Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร - บทที่ 735-736
บทที่ 735 : พลังเหนือธรรมชาติ – คนพวกนั้น!
“ข้าเด็กเกินไปที่จะเข้าใจโลกยุทธภพงั้นรึ!”
หลิงหยุนได้ฟังคำพูดของหลิงลี่ก็ถึงกับเย็นยะเยือกและร่างกายก็เริ่มสั่นอย่างรุนแรง!
ในระหว่างที่หลิงหยุนสอบปากคำเฉินไห่คุนอยู่ที่คุกใต้ดินตระกูลหลิงนั้นก่อนที่จะตายเฉินไห่คุนก็ได้บอกกับหลิงหยุนว่า ในตระกูลเฉินนั้นมีอย่างน้อยสามคนที่จะสามารถสังหารหลิงหยุนได้อย่างง่ายดาย เวลานั้นหลิงหยุนยังแอบนึกขันอยู่ในใจ!
หลิงหยุนยังคิดว่าที่เฉินไห่คุนพูดเช่นนั้นเพราะยังไม่ล่วงรู้ถึงความแข็งแกร่งที่แท้จริงของเขา อีกทั้งก่อนตายก็ต้องการสร้างความตื่นตระหนกหวาดกลัวให้กับหลิงหยุนเท่านั้น
แต่เวลานี้..ผู้ที่พูดก็คือหลิงหลี่ซึ่งเป็นปู่ของเขาเอง แน่นอนว่าหลิงลี่ไม่ได้คิดร้ายต่อเขา จึงไม่จำเป็นต้องสร้างความหวาดกลัวให้กับเขาโดยไม่จำเป็น!
อีกทั้งเวลานี้หลิงลี่ก็ได้เข้าสู่ขั้นเซียงเทียน-8แล้ว และเมื่อสิบแปดปีก่อนตระกูลหลิงเองก็เคยเป็นถึงหนึ่งในสามตระกูลใหญ่ อีกทั้งผู้ที่เป็นผู้นำตระกูลหลิงในเวลานั้นก็คือหลิงลี่!
แน่นอนว่าหลิงลี่ย่อมรู้จักและเข้าใจโลกยุทธภพได้เป็นอย่างดี!
แต่จู่ๆความคิดหนึ่งก็วูบเข้ามาในหัวของหลิงหยุนเขากำลังคิดถึงเรื่องสมุดและพู่กันจักรพรรดิ ลูกประคำโพธิ หม้อเสินหนง น้ำเต้าวิเศษ และอื่นๆอีกมากมาย
รวมทั้งกระบี่โลหิตแดนใต้และกระบี่มังกรขาวที่เขาพบในก้นหลุมยักษ์..
หลิงหยุนเริ่มตระหนักว่ากระบี่โลหิตแดนใต้และกระบี่มังกรขาวนั้น ไม่ได้ถูกสร้างขึ้นมาสำหรับใช้จัดการกับยอดฝีมือขั้นเซียงเทียนเจ็ด หรือยอดฝีมือขั้นเซียงเทียนคนใหนๆ เพราะนั่นมันดูธรรมดามากจนเกินไป!
เช่นนั้นแล้ว..อานุภาพที่แท้จริงของกระบี่ทั้งสองเล่มคืออะไร และกระบี่ที่ผนึกจิตวิญญาณมังกรไว้ด้านในเช่นนี้ ใช้สำหรับจัดการกับผู้ใดกันแน่?
ในความคิดของหลิงหยุนนั้นกระบี่โลหิตแดนใต้ หรือกระบี่มังกรขาวนั้น ควรจะเป็นของอาวุธของปรมาจารย์ในตำนานอย่างจางซานเฟิงที่ใช้สำหรับสังหารศัตรูที่มีฝีมือระดับเดียวกันจึงจะคู่ควร!
หากไม่มีศัตรูที่มีฝีมือในระดับเดียวกันมีหรือที่จะต้องสร้างอาวุธวิเศษเช่นนี้ขึ้นมา..
