Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร - บทที่ 1460 งานเลี้ยงขอบคุณ
บทที่ 1460 : งานเลี้ยงขอบคุณ
เมื่อตี้เสี่ยวอู๋ได้ยินคำตอบของหลิงหยุนเขาถึงกับเอ่ยถามออกมาด้วยเพื่อย้ำให้มั่นใจ “พี่หยุน.. พี่.. มั่นใจหรือไม่”
หลิงหยุนส่ายหน้าพร้อมกับตอบยิ้มๆ“แม้ข้าจะมิมั่นใจเต็มร้อย แต่คงจะไม่ผิดไปจากนี้มากนัก เว้นเสียแต่ว่าจะมีเหตุการณ์อื่นเกิดขึ้น..”
“เจ้านักพรตน้อยโม่วู๋เตาผู้นี้ถูกสวรรค์ลงโทษทำให้วิญญาณของเขาต้องหลุดออกจากร่าง หากมิกลับมาได้ภายในเจ็ดวัน เช่นนั้นก็คงต้องเป็นสี่สิบเก้าวัน!”
“แม้เรื่องนี้อาจดูลึกลับซับซ้อนแต่สรุปง่ายๆก็คือเขากำลังรับโทษจากสวรรค์ และระยะขอบเขตของการลงโทษก็ไม่น่าจะเกินกว่านี้!”
หลิงหยุนอธิบายให้ตี้เสี่ยวอู๋ฟังอย่างละเอียดเพื่อให้เขาสามารถสงบจิตสงบใจ และคลายความกังวลลงได้.. ตี้เสี่ยวอู๋ยังคงถามต่อ“พี่หยุน.. ถ้าเช่นนั้นจากนี้พวกเราควรทำเช่นใด จะต้องอยู่ที่นี่ต่อไปอีกสี่สิบเก้าวันงั้นรึ?”
หลิงหยุนชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะหันไปจ้องหน้าตี้เสี่ยวอู๋พร้อมกับตอบไปว่า “ถูกต้องแล้ว.. จะต้องอยู่ที่นี่ต่ออีกสี่สิบกว่าวัน แต่ผู้ที่จะอยู่คือเจ้าต่างหาก หาใช่ข้าไม่..”
“ข้ารึ!”
ตี้เสี่ยวอู๋ตอบกลับด้วยสีหน้างุนงง
แม้ตี้เสี่ยวอู๋จะเป็นห่วงและกลัวว่าโม่วู๋เตาจะไม่ฟื้นขึ้นมาแต่หลังจากที่ได้รับการยืนยันจากหลิงหยุนแล้วว่า จะไม่มีปัญหาใหญ่โตเกิดกับโม่วู๋เตาเป็นแน่ แต่หลิงหยุนกลับให้เขาอยู่เฝ้าโม่วู๋เตาที่นี่นานนับเดือน แล้วเขาจะทนได้อย่างไรกันเล่า
หลิงหยุนจ้องมองตี้เสี่ยวอู๋พร้อมกับยิ้มล้อเลียนก่อนจะถามต่อว่า “หรือเจ้ามิอยากอยู่เฝ้านักพรตน้อยงั้นรึ”
ตี้เสี่ยวอู๋ทำสีหน้ากระวนกระวายใจ“พี่หยุน.. ข้ามิได้หมายความเช่นนั้น หาไม่แล้วข้าคงไม่ยอมทิ้งการฝึกฝนเพื่อมาเฝ้าเขาเช่นนี้แน่ เพียงแต่.. ข้าอยากติดตามพี่ไปตามที่ต่างๆ”
หลิงหยุนหัวเราะเสียงดังพร้อมกับตอบไปว่า“ไม่จำเป็นที่เจ้าจะต้องติดตามข้า ข้อแรก.. ช่วงเวลานี้จะเป็นช่วงเวลาแห่งความสงบ ตราดใดที่พวกเรามิได้ไปรุกรานข่มเหงผู้อื่น ย่อมมิมีผู้ใดกล้าสร้างปัญหาให้กับพวกเราก่อนเป็นแน่..”
