนท้องฟ้าพร้อมกับเปิดเนตรหยิน–หยางของตนออกสำรวจ เขาพบว่าท้องฟ้าที่มืดมิดแต่ไร้เมฆนั้น เวลานี้ได้มีเหล่าเมฆาสีดำปรากฏขึ้น และกำลังรวมตัวเข้าหากันกลายเป็นก้อนเมฆสีดำหนาแน่นขนาดใหญ่ ลอยอยู่เหนืออ่างเก็บน้ำมี่หยุนพร้อมกับบดบังแสงดาวระยิบระยับบนท้องนภาไว้ได้อย่างมิดชิด..
และแล้วทัณฑ์เมฆาก็ได้ปรากฏตัวขึ้น!
“มาเร็วกว่าที่ข้าคิดไว้เสียอีก!”
เวลานี้หลิงหยุนไม่มีเวลาที่จะอธิบายเรื่องความสามารถพิเศษในขั้นซื่อเฉิงชี่ให้กับหนิงหลิงยู่ฟังได้จึงรีบหันไปถามนางด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนแทนว่า..
“หลิงยู่..เจ้ายังจำวิธีรับมือกับทัณฑ์สวรรค์ซื่อจิ่วที่พี่บอกได้หรือไม่!”
“พี่ใหญ่..ข้าจำได้!”
หนิงหลิงยู่ร้องบอกหลิงหยุนเสียงเบาพร้อมกับห่อไหล่เข้าหากันและเริ่มมีอาการตื่นตระหนกออกมาให้เห็นเมื่อสัมผัสได้ถึงทัณฑ์สวรรค์ที่กำลังจะเกิดขึ้นจริงๆ การต้องรับทัณฑ์สวรรค์เพียงลำพังเช่นนี้ จึงเป็นธรรมดาที่หนิงหลิงยู่จะรู้สึกหวาดกลัว..
ผู้ที่ฝึกบ่มเพาะตนนั้นย่อมรู้ได้ด้วยตัวเองว่าเมื่อใดทัณฑ์สวรรค์ของตนจะบังเกิดขึ้น การรับรู้เช่นนี้คล้ายคลึงกับสัญชาติญาณ ไม่เช่นนั้นแล้วก็คงยากที่คนผู้นั้นจะสามารถเตรียมตัวเตรียมใจรับมือกับทัณฑ์สวรรค์ได้ทัน..
“หลิงยู่..เจ้าอย่าได้ตกอกตกใจไป!”
นี่เป็นการเผชิญหน้ากับทัณฑ์สวรรค์ครั้งแรกของหนิงหลิงยู่หลิงหยุนจึงเห็นว่านางเริ่มมีอาการตื่นตระหนก เขายิ้มให้หนิงหลิงยู่พร้อมกับรีบปลอบโยนนางให้หายตกใจทันที..
“น้องพี่..ทำตามที่พี่เคยบอกเจ้าไปทีละขั้น และจงเชื่อมั่นในตัวพี่!”
หลิงหยุนปลอบโยนหนิงหลิงยู่พร้อมกับเอื้อมมือไปตบไหล่ของนางอย่างอ่อนโยนแล้วจึงพูดต่อว่า
“เจ้าฝึกดาราคุ้มกายจนถึงขั้นที่สองแล้วและนั่นจะช่วยให้ร่างกายของเจ้าสามารถต้านทานพลังของอสุนีบาตได้เพิ่มมากขึ้นถึงสองเท่า!”
หลังจากที่ได้ฟังคำปลอบประโลมของหลิงหยุนหนิงหลิงยู่จึงเริ่มผ่อนคลายมากขึ้น และร่างที่เกร็งแน่นก็ค่อยๆ คลายออกจากกันอย่างผ่อนคลาย แต่ถึงกระนั้นก็อดที่จะกระซิบถามหลิงหยุนด้วยความหวาดกลัวไม่ได้
“พี่ใหญ่..หลังจากที่ถูกฟ้าผ่าแล้ว ข้า.. ร่างกายของข้าจะมีสภาพเช่นใด!” “ฮ่า..ฮ่า.. ฮ่า..”
ทันทีที่ได้รับรู้ว่าหนิงหลิงยู่กังวลใจเรื่องอะไรนั้นเขาก็ถึงกับหัวเราะออกมาทันที และตอบกลับไปด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
“หลิงยู่..เจ้าอย่าได้กังวลใจไป อสุนีบาตที่เจ้าจะต้องรับนั้น เป็นเพียงแค่สายฟ้าธรรมดาๆ ที่จะต้องรับตามกฏของสวรรค์เท่านั้นเอง..”
หลิงหยุนจ้องมองหนิงหลิงยู่และบอกกับนางด้วยความมั่นใจ “ทัณฑ์สวรรค์ไม่ได้เป็นเพียงแค่บททดสอบที่สวรรค์จะใช้ทดสอบผู้บ่มเพาะตนตามกฏของสวรรค์เท่านั้น แต่ยังเป็นเสมือนรางวัลที่มอบให้กับผู้ที่สามารถผ่านบททดสอบไปได้อีกด้วย เพราะหลังจากที่้ข้ามผ่านทัณฑ์สวรรค์ไปได้แต่ละครั้ง ร่างกายของคนผู้นั้นก็จะพร้อมเข้าสู่การบ่มเพาะตนที่สูงขึ้นไปตามลำดับ และจะเป็นประโยชน์ต่อการบ่มเพาะตนของคนผู้นั้นในวันข้างหน้าอย่างมากอีกด้วย..
“และผู้ที่จะสัมผัสถึงความเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ได้ก็มีเพียงผู้บ่มเพาะตนที่ผ่านการรับทัณฑ์สวรรค์ด้วยตนเองแล้วเท่านั้น จึงจะเข้าใจได้..”
