Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร - บทที่ 1322 : อธิบายมา
งานชุนนุมชาวยุทธในครั้งนี้จัดขึ้นโดยสำนักเขาหลงหุ่ สำนักกระบี่คุนหลุน และวัดเส้าหลิน โดยผู้ที่เป็นหัวเรือใหญ่ก็คือสำนักเขาหลงหู่
เวลานี้หลวงจีนจากหออรหันต์ของวัดเส้าหลินได้ถูกหลิงหยุนสังหารตายจนหมดแล้วอารามจิ้งซินก็ถูกทำลายจนสิ้นชื่อไปแล้วเช่นกัน ครั้งนี้หลิงหยุนจึงหันไปเล่นงานนักบวชจากสำนักเขาหลงหู่ต่อ
หลิงหยุนพบว่านักบวชจากเขาหลงหู่ที่มาร่วมงานชุมนุมในคืนนี้ล้วนแล้วแต่เป็นผู้ที่มีพลังแกร่งกล้ายิ่งนัก หากไม่นับจางจวิ้นเจิงที่ถูกหลิงหยุนสังหารตายไปก่อนหน้า ที่เหลือล้วนแล้วแต่เป็นยอดฝีมือขั้นพลังเหนือธรรมชาติระดับสี่และเหนือขึ้นไปทั้งสิ้น!
ในบรรดานักบวชทั้งยี่สิบสี่คนนั้นมีสี่คนอยู่ในขั้นพลังเหนือธรรมชาติระดับหก ที่เหลือก็อยู่ในระดับห้าและระดับสี่ หลังจากที่หลิงหยุนเปิดจิตหยั่งรู้ออกสำรวจเขาก็พบว่านักบวชจากเขาหลงหู่ทั้งหมดนั้น ทุกคนนั้น ไม่เพียงมีโอสถหลงหู่ชั้นเลิศ และโอสถชนิดอื่นๆติดตัว แต่ทุกคนล้วนมียันต์สีเงินติดตัวกันคนละสองสามแผ่นอีกด้วย
ยันต์สีเงินของสำนักเขาหลงหู่นั้นมีอานุภาพที่ทรงพลังมากเพียงใดหลิงหยุนยังไม่อาจรู้ได้ แต่หากเป็นยันต์สีเงินของโม่วู๋เตา หลิงหยุนรู้ว่ามันมีอานุภาพเทียบเท่ากับยันต์ระดับหกที่เขาปลุกเสก
ส่วนยันต์สีม่วงของโม่วู๋เตานั้นก็เทียบเท่ากับยันต์ระดับหกของเขาและนี่คือสิ่งที่หลิงหยุนประเมินได้เพียงคร่าวๆ
หลิงหยุนคาดการว่าเวทย์มนต์ของสำนักเหมาซานที่โม่วู๋เตาร่ำเรียนมานั้นน่าจะเป็นสายเดียวกันกับที่นักบวชจากเขาหลงหู่ใช้ เพราะทั้งสองสำนักล้วนศึกษาศาสตร์แห่งเต๋าทั้งคู่
ในความคิดของหลิงหยุนเขาเชื่อว่าครั้งนี้สำนักเขาหลงหู่จะต้องเตรียมการมาอย่างดีไม่น้อย และในฐานะของผู้ที่เป็นตัวตั้งตัวตีในการจัดงานชุมนุมชาวยุทธในคืนนี้ สำนักเขาหลงหู่ย่อมหวังผลสำเร็จมากกว่าคนอื่นๆ!
ในเมื่อสำนักเขาหลงหู่เป็นเสมือนเจ้าภาพหรือตัวแทนในการจัดงานชุนนุมชาวยุทธในครั้งนี้ หากหลิงหยุนสามารถจัดการกับสำนักเขาหลงหู่ได้ สำนักอื่นๆที่เป็นเพียงผู้เข้าร่วม คงจะไม่ใครอยากสานภารกิจในครั้งนี้ให้สำเร็จลุล่วงต่อไป
เพราะจากการร่วมมือระหว่างหลิงหยุนกับเย่ซิงเฉินในการประมือกับเหล่าหลวงจีนวัดเส้าหลินก่อนหน้านั้นหลิงหยุนก็ได้แสดงให้ทุกคนเห็นถึงอานุภาพของกระบี่เหินเงาธนู การะบี่กังฉี ตราหยกจักรพรรดิ และแม้กระทั่งปีกหยิน–หยางที่คมกริบ นักบวชจากเขาหลงหู่ทั้งหมดก็ได้เห็นทุกอย่างกับตาตัวเองเช่นกัน และนั่นก็เป็นการบ่งบอกว่าเพียงแค่หลิงหยุนผู้เดียว ก็สามารถเอาชนะนักบวชจากเขาหลงหู่ทั้งหมดได้แล้ว ด้วยเหตุนี้เมื่อได้ยินหลิงหยุนเรียกชื่อสำนักเขาหลงหู่ นักบวชทุกคนจึงมีสีหน้ากระอักกระอ่วน และมีท่าทีระมัดระวังตัวอย่างมาก
เวลานี้หยดเสินหยวนที่หลิงหยุนเพิ่งเผาไปนั้นยังไม่หมดฤทธิ์เขาจึงไม่เห็นนักบวชที่ต่ำกว่าขั้นพลังเหนือธรรมชาติระดับหกอยู่ในสายตาเลยแม้แต่น้อย ในสายตาของหลิงหยุนเวลานี้ ศัตรูที่แท้จริงของสำนักเขาหลงหู่มีเพียงสี่คนเท่านั้นคือ..