เมื่อครั้งที่อยู่ใต้หลุมยักษ์นั้นตงฟางถิงก็ได้บอกกับหลิงหยุนว่าเขามาจากตระกูลจอมยุทธโบราณ และเล่าว่าในตระกูลของเขานั้นมียอดฝีมือขั้นเซียงเทียน-7 ที่เก่งกาจถึงสองคน
เมื่อครั้งที่อยู่ในจิงฉูนั้นนอกเหนือจากธิดาพรรคมารแล้ว หลิงหยุนเองก็ไม่เคยพบเจอยอดฝีมือขั้นเซียงเทียน-7 มาก่อนเลย จึงค่อนข้างเชื่อในสิ่งที่ตงฟางถิงพูด
แต่เมื่อมาถึงปักกิ่งหลิงหยุนกลับพบว่าไม่เป็นดังที่ตงฟางถิงพูดเลยแม้แต่น้อย เพราะทั้งแวมไพร์ และเหล่านินจาก็ล้วนแล้วแต่อยู่ในขั้นเซียงเทียน-7 ทั้งสิ้น อีกทั้งยังเป็นถึงนินจาขั้นชุนนินเสียด้วย
หลิงหยุนเองก็ได้ยินจากหลิงลี่ว่าเฉินจิงเทียนเองก็อยู่ในระดับสูงสุดขั้นเซียงเทียน-7 เช่นกัน
หลิงหยุนนั้นเข้าใจในเรื่องนี้ดีเพราะหากในตระกูลเฉินไม่มีผู้ที่อยู่ในระดับสูงสุดขั้นเซียงเทียน-7 เลยแม้แต่คนเดียว ก็คงยากที่จะไต่เต้าและรักษาตำแหน่งหนึ่งในเจ็ดตระกูลใหญ่แห่งปักกิ่งไว้ได้
เพราะตระกูลจอมยุทธโบราณหรือนิกายลับที่ส่งคนของตนเองมาเป็นแขกของเหล่าตระกูลใหญ่นั้น เป็นไปไม่ได้ที่จะเชื่อฟังและเดินตามก้นตระกูลใหญ่แต่ฝ่ายเดียว เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมานั้น ทั้งตระกูลจอมยุทธโบราณ และนิกายลับต่างก็เคยส่งคนของตนเองมากำจัดเหล่าตระกูลใหญ่เช่นกัน จากนั้นก็ว่าจ้างองค์กรภายนอกให้เข้ามาทำหน้าที่ดูแลกิจการของตระกูลใหญ่แทนตนเอง แล้วนำผลประโยชน์ที่ได้ไปสร้างความสะดวกสบายให้กับตระกูล..
และนี่ก็คือธรรมชาติของมนุษย์หากไม่โง่จนเกินไป ก็ย่อมจะคิดได้!
ดังนั้นการที่จะขึ้นมาเป็นตระกูลใหญ่ได้นั้นเสาหลักของตระกูลจะต้องแข็งแกร่งพอที่จะสร้างความยำเกรงให้กับเหล่าจอมยุทธโบราณและนิกายลับได้ด้วย หากต้องการใช้งานคนเหล่านี้ ก็ต้องใช้วิธีการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ เรียกว่าต่างฝ่ายต่างเอื้อผลประโยชน์ซึ่งกันและกัน!
ดังนั้นในเจ็ดตระกูลใหญ่ก็ต้องมียอดฝีมือขั้นเซียงเทียน-7 อยู่อย่างน้อยหนึ่งคน ไม่เช่นนั้นก็ย่อมเป็นเรื่องง่ายที่ตระกูลใหญ่จะถูกฝ่ายตรงข้ามทำร้าย หรือทำลายได้ตลอดเวลา
ส่วนนิกายลับนั้น..หากไม่แข็งแกร่งจริง ก็ยากที่จะก่อตั้งสำนักขึ้นมาได้ และทำให้ยืนหยัดอยู่ได้!
แต่ถึงกระนั้นหลิงหยุนเองก็มีของวิเศษอย่างพู่กันและสมุดจักรพรรดิเช่นกันแต่ก็ไม่รู้ว่าของวิเศษของเขานั้นจะใช้กับยอดฝีมือขั้นเซียงเทียน-9 ได้หรือไม่
อีกทั้งเวลาก็ล่วงเลยมานานมากแล้วผู้ที่เป็นเจ้าของพู่กันและสมุดจักรพรรดิต่างก็สิ้นอายุขัยไปหมดแล้ว
ทั้งตู้กู่โม่และตงฟางถิงต่างก็พูดเหมือนกันว่าผู้ที่สามารถฝึกจนถึงขั้นรู้แจ้งหรือสูงกว่านั้น ก็น่าจะมีท่านจางซานเฟิง..
