Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร - บทที่ 1320 : สังหารมี่เจียว!
เสียตงคุน..เจ้าไม่โง่เลยนะ!
หลิงหยุนพึมพำพร้อมกระโดดกลับไปที่เดิมเขาได้แต่แอบคิดในใจว่า หากผู้ที่ไปยอดเขาหลงเหมินในครั้งนั้นไม่ใช่กัวเสี่ยวเทียนแต่เป็นเสียตงคุน ศิษย์สำนักดาบสวรรค์อาจไม่ต้องมีจุดจบเช่นนั้นก็ได้
แต่นั่นก็เป็นเพียงแค่การคาดเดาของหลิงหยุนเท่านั้นเพราะครั้งนั้นเขาเองก็เพิ่งจะอยู่ในขั้นปรับกายา-9 ต่อให้หลิงหยุนใช้วิชาพลังมังกร ก็ยังไม่แน่ว่าจะเป็นผู้ใดที่จะได้รับชัยชนะในครั้งนั้น
แต่เป็นเพราะครั้งนั้นเสียตงคุนก็ไม่ได้เห็นหลิงหยุนอยู่ในสายตาจึงได้ส่งศิษย์ทั้งห้ามาแทน ผลสุดท้ายกัวเสี่ยวเทียนก็ได้ทำผิดพลาดอย่างใหญ่หลง จนนำมาซึ่งสถานการณ์เลวร้ายในวันนี้
ต่างจากสำนักบู๊ตึ๊งที่ส่งนักพรตชงซวีมาหลังจากที่พบเห็นหลิงหยุน เขาก็เลือกที่จะปฏิบัติ และรับมือกับหลิงหยุนในรูปแบบอื่น
หลังจากที่คนของสำนักดาบสวรรค์จากไปแล้วหลิงหยุนก็ส่งกระแสจิตบอกหวังชงเซียว และเอ็ดเวิร์ดให้ทำการเปิดทาง และปล่อยพวกจากไปแต่โดยดี
เหตุผลที่หลิงหยุนปล่อยคนของสำนักดาบสวรรค์กลับไปและไม่ทำลายวรุยุทธของพวกเขานั้นก็เพราะว่า
อย่างน้อยที่สุดสำนักดาบสวรรค์ก็มีบุญคุณต่อตระกูลฉินไม่น้อยและไม่ว่าอย่างไรตระกูลฉินก็ควรต้องตอบแทน แต่ก่อนที่จะตอบแทน หลิงหยุนจำเป็นต้องเจรจาให้เสียตงคุนเข้าใจ และรู้สึกว่าได้รับความยุติธรรมด้วย
หลิงหยุนเพียงแค่ต้องการให้ตระกูลฉินได้ตอบแทนบุญคุญที่ติดค้างกับสำนักดาบสวรรค์เท่านั้นหลังจากนั้นเขาจะได้ทำการถล่มสำนักกระบี่เทวะได้ โดยที่ไม่มีสำนักดาบสวรรค์ยื่นมือเข้ามาข้องเกี่ยว
เหตุผลข้อที่สองก็คือ..นอกเหนือจากการมาร่วมงานชุมนุมชาวยุทธที่จัดขึ้นเพื่อจัดการกับเขาและเย่ซิงเฉินแล้ว ด้วยความสามารถของเสียตงคุน ก็ยากนักที่จะคิดสังหารตนเองได้ และหากเขาต้องการจะถล่มสำนักดาบสวรรค์ให้สิ้นซาก ก็ยังไม่จำเป็นต้องรีบร้อนทำในตอนนี้
นอกจากนั้นแล้วเสียตงคุนเองก็เป็นศิษย์สำนักกระบี่คุนหลุนมาก่อน และยังมีสัมพันธ์ที่ดีกับสำนักกระบี่เทวะอีกด้วย ฉินชางชิงเคยเล่าว่าไม่รู้เสียตงคุนใช้วิธีใดจึงสามารถหยุดยั้งตี๋เสี่ยวเจินในครั้งนั้นได้ และนั่นเป็นเรื่องที่หลิงหยุนอยากรู้เช่นกัน
