Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร - บทที่ 727-728
บทที่ 727 : ดูดลมปราณ!
“หลิงเสี่ยวงั้นรึ!”
ทันทีที่เฉินไห่คุนได้ยินชื่อหลิงเสี่ยว..มันก็เงยหน้าขึ้นจ้องมองใบหน้าของหลิงหยุน จากนั้นปากของมันก็อ้ากว้างขึ้นเรื่อยๆ และแววตาของมันก็กลับกลายเป็นหวาดผวามากขึ้นเรื่อยๆเช่นกัน
เฉินไห่คุนเพิ่งจะสังเกตุเห็นว่าหลิงหยุนและหลิงเสี่ยวนั้นคล้ายกันอย่างมากเลยทีเดียว!
“ไม่นะ!นี่.. อย่าบอกนะว่าเมื่อสิบแปดปีก่อนที่หลิงเสี่ยวกับธิดาพรรคมารลักลอบได้กัน.. เจ้าก็คือเด็กที่อยู่ในท้องของนางเวลานั้น?!”
เพียะ!เสียงฝ่ามือปะทะเข้ากับใบหน้าดังสนั่นไปทั่วทั้งห้อง..
หลิงหยุนตบหน้าเฉินไห่คุนอย่างแรงจนฟันของมันร่วงออกมาเกือบครึ่งปาก จากนั้นก็ใช้หลังมือตบไปที่ใบหน้าของมันอีกครั้ง จนฟันที่เหลือร่วงลงพื้นจนหมด!
“หากเจ้าต้องการจะตายเสียในตอนนี้ข้าก็จะช่วยสงเคราะห์ให้!” แววตาของหลิงหยุนเป็นประกายเย็นชาขึ้นมาทันที
เพียงแค่ถูกหลิงหยุนตบหน้าสองครั้งเฉินไห่คุนก็ถึงกับเห็นดาว และเลือดเหนียวๆก็พุ่งออกมาปากของเฉินไห่คุนทันที
“ฮ่า..ฮ่า.. ฮ่า..”
แต่เฉินไห่คุนกลับหัวเราะออกมาเสียงดังพร้อมกับลืมความเจ็บปวดจนสิ้นแววตาของมันปรากฏความหวาดกลัวสยดสยองขึ้นมาวูบหนึ่ง แต่แล้วก็ยกมือขึ้นชี้หน้าหลิงหยุน และหัวเราะออกเสียงดังราวกับคนคลุ้มคลั่งต่อ
“ฮ่า..ฮ่า.. ฮ่า.. หมายความว่าข้าเดาได้ถูกต้องสินะ! ที่แท้เจ้าก็เป็นสายเลือดชั่วที่เกิดจากหลิงเสี่ยวกับธิดาพรรคมารหญิงชั่วช้า! เป็นเจ้าจริงๆ! เชิญเจ้าทุบตีข้าได้เลย และต่อให้เจ้าทุบตีข้ารุนแรงเพียงใด หรือแม้แต่จะลงมือฆ่าข้า เจ้าก็หนีความจริงเรื่องที่เป็นสายเลือดชั่วนี้ไม่ได้!”
“เจ้าไม่เพียงเป็นลูกนอกสมรสแต่ยังเป็นเด็กที่ทุกคนไม่ว่าจะเป็นเหล่าจอมยุทธ หรือนิกายลับต่างก็ไม่ยอมรับ และหากทุกคนล่วงรู้ว่าเจ้ายังมีชีวิตอยู่แล้วล่ะก็ เจ้าคงจะต้องถูกตามล่า และมีชีวิตที่เลวร้ายยิ่งกว่าหนูสกปรกที่อาศัยอยู่ตามท้องถนนเสียอีก!”
เฉินไห่คุนถูกหลิงหยุนตบหน้าและด้วยความเกลียดชังที่มีอยู่ในใจ มันจึงร้องตะโกนด่าหลิงหยุนราวกับคนเสียสติ!
ปัง!
เลือดในกายของหลิงหยุนพลุ่งพล่านและใบหน้าหล่อเหลาของเขาก็กลับกลายเป็นแดงก่ำ หลิงหยุนรอให้เฉินไห่คุนพูดจนจบ จากนั้นจึงซัดฝ่ามือเข้าที่หน้าอกของมันอย่างแรง!
“ฆ่าเจ้างั้นรึ!มันไม่ง่ายอย่างนั้นหรอก!”
ฝ่ามือของหลิงหยุนที่ฟาดลงบนหน้าอกของเฉินไห่คุนนั้นไม่ใช่ฝ่ามือที่ส่งพลังลมปราณออกไป แต่กลับเป็นฝ่ามือที่ดูดเอาลมปราณกลับมา และดูดอย่างบ้าคลั่งอีกด้วย!
ภายใต้ความโกรธที่ไม่อาจควบคุมได้นั้นจุ่ๆจุดตันเถียนที่ลึกลับและแปลกประหลาดของหลิงหยุนก็หมุนกลับ แล้วพลังวนหยิน-หยางในร่างกายของหลิงหยุนก็ทำหน้าที่ดูดลมปราณของฝ่ายตรงข้ามทันที
“พลังดูดรุนแรงเสียด้วยสิ!”