หลิงลี่ตบบ่าหลิงหยุนพร้อมกับเริ่มอธิบายให้เขาฟัง..
“ขั้นเซียงเทียน-7และขั้นเซียงเทียน-8 นั้น แบ่งออกเป็นระดับเริ่มต้น ระดับกลาง และระดับสูงสุด!”
“แต่ขั้นเซียงเทียน-9นั้นแตกต่างจากนั้น ในยุทธภพได้แบ่งออกเป็นสิบระดับย่อย!”
“หากผ่านสิบระดับย่อยนี้ไปได้คนผู้นั้นก็จะสามารถเข้าสู่ขั้นรู้แจ้งได้!”
“ขั้นเซียงเทียน-9นั้นแตกต่างจากขั้นก่อนหน้านี้ เพราะจอมยุทธที่ฝึกมาถึงขั้นนี้นั้น นับว่าเข้าใกล้สู่การรวมเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติแล้ว และคนผู้นั้นจะมีจิตหยั่งรู้ที่ทรงพลัง และมีพลังที่เหนือธรรมชาติ!”
“และจิตหยั่งรู้ที่ทรงพลังนี้ก็จะสามารถสร้างสรรวิธีการต่อสู้ผ่านการบ่มเพาะได้อย่างหลากหลาย ในสายตาของจอมยุทธด้วยกัน รวมถึงคนธรรมดา ต่างก็มองว่าเป็นเรื่องเหนือธรรมชาติ!”
“ตราบใดที่คนผู้นั้นฝึกฝนจนเข้าสู่ระดับที่เก้าของขั้นเซียงเทียน-9ได้แล้ว ไม่จำเป็นต้องถึงระดับสิบซึ่งเป็นระดับสูงสุด คนผู้นั้นก็จะถูกจดจำในฐานะว่าเป็น ‘คนพวกนั้น’ แล้ว!”
หลิงหยุนเคยได้ยินเรื่องของ‘คนพวกนั้น’ มาถึงสามครั้งแล้ว แต่เพิ่งเคยได้ยินว่าหากฝึกถึงขั้นเซียงเทียน-9 จะสามารถมีพลังเหนือธรรมชาติได้ จึงได้แต่คิดว่าหากเขาฝึกถึงขั้นพลังชี่-4 เมื่อใด ก็จะสามารถเหาะเหินเดินอากาศได้ เช่นนี้จะเรียกพลังเหนือธรรมชาติได้หรือไม่!
‘คนพวกนั้น’ที่ในยุทธภพมักพูดถึงกันนั้น ก็คือผู้ที่มีพลังเหนือธรรมชาติซึ่งเกิดจากการฝึกฝนจนเข้าสู่ขั้นเซียงเทียน-9 และมีโอกาสเข้าสู่ขั้นรู้แจ้งได้นั่นเอง!
และหากเข้าสู่ขั้นรู้แจ้งได้ก็ย่อมสามารถเข้าสู่
หากคนเหล่านี้สามารถเข้าสู่ขั้นรู้แจ้งได้ก็จะไม่สนใจใยดีกับโลกมนุษย์อีก และจะเริ่มเข้าสู่โลกอมตะแห่งเต๋าเช่นเกียวกับแนวทางบ่มเพาะของหลิงหยุน!
‘ข้าจะไม่โดดเดี่ยวอีกต่อไปแล้ว!’แทนที่หลิงหยุนจะหงุดหงิดหรือขุ่นเคืองใจ เขากลับรู้สึกดีใจ..
และนี่เป็นครั้งแรก..ที่หลิงหยุนรู้สึกว่าเลือดในกายของเขาสูบฉีดอย่างรุนแรง!
เพราะการฝึกบ่มเพาะนั้นยิ่งฝึกถึงขั้นที่แข็งแกร่งที่สุด ก็จะยิ่งรู้สึกโดดเดี่ยวที่สุด เรียกได้ว่ายิ่งสูงก็ยิ่งหนาว!
