Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร - บทที่ 1443 แก้แค้น
บทที่ 1443 : แก้แค้น
สภาพของตี๋เสี่ยวเจินเวลานี้ดูช่างน่าสังเวชยิ่งนัก!
นางหาได้เป็นนางพญาผู้สูงศักดิ์แห่งสำนักกระบี่เทียนซานเช่นเดิมอีกแล้วเวลานี้นางกำลังนักคุกเข่าหันหน้าไปทางห้องเซ่นไหว้ดวงวิญญาณของหนิงเทียนหยา ร่างของนางโค้งงอราวกับกุ้ง คอตก ผมเผ้ายุ่งเหยิง ไร้ซึ่งเรี่ยวแรงแม้แต่จะขยับตัว..
ตี๋เสี่ยวเจินยังคงอยู่ในชุดหรูหราอย่างองค์หญิงในพระราชวังซึ่งปักเป็นรูปนางพญาหงส์และมีนกหลากหลายรายรอบ เป็นชุดที่นางใช้สวมใส่ในงานเลี้ยงคืนก่อน แต่เวลานี้ชุดที่สง่างามนั้นกลับเปื้อนไปด้วยโคลนตม และนางกลับกลายเป็นยาจกในชั่วข้ามคืน
อีกทั้งชุดที่หรูหราสง่างามนี้ก็ได้มีรูโหว่ขนาดใหญ่บริเวณหน้าอกซึ่งเกิดจากหมัดที่หลิงหยุนชกเข้าใส่อย่างรุนแรงจากที่พบกันในคราแรก.. ด้านหน้าของนางนั้นมีศรีษะอยู่สามหัวซึ่งเป็นของตี๋เฮ่อหมิงตี๋เฮ่ออี้ และตี๋ชิงโหววางเรียงรายอยู่ เมื่อใดที่ตี๋เสี่ยวเจินลืมตาขึ้นย่อมต้องเห็นศรีษะทั้งสามอย่างแน่นอน
นอกจากนั้นก็ยังมีศรีษะของสาวใช้กับสุนัขเพศผู้ของตี๋เสี่ยวเจินกองรวมกันอีกด้วยและดูเหมือนสายตาทุกคู่ของศรีษะเหล่านั้นต่างก็จับจ้องมาที่นางอย่างเครียดแค้น เพราะทุกคนล้วนต้องจบชีวิตเพราะนางทั้งสิ้น
เวลานี้ตี๋เสี่ยวเจินถูกจี้จุดไว้ทั่วทั้งร่างจึงมิสามารถขยับเขยื้อนร่างกายได้ อีกทั้งซ้ายและขวายังประกบไว้ด้วยชายชุดดำสองคนที่กำลังยืนเอามือไขว้หลังไว้ โดยไม่สนใยดีว่าตี๋เสี่ยวเจินจะเป็นหรือตาย
ทั้งคู่คือนักรบตระกูลฉินซึ่งถูกสั่งให้ทำหน้าที่เฝ้าตี๋เสี่ยวเจินไว้ หาไม่แล้วต่อให้นางกระโดดหน้าผาตาย พวกเขาก็คงมิอยากจะใส่ใจ
หนิงหลิงยู่กระโดดออกมาจากห้องเซ่นไหว้ดวงวิญญาณของหนิงเทียนหยาและไปหยุดอยู่ตรงหน้าของตี๋เสี่ยวเจินทันที สีหน้าและแววตาของหนิงหลิงยู่เวลานี้เปี่ยมไปด้วยรังสีสังหารและอำมหิตยิ่ง
“ตี๋เสี่ยวเจิน..เงยหน้าขึ้นมองดูว่าข้าคือใคร”
ตี๋เสี่ยวเจินมิได้สลบไสลไปจึงรู้ว่าหนิงหลิงยู่มาถึงที่นี่แล้ว นางมิกล้าเงยหน้าขึ้นมองหนิงหลิงยู่ และร่างกายก็เริ่มสั่นสะท้านรุนแรงด้วยความหวาดกลัว
เวลานี้ตี๋เสี่ยวเจินหวาดกลัวและหวาดผวายิ่งนักเมื่อเช้าเย่ซิงเฉินและไป๋เซียนเอ๋อมาพบนางที่นี่ และทั้งคู่ก็ได้ทรมานนางอย่างแสนสาหัส แม้นางจะรีบมอบแต้มหน่วยนภาของสำนักกระบี่เทียนซานให้แล้วก็ตาม แต่ถึงกระนั้นนางมารทั้งสองก็ยังทรมานนางอยู่กว่าหนึ่งชั่วโมง ทำให้นางเจ็บปวดทุกข์ทรมานจนแทบทนต่อไปไม่ได้
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง..เมื่อเย่ซิงเฉินใช้ไม้จิ้มฟันจุ่มธาราแดนใต้จี้เข้าที่ใบหน้าของนางถึงสิบกว่าครั้ง จากนั้นได้นำกระจกมาให้นางส่องดูสภาพที่น่าเกลียดของตนเอง
คืนก่อนนั้นตี๋เสี่ยวเจินเพิ่งจะกลืนโอสถทั้งสองลงไปจนกลายเป็นหญิงสาวที่งดงามแต่เมื่อได้เห็นสภาพของตนเองในเวลานี้ ทำให้จิตใจของนางถึงกับแหลกสลายจนแทบอยากตายในทันที แต่ช่างโชคร้ายยิ่งนัก.. เพราะเวลานี้แม้แต่ความตายยังมิใช่สิ่งที่นางจะสามารถเลือกได้ด้วยตนเอง!