หลิงหยุนร้องอุทานออกมาอย่างประหลาดใจหลังจากที่ประสบความสำเร็จในการใช้วิธีดูดลมปราณนี้
“แย่แล้ว!”
เฉินไห่คุนรู้สึกว่าจู่ๆพลังปราณในขั้นเซียงเทียนในร่างกายของตนเองนั้นคล้ายกับถูกกระแสน้ำวนที่ทรงพลังดูดออกไปผ่านฝ่ามือหลิงหยุนอย่างบ้งคลั่ง!
“ห๊ะ!”
เฉินไห่คุนร้องอุทานออกมาอย่างตกใจและรีบตะโกนถามหลิงหยุนทันที “นี่มันวิชาอะไรกัน!”
“หุบปากเหม็นเน่าของเจ้าเสีย!”
หลิงหยุนร้องสั่งด้วยน้ำเสียงเย้ยหยันขณะที่พยายามควบคุมจุดตันเถียนของตนเองให้หมุนกลับเร็วมากขึ้นเพื่อให้พลังวนหยิน-หยางหมุนเร็วขึ้นด้วย!
เฉินไห่คุนรู้สึกเจ็บปวดอย่างมากจนแทบทนไม่ไหว!พลังปราณที่เพียรฝึกฝนมานานนับหลายสิบปีนั้น กำลังไหลจากร่างของตนเองเข้าสู่ฝ่ามือของหลิงหยุนอย่างรวดเร็ว และพยายามที่จะควบคุมพลังปราณของตนเอง แต่ก็ไม่สามารถทำได้!
หากยังไม่เข้าสู่ด่านสุดท้ายของขั้นเซียงเทียนก็ยากที่จะเทียบกับหลิงหยุนซึ่งอยู่ในระดับสูงสุดขั้นปรับร่างกาย-9 ได้ จึงแทบไม่ต้องพูดถึงเฉินไห่คุนซึ่งเวลานี้กำลังได้รับบาดเจ็บสาหัสอยู่!
การดูดลมปราณของหลิงหยุนนั้นช่างน่ากลัวมากเสียจริงๆ!
“หลิงหยุน..ได้โปรดอภัยให้ข้าด้วย!”
เมื่อเห็นว่าพลังปราณของตนเองที่สู้ฝึกฝนมานานหลายสิบปีกำลังจะถูกหลิงหยุนดูดเข้าไปเป็นของตนเอง เฉินไห่คุนก็ถึงกับหวาดกลัวสุดขีด มันไม่เพียงทุกข์ใจอย่างมาก แต่ยังเจ็บปวดไปทั่วทั้งร่างกายจนแทบจะทนไปไม่ได้!
หากลองจินตนาการดู..การที่ยอดฝีมือขั้นเซียงเทียนผู้หนึ่ง เกิดมีพลังชี่ที่อยู่ตามเส้นลมปราณหลักทั้งสิบสองเส้น อยู่ตามเส้นลมปราณพิเศษอีกแปดเส้น และอยู่ในจุดตันเถียนนั้น ไม่เคลื่อนที่ไปในรูปแบบปกติ แต่กลับกลายเป็นกระแสลมปราณที่หมุนวนเป็นเกลียวอยู่ด้านใน เช่นนี้แล้วคนผู้นั้นจะไม่รู้สึกเจ็บปวดได้อย่างไรกัน!
และความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นนั้นแน่นอนว่าต้องเจ็บปวดมากยิ่งกว่าการเกิดธาตุไฟแตกระหว่างฝึกวิชาจนต้องกลายเป็นมารหลายเท่านัก!
เฉินไห่คุนกรีดร้องออกมาอย่างเจ็บปวดจนสุดที่จะทนต่อไปได้แววตาของมันบ่งบอกถึงความหวาดกลัวและสยดสยองอย่างมาก สีหน้าของมันดูราวกับกำลังได้พบเจอปีศาจที่มาจากขุมนรก!
“เพิ่งจะสำนึกได้ตอนนี้มันไม่สายไปหน่อยรึ!”
หลิงหยุนทำเสียงเย้ยหยันพร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาต่อว่า“ข้าอุตส่าห์พูดกับเจ้าดีๆ แต่เจ้ากลับปากดี เวลานี้ข้าจะให้เจ้าได้อยู่อย่างตายทั้งเป็นเชียวล่ะ!”
หลิงหยุนตื่นเต้นดีใจกับจุดตันเถียนที่กำลังหมุนกลับของตนเองอย่างมากและเวลานี้อาจพูดได้ว่าหลิงหยุนได้ควบคุมร่างของเฉินไห่คุนไว้เรียบร้อยแล้ว พลังปราณขั้นเซียงเทียนของมันได้กลายมาเป็นของหลิงหยุนเรียบร้อยแล้ว!