นักบวชเลี่ยหลงนักบวชเลี่ยหู่ นักบวชเลี่ยเหลย และนักบวชเลี่ยหยาง
และทันทีที่เห็นหลิงหยุนเดินตรงเข้ามานักบวชเลี่ยหลงและนักบวชเลี่ยหู่ต่างก็ก้าวเท้าขึ้นไปเผชิญหน้ากับหลิงหยุนโดยไม่มีความหวาดกลัวเลยแม้แต่น้อยพร้อมกับร้องตะโกนเสียงดังว่า
“หลิงหยุน..เจ้าอย่าได้ทำเป็นพูดดีไป!”
นักบวชเลี่ยหลงกล่าวต่อทันที“เจ้าสังหารหลวงจีนวัดเส้าหลินไปถึงยี่สิบเอ็ดรูปอีกทั้งยังสังหารชาวยุทธที่ต้องการหนีไปมากกว่าสามร้อยคน มิหนำซ้ำยังทำการปิดอารามจิ้งซินอย่างไร้เหตุผล อย่าคิดว่าคำพูดเพียงไม่กี่คำของเจ้าก็จะสามารถกลับผิดเป็นถูก กลับดำเป็นขาวไปได้!”
“ไม่ว่าอย่างไรคืนนี้สำนักเขาหลงหู่ของข้าก็ต้องสังหารเจ้าให้จงได้!”
นักบวชเลี่ยหลงซึ่งเป็นผู้นำของนักบวชเขาหลงหู่ฝ่ายชางจิงกงเป็นผู้เอ่ยขึ้นในสายตาของเขานั้นหลิงหยุนก็คือมารชั่วร้าย ไม่มีทางที่จะกลายเป็นผู้มีคุณธรรมสูงส่งอย่างที่คนอื่นสรรเสริญได้
ทันทีที่หลิงหยุนปรากฏตัวขึ้นที่หุบเขาหลงเฟิงเขาก็ลงมือสังหารจางจวิ้นเจิง หลวงจีนจากวัดเส้าหลิน และชาวยุทธมากกว่าสามร้อยคนโดยไม่มีการเจรจาใดๆ หลังจากได้แสดงความแข็งแกร่งของตนเองข่มขวัญเหล่าชาวยุทธแล้ว หลิงหยุนก็เจรจากับสำนักดาบสวรรค์อยู่ครู่หนึ่งก่อนปล่อยให้จากไป แต่หากดูให้ดีแล้วนั่นคือการบีบบังคับโดยที่สำนักดาบสวรรค์ไม่มีทางเลือกเสียมากกว่า
หลังจากนั้นก็อาศัยความหวาดกลัวในจิตใจของเหล่าแม่ชีที่เพิ่งสูญเสียเจ้าสำนักอย่างแม่ชีมี่เจียวไปทำการบีบบังคับเหล่าแม่ชีที่เหลือให้ยินยอมถูกทำลายวรยุทธ และปิดอารามจิ้งซินไป
และนั่นทำให้ฝ่ายที่เป็นศัตรูกับหลิงหยุนลงลงเหมือเพียงแค่หนึ่งร้อยยี่สิบคนเท่านั้นส่วนที่เหลืออีกร้อยกว่าคนไม่เพียงไปรวมกันอยู่ในกลุ่มของผู้บริสุทธิ์ แต่เวลานี้กลับช่วยหลิงหยุนกล่าวหน้าสำนักเขาหูลงหู่อีก!
ทั้งหมดที่เกิดขึ้นไม่เพียงบ่งบอกถึงความแข็งแกร่งของหลิงหยุนแต่ยังบ่งบอกถึงความเฉลียวฉลาดของเขาด้วย!
และในเวลานี้หากสำนักเขาหลงหู่ไม่ลุกขึ้นยืนกรานที่จะจัดการกับหลิงหยุนแล้วล่ะก็ ย่อมเท่ากับว่างานชุมนุมชาวยุทธที่จัดขึ้นเพื่อกำจัดหลิงหยุน ย่อมต้องกลายเป็นงานชุมนุมเพื่อสรรเสริญเขาแทนเป็นแน่!
