Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร - บทที่ 769-770
บทที่ 769 : ขิงยิ่งแก่ก็ยิ่งเผ็ด!
“ท่านปู่..”
เกาเฉินเฉินกับเกาเทียนหลงเมื่อได้ฟังคำพูดเช่นนั้นจากปากของเกาจิ้นสงก็ถึงกับร้องอุทานออกมาอย่างตกใจ..
ดวงตาสีแดงเข้มจ้องมองหลานสาวกับหลานชายด้วยความรู้สึกสงสารและรู้สึกผิด เกาจิ้นสงยกมือขึ้นประสานกันแสดงความเสียใจพร้อมกับพูดต่อว่า
“ปู่รู้ดีว่า..ที่ตระกูลเกาต้องมาพบกับชะตากรรมเช่นนี้ ล้วนเป็นเพราะปู่ที่เลือกทางเดินผิดเอง ปู่นำตระกูลเกาไปในทางที่ผิด ตระกูลเกาจึงต้องมีวันนี้!”
“ผ่านมาหลายวัน..ปู่จึงได้รู้และเข้าใจว่าตระกูลใหญ่อย่างเรานั้น สิ่งที่จะทำให้ตระกูลของเราสามารยืนหยัดอยู่ได้ มีเพียงความแข็งแกร่งเท่านั้น!”
“เวลานี้..ตระกูลใหญ่ต่างก็พากันต่อสู้แย่งชิงอำนาจกัน ต่อให้ภาพภายนอกดูยิ่งใหญ่มากมายเพียงใด แต่หากศัตรูจ้องจะเล่นงานแล้วล่ะก็ พวกเราก็ไม่มีโอกาสแม้แต่จะตอบโต้เพื่อป้องกันตัวเอง! ทำให้ตระกูลเกาของเราต้องเดินมาพบจุดจบเช่นนี้!”
“อำนาจล้วนแล้วแต่ถูกควบคุมโดยมนุษย์ตราบใดที่ถูกความตายพรากชีวิตไป ทุกสิ่งทุกอย่างแม้แต่อำนาจ ก็จะไม่ใช่ของเราอีกต่อไป!”
“ไม่ว่าสังคมจะเจริญก้าวหน้าไปมากเพียงใดและไม่ว่าโลกจะพัฒนาไปไกลแค่ใหน? ความแข็งแกร่งก็ยังคงเป็นเพียงเสาหลักเดียวอย่างแท้จริง! แต่จะสร้างความแข็งแกร่งก็ไม่ใช่เรื่องง่าย..”
“อำนาจเงิน และวัตถุสิ่งต่างๆ ล้วนเป็นเพียงแค่เครื่องประดับของความแข็งแกร่งเท่านั้น! ตราบใดที่มีความแข็งแกร่ง ทุกสิ่งทุกอย่างก็จะตามมาเองตามธรรมชาติ..”
หลิงหยุนนิ่งฟังพร้อมกับพยักหน้าเห็นด้วยและในใจก็คิดว่าชายชราเพิ่งจะมาคิดได้ในเวลานี้ มันก็สายไปเสียแล้ว!