ด้วยวิธีการดูดลมปราณที่หลิงหยุนทำอยู่นั้นเพียงไม่ถึงนาที ก็สามารถดูดพลังชี่ขั้นเซียงเทียนของเฉินไห่คุนมาได้มากแล้ว พลังปราณเหล่านี้ได้ผ่านเข้าสู่ร่างของหลิงหยุนผ่านทางฝ่ามือ และวิชาพลังลับหยิน-หยางก็ได้จัดการแปลงลมปราณที่ดูดเข้ามานี้ให้กลายเป็นพลังหยิน-หยางที่จะสร้างความแข็งแกร่งให้กับจุดตันเถียนของหลิงหยุน และสร้างพลังวนหยิน-หยางที่แข็งแกร่งต่อไป!
เพียงแค่พริบตาเดียวกำลังภายในของเฉินไห่คุนที่อยู่ในระดับสูงสุดขั้นเซียงเทียน-5 ก็ได้ลดลงสู่ขั้นที่ต่ำกว่าเซียงเทียน-3 ทันที และในที่สุดก็หมดแรงที่จะดิ้นรนต่อต้าน เวลานี้ต่อให้เฉินไห่คุนอยากจะทำลายเส้นลมปราณของตนเองทิ้งเสีย ก็คงยากที่จะทำได้แล้ว!
เพราะเวลานี้เฉินไห่คุนไม่สามารถควบคุมลมปราณในร่างกายของตนเองได้เลยอย่าว่าแต่จะควบคุมลมปราณในร่างกายเลย เวลานี้แม้แต่กรอกตาก็ยังทำได้อย่างยากลำบาก!
จะอยู่ก็เจ็บปวดจะตายก็ไม่ได้!
ภายในห้องขังขนาดเล็กของคุกใต้ดินนั้นลมปราณที่ดูดเข้าไปนั้น ได้กระตุ้นให้พลังวนหยิน-หยางในจุดตันเถียนของเขาหมุนรวดเร็วยิ่งขึ้น และเวลานี้มันได้หมุนวนเป็นกระแสน้ำวนขนาดใหญ่ล้อมรอบตัวหลิงหยุนราวกับพายุทอร์นาโด!
ภายในห้องขังนั้น..ทั้งฝุ่น ทราย และก้อนหิน ต่างก็ถูกดูดขึ้นไปลอยหมุนอย่างรุนแรงอยู่กลางอากาศ ช่างเป็นภาพที่น่าหวาดกลัวยิ่งนัก!
หลิงหยุนดูดเอาลมปราณของเฉินไห่คุนมาเป็นของตนเองได้ภายในเวลาอันรวดเร็วและเวลานี้เฉินไห่คุนก็ได้ลดระดับลงมาอยู่เพียงแค่ขั้นโฮ่วเทียน-7 มันแทบอยากจะกรีดร้องและตะโกนออกมา!
แต่เพราะลมปราณที่เหลือเพียงน้อยนิดในร่างกายและความเจ็บปวดที่เพิ่มมากขึ้นอย่างสุดแสนที่จะทนได้นั้น ทำให้เฉินไห่คุนไม่มีแม้แต่เรียวแรงจะพูด แล้วจะสามารถกรีดร้องออกมาได้อย่างไรกัน!
ลมปราณขั้นเซียงเทียนที่หลิงหยุนดูดเข้าไปนั้นทำให้กำลังภายในของหลิงหยุนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และนับว่าได้ประโยชน์อย่างมหาศาลเลยทีเดียว
แต่ถึงกระนั้น..หลิงหยุนก็ยังไม่ยอมปล่อยเฉินไห่คุน เขายังคงดูดเอาลมปราณของมันเข้าไปเรื่อยๆ หลิงหยุนเริ่มคุ้นเคยกับการควบคุมให้จุดตันเถียนของตนเองหมุนกลับ
เขาแสร้งพูดดีกับเฉินไห่คุน“เจ้าจะบอกได้หรือยังว่าจับตัวหลิงเสี่ยวพ่อของข้าไปซ่อนไว้ที่ใหน”
เฉินไห่คุนหมดเรี่ยวแรงต่อต้านและหมดหวังในชีวิต! มันส่ายหน้าพร้อมกับพูดเสียงเบา
“หลิงเสี่ยวหายตัวไปแล้วตระกูลเฉินเองก็ไม่รู้ว่าตอนนี้เขาอยู่ที่ใหน พวกเราไม่รู้จริงๆว่าเขาไปซ่อนตัวอยู่ที่ใหนกันแน่?”
หลิงหยุนจ้องหน้าเฉินไห่คุนพร้อมกับร้องอุทานออกมาเสียงดัง“อะไรนะ!”
หลิงหยุนสังเกตุเห็นว่าเฉินไห่คุนนั้นหมดเรี่ยวหมดแรงที่จะต่อต้านแล้วและได้แต่คิดว่าในเวลาเช่นนี้เฉินไห่คุนไม่น่าจะพูดโกหก
เฉินไห่คุนพูดต่อว่า“ตระกูลเฉินของเราจับตัวลุงสองของเจ้ามานั้น ความจริงแล้วไม่ได้ตั้งใจที่จะทำร้ายเขา ตระกูลเฉินเพียงแค่ต้องการต่อรองบางอย่างกับเขาเท่านั้น พวกเราแค่ต้องการให้ตระกูลหลิงอยู่ข้างตระกูลเฉิน และร่วมมือกับตระกูลเฉินในการจัดการกับตระกูลหลง..”
