Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร - บทที่ 1452 เคลื่อนย้ายศพ
บทที่ 1452 : เคลื่อนย้ายศพ
ขึ้นชื่อว่าเป็นของวิเศษนั้นหากยังมิได้ผ่านการลบร่องลอยของเจ้าของเดิมออกไป แม้ว่าเจ้าของเดิมจะเสียชีวิตไปแล้ว มันก็จะยังคงจดจำได้
หากต้องการเปลี่ยนของวิเศษนั้นให้เป็นของตนจะต้องทำการลบร่องลอยของเจ้าของเดิมออกเสียก่อน เช่นนั้นแล้วก็ยากที่จะใช้งานมันได้
และนี่คือสิ่งที่หลิงหยุนกำลังทำอยู่ในเวลานี้..
เพียงแต่เวลานี้ขั้นพลังของเขายังไม่เพียงพอที่จะหลอมของวิเศษทั้งหมดพร้อมกันในคราวเดียวจึงต้องค่อยๆหลอมใหม่ทีละชิ้นๆ จึงค่อนข้างกินเวลามาก
อีกทั้งนับตั้งแต่งานชุมนุมชาวยุทธในคืนนั้นหลิงหยุนก็ได้ของวิเศษมามากมาย รวมทั้งที่ได้จากสำนักกระบี่เทียนซานอีก จึงมีของวิเศษรอให้หลิงหยุนทำการหลอมอย่างมากมาย และเขายังต้องหลอมทีละชิ้นๆอีกด้วย จึงกินเวลาค่อนข้างมาก
และยิ่งเป็นของวิเศษที่อยู่ในระดับสูงมากเพียงใดการหลอมก็ยิ่งยากมากขึ้นเท่านั้น และต้องใช้ทั้งความพยายามและเวลาที่มากขึ้นตามไปด้วย
แต่นับว่าโชคดีที่หลิงหยุนเป็นคนที่มีความอดทนค่อนข้างสูงมากเขาหาใช่มีเพียงแค่ความอดทนสูง แต่ยังเป็นผู้ที่มีสมาธิจดจ่ออยู่กับสิ่งที่ตนเองทำอย่างมากด้วย
ในไม่ช้า..ก็ผ่านไปอีกสองวันสองคืน
หลิงหยุนใช้เวลาในการหลอมยุทธภัณฑ์ประเภทต่างๆไปถึงสี่วันเต็มๆ
และสิ่งที่อยู่ในมือเขาเวลานี้ก็คือกระบี่เหินสีแดงของตี๋เฮ่ออี้และสำหรับผู้ที่อยู่ในขั้นก่อสร้างรากฐานเช่นตี๋เฮ่ออี้ มีหรือที่จะใช้อาวุธระดับต่ำได้..
ในบรรดาของวิเศษทั้งหมดที่หลิงหยุนได้มานั้นแม้แต่ธงวายุของคุนหลุน ยังนับว่าด้อยกว่ากระบี่เหินสีแดงของตี๋เฮ่ออี้ หลิงหยุนจึงตั้งใจเก็บไว้หลอมเป็นชิ้นสุดท้าย
“ได้โปรดอภัยให้ข้าด้วยเถิด..”
กระบี่สีแดงในมือของหลิงหยุนเวลานี้กำลังสั่นสะท้านอย่างรุนแรง กระบี่เหินเล่มนี้คือของวิเศษระดับวิญญาณ มันจึงสามารถสื่อสารกับหลิงหยุนได้ และเวลานี้มันก็กำลังอ้อนวอนหลิงหยุน..
“ข้ารู้ว่าเจ้ามีวิญญาณที่จะรับรู้ได้แต่น่าเสียดายที่มันยังอ่อนแอเกินไป ข้าจะทำการลบวิญญาณรับรู้เดิมของเจ้า และหลอมใหม่ให้กลายเป็นของวิเศษที่ล้ำเลิศ และเปล่งประกายยิ่งกว่าเดิมเลยทีเดียว”
หลิงหยุนไม่เสียเวลาอีกต่อไปหลังจากที่สื่อสารกับวิญญาณกระบี่แล้ว เขาก็พ่นการพ่นเปลวไฟห้าธาตุหยิน–หยางออกจากปากทันที แล้วจึงเริ่มทำการหลอมกระบี่เหินสีแดง..
เวลาผ่านไปราวห้าชั่วโมง..ในที่สุดหลิงหยุนก็สามารถหลอมกระบี่เหินสีแดงได้สำเร็จ! “เอาล่ะ..ในที่สุดก็สำเร็จจนได้!”