หลังจากได้ฟังคำพูดกล่าวหน้าของนักบวชเลี่ยหลงหลิงหยุนก็ได้แต่ยืนฟังและคร้านที่จะตอบโต้ เพราะในหุบเขาหลงเฟิงแห่งนี้ไม่มีผู้ใดจะรู้ดีไปกว่าเขาว่า การใช้ปากล้วนไม่เกิดประโยชน์อันใด สิ่งเดียวที่่จะตัดสินทุกปัญหาในที่นี้ได้ก็คือความแข็งแกร่งเท่านั้น
“หึ!ข้าคร้านที่จะพูดจาไร้สาระกับเจ้า ข้าจะให้เจ้าพบคนผู้หนึ่ง..”
หลิงหยุนแสยะยิ้มพร้อมกับเงยหน้าขึ้นไปบนท้องนภาที่มืดมิดจากนั้นจึงใช้มังกรคำรามร้อนตะโกนออกไปว่า
“พอล..นำตัวนักโทษของข้าออกมาได้!”
หลังจากที่สังหารหลวงจีนจากวัดเส้าหลินได้แล้วหลิงหยุนก็ได้สั่งให้พอลไปนำตัวหนึ่งในนักโทษทั้งสองของเขามา ซึ่งก็คือนักบวชเลี่ยยื่อจากเขาหลงหู่นั่นเอง..
เหล่าชาวยุทธต่างเงยหน้าขึ้นมองไปบนท้องฟ้าเช่นเดียวกันและสิ่งที่พวกเขาเห็นก็คือร่างใหญ่ยักษ์สีม่วงทองคล้ายกับเทพแห่งซาตาน กำลังบินลงมาจากท้องฟ้าทางด้านทิศใต้ของหุบเขาหลงเฟิง และเพียงแค่พริบตาเดียวมันก็บินมาถึงลานกว้างกลางหุบเขา
ทันทีที่พอลมาถึงพื้นมันก็ทิ้งร่างที่ไร้แขนขาของนักบวชเลี่ยยื่อลงบนพื้นเสียงดังตุ้บ..
“ห๊ะ!”
“เลี่ยยื่อ!”
ความจริงแทบไม่ต้องรอให้พอลร่อนลงถึงพื้นด้วยซ้ำนักบวชจากเขาหลงหู่ต่างก็มีจิตหยั่งรู้ที่ทรงอานุภาพ พวกเขาเห็นตั้งแต่พอลยังบินอยู่บนท้องฟ้าแล้วว่า นักโทษที่พอลนำตัวมานั้นแท้จริงก็คือน้องชายร่วมสำนักของพวกเขาที่ว่าเลี่ยยื่อนั่นเอง
พลังปราณของนักบวชเลี่ยยื่อได้ถูกหลิงหยุนดูดเข้าไปจนเกือบหมดเวลานี้ขั้นของเขาจึงลดลงเหลือเพียงแค่ด่านกลางขั้นโฮ่วเทียน อีกทั้งยังถูกทรมานมานานกว่าสองเดือน
นักบวชเลี่ยยื่อไม่สามารถดูแลสภาพภายนอกของตนเองได้เพราะถูกตัดแขนขาทิ้งหมด เวลานี้เขาไม่เพียงมีผมเผ้าที่ยาวรุงรัง แต่ผมของเขายังสกปรกจนจับกันเป็นก้อนร่างกายของเขารวมถึงชุดนักบวชก็เปื้อนไปด้วยอุจระของตัวเอง แววตาของเขาเลื่อนลอยไม่รู้แม้กระทั่งว่าตนเองอยู่ที่ไหน หลังจากถูกจับโยนลงกับพื้นยังไม่มีแม้แต่น้ำตาจะร้องไห้
นักบวชเลี่ยหลงนักบวชเลี่ยหู่ และนักบวชคนอื่นๆจากเขาหลงหู่ ต่างก็จ้องมองสภาพที่น่าสยดสยองและน่าสังเวชของนักบวชเลี่ยยื่อด้วยความตกใจ จนลูกตาทั้งสองข้างแทบถลนออกจากเบ้า!
“หลิงหยุน..เจ้ามารชั่วช้า! นี่เจ้ากล้าทำร้ายนักบวชของชางจิงกงจนมีสภาพเช่นนี้เชียวรึ”
นักบวชเลี่ยหลงร้องตะโกนออกมาด้วยความคับแค้นและเดือดดาลอย่างที่สุด เขาขบฟันแน่นและดวงตาทั้งสองข้างก็เริ่มแดงก่ำ!