“ที่สำคัญ..สายฟ้าแต่ละเส้นที่ฟาดลงมาบนร่างของผู้บ่มเพาะนั้น ล้วนเปี่ยมไปด้วยพลังของสวรรค์และโลก จึงเป็นโอกาสอันดียิ่งที่จะได้ทำการปรับสภาพร่างกายอีกครั้งหลังจากที่ผู้บ่มเพาะตนได้เข้าสู่ขั้นต่อไปแล้ว!”
หลิงหยุนผู้เคยรับทัณฑ์สวรรค์ในขั้นอมตะมาแล้วและเป็นผู้มากประสบการณ์ในเรื่องทัณฑ์สวรรค์เป็นอย่างดี มีหรือที่จะปิดบังหนิงหลิงยู่..
“พี่ใหญ่..ข้าเข้าใจแล้ว!”
หลังจากที่ฟังหลิงหยุนอธิบายอยู่นานในที่สุดหนิงหลิงยู่ก็ยิ้มออกมา จิตใจของนางเริ่มผ่อนคลายมากขึ้น หนิงหลิงยู่เงยหน้าขึ้นมองทัณฑ์เมฆาดำทะมึนที่ปรากฏอยู่บนท้องฟ้าเบื้องบน..
ทัณฑ์เมฆาปรากฏขึ้นอย่างรวดเร็วมากและเวลานี้ก็เริ่มจับตัวกันอย่างหนาแน่น จนบดบังแสงดาวที่ส่องประกายระยิบระยับไว้อย่างมิดชิด ทำให้ผืนดินเบื้องล่างเวลานี้มีแต่ความมืดสนิท..
แม้ว่าหนิงหลิงยู่จะไม่ได้รู้สึกตกใจและหวาดกลัวอีกแล้ว แต่ร่างบอบบางของนางก็ยังมีอาการสั่นสะท้านบ้างเล็กน้อย เมื่อสัมผัสได้ถึงแรงกดดันที่กำลังบดขยี้ลงมามากขึ้นเรื่อยๆ
หลิงหยุนที่ยืนอยู่ข้างหนิงหลิงยู่ก็รับรู้ได้ถึงแรงกดดันนี้เช่นกัน
หลิงหยุนที่ยืนอยู่ข้างหนิงหลิงยู่เองก็รับรู้ได้ถึงแรงกดดันนี้เขาเหลือบมองขึ้นไปบนท้องฟ้า และพบว่าทัณฑ์เมฆาไม่เพียงก่อตัวหนาขึ้นเรื่อยๆ แต่ยังกำลังลอยต่ำลงมาเรื่อยๆด้วยเช่นกัน..
ระหว่างที่กำลังครุ่นคิดอยู่เงียบๆนั้นเขาก็ได้เรียกยันต์ต้านอสุนีบาต และยันต์เกราะออกมาจากแหวนจักรวาลส่งให้หนิงหลิงยู่ พร้อมกับกำชับว่า..
“หลิงยู่..หากได้รับบาดเจ็บก็กลืนโอสถที่ข้าให้ไว้ และใช้ยันต์นี่สำหรับป้องกันตัว เข้าใจหรือไม่”
เวลานี้อสุนีบาตเบื้องบนสามารถที่จะผ่าลงมาเมื่อใดก็ได้หลิงหยุนจึงได้เตรียมที่จะหลบออกไปจากรัศมีของทัณฑ์เมฆา แต่ก่อนที่จะออกไปก็ไม่ลืมที่จะกำชับหนิงหลิงยู่ด้วยความเป็นห่วง
หนิงหลิงยู่เพียงพยักหน้า..
“เอาล่ะ..พี่จะหลบออกไปให้พ้นรัศมีของทัณฑ์เมฆาก่อน แต่จะคอยจับตามองอย่างใกล้ชิด!”
จากนั้นหลิงหยุนก็ได้ใช้พลังจิตเรียกกระบี่เหินเงาธนูออกมาแล้วบังคับให้เหาะขึ้นไปอยู่บนเนินเขาที่อยู่ห่างไปราวสองกิโลเมตร..
รัศมีของทัณฑ์สวรรค์ซื่อจิ่วนั้นครอบคลุมในระยะสองสามร้อยเมตรเนินเขาที่หลิงหยุนยืนอยู่นั้นจึงเป็นระยะที่ปลอดภัยจากอสุนีบาตทั้งหลาย แต่ก็ยังอยู่ในรัศมีจิตหยั่งรู้ของเขา ทำให้สามารถมองเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดได้อย่างชัดเจน และหลิงหยุนก็ได้ยืนอยู่บนกระบี่เหินซึ่งเตรียมพร้อมรุดเข้าไปช่วยเหลือหนิงหลิงยู่ได้ตลอดเวลา..
แม้ว่าหลิงหยุนจะมั่นใจอย่างยิ่งว่าหนิงหลิงยู่จะสามารถข้ามผ่านทัณฑ์สวรรค์ไปได้สำเร็จแต่เขาก็จำเป็นต้องเตรียมพร้อมหากเกิดอันตรายถึงชีวิตกับหนิงหลิงยู่ขึ้น และถึงตอนนั้นหลิงหยุนพร้อมที่จะใช้ไพ่ในมือทั้งหมดของตน ต่อสู้กับทัณฑ์สวรรค์เพื่อความปลอดภัยของหนิงหลิงยู่..
หลังจากที่หลิงหยุนหลบออกมาแล้วหนิงหลิงยู่ก็ยังคงยืนนิ่งอยู่เช่นนั้น และกำลังรอที่จะเผชิญกับทัณฑ์สวรรค์เพียงลำพัง..
เวลานี้ทัณฑ์เมฆามีสีดำราวกับน้ำหมึกแรงกดดันก็รุนแรงมากขึ้นทุกที และเริ่มมีแสงแปลบปลาบส่องทะลุก้อนเมฆดำทะมึนอกมา..