หลิงหยุนเป็นผู้ที่เข้าใจในเรื่องนี้ได้ดีที่สุดไม่เช่นนั้นตั้งแต่เมื่อครั้งที่อยู่ในโลกบ่มเพาะที่ยิ่งใหญ่ สิ่งที่เขาเสาะหาให้กับตนเองจึงมีเพียงแค่สิ่งเดียวนั่นก็คือ ‘ความแข็งแกร่ง’ หลิงหยุนจึงพยายามที่จะฝึกฝนอย่างหนักเพื่อพัฒนาขั้นกำลังภายในของตนเองให้เหนือกว่า แข็งแกร่งกว่า และเก่งกว่าใครๆ
แต่ถึงแม้เกาจิ้นสงจะพูดเรื่องนี้ในเวลานี้หลิงหยุนก็ยังเชื่อว่าเกาจิ้นสงนั้นไม่เข้าใจความจริงข้อนี้อย่างลึกซึ้งจริงๆ เพราะหลักการเรื่องคนอ่อนแอย่อมเป็นเหยื่อของคนที่แข็งแกร่งกว่านั้น เป็นเรื่องที่แม้แต่เด็กประถมก็รู้ แต่ปัญหาคือทุกคนใส่ใจกับมันมากเพียงใดต่างหาก
ตระกูลเกาอยู่ในวังวนของเกมการเมืองมานานถึงหลายทศวรรษและเพิกเฉยต่อเสาหลักสำคัญข้อนี้ จึงพูดได้เต็มปากว่าการที่ตระกูลเกาต้องมีชะตากรรมเช่นในวันนี้ ก็ล้วนแล้วแต่เป็นผลมาจากความคิดที่ผิดพลาดของเกาจิ้นสง
ลองจินตนาการดูว่าหากเฉินเจี้ยนกุ่ยกลับมาประเทศจีนแต่ตระกูลเกามีผู้นำตระกูลที่แข็งแกร่ง ต่อให้อยู่เพียงแค่ขั้นเซียงเทียน-7 เฉินเจี้ยนกุ่ยก็คงยากที่จะทำสำเร็จได้ง่ายๆ
“ความแข็งแกร่งเท่านั้น!”เกาจิ้นสงกำหมัดแน่น
“เทียนหลง..เฉินเฉิน.. เวลานี้เหลือเจ้าเพียงสองคนในตระกูลเกาเท่านั้นที่ยังเป็นมนุษย์ ปู่มีเรื่องต้องขอร้องพวกเจ้า.. ไม่สิ! ปู่มีภารกิจที่จะต้องขอให้พวกเจ้าทำให้สำเร็จ!”
“ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปพวกเจ้าต้องตั้งใจฝึกฝนกำลังภายใน และพัฒนาตนเองให้เข้าสู่ขั้นเซียงเทียน-7 ให้ได้เป็นอย่างน้อย!”
“พวกเจ้าทั้งคู่ตอบปู่มาว่าพวกเจ้ามั่นใจหรือไม่ว่าจะทำได้”
เกาจิ้นสงพูดในสิ่งที่ต้องการพูดจนหมดแล้วจึงหันไปสั่งหลานสาวและหลานชายพร้อมกับรอคอยคำตอบ..
เกาเทียนหลงและเกาเฉินเฉินถึงกับสั่นเทิ้มไปทั้งร่างสองพี่น้องกำหมัดแน่น ทั้งคู่พยักหน้าด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย จากนั้นจึงเดินตรงไปหาเกาจิ้นสงพร้อมกับคุกเข่าลงกับพื้น
“ท่านปู่อย่าได้เป็นห่วงหลานทั้งสองจะทำตามความประสงค์ของท่านปู่ และจะตั้งใจฝึกฝนอย่างหนัก!”
เกาจิ้นสงได้ฟังก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอกจากนั้นจึงพูดออกมาอย่างสบายอกสบายใจ
“ดี..ดีมาก.. พวกเจ้าสองคนลุกขึ้นเถิด!”
หลังจากที่เกาเทียนหลงและเกาเฉินเฉินลุกขึ้นและกลับไปยืนที่เดิมแล้ว เกาจิ้นสงก็หันไปมองหลิงหยุนที่นั่งนิ่งอยู่ตรงกลางพร้อมกับยิ้มออกมาเล็กน้อย..
แม้ว่าหลิงหยุนจะนั่งหลับตาแต่จิตหยั่งรู้ของเขานั้นมองเห็นเหตุการณ์ทุกอย่างทุกการเคลื่อนไหวของเกาจิ้นสงจึงอยู่ในการรับรู้ของเขาทั้งหมด หลิงหยุนรับรู้ได้ว่าสายตาของชายชราเวลานี้ไม่ต่างจากสายตาของสุนัขจิ้งจอกเฒ่าที่เจ้าเล่ห์ และจู่ๆหลิงหยุนก็รู้สึกเย็นวาบขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
“เทียนหลง..เฉินเฉิน.. พวกเจ้าสองคนมุ่งมั่นเช่นนี้ ปู่ได้เห็นก็มีความสุขมากแล้ว แต่ตระกูลเกาของเราไม่ใช่ตระกูลจอมยุทธเก่าแก่ การจะฝึกวรยุทธจึงไม่ใช่เรื่องง่าย และสิ่งที่ยากที่สุดก็คือการเสาะหาอาจารย์ที่เป็นยอดฝีมือ..”