ไม่เพียงนักบวชเลี่ยหลงเท่านั้นที่คับแค้นใจนักบวชคนอื่นๆก็รู้สึกไม่ต่างกัน..
แต่ถึงกระนั้น..หลิงหยุนก็สังเกตเห็นอย่างชัดเจนว่า มีนักบวชจากเขาหลงหู่สี่คนที่ไม่มีสีหน้าคับแค้นใจเหมือนเช่นคนอื่นๆ และดูเหมือนจะมีความสุขเสียด้วยซ้ำไป!
‘ดูท่านักบวชสี่คนนี้น่าจะเป็นนักบวชฝ่ายเทียนชี่ฝูอย่างที่โม่วู๋เตาเคยเล่าให้ข้าฟังสินะ!ดูผิวเผินนักบวชทั้งสองฝ่ายอาจดูสามัคคีกลมเกลียวกัน แต่แท้จริงแล้วพวกเขากลับขัดแย้งกันอยู่ตลอดเวลา..’
หลิงหยุนเคยสอบถามเรื่องของสำนักเขาหลงหู่จากโม่วู๋เตาซึ่งเป็นศิษย์เหมาซานอีกทั้งเขายังรู้เรื่องราวของนักบวชเต๋าสำนักอื่นๆอีกมากมาย และคำบอกเล่าของโม่วู๋เตาก็เป็นประโยชน์กับหลิงหยุนอย่างมาก
“นี่น่ะหรือนักบวชฝ่ายชางจิงกง”
หลิงหยุนพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย้ยหยันพร้อมกับชี้ไปที่นักบวชเลี่ยยื่อซึ่งนอนกลิ้งเกลือกอยู่บนพื้นแล้วกล่าวต่อทันที
“นักบวชฝ่ายชางจิงกงของพวกเจ้าได้แอบเลี้ยงปีศาจภัยแล้ง และได้นำมันไปที่บ้านของข้าในเมืองจิงฉู อีกทั้งยังร่วมมือกับโอรสพรรคมารซือกงวู่จี๋ ลงมือสังหารคนในบ้านของข้า แต่โชคร้ายที่พวกมันทำไม่สำเร็จ!” “พวกเจ้าช่วยอธิบายให้ข้าฟังทีว่านี่ใช่สิ่งที่นักบวชฝ่ายชางจิงกงควรทำหรือไม่”
หลิงหยุนถามด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นทุ้มเบาแม้หลิงหยุนจะไม่ได้ตะโกนเสียงดัง แต่เขาก็ได้ใช้มังกรคำราม ทำให้คำพูดของเขาทุกคำดังทะลุเข้าไปในแก้วหูของชาวยุทธทุกคนในที่นั้น
เวลานี้ไม่เพียงเหล่าชาวยุทธไม้เลื้อยที่พากันหูผึ่งแม้แต่นักพรตเต๋าจากสำนักอื่นๆที่อยู่ข้างสำนักเขาหลงหู่ ต่างก็พากันยืนไม่ติด และได้แต่หันไปมองนักบวชจากเขาหลงหู่ด้วยสายตาที่บ่งบอกว่าไม่อยากจะเชื่อกับสิ่งที่ได้ยิน
นักบวชฝ่ายชางจิงกงเลี้ยงปีศาจภัยแล้งไว้จริงๆอย่างนั้นหรือ!
เรื่องนี้ทั้งน่าตกใจและน่าหัวเราะเยาะอย่างมาก!
ปีศาจภัยแล้งคือสิ่งใดอย่างนั้นหรือ!
ปีศาจภัยแล้งนั้นแท้ที่จริงแล้วจะเรียกว่าปีศาจก็ไม่ถูกนักเพราะมันคือซากศพที่มีการเปลี่ยนแปลง หากจะเรียกให้ถูกต้องก็ควรจะเรียกว่าราชาผีดิบน่าจะตรงกว่า
ที่สำคัญ..หากปล่อยให้ปีศาจภัยแล้งเติบโตขึ้นมาเรื่อยๆ มันจะเป็นภัยมหันต์ต่อมวลมนุษยชาติเลยทีเดียว!
“เอ่อ..”
เหล่านักบวชฝ่ายชางจิงกงต่างก็คิดไม่ถึงว่าหลิงหยุนจะมาไม้นี้นักบวชเลี่ยหลงและนักบวชคนอื่นๆต่างก็พากันหน้าซีดขาว และท่าทียะโสโอหังเมื่อครู่ก็มลายหายไปทันที!
“ปีศาจภัยแล้ง..ปีศาจภัยแล้งของข้า.. ถูกหลิงหยุนฆ่าตายแล้ว!”
จู่ๆนักบวชเลี่ยยื่อก็ร้องตะโกนออกมาราวกับคนเสียสติเมื่อได้ยินคำว่าปีศาจภัยแล้ง..