“แต่เพราะลุงสองของเจ้าคิดถึงแต่เรื่องที่ตระกูลหลงเคยช่วยเหลือตระกูลหลิงไว้เขาจึงไม่ยอมรับปาก พวกเราก็เลยต้องจับตัวไปขังไว้ และตั้งใจไว้ว่าเมื่อใดที่ลงมือกับตระกูลหลง ก็จะใช้ลุงสองของเจ้าบีบบังคับผู้เฒ่าหลิงลี่ให้ร่วมมือกับเรา แต่กลับคิดไม่ถึงว่าเจ้าเองจะเก่งกาจถึงเพียงนี้!”
“หากเจ้าไม่เชื่อคำพูดของข้าก็ไปถามลุงสองของเจ้าดูตอนนี้ได้เลยว่า ตลอดสองเดือนที่พวกเราจับตัวเขาไปขังนั้น ตระกูลเฉินได้เคยทำร้ายเขาแม้แต่น้อยหรือไม่!”
คำพูดของเฉินไห่คุนนั้นไม่เหมือนคนโกหกและมีเหตุมีผลหลิงหยุนครุ่นคิดอย่างละเอียดก็จำได้ว่า เมื่อครั้งที่เขาได้พบกับลุงสองที่คฤหาสน์ชานเมืองด้านใต้ของตระกูลเฉินนั้น หลิงเย่วเองก็ไม่ได้รับบาดเจ็บ และยังอยู่ในอาการปกติ ไม่มีการถูกทำร้ายร่างกายแต่อย่างใด และไม่มีแม้แต่รอยฟกช้ำด้วยซ้ำไป
ไม่เช่นนั้นแล้วหลังจากที่กลับไปถึงตระกูลหลิง เหตุใดหลิงเย่วจึงสามารถฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว และสามารถต่อสู้กับตระกูลเฉินได้อย่างดุเดือดเช่นนั้น!
“ถ้าเช่นนั้น..เหตุใดตระกูลเฉินจึงต้องส่งคนมากำจัดตระกูลหลิงด้วย!” หลิงหยุนถามต่อทันที
เฉินไห่คุนหันไปมองหลิงหยุนพร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ“พวกเราตระกูลเฉินไม่ได้ทำร้ายตระกูลหลิง แต่เจ้ากลับบุกเข้าไปในบ้านตระกูลเฉิน และสังหารยอดฝีมือตระกูลเฉินไปมากกว่าร้อยคน หากตระกูลเฉินของเราไม่ล้างแค้นให้กับยอดฝีมือเหล่านั้น ต่อไปในวันข้างหน้าเหล่าจอมยุทธใหนเลยจะยอมสนับสนุนตระกูลเฉินของเราอีก!”
“ยิ่งไปกว่านั้นในเมื่อเจ้าช่วยลุงสองออกไปแล้ว ถึงแม้ว่าพวกเราตระกูลเฉินจะไม่เห็นตระกูลหลิงที่อ่อนแออยู่ในสายตา แต่เพราะปู่ของเจ้าติดหนี้บุญคุณตระกูลหลง มีหรือที่จะไม่รายงานเรื่องที่คุยกันให้คนตระกูลหลงรู้ เมื่อเป็นเช่นนี้ ตระกูลเฉินของเราก็ต้องตัดไฟตั้งแต่ต้นลม!”
“เพื่อต้องการขึ้นเป็นตระกูลอันดับหนึ่งตระกูลเฉินถึงกับยอมสมคบคิดกับชาวญี่ปุ่นขายประเทศตนเอง และยังส่งเฉินเจี้ยนกุ่ยไปอเมริกาเพื่อให้กลายร่างเป็นแวมไพร์ อีกทั้งยังพาแวมไพร์กลับมาประเทศจีนอีกหลายตน และตระกูลแรกที่ตระกูลเฉินจัดการก็คือตระกูลเกา จากนั้นก็ข่มเหงตระกูลหลิงของข้า.. การขึ้นเป็นตระกูลอันดับหนึ่งมันสำคัญกับพวกเจ้าถึงเพียงนี้เชียวรึ!”
หลิงหยุนร้องถามออกมาด้วยความรู้สึกเกลียดชัง!
“ข้ายอมรับว่าฝีมือของเจ้านั้นสูงส่งมากและนับได้ว่าเป็นผู้ที่มีวรยุทธล้ำเลิศที่สุดในปฐพีนี้เลยก็ว่าได้ แต่เจ้ายังเป็นเพียงแค่เด็กหนุ่มเท่านั้น เหตุใดเจ้ารู้เรื่องพวกนี้ได้!”
“เวลานี้ข่าวคราวเรื่องพู่กันและสมุดจักรพรรดิได้ถือกำเนิดแล้วได้กลายเป็นที่สนใจของตระกูลต่างๆ ในเมื่อตระกูลเฉินเองก็เตรียมการมานานหลายปี เหตุใดจึงไม่ใช้โอกาสที่หลายตระกูลกำลังหมกมุ่นในเรื่องนี้เอาชนะเล่า!”