“งานใหญ่ต่อจากนี้คือการไปช่วยท่านแม่ของข้าที่พรรคมารก่อนจะถึงวันนั้น เจ้าเพียงแค่หมั่นฝึนวิชาของตนก็พอ..”
“การที่ข้าให้เจ้าอยู่เฝ้าโม่วู๋เตานั้นไม่จำเป็นที่เจ้าจะต้องหมกตัวอยู่แต่ในห้องนี้ เจ้าสามารถออกไปฝึกฝนวิชาของตนเองได้ตามปกติ และเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น ก็ให้รีบรายงานข้ารู้ทันที..”
หลิงหยุนยกมือขึ้นตบบ่าตี้เสี่ยวอู๋จากนั้นจึงยกมือขึ้นชี้ไปทางทิศใต้พร้อมกับเอ่ยว่า “ด้านใต้คือเทือกเขาชิงหลิงซึ่งนับเป็นเส้นเลือดมังกรที่สำคัญยิ่ง เวลานี้เจ้ากำลังฝึกวิชามังกรทองคะนอง สถานที่ซึ่งอุดมด้วยปราณมังกรเช่นนั้น ย่อมเหมาะอย่างยิ่งต่อการฝึกวิชาของเจ้า”
จากนั้นหลิงหยุนก็หันหน้าไปทางทิศเหนือพร้อมกับเอ่ยต่อ “จากตรงนี้ไปจนจรดทิศเหนือ ตรงกลางคือที่ราบสูงดินเหลือง ที่นั่นเป็นที่ซึ่งมีพลังชีวิตธาตุดินสมบูรณ์กว่าที่ใดๆ ฉะนั้น จึงเหมาะอย่างยิ่งที่เจ้าจะใช้ฝึกวิชาใต้ปฐพี”
ตี้เสี่ยวอู๋ได้ฟังเช่นนั้นถึงกับตาโตเป็นประกายขึ้นมาทันที..
หลิงหยุนยิ้มเล็กน้อยพร้อมกับเอ่ยต่อว่า“ในเมื่อที่นี่เป็นสถานที่ฝึกวิชาชั้นเยี่ยม คงน่าเสียดายยิ่งหากเจ้าจะทิ้งไปเช่นนี้ แต่ไม่เป็นไร.. หากเจ้าต้องการติดตามข้า ข้าก็จะให้แวมไพร์ทั้งห้าอยู่เฝ้าโม่วู๋เตาที่ตระกูลฉินแทนเจ้าเอง..”
ตี้เสี่ยวอู๋เกรงว่าหลิงหยุนจะเปลี่ยนใจจริงๆจึงรีบเอ่ยขึ้นอย่างรวดเร็ว “พี่หยุน.. ข้าจะเชื่อฟังพี่อยู่คุ้มครองโม่วู๋เตาที่นี่เอง!”
หลิงหยุนแสร้งทำเป็นถามต่อ“นี่เจ้าจะไม่ตามข้าไปจริงๆงั้นรึ”
ตี้เสี่ยวอู๋ยกมือขึ้นเกาศรีษะพร้อมกับส่ายหัวไปมา“ไม่ดีกว่า..”