และนั่นยิ่งเท่ากับเป็นการตอกย้ำความชั่วช้าของนักบวชฝ่ายชางจิงกง!
��
เวลานี้หลวงจีนจากหออรหันต์ของวัดเส้าหลินได้ถูกหลิงหยุนสังหารตายจนหมดแล้วอารามจิ้งซินก็ถูกทำลายจนสิ้นชื่อไปแล้วเช่นกัน ครั้งนี้หลิงหยุนจึงหันไปเล่นงานนักบวชจากสำนักเขาหลงหู่ต่อ
หลิงหยุนพบว่านักบวชจากเขาหลงหู่ที่มาร่วมงานชุมนุมในคืนนี้ล้วนแล้วแต่เป็นผู้ที่มีพลังแกร่งกล้ายิ่งนัก หากไม่นับจางจวิ้นเจิงที่ถูกหลิงหยุนสังหารตายไปก่อนหน้า ที่เหลือล้วนแล้วแต่เป็นยอดฝีมือขั้นพลังเหนือธรรมชาติระดับสี่และเหนือขึ้นไปทั้งสิ้น!
ในบรรดานักบวชทั้งยี่สิบสี่คนนั้นมีสี่คนอยู่ในขั้นพลังเหนือธรรมชาติระดับหก ที่เหลือก็อยู่ในระดับห้าและระดับสี่ หลังจากที่หลิงหยุนเปิดจิตหยั่งรู้ออกสำรวจเขาก็พบว่านักบวชจากเขาหลงหู่ทั้งหมดนั้น ทุกคนนั้น ไม่เพียงมีโอสถหลงหู่ชั้นเลิศ และโอสถชนิดอื่นๆติดตัว แต่ทุกคนล้วนมียันต์สีเงินติดตัวกันคนละสองสามแผ่นอีกด้วย
ยันต์สีเงินของสำนักเขาหลงหู่นั้นมีอานุภาพที่ทรงพลังมากเพียงใดหลิงหยุนยังไม่อาจรู้ได้ แต่หากเป็นยันต์สีเงินของโม่วู๋เตา หลิงหยุนรู้ว่ามันมีอานุภาพเทียบเท่ากับยันต์ระดับหกที่เขาปลุกเสก
ส่วนยันต์สีม่วงของโม่วู๋เตานั้นก็เทียบเท่ากับยันต์ระดับหกของเขาและนี่คือสิ่งที่หลิงหยุนประเมินได้เพียงคร่าวๆ
หลิงหยุนคาดการว่าเวทย์มนต์ของสำนักเหมาซานที่โม่วู๋เตาร่ำเรียนมานั้นน่าจะเป็นสายเดียวกันกับที่นักบวชจากเขาหลงหู่ใช้ เพราะทั้งสองสำนักล้วนศึกษาศาสตร์แห่งเต๋าทั้งคู่
ในความคิดของหลิงหยุนเขาเชื่อว่าครั้งนี้สำนักเขาหลงหู่จะต้องเตรียมการมาอย่างดีไม่น้อย และในฐานะของผู้ที่เป็นตัวตั้งตัวตีในการจัดงานชุมนุมชาวยุทธในคืนนี้ สำนักเขาหลงหู่ย่อมหวังผลสำเร็จมากกว่าคนอื่นๆ!
ในเมื่อสำนักเขาหลงหู่เป็นเสมือนเจ้าภาพหรือตัวแทนในการจัดงานชุนนุมชาวยุทธในครั้งนี้ หากหลิงหยุนสามารถจัดการกับสำนักเขาหลงหู่ได้ สำนักอื่นๆที่เป็นเพียงผู้เข้าร่วม คงจะไม่ใครอยากสานภารกิจในครั้งนี้ให้สำเร็จลุล่วงต่อไป
เพราะจากการร่วมมือระหว่างหลิงหยุนกับเย่ซิงเฉินในการประมือกับเหล่าหลวงจีนวัดเส้าหลินก่อนหน้านั้นหลิงหยุนก็ได้แสดงให้ทุกคนเห็นถึงอานุภาพของกระบี่เหินเงาธนู การะบี่กังฉี ตราหยกจักรพรรดิ และแม้กระทั่งปีกหยิน–หยางที่คมกริบ นักบวชจากเขาหลงหู่ทั้งหมดก็ได้เห็นทุกอย่างกับตาตัวเองเช่นกัน และนั่นก็เป็นการบ่งบอกว่าเพียงแค่หลิงหยุนผู้เดียว ก็สามารถเอาชนะนักบวชจากเขาหลงหู่ทั้งหมดได้แล้ว ด้วยเหตุนี้เมื่อได้ยินหลิงหยุนเรียกชื่อสำนักเขาหลงหู่ นักบวชทุกคนจึงมีสีหน้ากระอักกระอ่วน และมีท่าทีระมัดระวังตัวอย่างมาก
เวลานี้หยดเสินหยวนที่หลิงหยุนเพิ่งเผาไปนั้นยังไม่หมดฤทธิ์เขาจึงไม่เห็นนักบวชที่ต่ำกว่าขั้นพลังเหนือธรรมชาติระดับหกอยู่ในสายตาเลยแม้แต่น้อย ในสายตาของหลิงหยุนเวลานี้ ศัตรูที่แท้จริงของสำนักเขาหลงหู่มีเพียงสี่คนเท่านั้นคือ..