อยู่ก็ทรมานยิ่งนักแต่ก็มิอาจตายได้! ตั้งแต่เมื่อคืนจนกระทั่งถึงเวลานี้ แม้แต่น้ำสักหยดยังมิได้ตกถึงท้องของตี๋เสี่ยวเจินเลยแม้แต่น้อย ทำให้นางได้ลิ้มรสของการอดข้าวอดน้ำได้เป็นอย่างดี..
แม้นางจะมิเคยพบเห็นหนิงหลิงยู่แต่ก็เฝ้ารอนางอยู่ทุกวันทุกคืนตลอดสิบแปดปี ตี๋เสี่ยวเจินเฝ้ารอคอยให้ถึงวันที่หนิงหลิงยู่จะต้องมาอยู่สำนักกระบี่เทียนซานตามสัญญา และเฝ้าครุ่นคิดว่าจะทรมานนางเช่นใดดี และทุกครั้งที่คิดได้นางก็จะหัวเราะออกมาเสียงดังอย่างมีความสุข.. แต่เวลานี้..ไม่เพียงหนิงหลิงยู่ที่กำลังยืนอยู่ตรงหน้าตน แต่ยังมีคนตระกูลหนิง และคนตระกูลฉินอยู่ด้วย ทุกคนต่างก็สาปแช่งนาง ถ่มน้ำลายลดนาง เพื่อระบายความโกรธแค้นที่มีของตน แต่นางกลับไม่กล้าแม้แต่จะปริปาก หรือแม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมองพวกเขาแม้แต่คนเดียว
ในที่สุดตี๋เสี่ยวเจินก็ได้ลิ้มรสความอัปยศความทุกข์ทรมานทั้งกายและใจ ดังเช่นที่หนิงเทียนหยาได้รับมาตลอดสิบแปดปี และดังเช่นที่ฉินจิวยื่อได้รับมาตลอดหกเดือนว่าเป็นเช่นใด
แต่สิ่งที่น่ากลัวที่สุดสำหรับตี๋เสี่ยวเจินก็คือ..นางมิรู้ว่าอีกฝ่ายจะมีวิธีทรมานตนเองเช่นใดอีก
“เจ้าเงยหน้าขึ้น!”หนิงหลิงยู่ร้องตะโกนสั่งตี๋เสี่ยวเจินเสียงดัง..
ก่อนจะกล่าวเย้ยหยันต่อว่า“ตี๋เสี่ยวเจิน เจ้าเฝ้ารอคอยให้ข้ามาที่นี่มิใช่รึ เวลานี้ข้าก็อยู่ตรงหน้าเจ้าแล้วนี่ไงเล่า.. เงยหน้าขึ้นมองข้าเดี๋ยวนี้!”
ตี๋เสี่ยวเจินเวลานี้ถูกสะกัดจุดไว้อีกทั้งยังไร้ซึ่งเรี่ยวแรง มีหรือที่จะสามารถเงยหน้าขึ้นมองหนิงหลิงยู่ได้
“ได้!!”
หนิงหลิงยู่คำรามออกมาด้วยความคั่งแค้นมือเรียวงามของนางยกขึ้นตวัดไปมา และพยายามควบคุมน้ำที่อยู่ในบริเวณใกล้ๆนี้ จากนั้นมวลน้ำกลุ่มหนึ่งก็ลอยผ่านอากาศมาเป็นสาย ก่อนจะล้อมร่างของตี๋เสี่ยวเจินไว้
ทันทีที่มวลน้ำขนาดใหญ่ล้อมร่างของตี๋เสี่ยวเจินไว้นางถึงกับดิ้นรนไปมาเพราะไม่สามารถหายใจได้..