หลิงหยุนจ้องมองทัณฑ์เมฆาที่ขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆและเริ่มรู้สึกว่าก้อนเมฆสีดำที่รวมตัวกันอยู่นั้น ดูเหมือนจะมีขนาดใหญ่กว่าทัณฑ์สวรรค์ซื่อจิ่วปกติ แต่ก็ยังไม่ถึงกับน่าสะพรึงกลัวมากนัก..
“เอ๊ะ..ทัณฑ์เมฆาเหล่านี้..”
หลิงหยุนได้แต่นึกประหลาดใจและเริ่มสังเกตเห็นว่าภายในก้อนเมฆสีดำทะมึนเหล่านั้น ดูราวกับว่ามีก้อนเมฆสีอื่นแทรกอยู่ด้วย หลิงหยุนเห็นชัดว่ามันมีสีม่วง และสีทอง..
ครืน..เปรี้ยง!
ระหว่างที่สังเกตเห็นความผิดปกตินี้สายตาของหลิงหยุนก็เปลี่ยนไปจับจ้องอยู่ที่ร่างบอบบางงดงามของหนิงหลิงยู่ แต่ยังไม่ทันที่หลิงหยุนจะได้ร้องเตือนน้องสาว อสุนีบาตเส้นหนึ่งก็ฟาดลงมาเสียก่อน!
สายฟ้าขนาดเท่านิ้วหัวแม่มือพุ่งผ่านทัณฑ์เมฆาและฟาดเข้าใส่ร่างของหนิงหลิงยู่โดยไม่มีสัญญาณเตือนล่วงหน้า..
ในที่สุดทัณฑ์สวรรค์ซื่อจิ่วก็ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว!
“หลิงยู่..”
หลิงหยุนพึมพำเรียกชื่อของหนิงหลิงยู่ออกมาด้วยความเป็นห่วงภายใต้จิตหยั่งรู้อันทรงพลังของหลิงหยุน เขาเห็นร่างของหนิงหลิงยู่ลอยกระเด็นออกไปไกล เสื้อผ้าที่สวมใส่อยู่นั้นเปิดขึ้นด้านบน และร่างของนางก็กำลังสั่นเทิ้มอย่างรุนแรง!
สิ่งที่เกิดขึ้นในเวลานี้ต่างจากที่หลิงหยุนคาดคิดไว้มากนักเพราะอสุนีบาตเส้นแรกที่ฟาดเข้าใส่ร่างของหนิงหลิงยู่นั้น ก็มีพลังรุนแรงกว่าที่เขาคาดเดาไว้ถึงสองเท่า!
“แย่แล้ว!’
หลิงหยุนถึงกับใจสั่นพร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองไปยังทัณฑ์เมฆาเบื้องบน และร้องตะโกนออกไป
“นี่คือกายอัปสรนะ..จะไม่ปราณีเป็นกรณีพิเศษบ้างหรืออย่างไร!”
ในโลกบ่มเพาะที่ยิ่งใหญ่นั้น..มีเหล่าผู้บ่มเพาะตนอยู่มากมาย หลิงหยุนจึงพบเห็นผู้คนที่ต้องรับทัณฑ์สวรรค์มานับครั้งไม่ถ้วน ซึ่งการรับทัณฑ์สวรรค์ของเหล่าผู้บ่มเพาะตน ก็คงไม่ต่างจากนักเรียนในโลกนี้ที่ต้องทำการสอบเพื่อเลื่อนชั้น..
และถึงแม้ผู้บ่มเพาะตนจะเข้ารับทัณฑ์สวรรค์ในระดับเดียวกันแต่ก็จะมีความรุนแรง และรายละเอียดของทัณฑ์สวรรค์แตกต่างกันไปตามแต่ละคน..
อย่างเช่นหลิงหยุนเป็นต้น..เมื่อครั้งที่เขารับทัณฑ์สวรรค์ที่หนักหน่วงรุนแรงถึงสองครั้งจนเกือบเอาชีวิตไม่รอดนั้น เขายังไม่เข้าสู่ขั้นซื่อเฉิงชี่ (ขั้นพลังชี่-4) เลยด้วยซ้ำไป..
แต่กรณีของหนิงหลิงยู่นั้น..ร่างของนางเป็นกายอัปสรซึ่งหลิงหยุนมั่นใจว่าทัณฑ์สวรรค์ จะต้องไม่มีอะไรรุนแรงมากนัก แต่ดูเหมือนเขาจะประเมินผิดไปมาก..
“คงต้องรอดูไปก่อน..”
หลังจากที่หายตกใจและเริ่มสงบสติอารมณ์ได้แล้ว หลิงหยุนก็เงยหน้าขึ้นมองทัณฑ์เมฆาที่ค่อยๆ คล้อยต่ำลงมา และกำลังตั้งหน้าตั้งตารอดูอสุนีบาตเส้นที่สองต่อไป..
เวลานี้หนิงหลิงยู่ก็เข้าสู่การรับทัณฑ์สวรรค์แล้วต่อให้เขากระวนกระวาย หรือร้อนใจไปก็เปล่าประโยชน์ ตราบใดที่หนิงหลิงยู่ไม่ตกอยู่ในอันตรายถึงชีวิตจริงๆ หลิงหยุนก็ไม่ควรที่จะเข้าไปขัดขวางกลางคัน..
ครืน..เปรี้ยง!
ในไม่ช้า..อสุนีบาตเส้นที่สองขนาดเท่านิ้วหัวแม่มือก็ฟาดลงใส่ร่างของหนิงหลิงยู่อีกครั้ง หนิงหลิงยู่สามารถผ่านอสุนีบาตเส้นที่หนึ่งไปได้แล้ว จึงไม่ยากนักที่จะรับมือกับสายฟ้าเส้นที่สอง เวลานี้สีหน้าท่าทางของหนิงหลิงยู่ก็สงบนิ่งอย่างมาก และไม่มีท่าทีหวาดกลัวออกมาให้เห็น..