นักบวชเลี่ยหลงนักบวชเลี่ยหู่ นักบวชเลี่ยเหลย และนักบวชเลี่ยหยาง
และทันทีที่เห็นหลิงหยุนเดินตรงเข้ามานักบวชเลี่ยหลงและนักบวชเลี่ยหู่ต่างก็ก้าวเท้าขึ้นไปเผชิญหน้ากับหลิงหยุนโดยไม่มีความหวาดกลัวเลยแม้แต่น้อยพร้อมกับร้องตะโกนเสียงดังว่า
“หลิงหยุน..เจ้าอย่าได้ทำเป็นพูดดีไป!”
นักบวชเลี่ยหลงกล่าวต่อทันที“เจ้าสังหารหลวงจีนวัดเส้าหลินไปถึงยี่สิบเอ็ดรูปอีกทั้งยังสังหารชาวยุทธที่ต้องการหนีไปมากกว่าสามร้อยคน มิหนำซ้ำยังทำการปิดอารามจิ้งซินอย่างไร้เหตุผล อย่าคิดว่าคำพูดเพียงไม่กี่คำของเจ้าก็จะสามารถกลับผิดเป็นถูก กลับดำเป็นขาวไปได้!”
“ไม่ว่าอย่างไรคืนนี้สำนักเขาหลงหู่ของข้าก็ต้องสังหารเจ้าให้จงได้!”
นักบวชเลี่ยหลงซึ่งเป็นผู้นำของนักบวชเขาหลงหู่ฝ่ายชางจิงกงเป็นผู้เอ่ยขึ้นในสายตาของเขานั้นหลิงหยุนก็คือมารชั่วร้าย ไม่มีทางที่จะกลายเป็นผู้มีคุณธรรมสูงส่งอย่างที่คนอื่นสรรเสริญได้
ทันทีที่หลิงหยุนปรากฏตัวขึ้นที่หุบเขาหลงเฟิงเขาก็ลงมือสังหารจางจวิ้นเจิง หลวงจีนจากวัดเส้าหลิน และชาวยุทธมากกว่าสามร้อยคนโดยไม่มีการเจรจาใดๆ หลังจากได้แสดงความแข็งแกร่งของตนเองข่มขวัญเหล่าชาวยุทธแล้ว หลิงหยุนก็เจรจากับสำนักดาบสวรรค์อยู่ครู่หนึ่งก่อนปล่อยให้จากไป แต่หากดูให้ดีแล้วนั่นคือการบีบบังคับโดยที่สำนักดาบสวรรค์ไม่มีทางเลือกเสียมากกว่า
หลังจากนั้นก็อาศัยความหวาดกลัวในจิตใจของเหล่าแม่ชีที่เพิ่งสูญเสียเจ้าสำนักอย่างแม่ชีมี่เจียวไปทำการบีบบังคับเหล่าแม่ชีที่เหลือให้ยินยอมถูกทำลายวรยุทธ และปิดอารามจิ้งซินไป
และนั่นทำให้ฝ่ายที่เป็นศัตรูกับหลิงหยุนลงลงเหมือเพียงแค่หนึ่งร้อยยี่สิบคนเท่านั้นส่วนที่เหลืออีกร้อยกว่าคนไม่เพียงไปรวมกันอยู่ในกลุ่มของผู้บริสุทธิ์ แต่เวลานี้กลับช่วยหลิงหยุนกล่าวหน้าสำนักเขาหูลงหู่อีก!
ทั้งหมดที่เกิดขึ้นไม่เพียงบ่งบอกถึงความแข็งแกร่งของหลิงหยุนแต่ยังบ่งบอกถึงความเฉลียวฉลาดของเขาด้วย!
และในเวลานี้หากสำนักเขาหลงหู่ไม่ลุกขึ้นยืนกรานที่จะจัดการกับหลิงหยุนแล้วล่ะก็ ย่อมเท่ากับว่างานชุมนุมชาวยุทธที่จัดขึ้นเพื่อกำจัดหลิงหยุน ย่อมต้องกลายเป็นงานชุมนุมเพื่อสรรเสริญเขาแทนเป็นแน่!