“กับดักธารา..”
ทั้งหมดต่างก็เฝ้าดูการแก้แค้นของหนิงหลิงยู่หลิงหยุนเห็นเช่นนั้นจึงรู้ได้ทันทีว่า หนิงหลิงยู่ได้ใช้กระบวนท่ากับดักธาราจากวิชาคลื่นคงคาของนาง..
จากสิ่งที่หลิงหยุนเห็นเวลานี้กับดักธาราในวิชาคลื่นคงคาของหนิงหลิงยู่นั้น มิได้ด้อยไปกว่ากรงน้ำที่หลงเทียนเฟิงขังเขาไว้เมื่อครั้งที่ประมือกันในทะเลสาบผอหยางเลย..
ภายในจิตหยั่งรู้ของหลิงหยุนเวลานี้เขาเห็นภาพของตี๋เสี่ยวเจินที่กำลังดิ้นทุรนทุรายอยู่ใต้น้ำ ดวงตาเบิกโพลง เพราะขาดอากาศหายใจ และแม้แต่จะหายใจทางปากยังมิอาจทำได้ เพราะหนิงหลิงยู่เป็นผู้ควบคุมมวลน้ำทั้งหมดไว้..
ผ่านไปสิบวินาที..ยี่สิบวินาที.. และสามสิบวินาที..
แต่เมื่อเห็นตี๋เสี่ยวเจินตาเหลือกคล้ายกำลังจะขาดอากาศหายใจตายหนิงหลิงยู่จึงได้บังคับมวลน้ำขนาดใหญ่ให้ลอยอยู่กลางอากาศ
“เฮือก..”
ตี๋เสี่ยวเจินตะเกี่ยกตะกายยืดลำคอขึ้นหายใจเอาอากาศเข้าไปอย่างรวดเร็วในขณะเดียวกันร่างกายของนางก็อ่อนยวบและฟุบลงไปกับพื้นทันที หน้าอกของตี๋เสี่ยวเจินกระเพื่อมอย่างรุนแรงคล้ายกับกำลังหายใจเอาอากาศเข้าไปในปอดอย่างตะกละตะกลาม เสียงลมหายใจของนางดังราวกับเครื่องสูบลม..
แต่ยังไม่ทันไรกระแสน้ำมวลใหญ่ก็พุ่งออกมาและร่วงหล่นใส่ร่างของนางจนเปียกปอนราวกับลูกหมาตกน้ำ..
แค๊กๆๆๆ
ตี๋เสี่ยวเจินที่กำลังหายใจเอาอากาศเข้าไปปอดอยู่นั้นถึงกับสำลักน้ำที่รดใส่ศรีษะของตน และไอออกมาอย่างรุนแรงจนต้องนอนขดเป็นกุ้งอยู่เช่นนั้น
หนิงหลิงยู่เดินตรงเข้ายังร่างของตี๋เสี่ยวเจินและค่อยๆย่อตัวลงตรงหน้านาง หนิงหลิงยู่จ้องมองสภาพที่น่าสังเวชของตี๋เสี่ยวเจิน และใบหน้าที่มีจุดด่างดำนับสิบจุด พร้อมกับกระซิบเสียงเบา
“ตี๋เสี่ยวเจิน..ข้าไม่มีสิ่งใดจะต้องกล่าวกับเจ้าอีกแล้ว แต่นับจากนี้ไปจนกว่าจะถึงวันที่ฝังร่างของท่านพ่อ เจ้าจะไม่มีทางได้อยู่อย่างไร้ความทุกข์ทรมานเลยแม้แต่วินาทีเดียว!”
“ได้เวลาที่เจ้าต้องชดใช้กรรมที่ก่อแล้ว!”
จากนั้น..หนิงหลิงยู่ก็ลุกขึ้นยืน และมือเรียวงามของนางก็เริ่มเคลื่อนไหวอีกครั้ง กระบี่ธารายาวกว่าสองฟุตทั้งหกเล่มกำลังพุ่งตรงเข้ามา ก่อนจะปักเข้าที่น่อง ต้นขา และแขนทั้งสองข้างของตี๋เสี่ยวเจิน ตรึงร่างของนางไว้กับพื้นเช่นนั้น!
“อ๊าก!!!”
เสียงกรีดร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดของตี๋เสี่ยวเจินดังลั่นไปทั่วทั้งบริเวณ..
……
ทุกคนที่ยืนมองเหตุการณ์อยู่ได้แต่นิ่งเงียบ หลายคนจ้องมองหนิงหลิงยู่ด้วยความหวาดผวา..