เฉินไห่คุนพูดด้วยน้ำเสียงหดหู่เศร้าสร้อยเพราะรู้ดีว่าจากนี้ไปตนเองคงไม่มีโอกาสได้ได้มีชีวิตอยู่ต่ออีกแล้ว
บทที่ 728 : สามเรื่องที่คาดคั้นมาได้!
เมื่อได้ฟังคำพูดของเฉินไห่คุนหลิงหยุนก็รู้สึกกังวลใจขึ้นมาเล็กน้อย เขาถอนฝ่ามือออกจาหน้าอกของเฉินไห่คุนทันที
เวลานี้เฉินไห่คุนสูญเสียจนไม่เหลืออะไรแล้วเพราะทั้งจุดตันเถียนและเส้นลมปราณของมันตอนนี้ว่างเปล่า กำลังภายในของมันเหลือไม่ถึงขั้นโฮ่วเทียน-3 เลยด้วยซ้ำไป
หลิงหยุนเปิดจิตหยั่งรู้ออกสำรวจดูรอบๆและเมื่อมั่นใจว่าจะไม่มีผู้ใดสามารถได้ยินสิ่งที่เขากำลังจะพูด หลิงหยุนจึงได้เอ่ยออกไปทันที
“เรื่องที่สมุดและพู่กันจักรพรรดิถือกำเนิดแล้วนั้นเจ้ารู้ได้อย่างไร”
ความจริงแล้วหลิงหยุนค่อนข้างตกใจอย่างมากเพราะสมุดและพู่กันจักรพรรดิได้ถือกำเนิดแล้วจริงๆ และเวลานี้ก็อยู่ในร่างกายของเขา พู่กันจักรพรรดิอยู่ที่หว่างคิ้ว ส่วนสมุดจักรพรรดิก็อยู่ที่จุดตันเถียน
แต่ที่น่าตกใจก็คือว่า..เหล่าจอมยุทธและนิกายลับต่างๆ รู้เรื่องนี้ได้อย่างไรต่างหาก
ดูเหมือนว่าพวกเขาไม่เพียงแค่รู้แต่ยังรู้เวลาที่สมุดและพู่กันจักรพรรดิถือกำเนิดได้อย่างแม่นยำ ดูอย่างตู้กู่โม่ และตระกูลซันที่ต่างก็รู้เรื่องนี้กันตั้งแต่เมื่อครั้งที่หลิงหยุนลงไปสำรวจหลุมยักษ์ และที่นั่นไม่ว่าจะเป็นซีเหมินกัง หนานกงเจี้ยน หรือคนอื่นๆ ก็ล้วนแล้วแต่ลงไปค้นหาพู่กันและสมุดจักรพรรดิทั้งสิ้น!
หลิงหยุนได้แต่คิดว่าช่างเป็นเรื่องที่มหัศจรรย์ยิ่งนักหรือจะเป็นความแม่นยำของเทคโนโลยีในยุคสมัยนี้!
สำหรับหายนะที่จะเกิดขึ้นหลังจากที่ข่าวเรื่องงสมุดและพู่กันจักรพรรดิแพร่หลายออกไปนั้นหลวงจีนสิงชีก็ได้เคยบอกเขาไว้ล่วงหน้าแล้ว!
หลังจากที่สูญเสียกำลังภายในไปจนหมดเฉินไห่คุนที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสก็แทบทรงตัวต่อไปไม่ไหว มันกระอักเลือดสีแดงออกมาพร้อมกับบิดร่างไปมาด้วยความเจ็บปวด เฉินไห่คุนจ้องหน้าหลิงหยุนแล้วพูดต่อว่า
“เรื่องนี้ใครๆก็รู้กันทั้งนั้นล่ะเพียงแต่ใครจะเป็นผู้ได้ครอบครอง แต่ต้องไมใช่เจ้าอย่างแน่นอน!”
“เจ้ามันเป็นสายเลือดมารแม่ของเจ้าก็เป็นคนพรรคมาร กระบี่โลหิตแดนใต้นั่นก็เป็นสมบัติพรรคมาร ฮ่า.. ฮ่า.. เช่นนี้แล้วพู่กันและสมุดจักรพรรดิไฉนจึงจะไปอยู่ในมือของผู้ที่ครอบครองกระบี่มารได้เล่า”
หลิงหยุนได้แต่คิดในใจว่า..เวลานี้ทั้งพู่กันและสมุดจักรพรรดิต่างก็อยู่ในร่างกายของเขาแล้ว และหลิงหยุนเองก็ใช้กระบี่โลหิตแดนใต้มานับครั้งไม่ถ้วน จนถึงเวลานี้เขาก็ไม่ได้รู้สึกถึงการต่อต้านภายในร่างกายแต่อย่างใด
หลิงหยุนไม่ได้จัดการเฉินไห่คุนอีกเพราะรู้ดีว่ามันคงจะไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้อีกนานนัก
“แล้วหายนะที่จะเกิดขึ้นหลังสมุดและพู่กันจักรพรรดิถือกำเนิดนั้น..หมายความว่าอย่างไรกัน” หลิงหยุนถามออกมาเสียงเบา
ในเมื่อเฉินไห่คุนยังไม่ตายแน่นอนว่าหลิงหยุนจะต้องรีบสอบถามสิ่งที่ตนเองอยากรู้อีกสองสามเรื่อง
“นั่นเป็นตำนานเรื่องเล่า..”เฉินไห่คุนเริ่มมีอาการคล้ายจะหมดสติ
หลิงหยุนขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนที่จะถามต่อว่า“พ่อของข้าไม่อยู่ในตระกูลเฉินจริงๆงั้นรึ!”