หลังจากได้ฟังคำพูดกล่าวหน้าของนักบวชเลี่ยหลงหลิงหยุนก็ได้แต่ยืนฟังและคร้านที่จะตอบโต้ เพราะในหุบเขาหลงเฟิงแห่งนี้ไม่มีผู้ใดจะรู้ดีไปกว่าเขาว่า การใช้ปากล้วนไม่เกิดประโยชน์อันใด สิ่งเดียวที่่จะตัดสินทุกปัญหาในที่นี้ได้ก็คือความแข็งแกร่งเท่านั้น
“หึ!ข้าคร้านที่จะพูดจาไร้สาระกับเจ้า ข้าจะให้เจ้าพบคนผู้หนึ่ง..”
หลิงหยุนแสยะยิ้มพร้อมกับเงยหน้าขึ้นไปบนท้องนภาที่มืดมิดจากนั้นจึงใช้มังกรคำรามร้อนตะโกนออกไปว่า
“พอล..นำตัวนักโทษของข้าออกมาได้!”
หลังจากที่สังหารหลวงจีนจากวัดเส้าหลินได้แล้วหลิงหยุนก็ได้สั่งให้พอลไปนำตัวหนึ่งในนักโทษทั้งสองของเขามา ซึ่งก็คือนักบวชเลี่ยยื่อจากเขาหลงหู่นั่นเอง..
เหล่าชาวยุทธต่างเงยหน้าขึ้นมองไปบนท้องฟ้าเช่นเดียวกันและสิ่งที่พวกเขาเห็นก็คือร่างใหญ่ยักษ์สีม่วงทองคล้ายกับเทพแห่งซาตาน กำลังบินลงมาจากท้องฟ้าทางด้านทิศใต้ของหุบเขาหลงเฟิง และเพียงแค่พริบตาเดียวมันก็บินมาถึงลานกว้างกลางหุบเขา
ทันทีที่พอลมาถึงพื้นมันก็ทิ้งร่างที่ไร้แขนขาของนักบวชเลี่ยยื่อลงบนพื้นเสียงดังตุ้บ..
“ห๊ะ!”
“เลี่ยยื่อ!”
ความจริงแทบไม่ต้องรอให้พอลร่อนลงถึงพื้นด้วยซ้ำนักบวชจากเขาหลงหู่ต่างก็มีจิตหยั่งรู้ที่ทรงอานุภาพ พวกเขาเห็นตั้งแต่พอลยังบินอยู่บนท้องฟ้าแล้วว่า นักโทษที่พอลนำตัวมานั้นแท้จริงก็คือน้องชายร่วมสำนักของพวกเขาที่ว่าเลี่ยยื่อนั่นเอง
พลังปราณของนักบวชเลี่ยยื่อได้ถูกหลิงหยุนดูดเข้าไปจนเกือบหมดเวลานี้ขั้นของเขาจึงลดลงเหลือเพียงแค่ด่านกลางขั้นโฮ่วเทียน อีกทั้งยังถูกทรมานมานานกว่าสองเดือน
นักบวชเลี่ยยื่อไม่สามารถดูแลสภาพภายนอกของตนเองได้เพราะถูกตัดแขนขาทิ้งหมด เวลานี้เขาไม่เพียงมีผมเผ้าที่ยาวรุงรัง แต่ผมของเขายังสกปรกจนจับกันเป็นก้อนร่างกายของเขารวมถึงชุดนักบวชก็เปื้อนไปด้วยอุจระของตัวเอง แววตาของเขาเลื่อนลอยไม่รู้แม้กระทั่งว่าตนเองอยู่ที่ไหน หลังจากถูกจับโยนลงกับพื้นยังไม่มีแม้แต่น้ำตาจะร้องไห้
นักบวชเลี่ยหลงนักบวชเลี่ยหู่ และนักบวชคนอื่นๆจากเขาหลงหู่ ต่างก็จ้องมองสภาพที่น่าสยดสยองและน่าสังเวชของนักบวชเลี่ยยื่อด้วยความตกใจ จนลูกตาทั้งสองข้างแทบถลนออกจากเบ้า!
“หลิงหยุน..เจ้ามารชั่วช้า! นี่เจ้ากล้าทำร้ายนักบวชของชางจิงกงจนมีสภาพเช่นนี้เชียวรึ”
นักบวชเลี่ยหลงร้องตะโกนออกมาด้วยความคับแค้นและเดือดดาลอย่างที่สุด เขาขบฟันแน่นและดวงตาทั้งสองข้างก็เริ่มแดงก่ำ!
ไม่เพียงนักบวชเลี่ยหลงเท่านั้นที่คับแค้นใจนักบวชคนอื่นๆก็รู้สึกไม่ต่างกัน..