หลิงหยุนฉีกยิ้มและเอ่ยตอบว่า“เสี่ยวอู๋.. การที่ข้าให้เจ้าอยู่ที่นี่ หาใช้เพียงแค่ต้องการให้เจ้าคอยคุ้มครองโม่วู๋เตาเท่านั้น แต่ยังต้องการให้เจ้าคอยปกป้องดูแลตระกูลฉินแทนข้าด้วย หากมีผู้ใดเลอะเลือนกล้าทำตัวเป็นปฏิปักษ์กับตระกูลฉิน เจ้ารู้ดีว่าควรต้องทำเช่นใดใช่หรือไม่”
มิมีผู้ใดรู้จักตี้เสี่ยวอู๋ดีไปกว่าหลิงหยุนเวลานี้เขาผ่านการรับทัณฑ์สวรรค์มาแล้ว ร่างกายจึงนับว่าได้ผ่านการปรับสภาพครั้งใหญ่ กายเนื้อจึงแข็งแกร่งยิ่งไม่แพ้หลิงหยุน และสามารถรับมือกับยอดฝีมือระดับสูงสุดขั้นจิ่วเฉิงชี่ (ขั้นพลังชี่-9) ที่ปราศจากอาวุธได้ อีกทั้งวิชามังกรทองคะนอง วิชาใต้ปฐพี และขวานยักษ์ซึ่งเป็นอาวุธระดับวิญญาณขั้นสูงด้วยสามสิ่งนี้ หลิงหยุนเชื่อว่าตี้เสี่ยวอู๋จะสามารถปกป้องตระกูลฉินมิให้เกิดโศกนาฏกรรมขึ้นอีกครั้งได้เป็นแน่
ผ่านไปเพียงแค่ครึ่งปี..นับว่าตี้เสี่ยวอู๋สามารถเติบโตแข็งแกร่ง จนสามารถเป็นกำลังสำคัญให้กับหลิงหยุนได้
“พี่หยุนได้โปรดวางใจ!”
ดวงตาของตี้เสี่ยวอู๋เป็นประกายบ่งบอกถึงความมั่นอกมั่นใจอย่างยิ่ง..
“ดีมาก!”
หลิงหยุนกล่าวต่อด้วยรอยยิ้ม“เจ้ามิต้องกังวลใจไป หากจำเป็นต้องมีการต่อสู้เกิดขึ้น ข้าต้องเรียกเจ้าแน่!”
สีหน้าของตี้เสี่ยวอู๋แสดงออกว่ามีความสุขยิ่งนัก..
จากนั้นหลิงหยุนก็ได้เรียกแหวนจักรวาลออกมายื่นให้กับตี้เสี่ยวอู๋ “นี่สำหรับเจ้า.. จัดการหยดเลือดลงไปบนแหวนจักรวาลวงนี้ แล้วส่งแหวนพื้นที่วงเดิมคืนมาให้ข้า..” ตี้เสี่ยวอู๋เปรียบเสมือนมือขวาของเขาฉะนั้นแล้วหลิงหยุนจึงต้องมอบแหวนจักรวาลซึ่งมีพื้นที่ใหญ่กว่าเดิมให้ เพื่อที่เขาจะได้รับความสะดวกมากขึ้นในวันข้างหน้า
หลังจากที่หยดเลือดลงไปแล้วตี้เสี่ยวอู๋จึงได้สวมแหวนจักรวาลลงบนนิ้วของตนเอง แต่แล้วเขาก็ถึงกับตกตะลึง และร้องอุทานออกมาด้วยความตื่นเต้น..
“นี่..นี่..”
“นี่..มัวแต่ติดอ่างอยู่นั่นล่ะ! ไปๆๆ ไปกินข้าวกับข้าได้แล้ว!”
หลิงหยุนเดินยิ้มนำตี้เสี่ยวอู๋ออกไปจากบ้านบรรพชนตระกูลฉิน
“พี่หยุน..ข้า.. ข้ายังไม่หิว อยากจะออกไปฝึกฝนวิชาก่อน ฝึกวิชาเสร็จเมื่อใด ข้าค่อยมากินก็ได้..”
ตี้เสี่ยวอู๋รู้ว่าคืนนี้จะมีงานเลี้ยงเลี้ยงฉลองกันเกิดขึ้นเขามิเคยชื่นชอบสิ่งเหล่านี้ จึงอยากจะปลีกตัวไปฝึกวิชาแทน แต่หลิงหยุนกับยกมือขึ้นโบกไล่พร้อมกับตอบไปว่า“เจ้าจะไปไหนก็รีบไป!”
ตี้เสี่ยวอู๋ได้ยินเช่นนั้นก็รีบวิ่งออกไปและมุ่งหน้าสู่เทือกเขาชิงหลิงทันที!