หลิงหยุนรู้สึกว่าเรื่องนี้จะต้องมีตื้นลึกหนาบางที่มากกว่านี้ไม่เช่นนั้นคงจะไม่จบลงง่ายๆเช่นนั้นแน่ หลิงหยุนไม่เชื่อว่าเพียงแค่สัญญาสิบแปดปีเพียงอย่างเดียว จะทำให้ตี๋เสี่ยวเจินแห่งสำนักกระบี่เทวะยอมปล่อยตระกูลเฉินไปง่ายๆ เพราะครั้งนั้นตระกูลฉินเปรียบเสมือนลูกแกะที่ตี๋เสี่ยวเจินสามารถปลิดชีพได้อย่างง่ายดาย เหตุใดจึงต้องรอีอกนานถึงสิบแปดปีด้วยเล่า และหากสืบแล้วพบว่าในครั้งนั้นสำนักดาบสวรรค์ไม่ได้มีบุญคุณกับตระกูลฉินอย่างที่กล่าวอ้างจริง หลิงหยุนค่อยกลับไปจัดการกับเสียตงคุนต่อก็ยังไม่สาย!
ในระหว่างที่หลิงหยุนตกอยู่ในห้วงมโนอยู่ครู่ใหญ่นั้นภายในหุบเขาหลงเฟิงก็เกิดเหตุการณ์วุ่นวายขึ้นอีกครั้ง
ยอดฝีมือมากกว่าหนึ่งร้อยคนต่างก็พากันปลีกตัวออกจากกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งไม่มีผู้ใดกล้ายืนใกล้กับคนของสำนักเขาหลงหู่ และสำนักกระบี่คุนหลุน
ชาวยุทธที่พากันปลีกตัวห่างออกมานั้นล้วนไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องราวของตระกูลหลิงเมื่อสิบแปดปีก่อน และแสดงออกชัดเจนว่าไม่ได้อยู่ข้างสำนักเขาหลงหู่ และสำนักกระบี่คุนหลุน!
เหตุผลก็ง่ายดายมากหลังจากที่พวกเขาได้ฟังหลิงหยุนสนทนากับเสียตงคุนแห่งสำนักดาบสวรรค์ พวกเขาก็รู้ได้ทันทีว่าหลิงหยุนไม่ใช่คนไร้ซึ่งเหตุผล และมีจิตใจโหดเหี้ยมที่จ้องจะสังหารผู้คนอย่างที่ร่ำลือกัน ตรงกันข้าม.. หลิงหยุนมาที่นี่ในคืนนี้เพื่อชำระบัญชีแค้นที่คั่งค้างเท่านั้น!
ไม่เช่นนั้นแล้วด้วยความแข็งแกร่งของหลิงหยุนเวลานี้ เหตุใดยังต้องเสียเวลาเจรจากับเสียตงคุนเนิ่นนานถึงเพียงนั้นด้วยเล่า เพราะด้วยความแข็งแกร่งของหลิงหยุนเวลานี้ เพียงแค่ครึ่งนาทีก็สามารถสังหารคนของสำนักดาบสวรรค์ได้หมดแล้ว
สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าหลิงหยุนไม่เข่นฆ่าผู้บริสุทธิ์ และยังเป็นการยืนยันคำพูดของหลิงหยุนด้วยว่า หากผู้ใดที่คิดออกจากที่นี่โดยที่เขาไม่ได้อนุญาต จะต้องถูกสังหารตาย
ตราบใดที่คนผู้นั้นมิได้เป็นศัตรูกับหลิงหยุนและไม่พยายามที่จะหลบหนีออกไปก่อนที่เขาจะสะสางหนี้แค้นจบสิ้นแล้วล่ะก็ เขาก็จะไม่ยุ่งเกี่ยวกับคนผู้นั้น
ด้วยเหตุนี้ผู้ใดที่ไม่ได้มีความแค้นกับหลิงหยุน มีใครกันบ้างเล่าที่ยังอยากจะยืนเคียงบ่าเคียงไหล่กับคนของสำนักเขาหลงหู่ และคนของสำนักกระบี่คุนหลุนอีก เพราะการทำเช่นนั้นย่อมหมายถึงการรนหาที่ตาย!