น้ำเสียงของเฉินไห่คุนเริ่มเบาลงเรื่อยๆ“อาจเป็นตระกูลหลง ตระกูลเย่ หรือไม่ก็ตระกูลซันที่จับตัวเขาไป แต่ตระกูลเฉินไม่ได้จับตัวเขาไปอย่างแน่นอน!”
ดังคำพูดว่า..คนใกล้ตายมักไม่พูดโกหก อีกทั้งเวลานี้สติของเฉินไห่คุนก็ไม่สมประกอบ คำพูดที่ออกมาจึงน่าจะเป็นความจริง หลิงหยุนจึงรีบถามต่อว่า
“แล้วตอนนี้เกาเฉินเฉินอยู่ที่ใหน”
“เรื่องนี้ข้าเองก็ไม่รู้..น้องสองของข้านั้นไม่เพียงโหดเหี้ยมกว่าพ่อของข้ามาก แต่ยังควบคุมทุกอย่างของตระกูลเฉินไว้ในมือ นอกจากเฉินเจี้ยนกุ่ยแล้ว ก็ไม่มีใครรู้ว่าเกาเฉินเฉินถูกนำตัวไปซ่อนไว้ที่ใหน”
“หลิงหยุน..ข้าขอเตือนเจ้า! เจ้าอย่าได้คิดว่าตนเองนั้นเก่งกาจที่สุดบนโลกใบนี้ แทบไม่ต้องพูดถึงตระกูลหลงกับตระกูลเย่ เพราะเพียงแค่ตระกูลเฉินของข้า ก็ยังมีอย่างน้อยอีกสามคนที่จะสามารถฆ่าเจ้าได้อย่างง่ายดาย และพวกเขาจะต้องแก้แค้นแทนข้าอย่างแน่นอน..”
เสียงของเฉินไห่คุนอ่อนลงเรื่อยๆและยังไม่ทันที่จะพูดจบประโยค มันก็สิ้นใจตายไปทันที
หลิงหยุนจ้องมองร่างไร้วิญญาณของเฉินไห่คุนด้วยความรู้สึกเกลียดชังเขานิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะหยิบยันต์เตโชออกมาสองใบแปะไว้ที่ร่างไร้วิญญาณของมัน และหลังจากที่ร้องสั่งยันต์ให้ออกฤทธิ์ ร่างของเฉินไห่คุนก็กลายเป็นเถ้าถ่านไปในทันที
หลิงเสี่ยวไม่ได้ถูกคนตระกูลเฉินจับตัวไปส่วนที่ซ่อนของเกาเฉินเฉินนั้นก็มีเพียงเฉินเจี้ยนกุ่ยเท่านั้นที่รู้ และในตระกูลเฉินก็ยังมียอดฝีมืออีกสามคนที่จะสามารถเอาชนะหลิงหยุนได้อย่างง่ายดาย..
และนี่คือสิ่งที่หลิงหยุนคาดคั้นมาได้จากเฉินไห่คุนและข่าวทั้งสามนี้หลิงหยุนค่อนข้างเชื่อถึงเก้าสิบเปอร์เซ็นต์ว่าจะเป็นความจริง
นั่นเพราะหากหลิงเสี่ยวถูกตระกูลเฉินจับตัวไปจริงก็ไม่มีเหตุผลที่จะต้องจับเขาขังแยกคนละที่กับหลิงเย่ว เพราะการขังแยกกันนั้นไม่เพียงสร้างปัญหาให้กับการเฝ้าระวัง แต่ยังไม่สามารถทำให้ตระกูลเฉินต่อรองกับพวกเขาทั้งคู่ได้สะดวกนัก
จึงมีเหตุผลที่น่าจะเชื่อได้!เพราะตระกูลเฉินต้องการให้ตระกูลหลิงสนับสนุนตนเอง หากพวกเขาจับตัวคนทั้งคู่ไปขังไว้ด้วยกัน การพูดจาต่อรองของทั้งสองฝ่ายก็ย่อมทำได้ง่ายและสะดวกมากกว่า
ยิ่งไปกว่านั้น..สำหรับหลิงเสี่ยวในเวลานี้ เขาแทบไม่ได้อยู่ในสายตาของตระกูลเฉินด้วยซ้ำไป
ส่วนเกาเฉินเฉินนั้นด้วยอุปนิสัยของเฉินเจี้ยนกุ่ย หลิงหยุนเชื่อว่าคำพูดของเฉินไห่คุนน่าจะเป็นไปได้อย่างมาก และเวลานี้เฉินเจี้ยนกุ่ยเองก็คงเฝ้าเกาเฉินเฉินไม่ต่างจากสมบัติล้ำค่าอย่างแน่นอน เพราะตราบใดที่มันสามารถดูดเลือดของเกาเฉินเฉินได้ มันก็จะสามารถพัฒนาร่างได้อย่างรวดเร็ว และไม่แน่ว่าอาจสามารถเข้าสู่ขั้นแกรนด์ดยุคได้เลยก็เป็นได้ ด้วยเหตุผลนี้เป็นไปได้ว่าเฉินเจี้ยนกุ่ยจะต้องซ่อนนางไว้ในสถานที่ลับสุดยอด ที่ที่แม้แต่พ่อของมันเองก็ไม่รู้
“ข้ายังคงต้องเชื่อพันลี้ล่าวิญญาณของตนเองสินะ..”