จากนั้นสายฟ้าเส้นที่สาม..เส้นที่สี่.. และอีกมากมายก็กระหน่ำตามลงมาราวกับห่าฝน และกำลังเปล่งประกายแปลบปลาบครอบคลุมร่างของหนิงหลิงยู่ไว้!
ผ่านไปราวสองสามนาทีคลื่นอสุนีบาตชุดแรกก็ได้จบลง และผืนดินเบื้องล่างก็เข้าสู่ความสงบนิ่งอีกครั้ง ก่อนที่คลื่นอสุนีบาตชุดที่สองจะเริ่มก่อตัวขึ้น.. ครืน..
ไม่ถึงหนึ่งวินาที..สายฟ้าแปลบปลาบก็พุ่งออกมาจากเหล่ากลุ่มทัณฑ์เมฆาสีดำ แต่ครั้งนี้อสุนีบาตดูเหมือนจะมีขนาดเท่าแขน และได้พุ่งตรงเข้าใส่ร่างของหนิงหลิงยู่..
เมื่อเห็นเช่นนั้น..หลิงหยุนก็ถึงกับถอนหายใจยาว และได้แต่คิดในใจว่าดูเหมือนทัณฑ์สวรรค์ของหนิงหลิงยู่จะหนักหนากว่าทัณฑ์สวรรค์ทั่วไปมากนัก แต่ก็ยังไม่ได้ร้ายแรงถึงขั้นเป็นอันตรายต่อชีวิต และหลิงหยุนเชื่อว่าหนิงหลิงยู่จะต้องปลอดภัย..
และก็เป็นดังเช่นที่หลิงหยุนเชื่อมั่นหนิงหลิงยู่ยังคงใช้ร่างกายรับคลื่นอสุนีบาตชุดแล้วชุดเล่าได้อย่างน่าตกใจ..
คลื่นอสุนีบาตชุดที่สาม..ชุดที่สี่..
ทัณฑ์สวรรค์ซื่อจิ่วนั้นจะมีทัณฑ์สายฟ้าทั้งหมดสี่ชุด และแต่ละชุดก็จะรุนแรงขึ้นตามลำดับ เวลานี้ร่างของหนิงหลิงยู่ปกคลุมไปด้วยสายฟ้าจำนวนนับไม่ถ้วน และหนาแน่นจนแม้แต่จิตหยั่งรู้ของหลิงหยุนยังแทรกเข้าไปไม่ได้
แต่ถึงแม้จิตหยั่งรู้ของหลิงหยุนจะแทรกเข้าไปไม่ได้เขาก็มีสามารถมองผ่านเนตรหยิน–หยางได้ และพบว่าในระหว่างที่หนิงหลิงยู่กำลังรับคลื่นอสุนีบาตชุดที่สามนั้น ร่างบอบบางขอนางก็ได้กระโดดหมุนตัวขึ้นกลางอากาศ และคอยหลบหลีกสายฟ้าจำนวนมากที่พุ่งลงมาอย่างไม่หยุดยั้ง..
“เด็กคนนี้..”
หลิงหยุนถึงกับยิ้มและพึมพำออกมาด้วยความโล่งอกและไม่ได้นึกเป็นห่วงหนิงหลิงยู่อีกแล้ว จึงได้เงยหน้าขึ้นมองไปยังทัณฑ์เมฆาเบื้องบน และพบว่าเวลานี้คลื่นอสุนีบาตค่อยๆ เบาบางลงเรื่อยๆ จนในที่สุดหลิงหยุนก็สามารถมองเห็นสิ่งที่ซ่อนอยู่ภายในทัณฑ์เมฆาได้อย่างชัดเจน..
“สวรรค์!ใหญ่โตถึงเพียงนี้เชียวรึ!”
และเมื่อได้รู้ว่าสีทองกับสีม่วงนั้นเป็นสิ่งใดหลิงหยุนก็ถึงกับหัวเราะออกมาเสียงดัง.. “ฮ่า..ฮ่า..”
หลิงหยุนเห็นหนิงหลิงยู่สามารถเข้าสู่ด่านกลางขั้นพลังชี่ได้อย่างง่ายดายและราบรื่นเช่นนี้ ก็ถึงกับหัวเราะออกมาอย่างมีความสุข
“ฮ่า..ฮ่า.. หลังจากเข้าสู่ด่านกลางของขั้นพลังชี่ได้แล้ว จะมีหลายสิ่งหลายอย่างที่พิเศษตามมาเลยทีเดียว!”
เมื่อใดที่ผู้บ่มเพาะตนเข้าสู่ขั้นพลังชี่..ย่อมหมายความว่าคนผู้นั้นได้เข้าสู่กระบวนการกลั่นปราณบ่มเพาะจิตแล้ว ซึ่งกระบวนการนี้ก็คือการกลั่นปราณในร่างกายให้เกิดเป็นหยดเสินหยวนนั่นเอง และยิ่งจิตหยั่งรู้ของคนผู้นั้นขยายขอบเขตออกไปได้กว้างไกลมากเพียงใด ย่อมหมายถึงพลังจิตที่จะมีกำลังแข็งแกร่งเพิ่มขึ้นตามไปด้วย การกลั่นหยดเสินหยวนก็จะค่อยๆเพิ่มประสิทธิภาพขึ้นตามลำดับ และเมื่อใดที่สามารถกลั่นหยดเสินหยวนได้แล้ว คนผู้นั้นก็ย่อมใช้พลังเหนือธรรมชาติได้
ในด่านแรกของขั้นพลังชี่ซึ่งก็คือตั้งแต่ขั้นปฐมชี่ไปจนถึงขั้นซานฉางชี่นั้น(ขั้นพลังชี่-1 ไปจนถึงขั้นพลังชี่-3) อาจเรียกได้ว่าเป็นช่วงของการเตรียมตัว และสะสมเสินหยวน เมื่อใดที่ร่างกายสะสมเสินหยวนได้มากพอ คนผู้นั้นก็จะสามารถเข้าสู่ด่านกลางของขั้นพลังชี่ได้ ซึ่งก็คือตั้งแต่ขั้นซื่อเฉิงชี่ (ขั้นพลังชี่-4) ขึ้นไปนั่นเอง
และในด่านกลางของขั้นพลังชี่นี้เองที่ผู้บ่มเพาะตนจะสามารถเผาหยดเสินหยวนเพื่อใช้พลังวิเศษได้ตามใจชอบ และตราบใดที่คนผู้นั้นสามารถใช้พลังเหนือธรรมชาติได้ คนผู้นั้นก็ย่อมไม่ใช่คนธรรมดาอีกต่อไป..