เอาล่ะๆคราวนี้ทุกคนก็เห็นกับตาแล้วว่า กระบี่โลหิตแดนใต้เล่มนี้ มิได้ส่งผลชั่วร้ายต่อจิตใจของประสกน้อยผู้นี้เลยแม้แต่น้อย!
นักพรตชงซวีเป็นฝ่ายประกาศต่อหน้าเหล่าชาวยุทธที่โกลาหลวุ่นวายกันอยู่และการที่นักพรตชงซวีแห่งสำนักบู๊ตึ๊งกล่าวออกไปเช่นนี้ ย่อมเท่ากับเป็นการประกาศตัวเป็นสหายกับหลิงหยุน!
อามิตาพุทธ!อาตมาเองก็ชื่นชมในจิตเมตตาของประสกหลิงหยุนยิ่งนัก ถึงแม้ว่าประสกจะสังหารหลวงจีนวัดเส้าหลินไปถึงยี่สิบเอ็ดรูป แต่ทั้งหมดล้วนเป็นการสะสางหนี้แค้นเดิม อีกทั้งหลวงจีนจื้อเหนิงได้สั่งไว้ไม่ให้มีการแก้แค้น จึงเป็นหน้าที่ของอาตมาที่จะกลับไปอธิบายเรื่องนี้ให้ศิษย์วัดเส้าหลินคนอื่นๆเข้าใจเอง..
หลวงจีนเจี๋วยหยวนเองก็อดที่จะตกใจกับการกระทำครั้งนี้ของหลิงหยุนไม่ได้และนั่นทำให้เขาได้เห็นอีกด้านของหลิงหยุนที่ไม่เคยได้เห็นมาก่อน
หลิงหยุนไม่ใช่คนบาปหนาหรือเป็นปีศาจชั่วร้ายหากผู้ใดมิได้หาเรื่องเขาก่อน เขาก็ไม่คิดที่จะฆ่าเช่นกัน!
เมื่อได้เห็นนักพรตชงซวีและหลวงจีนเจี๋ยวหยวนซึ่งเปรียบเสมือนผู้นำของเหล่าชาวยุทธกล่าวขึ้นเช่นนี้ หลิงหยุนก็ถึงกับยิ้มออกมา เขาประสานมือทั้งสองข้างไว้ด้านหน้าพร้อมกับโน้มศรีษะลงเล็กน้อย
ท่านนักพรตชงซวีท่านหลวงจีนเจี๋ยวหยวน ขอบคุณพวกท่านทั้งสองยิ่ง เวลานี้ข้ายังมีภารกิจที่ต้องสะสาง หลังจากเสร็จสิ้นแล้วยังมีเรื่องต้องเสวนากับท่านทั้งสองด้วย
……
หลิงหยุน..พวกเราเป็นผู้บริสุทธิ์ และไม่เคยมีเรื่องบาดหมางกับท่าน พวกเรามาร่วมงานชุมนุมในคืนนี้เพราะความเข้าใจผิด ได้โปรดไว้ชีวิตพวกเราด้วย! ใช่แล้ว..พวกเราไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการบุกถล่มตระกูลหลิงเมื่อสิบแปดปีก่อนเลยแม้แต่น้อย และที่มาร่วมงานชุมนุมในคืนนี้ก็เพื่อความสนุกสนานเท่านั้น อย่าได้ถือโทษพวกเราเลย!