หลิงหยุนลุกขึ้นยืมพึมพำพร้อมกับยิ้มอย่างมีเลศนัยแล้วจึงกระโดดออกจากห้องขังไป
หลิงหยุนนึกถึงคำพูดของเฉินไห่คุนที่ว่า..อย่างน้อยสามคนในตระกูลเฉินก็สามารถเอาชนะหลิงหยุนได้อย่างง่ายดาย หลิงหยุนแสยะยิ้มออกมาอย่างเย้ยหยัน และได้แต่คิดว่าการที่เฉินไห่คุนพูดเช่นนั้นก็เพราะประเมินความสามารถของเขาจากการสังหารนินจาขั้นเซียงเทียน-7
แต่ถึงกระนั้นเฉินไห่คุนก็ยังไม่รู้ถึงความแข็งแกร่งที่แท้จริงของหลิงหยุน!
ยิ่งไปกว่านั้นนอกเหนือจากกำลังภายในที่แข็งแกร่งของหลิงหยุน เขาก็ยังมีวิชาที่น่ากลัวอย่างวิชาพลังมังกรซึ่งสามารถเพิ่มกำลังภายในของตนเองขึ้นได้ถึงสิบเท่าทันที หลิงหยุนจึงประเมินว่าคงจะมีน้อยคนนักที่จะสามารถเอาชนะตัวเขาได้!
อีกทั้งหลิงหยุนยังมีวิชาโจมตีที่น่ากลัวอย่างวิชาพลังลับหยิน-หยางและหากเขาเพิ่มขีดความสามารถของมันขึ้นเป็นสิบเท่าแล้วล่ะก็..
หลิงหยุนจึงไม่สนใจเรื่องความแข็งแกร่งของตระกูลเฉินอีกแต่เรื่องที่หลิงหยุนเป็นกังวลอย่างมากก็คือเรื่องของพู่กันและสมุดจักรพรรดิ เพราะนี่คือความลับสุดยอดของเขา แต่กลับดูเหมือนว่าความลับข้อนี้ นิกายลับแทบจะทุกสำนักต่างก็รู้หมดแล้ว และนั่นทำให้หลิงหยุนค่อนข้างเป็นกังวลอย่างมาก
เวลานี้ยังไม่มีใครรู้ว่าสมุดและพู่กันจักรพรรดิอยู่ในตัวของหลิงหยุนและหากเรื่องนี้เกิดแพร่งพรายออกไป เขาไม่ต้องหนีงั้นรึ เพราะถึงตอนนั้นจอมยุทธทั่วหล้าคงจะตามไล่ล่าตัวเขาอย่างแน่นอน!
แต่เวลานี้เรื่องที่หลิงหยุนต้องทำอย่างเร่งด่วนก็คือหาตัวเกาเฉินเฉินให้พบและช่วยเธอออกมาโดยเร็วที่สุด!
“ดูท่าข้าคงต้องเข้าสู่ขั้นพลังชี่ให้ได้เร็วที่สุด!”หลิงหยุนได้แต่พึมพำกับตนเองระหว่างที่เดินตรงไปยังห้องขังของยามาดะ
สภาพของยามาดะเองก็ไม่ต่างจากมิตซุยที่ถูกหลิงหยุนตัดแขนทิ้งและเวลานี้ยามาดะก็กำลังอยู่ในท่ากึ่งนั่งกึ่งนอนพร้อมกับเลือดที่หยดเต็มพื้นไปหมด
หลิงหยุนส่งลมปราณผ่านนิ้วของตนเองไปจัดการคลายจุดให้กับยามาดะหลังจากจ้องมองอยู่ครู่หนึ่งจึงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“ข้าไว้ชีวิตเจ้าเพราะต้องการถามเจ้าสองสามเรื่อง..”
“ไม่ว่าเจ้าจะตอบหรือไม่ตอบจุดจบของเจ้าก็คือความตาย! เพียงแต่การตายของเจ้าจะแตกต่างกันเท่านั้นเอง!”