ด้วยเหตุนี้..ผู้บ่มเพาะตนที่ฝึกฝนจนสามารถเข้าสู่ด่านกลางของขั้นพลังชี่ได้ จึงต้องทนรับบททดสอบตามกฏของสวรรค์ หรือที่เรียกว่าการรับทัณฑ์สวรรค์นั่นเอง
และนี่ก็คือทัณฑ์สวรรค์ซื่อจิ่ว!
ผู้ฝึกบ่มเพาะตนทุกคนไม่ว่าจะเป็นใครก็ตามไม่เว้นแม้แต่หลิงหยุน หรือหนิงหลิงยู่ซึ่งมีกายอัปสร ทุกคนล้วนแล้วแต่ต้องผ่านการับทัณฑ์สวรรค์ด้วยกันทั้งสิ้น..
หลิงหยุนเดินตรงเข้าไปหาหนิงหลิงยู่จากนั้นจึงเงยหน้าขึ้นมองไปบนท้องฟ้าพร้อมกับเปิดเนตรหยิน–หยางของตนออกสำรวจ เขาพบว่าท้องฟ้าที่มืดมิดแต่ไร้เมฆนั้น เวลานี้ได้มีเหล่าเมฆาสีดำปรากฏขึ้น และกำลังรวมตัวเข้าหากันกลายเป็นก้อนเมฆสีดำหนาแน่นขนาดใหญ่ ลอยอยู่เหนืออ่างเก็บน้ำมี่หยุนพร้อมกับบดบังแสงดาวระยิบระยับบนท้องนภาไว้ได้อย่างมิดชิด..
และแล้วทัณฑ์เมฆาก็ได้ปรากฏตัวขึ้น!
“มาเร็วกว่าที่ข้าคิดไว้เสียอีก!”
เวลานี้หลิงหยุนไม่มีเวลาที่จะอธิบายเรื่องความสามารถพิเศษในขั้นซื่อเฉิงชี่ให้กับหนิงหลิงยู่ฟังได้จึงรีบหันไปถามนางด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนแทนว่า..
“หลิงยู่..เจ้ายังจำวิธีรับมือกับทัณฑ์สวรรค์ซื่อจิ่วที่พี่บอกได้หรือไม่!”
“พี่ใหญ่..ข้าจำได้!”
หนิงหลิงยู่ร้องบอกหลิงหยุนเสียงเบาพร้อมกับห่อไหล่เข้าหากันและเริ่มมีอาการตื่นตระหนกออกมาให้เห็นเมื่อสัมผัสได้ถึงทัณฑ์สวรรค์ที่กำลังจะเกิดขึ้นจริงๆ การต้องรับทัณฑ์สวรรค์เพียงลำพังเช่นนี้ จึงเป็นธรรมดาที่หนิงหลิงยู่จะรู้สึกหวาดกลัว..
ผู้ที่ฝึกบ่มเพาะตนนั้นย่อมรู้ได้ด้วยตัวเองว่าเมื่อใดทัณฑ์สวรรค์ของตนจะบังเกิดขึ้น การรับรู้เช่นนี้คล้ายคลึงกับสัญชาติญาณ ไม่เช่นนั้นแล้วก็คงยากที่คนผู้นั้นจะสามารถเตรียมตัวเตรียมใจรับมือกับทัณฑ์สวรรค์ได้ทัน..
“หลิงยู่..เจ้าอย่าได้ตกอกตกใจไป!”
นี่เป็นการเผชิญหน้ากับทัณฑ์สวรรค์ครั้งแรกของหนิงหลิงยู่หลิงหยุนจึงเห็นว่านางเริ่มมีอาการตื่นตระหนก เขายิ้มให้หนิงหลิงยู่พร้อมกับรีบปลอบโยนนางให้หายตกใจทันที..
“น้องพี่..ทำตามที่พี่เคยบอกเจ้าไปทีละขั้น และจงเชื่อมั่นในตัวพี่!”
หลิงหยุนปลอบโยนหนิงหลิงยู่พร้อมกับเอื้อมมือไปตบไหล่ของนางอย่างอ่อนโยนแล้วจึงพูดต่อว่า
“เจ้าฝึกดาราคุ้มกายจนถึงขั้นที่สองแล้วและนั่นจะช่วยให้ร่างกายของเจ้าสามารถต้านทานพลังของอสุนีบาตได้เพิ่มมากขึ้นถึงสองเท่า!”
หลังจากที่ได้ฟังคำปลอบประโลมของหลิงหยุนหนิงหลิงยู่จึงเริ่มผ่อนคลายมากขึ้น และร่างที่เกร็งแน่นก็ค่อยๆ คลายออกจากกันอย่างผ่อนคลาย แต่ถึงกระนั้นก็อดที่จะกระซิบถามหลิงหยุนด้วยความหวาดกลัวไม่ได้
“พี่ใหญ่..หลังจากที่ถูกฟ้าผ่าแล้ว ข้า.. ร่างกายของข้าจะมีสภาพเช่นใด!” “ฮ่า..ฮ่า.. ฮ่า..”