“แต่นับว่าเป็นโชคดีของพวกเจ้าเพราะเวลานี้ยอดฝีมือที่ยากจะให้ใครเทียบนั้นได้อยู่ต่อหน้าพวกเจ้าทั้งคู่แล้ว เทียนหลง.. เฉินเฉิน.. ยังไม่รีบคาราวะเขาเป็นอาจารย์อีกรึ”
เกาเทียนหลงเข้าใจความหมายของเกาจิ้นสงได้ในทันทีเขาหันไปมองหลิงหยุนจากนั้นจึงหันไปมองน้องสาวของตนเอง..
เกาเฉินเฉินถึงกับฮึมฮัมอยู่ในลำคอก่อนจะหัวเราะคิกคักออกมาเมื่อหันไปมองหน้าหลิงหยุนจากนั้นจึงคุกเข่าลงพร้อมกับพูดขึ้นว่า..
“อาจารย์..ได้โปรดรับเกาเฉินเฉินเป็นศิษย์ด้วย!” เกาเฉินเฉินพูดพร้อมกับหัวเราะคิกคัก
เกาเทียนหลงเองก็ขมวดคิ้วพร้อมกับทำตามเกาเฉินเฉิน..
หลิงหยุนถึงกับพูดไม่ออกแต่ก็ช้าเกินไปที่จะลุกขึ้นไปห้ามได้ เขาจึงรีบปล่อยมือที่กอดอกอยู่ และส่งกำลังภายในผ่านฝ่ามือไปยับยั้งร่างของเกาเทียนหลง และเกาเฉินเฉินไม่ให้คุกเข่าได้
เกาจิ้นสงและเกาซิงฉางได้เห็นภาพนั้นก็ถึงกับตกใจจนแทบช็อค!
การที่หลิงหยุนสามารถควบคุมลมปราณภายในร่างกายได้ดีถึงเพียงนี้เขาต้องอยู่ในขั้นใหนกันแน่!
หลังจากนั้น..หลิงหยุนก็รีบลุกขึ้น และพุ่งตัวไปหาเกาจิ้นสงที่กำลังยืนงงอย่างรวดเร็ว
“ท่านปู่เกา..ถึงอย่างไรข้าก็ต้องช่วยฝึกวรยุทธให้กับเฉินเฉินและพี่เทียนหลงอยู่แล้ว เพียงแต่ระหว่างพวกเราสามคนคงไม่จำเป็นต้องใช้คำว่าอาจารย์.. และข้าเองก็ไม่ต้องการเช่นนั้น!”
คนหนึ่งคือหญิงคนรักที่หลิงหยุนเพิ่งจะไปช่วยออกมาให้รอดพ้นจากความตายส่วนอีกคนก็คือพี่ชายของว่าที่ภรรยา หากทั้งคู่ต้องกราบเขาเป็นอาจารย์จริงๆ ก็คงจะสนุกสนานไม่น้อยเลยทีเดียว
“ถ้าเช่นนั้นก็ยิ่งดี..ชายชราเช่นข้าก็จะไม่ฝืนใจเจ้าอีกแล้ว!” เกาจิ้นสงร้องบอกพร้อมหลิงหยุนด้วยรอยยิ้ม
“ท่านปู่เกา..อย่าได้กล่าวเช่นนั้นเลย!”