ทุกคนหาได้ตกใจกลัวกับกระบี่ธาราทั้งหกเล่มที่ปักอยู่บนร่างของตี๋เสี่ยวเจินแต่ทุกคนกำลังตกตะลึงกับความแข็งแกร่งในการควบคุมน้ำของหนิงหลิงยู่ต่างหาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับดักธารา..
นั่นเพราะผู้ที่ตกอยู่ในกับดักธารานอกจากต้องเผชิญกับความมืดมิดของน้ำแล้ว ยังต้องทนกับแรงบีบที่ทำให้มิสามารถหายใจได้อีกด้วย..
ฉินชุนเฟิง“…”
หนิงป๋อผิง“…”
แต่เย่ซิงเฉินกลับมิมีท่าทีตกใจแม้แต่น้อยนางกระซิบถามหลิงหยุนซึ่งอยู่ข้างๆทันที “น้องสาวของเจ้าเคยสังหารผู้ใดมาบ้างหรือไม่”
หลิงหยุนส่ายหน้า“ไม่เคย! แต่ในคืนที่เกิดแสงสว่างทั่วทั้งจิงฉูนั้น นางได้เคยช่วยข้าจัดการกับปีศาจภัยแล้ง..”
“แต่ข้าเองก็หารู้ไม่ว่าหนิงหลิงยู่รู้จักใช้น้ำทรมานผู้คนเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อใด”
“ถ้าเช่นนั้นคงจะอธิบายได้เพียงอย่างเดียวเท่านั้น..อยู่ใกล้หมึกก็ดำเช่นหมึก..” เย่ซิงเฉินกระซิบกระซาบกับหลิงหยุน
“ใช่ที่ไหนกันเล่า..ต้องบอกว่าสิ่งแวดล้อมต่างหากที่เปลี่ยนแปลงนาง!” หลิงหยุนตอบโต้กลับทันที
หนิงหลิงยู่จ้องมองตี๋เสี่ยวเจินพร้อมกับกล่าวเสียงเย็นชา“ตี๋เสี่ยวเจิน กระบี่ธาราทั้งหกเล่มนี้ในไม่ช้าก็จะกลายเป็นน้ำปิดกั้นบาดแผลของเจ้าไว้เช่นนี้ โลหิตในกายของเจ้าจะไม่สามารถไหลออกมาได้ และจะทำให้เจ้าเจ็บปวดอย่างที่สุด แต่ก็มิทำให้เจ้าตายได้เช่นกัน..”
“คืนนี้..เจ้าจะต้องนอนอยู่ที่นี่ในสภาพเช่นนี้ เจ้าเบิกตามองให้ดี เผื่อสวรรค์จะเมตตาเจ้าบ้าง!”
หลังจากนั้น..เสียงของฉินชุนเฟิงก็ดังขึ้น “หลิงยู่.. นี่เจ้า!!”
แต่แล้วก็รีบเปลี่ยนเป็นพยักหน้าและพูดขึ้นว่า“เยี่ยมๆๆ หลิงยู่.. ได้เห็นเจ้าจัดการกับหญิงแพศยาเช่นนี้ นับว่าสมกับที่นางได้ก่อกรรมไว้จริงๆ!” “หลิงยู่ปล่อยนางแพศยาไว้เช่นนั้นก่อน มานี่เร็วเข้า.. ลุงจะแนะนำให้เจ้ารู้จักกับทุกคน!”
จากนั้นฉินชุนเฟิงก็เริ่มแนะนำหนิงหลิงยู่ให้รู้จักกับทุกๆคนเช่นเดียวกับที่แนะนำกับหลิงหยุนรู้จัก
“น้าหญิงข้ามัวแต่ยุ่งอยู่กับการกราบไหว้ดวงวิญญาณท่านพ่อ จึงไม่ได้เข้าไปทักทายท่าน ท่านอย่าได้ตำหนิข้าเลยนะ!”
จากนั้นหนิงหลิงยู่ก็ตรงเข้าไปหาฉินตงเฉวี่ยพร้อมกับกอดแขนนางไว้แน่น..
“ข้าจะตำหนิเจ้าได้อย่างไรกันเล่า”
ฉินตงเฉวี่ยลูบแผ่นหลังหนิงหลิงยู่เบาๆพร้อมกับเอ่ยออกมา“มาเร็วหลิงยู่.. ข้าจะพาเจ้าไปรู้จักคนผู้หนึ่ง!”
จากนั้นฉินตงเฉวี่ยก็จูงมือหนิงหลิงยู่ไปหาเย่ซิงเฉินทันที..