ทันทีที่ได้รับรู้ว่าหนิงหลิงยู่กังวลใจเรื่องอะไรนั้นเขาก็ถึงกับหัวเราะออกมาทันที และตอบกลับไปด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
“หลิงยู่..เจ้าอย่าได้กังวลใจไป อสุนีบาตที่เจ้าจะต้องรับนั้น เป็นเพียงแค่สายฟ้าธรรมดาๆ ที่จะต้องรับตามกฏของสวรรค์เท่านั้นเอง..”
หลิงหยุนจ้องมองหนิงหลิงยู่และบอกกับนางด้วยความมั่นใจ “ทัณฑ์สวรรค์ไม่ได้เป็นเพียงแค่บททดสอบที่สวรรค์จะใช้ทดสอบผู้บ่มเพาะตนตามกฏของสวรรค์เท่านั้น แต่ยังเป็นเสมือนรางวัลที่มอบให้กับผู้ที่สามารถผ่านบททดสอบไปได้อีกด้วย เพราะหลังจากที่้ข้ามผ่านทัณฑ์สวรรค์ไปได้แต่ละครั้ง ร่างกายของคนผู้นั้นก็จะพร้อมเข้าสู่การบ่มเพาะตนที่สูงขึ้นไปตามลำดับ และจะเป็นประโยชน์ต่อการบ่มเพาะตนของคนผู้นั้นในวันข้างหน้าอย่างมากอีกด้วย..
“และผู้ที่จะสัมผัสถึงความเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ได้ก็มีเพียงผู้บ่มเพาะตนที่ผ่านการรับทัณฑ์สวรรค์ด้วยตนเองแล้วเท่านั้น จึงจะเข้าใจได้..”
“ที่สำคัญ..สายฟ้าแต่ละเส้นที่ฟาดลงมาบนร่างของผู้บ่มเพาะนั้น ล้วนเปี่ยมไปด้วยพลังของสวรรค์และโลก จึงเป็นโอกาสอันดียิ่งที่จะได้ทำการปรับสภาพร่างกายอีกครั้งหลังจากที่ผู้บ่มเพาะตนได้เข้าสู่ขั้นต่อไปแล้ว!”
หลิงหยุนผู้เคยรับทัณฑ์สวรรค์ในขั้นอมตะมาแล้วและเป็นผู้มากประสบการณ์ในเรื่องทัณฑ์สวรรค์เป็นอย่างดี มีหรือที่จะปิดบังหนิงหลิงยู่..
“พี่ใหญ่..ข้าเข้าใจแล้ว!”
หลังจากที่ฟังหลิงหยุนอธิบายอยู่นานในที่สุดหนิงหลิงยู่ก็ยิ้มออกมา จิตใจของนางเริ่มผ่อนคลายมากขึ้น หนิงหลิงยู่เงยหน้าขึ้นมองทัณฑ์เมฆาดำทะมึนที่ปรากฏอยู่บนท้องฟ้าเบื้องบน..
ทัณฑ์เมฆาปรากฏขึ้นอย่างรวดเร็วมากและเวลานี้ก็เริ่มจับตัวกันอย่างหนาแน่น จนบดบังแสงดาวที่ส่องประกายระยิบระยับไว้อย่างมิดชิด ทำให้ผืนดินเบื้องล่างเวลานี้มีแต่ความมืดสนิท..
แม้ว่าหนิงหลิงยู่จะไม่ได้รู้สึกตกใจและหวาดกลัวอีกแล้ว แต่ร่างบอบบางของนางก็ยังมีอาการสั่นสะท้านบ้างเล็กน้อย เมื่อสัมผัสได้ถึงแรงกดดันที่กำลังบดขยี้ลงมามากขึ้นเรื่อยๆ
หลิงหยุนที่ยืนอยู่ข้างหนิงหลิงยู่ก็รับรู้ได้ถึงแรงกดดันนี้เช่นกัน
หลิงหยุนที่ยืนอยู่ข้างหนิงหลิงยู่เองก็รับรู้ได้ถึงแรงกดดันนี้เขาเหลือบมองขึ้นไปบนท้องฟ้า และพบว่าทัณฑ์เมฆาไม่เพียงก่อตัวหนาขึ้นเรื่อยๆ แต่ยังกำลังลอยต่ำลงมาเรื่อยๆด้วยเช่นกัน..
ระหว่างที่กำลังครุ่นคิดอยู่เงียบๆนั้นเขาก็ได้เรียกยันต์ต้านอสุนีบาต และยันต์เกราะออกมาจากแหวนจักรวาลส่งให้หนิงหลิงยู่ พร้อมกับกำชับว่า..
“หลิงยู่..หากได้รับบาดเจ็บก็กลืนโอสถที่ข้าให้ไว้ และใช้ยันต์นี่สำหรับป้องกันตัว เข้าใจหรือไม่”
เวลานี้อสุนีบาตเบื้องบนสามารถที่จะผ่าลงมาเมื่อใดก็ได้หลิงหยุนจึงได้เตรียมที่จะหลบออกไปจากรัศมีของทัณฑ์เมฆา แต่ก่อนที่จะออกไปก็ไม่ลืมที่จะกำชับหนิงหลิงยู่ด้วยความเป็นห่วง
หนิงหลิงยู่เพียงพยักหน้า..
“เอาล่ะ..พี่จะหลบออกไปให้พ้นรัศมีของทัณฑ์เมฆาก่อน แต่จะคอยจับตามองอย่างใกล้ชิด!”
จากนั้นหลิงหยุนก็ได้ใช้พลังจิตเรียกกระบี่เหินเงาธนูออกมาแล้วบังคับให้เหาะขึ้นไปอยู่บนเนินเขาที่อยู่ห่างไปราวสองกิโลเมตร..