…………
เพื่อมิให้เสียงดังรบกวนโม่วู๋เตางานเลี้ยงคืนนี้จึงมิได้ถูกจัดขึ้นภายในบ้านบรรพชนตระกูลฉิน แต่จัดขึ้นที่บ้านลูกชายคนโตของฉินฉางชิงแทน
ภายในหมู่บ้านตระกูลฉินถูกแบ่งออกเป็นสองส่วนด้วยถนนกว้างที่ทอดตรงสู่ทิศตะวันออกและตะวันตก ในขณะที่บ้านบรรพชนตระกูลฉินนั้นตั้งอยู่ทางทิศเหนือของถนน และหันหน้าไปทางทิศใต้
ส่วนบ้านของฉินชุนเฟิงซึ่งเป็นบุตรชายคนโตของตระกูลฉินนั้นอยู่สุดมุมของหมู่บ้านตระกูลฉินเยื้องไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ ด้านหน้ามีสนามกว้างใหญ่มาก นอกจากรายล้อมด้วยต้นไม้มากมายแล้ว ทัศนียภาพยังงดงามมากอีกด้วย หลังจากออกจากบ้านบรรพชนตระกูลฉินฉินฉางชิงก็เดินนำหลิงหยุนมาที่นี่ทันที..
ระหว่างทางที่เดินไปนั้นฉินฉางชิงก็ได้สอบถามสถานการณ์ของโม่วู๋เตาไปด้วย หลิงหยุนเองก็มิได้จงใจปิดบัง และได้บอกเล่าออกไปตามความคิดเห็นของตน เว้นเพียงเรื่องที่ว่า ดวงวิญญาณของโม่วู๋เตาอาจถูกดูดเข้าไปในค่ายกลของสุสานจักรพรรดิจิ๋นซีเท่านั้นที่มิได้เล่าออกไป
และเหตุผลที่หลิงหยุนมิต้องการบอกเรื่องนั้นออกไปก็เพราะว่ามิต้องการให้ตระกูลฉินต้องทำผิดกฏในการพิทักษ์สุสานแห่งนี้ เพียงเพราะการคาดเดาของตนเอง..
ทันทีที่หลิงหยุนกับฉินฉางชิงไปถึงประตูบ้านของฉินชุนเฟิงเขาก็พบว่าทุกคนได้มารอคอยเขาอยู่ที่นี่กันหมดแล้ว และงานเลี้ยงได้จัดเตรียมไว้กลางบ้านอย่างเรียบร้อย
เมื่อทั้งสองก้าวเท้าเข้าไปภายในบ้านเหล่าสมาชิกตระกูลหลิงไม่ว่าหญิงหรือชาย เด็กหรือว่าผู้ใหญ่ ต่างก็จ้องมองหลิงหยุนด้วยแววตาเคารพศรัทธายิ่ง..
“พวกเจ้ามายืนขวางทางอะไรกันตรงนี้!”
ฉินฉางชิงร้องตะโกนไล่ทุกคนให้หลีกทางพร้อมกับเดินนำหลิงหยุนเข้าไปในบ้าน ซึ่งเวลานี้บนโต๊ะมีอาหารมากมายเรียงรายอยู่ รวมทั้งอาหารทะลซึ่งส่งกลิ่นหอมมากมาย
“มีเก้าอี้อยู่เพียงเท่านี้เองรึ!”
หลิงหยุนเห็นโต๊ะขนาดใหญ่ที่มีอาหารวางเรียงรายอยู่มากมายแต่กลับมีเก้าอี้วางอยู่เพียงห้าตัวเท่านั้น จึงได้แต่เอ่ยถามออกมาด้วยความสงสัย
ฉินฉางชิงยิ้มออกมาพร้อมกับกล่าวว่า“หลิงหยุน เจ้ามิต้องกังวลใจไป คนของเจ้าที่อยู่ในโรงแรมของตระกูลฉิน ข้าได้คนจัดอาหารไปส่งที่นั่นแล้ว รับรองได้ว่าพวกเขาเองต้องอิ่มหนำสำราญเช่นกัน!”