ในเวลานั้นเหล่าชาวยุทธทั้งร้อยกว่าคนต่างก็พากันร้องตะโกนบอกหลิงหยุนกันจ้าละหวั่น และไม่มีใครอยากข้องเกี่ยวกับสำนักเขาหลงหู่กับสำนักกระบี่คุนหลุนอีกเลย..
พวกเจ้าอย่าได้กังวลใจไปนักรอให้ข้าสะสางความแค้นเสร็จสิ้นเสียก่อน หากพบว่าพวกเจ้าบริสุทธิ์จริง ข้าย่อมต้องปล่อยพวกเจ้าไปอย่างแน่นอน!
สำหรับชาวยุทธที่เสมือนไม้เลื้อยเหล่านี้หลิงหยุนคร้านที่จะใส่ใจนัก แต่ในโลกใบนี้ไม่ว่าจะเป็นในยุทธภพหรือโลกปัจจุบัน คนประเภทนี้ก็ล้วนมีให้เห็นดาษดื่น
เพราะนี่คือธาตุแท้ของมนุษย์!
หลิงหยุนรู้ดีอยู่แก่ใจว่า..หากคืนนี้เปลี่ยนเป็นเขาที่พ่ายแพ้ เหล่าชาวยุทธที่กำลังร้องขอความเมตตาเขาอยู่นี้ ก็จะไม่รีรอที่จะรีบรุมเข่นฆ่าเขาเร็วเสียยิ่งกว่าศัตรูที่แท้จริงของเขาเสียอีก
และตอนนี้..ภายในหุบเขาหลงเฟิงก็ได้แยกย้ายออกเป็นสามกลุ่ม กลุ่มแรกคือกลุ่มของหลิงหยุน กลุ่มที่สองคือศัตรูของเขา และกลุ่มที่สามคือกลุ่มคนที่ไม่เกี่ยวข้อง
หลังจากแบ่งแยกกันอย่างชัดเจนแล้วเวลานี้ก็เหลือยอดฝีมือที่เป็นศัตรูของหลิงหยุนไม่ถึงสิบสำนัก รวมแล้วก็ประมาณหนึ่งร้อยสามสิบกว่าคน..
ในจำนวนหนึ่งร้อยสามสิบกว่าคนนี้ก็เป็นคนของสำนักเขาหลงหู่ คนขอสำนักกระบี่คุนหลุน ฮั๋วซาน และตระกูลอื่นๆอีกสีห้าตระกูล
น่าแปลกที่อารามจิ้งซินกลับไม่แยกตัวออกไปแม่ชีทั้งหมดยังคงยืนนิ่งรวมอยู่กับฝ่ายที่เป็นศัตรูของหลิงหยุน ราวกับจะบอกว่าพวกนางพร้อมสละชีพ!
ความแค้นระหว่างหลิงหยุนกับอารามจิ้งซินนั้นล้วนแล้วแต่เป็นความแค้นใหม่ไม่เกี่ยวกับเรื่องราวเมื่อสิบแปดปีก่อน
หลังจากจัดการกับสำนักดาบสวรรค์เสร็จสิ้นแล้วก็ถึงคราวของอารามจิ้งซินบ้าง..
หลิงหยุนกระโดดเข้าไปหากลุ่มแม่ชีจากอารามจิ้งซินเขาจ้องมองแม่ชีมี่เจียวอยู่ครู่หนึ่งจึงพูดขึ้นว่า
เจ้ากำลังรนหาที่ตายรู้หรือไม่
เม่ยเฟิง..เจ้ามานี่!
หลังจากที่เอ่ยเสียงเย็นกับแม่ชีมี่เจียวแล้วหลิงหยุนก็หันไปตะโกนเรียกเฉิงเม่ยเฟิงให้มายืนข้างตนพร้อมกับพูดต่อว่า
มี่เจียว..เจ้าดูให้เห็นกับตาตัวเอง หากไม่ใช่เพราะศิษย์อารามจิ้งซินขโมยภรรยาของข้าไป นางจะก้าวหน้าได้ไกลเพียงใด!