รัศมีของทัณฑ์สวรรค์ซื่อจิ่วนั้นครอบคลุมในระยะสองสามร้อยเมตรเนินเขาที่หลิงหยุนยืนอยู่นั้นจึงเป็นระยะที่ปลอดภัยจากอสุนีบาตทั้งหลาย แต่ก็ยังอยู่ในรัศมีจิตหยั่งรู้ของเขา ทำให้สามารถมองเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดได้อย่างชัดเจน และหลิงหยุนก็ได้ยืนอยู่บนกระบี่เหินซึ่งเตรียมพร้อมรุดเข้าไปช่วยเหลือหนิงหลิงยู่ได้ตลอดเวลา..
แม้ว่าหลิงหยุนจะมั่นใจอย่างยิ่งว่าหนิงหลิงยู่จะสามารถข้ามผ่านทัณฑ์สวรรค์ไปได้สำเร็จแต่เขาก็จำเป็นต้องเตรียมพร้อมหากเกิดอันตรายถึงชีวิตกับหนิงหลิงยู่ขึ้น และถึงตอนนั้นหลิงหยุนพร้อมที่จะใช้ไพ่ในมือทั้งหมดของตน ต่อสู้กับทัณฑ์สวรรค์เพื่อความปลอดภัยของหนิงหลิงยู่..
หลังจากที่หลิงหยุนหลบออกมาแล้วหนิงหลิงยู่ก็ยังคงยืนนิ่งอยู่เช่นนั้น และกำลังรอที่จะเผชิญกับทัณฑ์สวรรค์เพียงลำพัง..
เวลานี้ทัณฑ์เมฆามีสีดำราวกับน้ำหมึกแรงกดดันก็รุนแรงมากขึ้นทุกที และเริ่มมีแสงแปลบปลาบส่องทะลุก้อนเมฆดำทะมึนอกมา..
หลิงหยุนจ้องมองทัณฑ์เมฆาที่ขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆและเริ่มรู้สึกว่าก้อนเมฆสีดำที่รวมตัวกันอยู่นั้น ดูเหมือนจะมีขนาดใหญ่กว่าทัณฑ์สวรรค์ซื่อจิ่วปกติ แต่ก็ยังไม่ถึงกับน่าสะพรึงกลัวมากนัก..
“เอ๊ะ..ทัณฑ์เมฆาเหล่านี้..”
หลิงหยุนได้แต่นึกประหลาดใจและเริ่มสังเกตเห็นว่าภายในก้อนเมฆสีดำทะมึนเหล่านั้น ดูราวกับว่ามีก้อนเมฆสีอื่นแทรกอยู่ด้วย หลิงหยุนเห็นชัดว่ามันมีสีม่วง และสีทอง..
ครืน..เปรี้ยง!
ระหว่างที่สังเกตเห็นความผิดปกตินี้สายตาของหลิงหยุนก็เปลี่ยนไปจับจ้องอยู่ที่ร่างบอบบางงดงามของหนิงหลิงยู่ แต่ยังไม่ทันที่หลิงหยุนจะได้ร้องเตือนน้องสาว อสุนีบาตเส้นหนึ่งก็ฟาดลงมาเสียก่อน!
สายฟ้าขนาดเท่านิ้วหัวแม่มือพุ่งผ่านทัณฑ์เมฆาและฟาดเข้าใส่ร่างของหนิงหลิงยู่โดยไม่มีสัญญาณเตือนล่วงหน้า..
ในที่สุดทัณฑ์สวรรค์ซื่อจิ่วก็ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว!
“หลิงยู่..”
หลิงหยุนพึมพำเรียกชื่อของหนิงหลิงยู่ออกมาด้วยความเป็นห่วงภายใต้จิตหยั่งรู้อันทรงพลังของหลิงหยุน เขาเห็นร่างของหนิงหลิงยู่ลอยกระเด็นออกไปไกล เสื้อผ้าที่สวมใส่อยู่นั้นเปิดขึ้นด้านบน และร่างของนางก็กำลังสั่นเทิ้มอย่างรุนแรง!
สิ่งที่เกิดขึ้นในเวลานี้ต่างจากที่หลิงหยุนคาดคิดไว้มากนักเพราะอสุนีบาตเส้นแรกที่ฟาดเข้าใส่ร่างของหนิงหลิงยู่นั้น ก็มีพลังรุนแรงกว่าที่เขาคาดเดาไว้ถึงสองเท่า!
“แย่แล้ว!’
หลิงหยุนถึงกับใจสั่นพร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองไปยังทัณฑ์เมฆาเบื้องบน และร้องตะโกนออกไป
“นี่คือกายอัปสรนะ..จะไม่ปราณีเป็นกรณีพิเศษบ้างหรืออย่างไร!”
ในโลกบ่มเพาะที่ยิ่งใหญ่นั้น..มีเหล่าผู้บ่มเพาะตนอยู่มากมาย หลิงหยุนจึงพบเห็นผู้คนที่ต้องรับทัณฑ์สวรรค์มานับครั้งไม่ถ้วน ซึ่งการรับทัณฑ์สวรรค์ของเหล่าผู้บ่มเพาะตน ก็คงไม่ต่างจากนักเรียนในโลกนี้ที่ต้องทำการสอบเพื่อเลื่อนชั้น..
และถึงแม้ผู้บ่มเพาะตนจะเข้ารับทัณฑ์สวรรค์ในระดับเดียวกันแต่ก็จะมีความรุนแรง และรายละเอียดของทัณฑ์สวรรค์แตกต่างกันไปตามแต่ละคน..
อย่างเช่นหลิงหยุนเป็นต้น..เมื่อครั้งที่เขารับทัณฑ์สวรรค์ที่หนักหน่วงรุนแรงถึงสองครั้งจนเกือบเอาชีวิตไม่รอดนั้น เขายังไม่เข้าสู่ขั้นซื่อเฉิงชี่ (ขั้นพลังชี่-4) เลยด้วยซ้ำไป..