“ช่างไร้ยางอายนัก..เจ้าไม่จำเป็นต้องพร่ามไร้สาระ..” ยามาดะดิ้นขลุกขลักอยู่ที่พื้นพร้อมกับกัดฟันตอบหลิงหยุน
“ในเมื่อเจ้าเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ข้าก็คือผู้ชนะ! นั่นเป็นเรื่องธรรมดา แต่การที่เจ้าเข้ามาเมืองจีนทำลายตระกูลหลิงของข้าเช่นนี้ เจ้าไม่ไร้ยางอายกว่าข้าหรอกรึ”
หลิงหยุนตอบกลับด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นแล้วจึงถามขึ้นว่า “ข้าต้องการรู้ว่าตระกูลโทคุงาวะมีนินจาอยู่ทั้งหมดกี่คน และเจ้ารู้เรื่องใดเกี่ยวกับตระกูลโทคุงาวะก็บอกข้ามาให้หมด!”
นับว่าเกินความคาดหมายของหลิงหยุนเพราะยามาดะกลับยอมเล่าเรื่องทั้งหมดให้เขาฟังอย่างง่ายดาย!
หลิงหยุนสังเกตเห็นว่ายามาดะเล่าเรื่องทั้งหมดด้วยความภาคภูมิใจ..
และนี่คือความแตกต่างระหว่างชาวญี่ปุ่นกับชาวจีนคนจีนมักจะถ่อมตัวจนเกินไป แต่คนญี่ปุ่นกลับมักชอบอวดอ้างว่าตนเองนั้นเก่งกาจ และมักจะพูดถึงพลังอำนาจของตนเองอย่างภูมิอกภูมิใจ
จากคำบอกเล่าของยามาดะนั้นหลิงหยุนจับใจความได้ว่าเหล่านินจาที่เก่งกาจที่สุดนั้นจะเรียกกันว่า ‘คาเงะ’ และตระกูลโทคุงาวะก็มีนินจาระดับคาเงะอยู่หลายคนมาก แม้กระทั่งนินจาที่ลึกลับที่สุดและเก่งกาจที่สุดที่เรียกว่า ‘เทพคาเงะ’ นั้นก็มี และแม้แต่ยามาดะเองก็ไม่สามารถบรรยายความเก่งกาจของนินจาขั้นเทพคาเงะออกมาได้
นินจาจะแบ่งออกเป็นสองกลุ่มคือ..อิงะกับโคงะ และวิชานินจิทสุซึ่งเป็นวิชานินจาขั้นสูงนั้นก็สามารถแบ่งออกเป็นนินจิทสุ – คือการร่ายคาถา และไทจิทสุ – คือกระบวนท่าการต่อสู้ อีกทั้งเหล่านินจายังแบ่งออกเป็นห้าธาตุคือธาตุทอง ธาตุไม้ ธาตุน้ำ ธาตุไฟ และธาตุดิน..
ทั้งยามาดะและมิตซุยต่างก็อยู่ในระดับเริ่มต้นขั้นเซียงเทียน-7ทั้งสองคน จึงนับว่าเป็นนินจาระดับปลายแถวของขั้นชุนนิน และหากนินจาคนใดที่ยังไม่เข้าสู่ด่านสุดท้ายขั้นเซียงเทียน ก็จะเรียกว่าเกะนิน!
และเหนือกว่าขั้นชุนนินก็คือโจนินเหนือกว่าโจนินก็คือคาเงะ และเหนือกว่าคาเงะก็คือเทพคาเงะ
“ตามกฎของนินจาแล้วข้าต้องไม่บอกเล่าเรื่องเหล่านี้ให้กับเหล่าจอมยุทธชาวจีนได้ล่วงรู้ แต่เจ้านั้นไม่นับว่าเป็นจอมยุทธชาวจีน เพราะมีวิชาบ่มเพาะพลังที่ลึกลับและแปลกประหลาด และถึงแม้ข้าจะไม่บอกเจ้า เจ้าก็ต้องหาวิธีล่วงรู้จนได้ ข้าจึงเลือกที่จะเล่าให้เจ้าฟังอย่างตรงไปตรงมาจะดีกว่า!”
“ที่ข้าทำเช่นนี้ก็ไม่ใช่เพราะเกรงกลัวต่อความตาย หรือการทรมาน แต่ข้าเพื่อรักษาเกียรติของเหล่านินจาต่างหาก!”
“ในบรรดาผู้บ่มเพาะชาวจีนข้ายอมรับว่าเจ้าเป็นผู้ทีทรงพลังอย่างมาก แต่เจ้ายังไม่เคยพบกับนินจาขั้นโจนิน และเคงะ หากเจ้าได้พบ เจ้าจะได้รู้และเข้าใจวิชานินจิทสุที่แท้จริงว่าเป็นเช่นใด!”
หลังจากพูดจบยามาดะก็กัดอะไรบางอย่างในปาก และเพียงแค่สามวินาทีร่างครึ่งนั่งครึ่งนอนของมันก็ล้มลงกับพื้นขาดใจตายทันที!
หลิงหยุนใช้เนตรหยิน-หยางสำรวจดูจึงพบว่าเป็นยาพิษที่ซ่อนอยู่ในปากของยามาดะและดูเหมือนจะเป็นยาพิษขั้นรุนแรงเสียด้วย
“น่าเสียดายที่เจ้าตายไปเสียก่อน!เจ้ายังไม่ได้บอกเรื่องความแข็งแกร่งของตระกูลโทคุงงาวะให้ข้าได้ล่วงรู้เลยแม้แต่น้อย!”