เพราะเมื่อใดก็ตามที่ฝึกฝนไปจนถึงขั้นที่มองลงมาเห็นผู้คนไม่ต่างจากมดตัวหนึ่งเท่านั้นและยากที่จะหาคู่ต่อสู้ที่ใดได้อีกแล้ว เช่นนี้การฝึกฝนยังจะมีประโยชน์อะไรอีกเล่า
“ตระกูลเฉินมีอย่างน้อยสองคนที่อยู่ในระดับสูงสุดขั้นเซียงเทียน-8และอีกหนึ่งคนอยู่ในระดับหนึ่งขั้นเซียงเทียน-9 หลิงหยุน.. เจ้าหวาดกลัวพวกเขาหรือไม่” หลังจากที่อธิบายจนจบแล้ว หลิงลี่ก็จ้องหน้าหลิงหยุนพร้อมกับร้องถามขึ้นมา
“ท่านปู่..ข้าไม่รู้สึกหวาดกลัวเลยแม้แต่น้อย! ข้าว่าน่าสนใจมากกว่า..” หลิงหยุนยิ้มให้หลิงลี่พร้อมกับตอบด้วยความมั่นอกมั่นใจ
หลิงหยุนนั้นมักจะแสดงความกล้าหาญเสมอในยามที่ต้องพบเจอกับความยากลำบาก!
หลิงลี่หัวเราะอย่างมีความสุขพร้อมกับตบไหล่หลิงหยุน“เจ้าช่างเป็นเด็กที่กล้าหาญนัก! อายุเพียงแค่สิบแปดปี แต่กลับไม่หวาดกลัวต่อยอดฝีมือขั้นเซียงเทียน-8!”
“เอาล่ะ..เรามาคุยเรื่องของตระกูลเกากันต่อ!”
บทที่ 736 : โกลาหล!
“หลิงหยุน..ตระกูลหลิงของเราก็มีศัตรูมากมายเช่นกัน คงเป็นไปไม่ได้ที่จะจับศัตรูทั้งหมดมัดรวมกันแล้วใช้ปืนกลยิงกราดให้ตายในคราเดียว!”
“การแก้แค้นตระกูลเฉินนั้นหากต้องอดทนรออีกหน่อยก็คงจะไม่เป็นไร เพราะตระกูลหลิงของเราก็ทนให้ผู้อื่นเหยียดหยามมานานถึงสิบแปดปีแล้ว ทนอีกหน่อยจะเป็นไรไปเล่า!”
หลิงลี่จ้องมองหลิงหยุนด้วยความเป็นห่วงเหตุใดเขาจึงเล่าเรื่องราวในโลกยุทธภพให้หลิงหยุนฟังอย่างนั้นหรือ
หลิงลี่รู้ว่าหลิงหยุนนั้นยังเด็กนักแม้ว่าจะมีกำลังภายในที่แข็งแกร่ง และยังมีไพ่ตายอยู่ในมืออีกมากมาย ทำให้สามารถสังหารยอดฝีมือตระกูลเฉินไปได้จำนวนมาก จนทำให้อีกฝ่ายต้องสูญเสียไม่น้อย แต่เมืองหลวงซึ่งเปรียบเหมือนดินแดนจักรพรรดินั้น ก็เป็นที่ที่ไม่อาจประมาทได้เช่นกัน!
หลังจากที่เลือดในตัวเดือดพล่านหลิงหยุนก็ค่อยๆสงบลง เขายิ้มเล็กน้อยแล้วจึงตอบกลับไปว่า
“ท่านปู่..ท่านอย่าได้กังวลใจไป ข้าเข้าใจดีและจะไม่ทำอะไรประมาทอย่างเด็ดขาด!”
แต่แล้วรังสีสังหารก็ปรากฏขึ้นมาในแววตาของหลิงหยุนวูบหนึ่งเขากำหมัดแน่นพร้อมกับพูดขึ้นมาว่า “แต่.. หากพวกมันกล้าคิดร้ายกลับตระกูลหลิงอีก ข้าจะรายงานให้ท่านปู่ทราบก่อนล่วงหน้า!”
หลิงลี่ยิ้มออกมาอย่างพอใจ“เจ้าเข้าใจสิ่งที่ปู่พูดก็ดีแล้ว! เพราะสิ่งที่ปู่พูดนั้น ไม่ได้เป็นเรื่องของตระกูลเฉิน ตระกูลเกา หรือตระกูลหลิงเพียงเท่านั้น!”
“แต่นี่คือการเดิมพันครั้งใหญ่ของตระกูลใหญ่ทั้งเจ็ดตระกูลเรียกได้ว่าเป็นเกมการเมืองระดับประเทศเลยก็ว่าได้ และเกี่ยวข้องกับโลกยุทธภพ นี่คือช่วงของเวลาการสับเปลี่ยนอำนาจ!”