แต่กรณีของหนิงหลิงยู่นั้น..ร่างของนางเป็นกายอัปสรซึ่งหลิงหยุนมั่นใจว่าทัณฑ์สวรรค์ จะต้องไม่มีอะไรรุนแรงมากนัก แต่ดูเหมือนเขาจะประเมินผิดไปมาก..
“คงต้องรอดูไปก่อน..”
หลังจากที่หายตกใจและเริ่มสงบสติอารมณ์ได้แล้ว หลิงหยุนก็เงยหน้าขึ้นมองทัณฑ์เมฆาที่ค่อยๆ คล้อยต่ำลงมา และกำลังตั้งหน้าตั้งตารอดูอสุนีบาตเส้นที่สองต่อไป..
เวลานี้หนิงหลิงยู่ก็เข้าสู่การรับทัณฑ์สวรรค์แล้วต่อให้เขากระวนกระวาย หรือร้อนใจไปก็เปล่าประโยชน์ ตราบใดที่หนิงหลิงยู่ไม่ตกอยู่ในอันตรายถึงชีวิตจริงๆ หลิงหยุนก็ไม่ควรที่จะเข้าไปขัดขวางกลางคัน..
ครืน..เปรี้ยง!
ในไม่ช้า..อสุนีบาตเส้นที่สองขนาดเท่านิ้วหัวแม่มือก็ฟาดลงใส่ร่างของหนิงหลิงยู่อีกครั้ง หนิงหลิงยู่สามารถผ่านอสุนีบาตเส้นที่หนึ่งไปได้แล้ว จึงไม่ยากนักที่จะรับมือกับสายฟ้าเส้นที่สอง เวลานี้สีหน้าท่าทางของหนิงหลิงยู่ก็สงบนิ่งอย่างมาก และไม่มีท่าทีหวาดกลัวออกมาให้เห็น..
จากนั้นสายฟ้าเส้นที่สาม..เส้นที่สี่.. และอีกมากมายก็กระหน่ำตามลงมาราวกับห่าฝน และกำลังเปล่งประกายแปลบปลาบครอบคลุมร่างของหนิงหลิงยู่ไว้!
ผ่านไปราวสองสามนาทีคลื่นอสุนีบาตชุดแรกก็ได้จบลง และผืนดินเบื้องล่างก็เข้าสู่ความสงบนิ่งอีกครั้ง ก่อนที่คลื่นอสุนีบาตชุดที่สองจะเริ่มก่อตัวขึ้น.. ครืน..
ไม่ถึงหนึ่งวินาที..สายฟ้าแปลบปลาบก็พุ่งออกมาจากเหล่ากลุ่มทัณฑ์เมฆาสีดำ แต่ครั้งนี้อสุนีบาตดูเหมือนจะมีขนาดเท่าแขน และได้พุ่งตรงเข้าใส่ร่างของหนิงหลิงยู่..
เมื่อเห็นเช่นนั้น..หลิงหยุนก็ถึงกับถอนหายใจยาว และได้แต่คิดในใจว่าดูเหมือนทัณฑ์สวรรค์ของหนิงหลิงยู่จะหนักหนากว่าทัณฑ์สวรรค์ทั่วไปมากนัก แต่ก็ยังไม่ได้ร้ายแรงถึงขั้นเป็นอันตรายต่อชีวิต และหลิงหยุนเชื่อว่าหนิงหลิงยู่จะต้องปลอดภัย..
และก็เป็นดังเช่นที่หลิงหยุนเชื่อมั่นหนิงหลิงยู่ยังคงใช้ร่างกายรับคลื่นอสุนีบาตชุดแล้วชุดเล่าได้อย่างน่าตกใจ..
คลื่นอสุนีบาตชุดที่สาม..ชุดที่สี่..
ทัณฑ์สวรรค์ซื่อจิ่วนั้นจะมีทัณฑ์สายฟ้าทั้งหมดสี่ชุด และแต่ละชุดก็จะรุนแรงขึ้นตามลำดับ เวลานี้ร่างของหนิงหลิงยู่ปกคลุมไปด้วยสายฟ้าจำนวนนับไม่ถ้วน และหนาแน่นจนแม้แต่จิตหยั่งรู้ของหลิงหยุนยังแทรกเข้าไปไม่ได้
แต่ถึงแม้จิตหยั่งรู้ของหลิงหยุนจะแทรกเข้าไปไม่ได้เขาก็มีสามารถมองผ่านเนตรหยิน–หยางได้ และพบว่าในระหว่างที่หนิงหลิงยู่กำลังรับคลื่นอสุนีบาตชุดที่สามนั้น ร่างบอบบางขอนางก็ได้กระโดดหมุนตัวขึ้นกลางอากาศ และคอยหลบหลีกสายฟ้าจำนวนมากที่พุ่งลงมาอย่างไม่หยุดยั้ง..
“เด็กคนนี้..”
หลิงหยุนถึงกับยิ้มและพึมพำออกมาด้วยความโล่งอกและไม่ได้นึกเป็นห่วงหนิงหลิงยู่อีกแล้ว จึงได้เงยหน้าขึ้นมองไปยังทัณฑ์เมฆาเบื้องบน และพบว่าเวลานี้คลื่นอสุนีบาตค่อยๆ เบาบางลงเรื่อยๆ จนในที่สุดหลิงหยุนก็สามารถมองเห็นสิ่งที่ซ่อนอยู่ภายในทัณฑ์เมฆาได้อย่างชัดเจน..
“สวรรค์!ใหญ่โตถึงเพียงนี้เชียวรึ!”
และเมื่อได้รู้ว่าสีทองกับสีม่วงนั้นเป็นสิ่งใดหลิงหยุนก็ถึงกับหัวเราะออกมาเสียงดัง.. “ฮ่า..ฮ่า..”