หลิงหยุนจึงลุกขึ้นยืนและเริ่มร่ายรำเพลงหมัดปีศาจเถียนกัง ฝึกวิชาฝ่ามือสวรรค์ เพื่อเป็นการเคลื่อนไหว และยืดคลายกล้ามเนื้อหลังจากที่นั่งนิ่งมานาน
หลังจากยืดเส้นยืดสายพอควรแล้วหลิงหยุนจึงนั่งลงขัดสมาธิตามเดิมอีกครั้ง ก่อนจะหลับตานิ่ง และเริ่มเดินวิชาพลังลับหยิน–หยางต่ออีกสี่ชั่วโมง
จนกระทั่งเข้าสู่เวลาสองทุ่มตรงหลิงหยุนจึงได้หยุดฝึกฝนวิชา และค่อยๆเปิดเปลือกตาขึ้นพร้อมกับร้องตะโกนออกไป
“เซียนเอ๋อ..ข้าต้องการความช่วยเหลือจากเจ้าอีกครั้ง”
ตลอดเวลาสามวันเต็มๆนั้นหลิงหยุนใช้เวลาไปกับการหลอมของวิเศษทั้งหลายของตน และเวลานี้เขาก็พร้อมที่จะเริ่มทำการหลอมอาวุธของคนอื่นๆต่อ
เริ่มจากการหลอมดาบคู่มารสะบั้นเทวะของเย่ซิงเฉิน..
หลิงหยุนทำการเผาเสินหยวนอีกครั้งกระบวนการหลอมดาบคู่มารสะบั้นเทวะของเย่ซิงเฉินนั้น ก็หาได้ต่างจากการหลอมกระบี่เหินเงาธนูของตนเองไม่
ผ่านไปครู่ใหญ่..ในที่สุดดาบคู่ของเย่ซิงเฉินก็มีปราณกระบี่อัดแน่นอยู่เต็มไปหมด และเวลานี้ก็ได้ดาบคู่มารสะบั้นเทวะที่ล้ำเลิศกว่าเดิมมาก
“เป็นโลหะชนิดเดียวกับดาบคู่กั้นเจียงมั่วเย่หลังจากหลอมใหม่แล้วก็ได้กลายเป็นอาวุธระดับสมบัติขั้นสูงสุดเลยทีเดียว..”
หลิงหยุนพึมพำออกมาและพึงพอใจกับผลงานชิ้นเอกของตนเองยิ่งนัก!
จากนั้นหลิงหยุนจึงได้เริ่มหลอมอาวุธให้กับฉินตงเฉวี่ยตี้เสี่ยวอู๋ หวังชงเซียว และคนอื่นๆ ตามที่ทุกคนต้องการ
จนกระทั่งเวลาล่วงเลยไปอีกหนึ่งวันหนึ่งคืนหลิงหยุนก็ได้หลอมอาวุธให้กับทุกคนจนเสร็จ มิใช่เพียงแค่ผู้คนที่อยู่ที่นี่เท่านั้น แต่ยังหลอมให้กับหลิงหลี่ หลิงเสี่ยว เกาเฉินเฉิน เฉิงเม่ยเฟิง และอีกหลายๆคน ผู้ใดที่เข้าสู่ขั้นซานเฉิงชี่ (ขั้นพลังชี่-3) ย่อมต้องได้อาวุธที่เขาหลอมอย่างแน่นอน
แต่เป็นเพราะข้อจำกัดในเรื่องโลหะอาวุธที่หลิงหยุนหลอมให้กับทุกคน จึงเป็นเพียงอาวุธในระดับวิญญาณขั้นสูงสุดเท่านั้น หาใช่อาวุธระดับสมบัติไม่..
หลิงหยุนยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจก่อนจะหันไปถามไป๋เซียนเอ๋อว่า “เซียนเอ๋อ.. บอกข้ามาว่าเจ้าอยากได้อาวุธเช่นใด”
ไป๋เซียนเอ๋อส่าหน้าไปมาอย่างเขินอายพร้อมกับตอบไปว่า“พี่หลิงหยุน ท่านเหนื่อยมาห้าวันเต็มๆแล้ว ข้าไม่อยากได้สิ่งใด ท่านหยุดพักเถิด..”
“ข้ามิได้รู้สึกเหน็ดเหนื่อยเลย..”