“ตระกูลเฉินลงมือกับตระกูลเกาเช่นนี้เพิ่งจะเป็นการจุดชนวนขึ้นเท่านั้น อีกไม่นานคลื่นแห่งความปั่นป่วนโกลาหลก็กำลังจะเกิดขึ้น และไม่เพียงแค่ในปักกิ่งเท่านั้น แต่จะเกิดขึ้นทั่วทั้งประเทศจีนเลยทีเดียว และจะปั่นป่วนต่อเนื่องเช่นนี้นานถึงสามหรือห้าปีนี้อย่างแน่นอน!”
“การที่ตระกูลเฉินส่งคนมากำจัดตระกูลหลิงนั้นเพราะพวกเขาเกรงว่าหลังจากที่เจ้าช่วยลุงสองออกมาแล้ว แผนการและเป้าหมายในการที่จะขึ้นเป็นตระกูลอันดับหนึ่งแทนตระกูลหลงก็จะถูกเปิดเผย เมื่อถึงเวลานั้น ตระกูลเฉินเองก็ต้องถูกทำลายเช่นกัน!”
“แทบไม่ต้องรอให้ตระกูลอันดับหนึ่งอย่างตระกูลหลงลงมือเองด้วยซ้ำไปเพียงแค่ตระกูลหลงพยักหน้า กลุ่มนภาก็จะเป็นฝ่ายออกหน้าทำลายเสาหลักของตระกูลเฉินแทน และถึงเวลานั้นตระกูลเฉินก็จะตกต่ำลงในทันที!”
“หากเจ้าไม่สังหารยอดฝีมือของตระกูลเฉินและช่วยลุงสองของเจ้าออกมาเช่นนี้ ตระกูลเฉินก็คงจะไม่ส่งคนมาทำลายตระกูลหลิงเช่นกัน พวกเขาก็จะเพียงแค่จับลุงสองของเจ้าขังไว้นานหน่อยเท่านั้น แต่รับรองว่าจะไม่ทำร้ายลุงสองของเจ้าอย่างแน่นอน เจ้าเข้าใจหรือไม่”
“ตระกูลเฉินเพียงแค่ต้องการการสนับสนุนจากตระกูลหลิงเท่านั้น..”
เมื่อพูดมาถึงตรงนี้หลิงลี่ก็หัวเราะออกมาพร้อมกับส่ายหน้า “เฮ้อ.. เจ้าคงคิดไม่ถึงสินะว่าตลอดสิบแปดปีมานี้ ตระกูลหลิงของเราจะอ่อนแอถึงเพียงนี้..”
ตระกูลเฉินยอมใช้วิธีที่น่าอับอายอย่างแวมไพร์เข้าจัดการกับตระกูลเกาแต่กับตระกูลหลิงนั้น ตระกูลเฉินเพียงแค่จับตัวหลิงเย่วซึ่งเป็นหนึ่งในเสาหลักของตระกูลหลิงไป เห็นได้ชัดว่าตระกูลเฉินนั้นไม่ได้มองตระกูลหลิงเป็นศัตรู แต่เพียงแค่ไม่เห็นตระกูลหลิงอยู่ในสายตาเท่านั้น
และนี่คือความจริง..ก่อนที่หลิงหยุนจะกลับเข้าตระกูลนั้น ในสายตาของตระกูลอื่นๆนั้น ล้วนมองตระกูลหลิงเป็นตระกูลในอันดับที่ยี่สิบกว่าด้วยซ้ำไป..
“เรื่องของตระกูลเกานั้นเกิดขึ้นมาครู่ใหญ่แล้ว แต่กลุ่มต่างๆ และตระกูลต่างๆในปักกิ่งกลับยังคงนิ่งเฉย เรื่องนี้ลุงใหญ่ของเจ้าก็ได้มารายงานให้ข้ารู้สักพักแล้ว!”
“จนถึงบัดนี้ก็ยังไม่มีตระกูลใดออกหน้าทุกคนได้แต่เฝ้าดูสถานการณ์เท่านั้น!”
หลิงหยุนถึงกับร้องถามขึ้นมา“แล้วกลุ่มต่างๆในเมืองหลวงรออะไรรึท่านปู่ พวกเขารอดูท่าทีของตระกูลหลง และตระกูลเย่อยู่อย่างนั้นหรือ? หรือรอให้ตระกูลอันดับหนึ่งเป็นผู้ตัดสินใจ!”