สุนัขจิ้งจอกเฒ่าก็ย่อมเป็นสุนัขจิ้งจอกเฒ่าอยู่วันยังค่ำ! เกาจิ้นสงนั้นอยู่ในเกมการเมืองเช่นนี้มาหลายทศวรรษ มีหรือที่จะไม่มีเล่ห์เหลี่ยม และเพียงคำพูดไม่กี่คำก็สามารถต่อรองให้หลิงหยุนยอมสอนวรยุทธให้กับหลานชายและหลานสาวได้!
เวลานี้คนตระกูลเกาทั้งสิบสองคนต่างก็รับรู้แล้วว่าในวันข้างหน้าไม่ช้าก็เร็วเกาเฉินเฉินก็จะต้องกลายเป็นผู้หญิงของหลิงหยุนอย่างแน่นอน เรื่องนี้แม้แต่คนโง่ก็ยังดูออก แต่เกาจิ้นสงไม่ต้องการเพียงเท่านั้น เขายังมีอีกสองสามเรื่องที่ยังไม่ได้พูดกับหลิงหยุน..
“เอาล่ะ..หากไม่มีอะไรแล้ว ข้าก็ยังมีเรื่องที่ต้องพูดอีกสองสามเรื่อง”
เมื่อเห็นว่าหลิงหยุนรับปากง่ายดายเช่นนี้เกาจิ้นสงก็พูดต่อด้วยสีหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความสุข
“หลิงหยุน..เวลลานี้ตระกูลเกาเองก็คงไม่ต้องปกปิดอะไรเจ้าอีกแล้ว!”
เมื่อรับมาก็ย่อมต้องให้กลับคืน..คำพูดนี้เกาจิ้นสงเข้าใจดีกว่าใครๆ และสิ่งแรกที่เกาจิ้นสงมอบให้กับหลิงหยุนคือความไว้วางใจ
เพราะหากแม้แต่เรื่องแค่นี้ตระกูลเกายังไม่สามารถให้หลิงหยุนได้เขาก็คงจะไม่เสียเวลาทำอะไรให้กับตระกูลเกาอีก
“ขอบอกกับเจ้าตามตรง..เรื่องที่คนตระกูลเกาได้กลายเป็นแวมไพร์นั้น ตระกูลใหญ่ในประเทศนี้ล้วนแล้วแต่รู้เรื่องหมดแล้ว!”
หลิงหยุนคิดใคร่ครวญถึงเมื่อครั้งที่เหล่ากุ่ยได้ยินเรื่องแวมไพร์เป็นครั้งแรกแม้ว่าสีหน้าของเขาจะดูประหลาดใจสุดขีด แต่เพียงแค่ประเดี๋ยวเดียวก็สามารถยอมรับได้
เช่นเดียวกับที่หลิงหยุนพาเพียร์ซกับจอยซ์ไปช่วยคนตระกูลหลิงตระกูลหลิงเองต่างก็มีสีหน้าประหลาดใจเมื่อได้เห็นแวมไพร์ทั้งสี่ตนที่เป็นบริวารของเขา
เช่นนั้นแล้ว..มีหรือที่ตระกูลใหญ่ในประเทศนี้จะไม่เคยล่วงรู้มาก่อนว่าในโลกใบนี้มีแวมไพร์อยู่จริง และหากพวกเขาตอบว่าไม่รู้ แน่นอนว่าพวกเขาก็ย่อมไม่ใช่ตระกูลใหญ่จริง..
เกาจิ้นสงเองก็รู้ว่าหลิงหยุนได้สังหารแวมไพร์หลายร้อยตนมาแล้วเขาจึงไม่ต้องเสียเวลาอธิบายอะไรมาก
“เฉินเฉินนั้นไม่เคยล่วงรู้เรื่องเกี่ยวกับปีศาจหรือแวมไพร์มาก่อน แต่สำหรับข้ากับพ่อของเฉินเฉินนั้น พวกเราต่างก็รู้เรื่องนี้กันดี”
เกาเทียนหลงเองก็เป็นผู้ที่จะมาสืบทอดตระกูลเกาคนต่อไปเขาจึงรู้เรื่องนี้ดีเช่นกัน ดังนั้นเมื่อเขากลับมาบ้านช่วงวันหยุด และได้พบกับความผิดปกติภายในครอบครัว เขาจึงรู้ได้ทันทีว่าตระกูลเกาของตนเองนั้นได้ถูกแวมไพร์ควบคุมไว้หมดแล้ว เขาจึงตัดสินใจเดินทางไปพบหลิงหยุนที่เมืองจิงฉู เพราะรู้ว่าเขาเป็นหมอที่เก่งที่สุด!