หลิงหยุนส่ายหน้าพร้อมกล่าวต่อด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม“เจ้าเองก็อยู่ช่วยงานข้ามาตลอดห้าวัน ข้าคงไม่อาจปล่อยให้เจ้าเสียแรงโดยมิได้รับสิ่งตอบแทนเช่นนี้แน่ อย่างน้อยก็ต้องหลอมอาวุธให้กับเจ้าสักอย่าง”
เมื่อเห็นหลิงหยุนคะยั้นคะยอเช่นนั้นไป๋เซียนเอ๋อจึงทำสีหน้าท่าทางครุ่นคิดอย่างเป็นจริงเป็นจัง ในที่สุดก็ตอบไปว่า..
“ข้าอยากได้กระบี่เหินเหมือนเช่นของพี่หลิงหยุน!”
“ตกลง!”
หลิงหยุนรับปากทันทีพร้อมกับเรียกกระบี่เหินสีแดงที่เวลานี้ไม่มีเจ้าของ ออกมาเพื่อมอบให้กับไป๋เซียนเอ๋อ
หลังทั้งคู่จึงได้ร่วมแรงร่วมใจกันหลอมกระบี่เหินนี้อีกครั้งจนกลายเป็นกระบี่เหินเล่มใหม่ที่อยู่ในระดับสมบัติขั้นสูงสุด..
“เอาล่ะเซียนเอ๋อ..เจ้าหยดโลหิตของตนลงไป!”
หลิงหยุนสั่งให้ไป๋เซียนเอ๋อหยดเลือดแสดงความเป็นเจ้านายของกระบี่นี้ทันที..
หลังจากไป๋เซียนเอ๋อหยดโลหิตลงไปเรียบร้อยแล้วหลิงหยุนจึงบอกกับหน้าว่า “เซียนเอ๋อ ในวันข้างหน้าหากเจ้าเผชิญหน้ากับยอดฝีมือด่านกลางขั้นก่อสร้างรากฐานแล้วล่ะก็ มิต้องหวาดกลัวพวกมัน จงใช้กระบี่เหินเล่มนี้จัดการกับพวกมันหากไม่สามารถสังหารพวกมันได้ อย่างน้อยก็ทำให้พวกมันต้องหนีไปได้แน่..”
“ขอบคุณพี่หลิงหยุน!”
ไป๋เซียนเอ๋อเอ่ยขอบคุณหลิงหยุนด้วยสีหน้าตื่นเต้นดีใจและเริ่มหัดควบคุมกระบี่เหินทันที!
หลิงหยุนเก็บตัวหลอมอาวุธต่างๆอยู่นานถึงห้าวันเต็มๆและในวันนี้ซึ่งตรงกับวันที่ 22 ตุลาคมนั้น ก็เป็นวันที่หลิงหยุนหลอมอาวุธทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยตามที่ตั้งใจ
แต่เขาก็ยังไม่รีบร้อนจะออกไปนักเพราะหลังจากที่เก็บตัวหลอมอาวุธอย่างเอาเป็นเอาตาย หลิงหยุนก็ได้ใช้เสินหยวนไปอย่างสิ้นเปลือง เขาจึงต้องการอยู่กลั่นเสินหยวนเพิ่มเข้าไปก่อน.. ไป๋เซียนเอ๋อก็เช่นกันหลังจากที่ช่วยหลิงหยุนหลอมอาวุธเสร็จแล้ว นางเองก็เหนื่อยล้ามากเช่นกัน
ฉะนั้น..ทั้งสองคนจึงใช้เวลาที่เหลือนี้ฝึกฝนวิชาอย่างจริงจัง ทั้งคู่นั่งขัดสมาธิ และอยู่กับจิตใจที่สงบนิ่งของตนต่ออีกตลอดทั้งคืน
จนกระทั่งเข้าสู่เวลาหกโมงเช้าของวันที่3 ตุลาคม หลิงหยุนจึงลืมตาขึ้น และความเหนื่อยล้าต่างๆก็ได้มลายหายไปในทันที
หลิงหยุนใช้วิชาล่องหนแล้วเหาะออกจากค่ายกลวราหกขึ้นไปบนท้องฟ้าสูงกว่าสองหมื่นเมตร จากนั้นจึงเริ่มฝึกวิชาดาราคุ้มกายต่อทันที
สามชั่วโมงต่อมา..หลังจากฝึกฝนวิชาเสร็จ หลิงหยุนจึงเหาะกลับไปยังยอดเขาปฐพีเช่นเดิม
“เห็นทีจะต้องทำลายค่ายกลทิ้งเสียที!”