หลิงหยุนได้แต่นึกถึงเกาเทียนหลง..‘ตระกูลของเจ้าต้องเผชิญกับหายนะเช่นนี้ แต่ทุกคนเอาแต่นิ่งเฉย เพราะเกรงกลัวปัญหาที่จะตามมา เกาเทียนหลง.. หากเจ้าจะหาความไว้เนื้อเชื่อใจจากผู้ใด ก็คงมีแต่วิญญาณเท่านั้นล่ะ! อีกทั้งศัตรูของเจ้าก็คือตระกูลเฉินที่แข็งแกร่งอีกด้วย!’
ยิ่งไปกว่านั้น..ศัตรูของเจ้าก็คือตระกูลลเฉินที่แข็งแกร่งอีกด้วย!
หลิงลี่พูดต่อ“เดิมทีนั้น.. เมืองหลวงก็มักจะมีคลื่นใต้น้ำอยู่ตลอดเวลา แต่แต่ละตระกูลก็ล้วนถ่วงดุลย์อำนาจซึ่งกันและกันอยู่ แต่การที่ตระกูลเฉินทำลายตระกูลเกาเช่นนี้ ก็เท่ากับทำลายสมดุลเหล่านี้ไปด้วย..”
“แต่การที่ตระกูลเฉินใช้แวมไพร์ควบคุมคนตระกูลเกาให้ตกเป็นทาสนั้นทำให้ดูเหมือนว่าตระกูลเกายังคงอยู่ดี แต่การที่เจ้าช่วยลุงสองออกมาเมื่อคืนนี้ ก็ได้ทำลายสมดุลนั้นไปด้วยเช่นกัน”
“ปู่บอกเจ้าได้เลยว่า.. เวลานี้ทั้งปักกิ่งคงได้ยินข่าวคราวเรื่องราวในคืนนี้จนหมดแล้ว และคงไม่มีใครได้หลับได้นอนแน่!”
หลิงลี่หันไปมองเหล่ากุ่ยก่อนจะพูดยิ้มๆ“หากไม่ใช่เพราะเจ้า.. ตระกูลเฉินคงจะไม่ส่งนินจาทั้งสามสิบหกคนมาที่นี่แน่..”
หลิงลี่หันไปมองทางประตูเวลานี้ท้องฟ้าเริ่มสว่างไสว พระอาทิตย์ก็โผล่ขึ้นสู่ท้องฟ้า และเวลานี้ก็หกโมงเช้าแล้ว
หลิงลี่ยิ้มขื่นก่อนจะพูดต่อว่า“หากปู่คาดไม่ผิด.. วันนี้คงจะมีคนมาเยี่ยมเยียนตระกูลหลิงมากมายเลยทีเดียว พวกเขาล้วนต้องการมาสืบหาความจริง ปู่คงต้องแกล้งป่วยแล้วล่ะ!”
หลิงหยุนพึมพำออกมา“แล้วเหตุใดท่านปู่ต้องแกล้งป่วยด้วยเล่า”
หลิงลี่หัวเราะ“ก็เมื่อคืนเจ้าทำให้ข้าเข้าสู่ระดับเริ่มต้นขั้นเซียงเทียน-8 ข้าก็เลยต้องแกล้งป่วยน่ะสิ!”
หลิงหยุนถึงกับพูดไม่ออกและยกมือขึ้นเกาศรีษะ
“หลิงหยุน..เรื่องที่พ่อของเจ้าหายตัวไปนั้น ยังไม่รู้ว่าใครเป็นผู้จับตัวเขาไป ก่อนที่จะหาพ่อของเจ้าพบและช่วยออกมาได้ เจ้าจะต้องไม่แสดงขั้นกำลังภายในของตนเองออกมาให้ผู้อื่นล่วงรู้ และต้องไม่แสดงความอหังการใดๆ เพราะจะทำให้ฝ่ายนั้นไหวตัวรีบทำร้ายพ่อของเจ้าได้”
เมื่อพูดถึงหลิงเสี่ยวหลิงหยุนก็ร้องถามขึ้นมาอย่างกังวลใจ “ท่านปู่.. ท่านพ่อจะไม่ได้รับอันตรายถึงชีวิตใช่หรือไม่”
หลิงลี่นิ่งเงียบไปครู่หนึ่งและตอบกลับมาว่า “หลิงหยุน.. เจ้าอย่าได้กังวลใจไป กำลังภายในของพ่อเจ้าอยู่เพียงแค่ขั้นโฮ่วเทียน-5 เท่านั้น ศัตรูที่จับตัวเขาไปคงไม่ได้หวังชีวิต แต่น่าจะมีจุดประสงค์อื่นที่มากกว่านั้น..”