“ขอบอกตามตรงไม่มีใครคิดว่าตระกูลเฉินจะกล้าใช้วิธีสกปรกเช่นนี้จัดการกับตระกูลเกา แม้แต่ตัวข้าเอง.. จนถึงตอนนี้ก็แทบไม่อยากจะเชื่อ! ตระกูลเฉินโอหังมากเกินไป กล้าพาแวมไพร์เข้ามาสร้างความปั่นป่วนในประเทศจีน พวกมันเดินหมากเหนือมากทีเดียว..”
จากนั้นเกาจิ้นสงก็เงยหน้าขึ้นถามหลิงหยุนว่า“หลิงหยุน.. เวลานี้สถานการณ์ภายนอกเป็นเช่นไร สงบ หรือว่าโกลาหล?”
หลิงหยุนยิ้มเล็กน้อยก่อนจะตอบไปว่า“อาวุโส.. เวลานี้สถานการณ์ภายนอกเงียบสงัดไร้คลื่นลม แต่ตระกูลเฉินกลับตรงข้าม..”
แน่นอนว่าเวลานี้ตระกูลเฉินต้องโกลาหลอย่างแน่นอนเพราะสองสามวันที่ผ่านมา คนของตระกูลเกาก็ถูกช่วยออกมาจนหมด ยอดฝีมือของตระกูลเฉินมากกว่าร้อยคนก็ถูกสังหาร อีกทั้งเฉินไห่คุนและเฉินเจี้ยนจื่อก็ถูกฆ่าตายเช่นกัน ส่วนเฉินเจี้ยนกุ่ยก็ถูกจับตัวไป ครั้งนี้จึงนับว่าเป็นการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ของตระกูลเฉินหากพวกมันยังสามารถสงบนิ่งอยู่ได้ก็คงเป็นเรื่องที่น่าแปลกมาก
เกาจิ้นสงพยักหน้าและมองด้วยสายตาเย็นชาพร้อมกับพูดขึ้นว่า “สามารถปิดแผ่นฟ้าด้วยฝ่ามือได้เช่นนี้ ดูท่าผู้ที่อยู่เบื้องหลังตระกูลเฉินคงจะไม่ใช่เล็กๆแล้วล่ะ!”
หลิงหยุนสู้กับตระกูลเฉินมาหลายครั้งหลายคราเขาจึงเข้าใจเรื่องนี้ได้ดี จึงพยักหน้าพร้อมกับตอบยิ้มๆ “ท่านปู่เกากล่าวได้ถูกต้องนัก!”
ขิงยิ่งแก่ก็ยิ่งเผ็ดยังคงเป็นความจริง..
เวลานี้ตระกูลเกานับว่ายังอ่อนแอมากแต่ตราบใดที่เกาจิ้นสงมีสติไม่ถูกเลือดแวมไพร์ในตัวควบคุม ก็จะสามารถช่วยงานหลิงหยุนได้อย่างมากมาย
“อาวุโส..ไม่ทราบว่าท่านคิดเห็นเช่นใดในเรื่องนี้”
บทที่ 770 : ผู้ชายเคร่งขรึมมักจะมีเสน่ห์!
เกาจิ้นสงไม่ตอบคำถามของหลิงหยุนตรงๆแต่กลับถามหลิงหยุนแทน
“หลิงหยุน..ข้าได้ยินจากเฉินเฉินกับเทียนหลงว่าความรู้ทางการแพทย์ของเจ้านั้นสูงส่งและล้ำเลิศมาก เรื่องนี้เป็นความจริงหรือไม่”
ความสามารถทางการแพทย์นั้นนับว่าเป็นจุดแข็งของหลิงหยุนเลยก็ว่าได้เขายิ้มเล็กน้อยพร้อมกับตอบเกาจิ้นสงไปว่า
“อาวุโส..ข้าเป็นศิษย์สำนักหมอสวรรค์ ความรู้ด้านการแพทย์ของข้าก็มีเพียงเล็กน้อยเท่านั้น!”