เวลานี้เฉิงเม่ยเฟิงอยู่ในระดับสูงสุดขั้นเซียงเทียน-8และในขั้นบ่มเพาะตนก็อยู่ขั้นซานฉางชี่ (ขั้นพลังชี่-3) และที่นางก้าวหน้าได้รวดเร็วเช่นนี้ก็เพราะหลิงหยุน! ภรรยา..ข้าแค่หยอกเจ้าแม่ชีเล่นเท่านั้น เจ้าอย่าได้ถือเป็นจริงเป็นจังไปนัก!
หลิงหยุนเห็นเฉิงเม่ยเฟิงมีสีหน้าที่โกรธเกรี้ยวขึ้นมาจึงรีบปลอบโยนนางทันที จากนั้นจึงหันไปพูดกับแม่ชีมี่เจียวต่อ
มี่เจียว..ขอบอกตามตรง ความจริงแล้วอารามจิ้งซินก็มิได้ข้องเกี่ยวกับเรื่องเมื่อสิบแปดปีก่อน ส่วนมี่ยู่ก็ถูกข้าสังหารตายไปแล้ว
แต่ที่ข้าต้องการจะกำจัดอารามจิ้งซินก็เพราะว่าพวกเจ้าเป็นอันตรายต่อผู้หญิง ในโลกใบนี้จึงไม่ควรมีอารามจิ้งซินอีก!
แต่ถึงแม้ข้าต้องการที่จะกำจัดอารามจิ้งซินแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าข้าต้องสังหารผู้คน ตราบใดที่พวกเจ้าประกาศปิดอารามจิ้งซิน และทำลายวรยุทธทิ้งซะ ข้าจะปล่อยให้พวกเจ้ากลับออกไปจากที่นี่อย่างปลอดภัย!
แต่หลังจากที่หลิงหยุนเสนอเงื่อนไขไปแม่ชีมี่เจียวก็ตอบโต้กลับมาทันที หึ! อารามจิ้งซินของข้าก่อตั้งมานานกว่าสามร้อยปี เจ้าคิดจะให้ข้าปิดเพียงแพราะคำพูดไม่กี่คำของเจ้างั้นรึ เจ้าอย่าได้ฝันไปเลย!
ทันทีที่แม่ชีมี่เจียวได้ฟังคำพูดของหลิงหยุนก็ถึงกับโกรธจนตัวสั่นใบหน้าของนางเขียวคล้ำไปด้วยความโมโหอย่างที่สุด ก่อนจะพูดรอดไรฟันออกมา
งั้นรึเช่นนั้นเจ้าก็ต้องตาย!
หลิงหยุนพูดออกมาด้วยใบหน้ายิ้มแย้มพร้อมกับกำหมัดชกเข้าใส่ร่างของแม่ชีมี่เจียวทันที!
ปัง!
หมัดของหลิงหยุนตรงเข้าใส่ร่างของแม่ชีมี่เจียวด้วยความรวดเร็วปานสายฟ้าจนนางไม่สามารถที่จะหลบหนีได้ทัน ร่างของแม่ชีมี่เจียวถูกแรงกระแทกจากหมัดของหลิงหยุนลอยละลิ่วออกไปไกล ก่อนจะกระแทกเข้ากับแผ่นหิน ดวงตาเบิกโพลง โลหิตไหลออกจากทวารทั้งเจ็ด และอยู่ในสภาพที่อยู่ก็ไม่ใช่ ตายก็ไม่เชิง!
สำหรับคนเช่นนี้หลิงหยุนไม่คิดที่ปราณีแม้แต่น้อย หลังจากที่ตั้งใจชกใส่ร่างขอแม่ชีมี่เจียวอย่างแรงแล้ว หลิงหยุนก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ
หากอยากจะสร้างอารามจิ้งซินอีกก็จงไปสร้างในนรกภูมิ ข้าจะได้ไม่เห็น..