ที่หลิงหยุนซ่อมแซมค่ายกลครั้งนี้ก็เพียงเพื่อต้องการปราณกระบี่มาใช้ในการหลอมอาวุธของตนเองเท่านั้น ในเมื่อเสร็จแล้วก็ไม่จำเป็นต้องใช้อีก
ตูม!ครืน..
เสียงขุนเขาทั้งสามสั่นสะเทือนอีกครั้งเมื่อหลิงหยุนทำการดึงกระบี่ใหญ่สีเขียวเข้มนั้นออกมา และนำเข้าไปเก็บไว้ในแหวนจักรวาลดังเดิม
จากนั้นจึงจัดการถอนค่ายกลวราหกแล้วหมอกสีขาวที่ปกคลุมยอดเขาปฐพีอยู่หกวันหกคืนก็อันตธานหายไปในทันที
“เซียนเอ๋อ..เจ้าไปหาพี่ซิงเฉิน เล่าเรื่องการหลอมอาวุธในครั้งนี้ให้กับนางฟัง” หลิงหยุนที่กำลังอาบแสงสุริยันต์ร้องสั่งไป๋เซียนเอ๋อ
ไป๋เซียนเอ๋อพยักหน้าแล้วเหาะออกไปในทันที ส่วนหลิงหยุนที่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็ได้เหาะตรงไปหาฉินจิวยื่อที่ยอดเขาเทียนเฟิง
หลิงหยุนเปิดจิตหยั่งรู้ของตนออกสำรวจไปยังหน้าผาบนยอดเขาเทียนเฟิงและพบว่าฉินจิวยื่อกับหนิงหลิงยู่ยังคงอยู่ที่นั่นเช่นเคย แต่มิได้อยู่ในห้องเซ่นไหว้ดวงวิญญาณ ทั้งคู่กำลังนั่งอยู่บนหินข้างๆห้องเซ่นไหว้
นอกเหนือจากทั้งสองคนแล้วก็ยังมีฉินตงเฉวี่ย ฉินชุนเฟิง และหนิงป๋อผิง ดูเหมือนทั้งหมดมารวมตัวกันที่นี่เพื่อปรึกษาหารืออะไรกันสักอย่าง
วันนี้เป็นวันที่เจ็ดที่ฉินตงเฉวี่ยจะเซ่นไหว้ดวงวิญญาณของหนิงเทียนหยาและที่ทุกคนมารวมกันที่นี่ก็เพื่อปรึกษาหารือเรื่องการฝังร่างของหนิงเทียนหยานั่นเอง
ภายในห้องเซ่นไหว้มีโลงศพตั้งไว้อย่างเรียบร้อยและร่างของหนิงเทียนหยาก็ได้ถูกนำไปวางไว้เรียบร้อยแล้ว
ด้านนอกของห้องเซ่นไหว้นั้นที่ขอบหน้าผามีร่างของตี๋เสี่ยวเจินซึ่งถูกทรมานจนไม่เป็นผู้เป็นคนถูกทิ้งไว้ ตามเนื้อตัวของนางมีเศษดินเศษโคลนผสมกับคราบเลือดของตนเองอยู่เต็มไปหมด และดูเหมือนว่ากำลังจะแข็งตาย..
“สาสมกับความโหดร้ายของนางแล้ว!”
หลิงหยุนคร้านที่จะสนใจตี๋เสี่ยวเจินอีกจากนั้นจึงค่อยๆก้าวเดินไปยังห้องเซ่นไหว้
“ท่านแม่!”
“หลิงหยุน..เจ้าออกมาแล้วรึ”
เมื่อเห็นหลิงหยุนเดินตรงเข้ามาหาฉินจิวยื่อทุกคนในที่นั้นต่างก็พากันลุกขึ้นยืน และกล่าวทักทายเขาทันที
“หลิงหยุนพวกเรากำลังปรึษาหารือกันเรื่องการฝังท่านลุงหนิงอยู่พอดี”
ฉินชุนเฟิงอธิบายต่อจากคำพูดของฉินจิวยื่อ“แม่ของเจ้าต้องการให้นำร่างของท่านลุงหนิงกลับไปที่ตระกูล เพื่อให้คนในตระกูลหนิงได้เห็นหน้าเขาเป็นครั้งสุดท้าย!”