“อย่าลืมว่าพ่อของเจ้าไม่เพียงข้องเกี่ยวกับตระกูลหลิงแต่ยังข้องเกี่ยวกับแม่แท้ๆของเจ้าด้วย แม่ของเจ้าน่ะเป็นถึงธิดาพรรคมาร หากใครที่คิดจะทำร้ายพ่อของเจ้าแล้วล่ะก็ มันผู้นั้นคงต้องประเมินฝีมือของตนเองให้ดี ว่าจะสามารถเอาชนะแม่ของเจ้าได้หรือไม่”
ได้ฟังเช่นนี้หลิงหยุนก็ถึงกับถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก..
“หลิงหยุน..จำไว้ว่าเจ้าห้ามเปิดเผยฐานะของตนเองโดยเด็ดขาด จนกว่าจะช่วยพ่อของเจ้าออกมาให้ได้ก่อน เจ้าจะต้องเก็บเรื่องนี้เป็นความลับอย่างดีที่สุด!”
“สำหรับเรื่องของตระกูลเกานั้นปู่จะรีบจัดการหาสถานที่ที่ปลอดภัย และนำตัวพวกเขามาไว้ในที่แห่งนี้โดยเร็วที่สุด เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องเป็นกังวลอีก..”
หลิงหยุนเกาศรีษะ“ท่านปู่.. แต่ยังมีอีกหนึ่งคนในตระกูลเกาที่ข้าจะต้องไปช่วยออกมาโดยเร็วที่สุด และจะช้าไม่ได้..”
หลิงลี่ยิ้มเขาจ้องมองหลิงหยุนอยู่นาน แล้วจึงพูดขึ้นว่า “หลิงหยุน.. นี่เจ้าหมายถึงเกาเฉินเฉินใช่หรือไม่”
หลิงหยุนหน้าแดงเล็กน้อยและพยักหน้าแทนคำตอบ..
“เกาเฉินเฉินเป็นคนรักของเจ้างั้นรึ”หลิงลี่ไม่เคยเห็นหลิงหยุนเป็นห่วงใครมากเช่นนี้ จึงได้แต่เอ่ยถาม
หลิงหยุนพยักหน้า“เอ่อ.. คือ..”
“เจ้าเด็กตัวแสบ..นี่เจ้ามีคนรักกี่คนกันแน่ เท่าที่เหล่ากุ่ยเล่าให้ข้าฟัง ดูเหมือนว่าจะไม่น้อยเลยทีเดียว..”
หลิงลี่หัวเราะพร้อมกับพูดขึ้นว่า“ถ้าเช่นนั้น.. หลังจากพาตัวนางกลับมาได้แล้ว ก็อย่าลืมพามาหาปู่ด้วยล่ะ!”
หลิงหยุนพยักหน้าหงึกๆเหงื่อตกและต้องการจะข้ามหัวข้อนี้ไปโดยเร็วที่สุด
“ท่านปู่..บ้านตระกูลเฉินที่อยู่ทางด้านใต้ของปักกิ่งออกไปทางถนนวงแหวนที่ห้าใกล้กับต้าชิงนั้น เป็นบ้านเดิมของตระกูลเฉินใช่หรือไม่!”
หลิงลี่พยักหน้าและตอบกลับมาว่า“ถูกต้อง.. ยอดฝีมือที่เก่งกาจของตระกูลเฉินทั้งสามคนก็น่าจะอยู่ที่นั่นด้วย แต่เฉินเจี้ยนกุ่ยไม่น่าจะซ่อนเกาเฉินเฉินไว้ที่นั่น!”
หลิงหยุนพยักหน้า“ข้าจะต้องหาตัวเกาเฉินเฉินให้พบ+”
“ดี..แต่เจ้าก็ต้องระมัดระวังตัวด้วย!”
และหลังจากได้ฟังคำบอกเล่าของหลิงลี่หลิงหยุนก็ยิ่งเพิ่มความระมัดระวังตัวมากขึ้นอีกเป็นร้อยเท่า