“คืนนี้..อาหารทั้งหมดบนโต๊ะนี้ ข้าจัดเตรียมขึ้นมาเพื่อเลี้ยงรับรองเจ้าโดยเฉพาะ ขอบคุณที่เจ้าช่วยสะสางความแค้นให้กับตระกูลฉินของเรา”
“และที่สำคัญที่สุดขอบคุณความรักที่เจ้ามอบให้กับตระกูลฉินของเรา!”
ฉินฉางชิงสรุปสั้นๆ“อาหารทั้งหมดบนโต๊ะนี้ นอกจากข้า เจ้า ตงเฉวี่ย และลุงทั้งสองแล้ว ข้าไม่อนุญาตให้ผู้ใดนั่งร่วมโต๊ะด้วย!”
หลิงหยุนได้ฟังเช่นนั้นถึงกับกระอักกระอ่วนใจขึ้นมาทันทีเขายกมือขึ้นเกาศรีษะพร้อมกับพูดออกไปว่า
“ท่านตาฉิน..เหตุใดต้องทำถึงเพียงนี้ พวกเราล้วนเป็นคนในครอบครัวเดียวกัน!”
“ใครบอกกันเล่า!”
ฉินฉางชิงขยิบตา“เจ้าดีต่อตระกูลฉินของเรายิ่งนัก และยากที่พวกเราจะตอบแทนเจ้าได้ หากเพียงแค่เลี้ยงอาหารเจ้ายังทำไม่ได้ คนอื่นๆมิชี้หน้าต่อว่าข้าหรอกรึ”
การที่สำนักกระบี่เทียนซานซึ่งนับเป็นศัตรูคู่แค้นของตระกูลฉินถูกหลิงหยุนถอนรากถอนโคนเช่นนี้ ฉินฉางชิงนอกจากจะมีความสุขแล้ว ยังสบายใจอย่างมากด้วย
ระหว่างที่พูดคุยกันอยู่นั้นทั้งห้าคนต่างก็นั่งลงบนเก้าอี้ หลิงหยุนนั่งลงทางด้านขวาของฉินฉางชิง
ฉินตงเฉวี่ยในวันนี้ริมฝีปากและแก้มแดงระเรื่อแต่ใบหน้างดงามนั้นกลับดูเหมือนมีเรื่องไม่สบายใจ หลังจากนั่งลงจึงกระซิบบอกหลิงหยุนเสียงเบา
“เจ้าพูดมากไปทำไมกัน!มีอาหารให้กินเจ้าก็กินๆเข้าไป เหตุใดยังต้องพูดพล่ามมากมาย..”
หลิงหยุนไม่กล้าพูดอะไรอีกแต่แอบถามฉินตงเฉวี่ยผ่านทางจิต –ท่านแม่เล่า เหตุใดจึงไม่ออกมาร่วมทานอาหารด้วยกัน?-
ฉินตงเฉวี่ยตอบกลับทันที–เวลานี้นางอยู่ทางด้านตะวันตกของหมู่บ้าน และสั่งให้ข้ามาบอกกับเจ้าว่า หลังจากทานอาหารแล้ ให้ข้าพาเจ้าไปพบนางที่นั่น!-
–ตกลง!- หลิงหยุนตกลงทันทีความจริงแล้วหลิงหยุนหาได้สนใจเรื่องงานเลี้ยงไม่ เรื่องสำคัญของเขาเวลานี้คือต้องการที่จะคุยกับฉินจิวยื่อผู้เป็นแม่
งานเลี้ยงขอบคุณหลิงหยุนดำเนินไปร่วมสามชั่วโมงทุกคนต่างก็ดื่ม กิน และพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน
และเมื่องานเลี้ยงสิ้นสุดหลิงหยุนก็ได้ตามฉินตงเฉวี่ยไปพบกับฉินจิวยื่อที่ด้านตะวันตกอของหมู่บ้าน..