“เรื่องของท่านลุงหนิงเป็นเรื่องที่ท่านแม่ต้องตัดสินใจเอง ท่านแม่เห็นชอบเช่นใด ก็ต้องทำตามนั้น!”
หลิงหยุนเอ่ยตอบฉินชุนเฟิงแล้วจึงหันไปพูดกับฉินจิวยื่อว่า“ท่านแม่ ท่านจะเดินทางไปตระกูลหนิงกับพวกเขาหรือไม่”
หลิงหยุนกังวงเรื่องนี้มากกว่าเพราะหากฉินจิวยื่อจะตามไปที่ตระกูลหนิง หลิงหยุนย่อมต้องติดตามไปด้วยอย่างแน่นอน
“ข้าไม่ไป!”
ฉินจิวยื่อส่ายหน้าพร้อมกับพูดขึ้นว่า“มิใช่เรื่องเหมาะสม..”
จากนั้นฉินจิวยื่อจึงหันไปมองหนิงหลิงยู่พร้อมกับเอ่ยขึ้นว่า“แต่หนิงหลิงยู่เป็นลูกสาว จำเป็นต้องไปฝังศพพ่อของตนเองเป็นครั้งสุดท้าย!”
“อ่อ..”
ในระหว่างที่หลิงหยุนกำลังลังเลอยู่ว่าจะตามหนิงหลิงยู่ไปดีหรือไม่นั้นฉินจิวยื่อก็เอ่ยขึ้นมาก่อนว่า
“หลิงหยุน..เจ้าไม่จำเป็นต้องตามไป หลิงยู่กลับไปตระกูลหลิง ที่นั่นล้วนแล้วแต่เป็นญาติพี่น้องของนาง เจ้ามิจำเป็นต้องห่วงเรื่องความปลอดภัยของนาง!”
“น้อมรับคำสั่งท่านแม่!”
หลิงหยุนรู้ดีว่าเรื่องทั้งหมดนั้นฉินจิวยื่อได้ตัดสินใจไว้แล้ว เขาจึงไม่ต้องการที่จะเอ่ยกล่าวอันใดมาก
เช้านี้..ทุกคนจึงเริ่มวุ่นวายโดยเฉพาะอย่างยิ่งคนตระกูลหนิง ที่ต้องทำการปิดโลงศพ และรอคอยที่จะนำร่างไร้วิญญาณของหนิงเทียนหยากลับไปตระกูลหนิงในช่วงบ่าย
หลังจากรับประทานอาหารเที่ยงกันแล้วในเวลาบ่ายสองโมงตรง คนตระกูลหนิงต่างก็ช่วยกันนำโลงศพที่บรรจุร่างของหนิงเทียนหยาออกจากห้องเซ่นไหว้
“ตี๋เสี่ยวเจิน..ข้าจะส่งเจ้าไปลงนรก เพื่อให้ดวงวิญญาณของพ่อข้าได้ขึ้นสู่สรวงสวรรค์อย่างสงบ!”
หนิงหลิงยู่ที่ยืนอยู่หน้าโลงศพของหนิงเทียนหยาเอ่ยขึ้น..
จากนั้น..ศรีษะของตี๋เสี่ยวเจินก็ร่วงหล่นลงกับพื้นทันที!
ตี๋เสี่ยวเจินถูกทรมานอย่างแสนสาหัสมานานถึงเจ็ดวันเต็มๆในที่สุดก็ถูกหนิงหลิงยู่สังหารตาย เป็นการล้างแค้นให้กับตระกูลฉินและตระกูลหนิง!
ก่อนที่จะออกเดินทางนั้นหนิงป๋อผิงได้เอ่ยกับหลิงหยุนว่า
“หลิงหยุน..ตระกูลหนิงของข้าคิดไม่ถึงจริงๆว่า จะมีวันที่ได้ล้างแค้นคนตระกูลตี๋เช่นนี้ ตระกูลหนิงเป็นหนี้บุญคุณเจ้ามากนัก วันหน้าหากมีสิ่งใดให้ตระกูลหนิงได้ตอบแทน พวกเรายินดีบุกน้ำลุยไฟอย่างไม่นึกหวั่น!”
หลิงหยุนรีบตอบกลับทันที“ท่านปู่หนิง.. เรื่องนี้เป็นสิ่งที่คนรุ่นหลังจักต้องทำ ฉะนั้นแล้ว อย่าได้เอ่ยถึงเรื่องบุณคุณอีก!”