แต่ถึงกระนั้น..หลิงหยุนก็สังเกตเห็นอย่างชัดเจนว่า มีนักบวชจากเขาหลงหู่สี่คนที่ไม่มีสีหน้าคับแค้นใจเหมือนเช่นคนอื่นๆ และดูเหมือนจะมีความสุขเสียด้วยซ้ำไป!
‘ดูท่านักบวชสี่คนนี้น่าจะเป็นนักบวชฝ่ายเทียนชี่ฝูอย่างที่โม่วู๋เตาเคยเล่าให้ข้าฟังสินะ!ดูผิวเผินนักบวชทั้งสองฝ่ายอาจดูสามัคคีกลมเกลียวกัน แต่แท้จริงแล้วพวกเขากลับขัดแย้งกันอยู่ตลอดเวลา..’
หลิงหยุนเคยสอบถามเรื่องของสำนักเขาหลงหู่จากโม่วู๋เตาซึ่งเป็นศิษย์เหมาซานอีกทั้งเขายังรู้เรื่องราวของนักบวชเต๋าสำนักอื่นๆอีกมากมาย และคำบอกเล่าของโม่วู๋เตาก็เป็นประโยชน์กับหลิงหยุนอย่างมาก
“นี่น่ะหรือนักบวชฝ่ายชางจิงกง”
หลิงหยุนพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย้ยหยันพร้อมกับชี้ไปที่นักบวชเลี่ยยื่อซึ่งนอนกลิ้งเกลือกอยู่บนพื้นแล้วกล่าวต่อทันที
“นักบวชฝ่ายชางจิงกงของพวกเจ้าได้แอบเลี้ยงปีศาจภัยแล้ง และได้นำมันไปที่บ้านของข้าในเมืองจิงฉู อีกทั้งยังร่วมมือกับโอรสพรรคมารซือกงวู่จี๋ ลงมือสังหารคนในบ้านของข้า แต่โชคร้ายที่พวกมันทำไม่สำเร็จ!” “พวกเจ้าช่วยอธิบายให้ข้าฟังทีว่านี่ใช่สิ่งที่นักบวชฝ่ายชางจิงกงควรทำหรือไม่”
หลิงหยุนถามด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นทุ้มเบาแม้หลิงหยุนจะไม่ได้ตะโกนเสียงดัง แต่เขาก็ได้ใช้มังกรคำราม ทำให้คำพูดของเขาทุกคำดังทะลุเข้าไปในแก้วหูของชาวยุทธทุกคนในที่นั้น
เวลานี้ไม่เพียงเหล่าชาวยุทธไม้เลื้อยที่พากันหูผึ่งแม้แต่นักพรตเต๋าจากสำนักอื่นๆที่อยู่ข้างสำนักเขาหลงหู่ ต่างก็พากันยืนไม่ติด และได้แต่หันไปมองนักบวชจากเขาหลงหู่ด้วยสายตาที่บ่งบอกว่าไม่อยากจะเชื่อกับสิ่งที่ได้ยิน
นักบวชฝ่ายชางจิงกงเลี้ยงปีศาจภัยแล้งไว้จริงๆอย่างนั้นหรือ!
เรื่องนี้ทั้งน่าตกใจและน่าหัวเราะเยาะอย่างมาก!
ปีศาจภัยแล้งคือสิ่งใดอย่างนั้นหรือ!
ปีศาจภัยแล้งนั้นแท้ที่จริงแล้วจะเรียกว่าปีศาจก็ไม่ถูกนักเพราะมันคือซากศพที่มีการเปลี่ยนแปลง หากจะเรียกให้ถูกต้องก็ควรจะเรียกว่าราชาผีดิบน่าจะตรงกว่า
ที่สำคัญ..หากปล่อยให้ปีศาจภัยแล้งเติบโตขึ้นมาเรื่อยๆ มันจะเป็นภัยมหันต์ต่อมวลมนุษยชาติเลยทีเดียว!
“เอ่อ..”
เหล่านักบวชฝ่ายชางจิงกงต่างก็คิดไม่ถึงว่าหลิงหยุนจะมาไม้นี้นักบวชเลี่ยหลงและนักบวชคนอื่นๆต่างก็พากันหน้าซีดขาว และท่าทียะโสโอหังเมื่อครู่ก็มลายหายไปทันที!
“ปีศาจภัยแล้ง..ปีศาจภัยแล้งของข้า.. ถูกหลิงหยุนฆ่าตายแล้ว!”
จู่ๆนักบวชเลี่ยยื่อก็ร้องตะโกนออกมาราวกับคนเสียสติเมื่อได้ยินคำว่าปีศาจภัยแล้ง..
และนั่นยิ่งเท่ากับเป็นการตอกย้ำความชั่วช้าของนักบวชฝ่ายชางจิงกง!
��