เวลานี้ผู้คนรอบๆตัวหลิงหยุนต่างก็เริ่มคุ้นเคยกับชื่อสำนักหมดสวรรค์บ้างแล้ว และเขาก็ตั้งใจใช้ชื่อนี้สร้างชื่อเสียงให้กับตนเอง
ดังคำพูดว่าหากศิษย์เก่ง อาจารย์ก็ย่อมมีชื่อเสียงไปด้วย หลิงหยุนจึงจำเป็นต้องเอ่ยชื่ออาจารย์ และบอกกับทุกคนว่าเขามาสำนักใด
ทันทีที่เกาจิ้นสงได้ยินชื่อสำนักหมอสวรรค์เขาก็รู้สึกผิดสังเกตุเล็กน้อย และหลังจากใคร่ครวญอยู่นานจึงถามขึ้นว่า
“สำนักหมอสวรรค์งั้นรึเหตุใดข้าจึงไม่เคยได้ยินชื่อสำนักนี้มาก่อน ข้าเคยได้ยินแต่ชื่อสำนักหมอหุบเขาเทวะ..”
หลิงหยุนได้แต่คิดในใจว่า‘เจ้าจะเคยได้ยินอย่างไรเล่า ในเมื่อข้าเพิ่งจะตั้งมันขึ้นมา แต่ต่อไปสำนักนี้จะโด่งดังมาก!’
หลิงหยุนจึงตอบกลับไปว่า“ท่านปู่เกา.. ที่ท่านไม่เคยได้ยินนั้น ก็เพราะว่าสำนักหมอสวรรค์ค่อนข้างเก็บตัว อีกทั้งยังก่อตั้งขึ้นมา และถือคติในการช่วยเหลือคนยากคนจน อีกทั้งยังตั้งหน้าตั้งตาทำแต่คุณงามความดีเท่านั้น จึงไม่สนใจใยดีเรื่องชื่อเสียง อาจารย์ของข้าเดินทางไปรอบโลก ก็ยังมีน้อยคนนักที่จะรู้จักเขา แม้ว่าสำนักหมอสวรรค์จะไม่โด่งดังเป็นที่รู้จัก แต่สำนักหมอหุบเขาเทวะก็ไม่ได้อยู่ในสายตาของสำนักหมอสวรรค์อย่างพวกเราเลย!”
และนี่คือหลิงหยุน!
เกาเฉินเฉินถึงกับหัวเราะคิกคักและยกมือขึ้นปิดปากเพื่อกลั้นหัวเราะจนตัวโยน เธอเองก็เพิ่งจะได้ยินชื่อสำนักหมอสวรรค์เป็นครั้งแรก แต่ที่เธอต้องกลั้นหัวเราะนั้นก็คือคำพูดของหลิงหยุนที่บอกว่า สำนักหมอสวรรค์ตั้งขึ้นมาเพื่อช่วยเหลือคนยากคนใจ และตั้งหน้าตั้งตาทำแต่คุณงามความดีต่างหาก และแน่นอนว่าเกาเฉินเฉินไม่เชื่ออย่างแน่นอน!
ไม่เคยทำเพื่อหวังสิ่งตอบแทนอย่างนั้นหรือนั่นไม่ใช่อุปนิสัยของหลิงหยุน และเรื่องแบบนั้นไม่เคยอยู่ในหัวของเขา!
เกาเฉินเฉินรู้จักหลิงหยุนดีกว่าใครๆ!
แต่ถึงกระนั้น..ท่าทางของหลิงหยุนที่พูดด้วยความนิ่งขรึม ใจเย็น และมั่นอกมั่นใจนั้น ก็ทำให้เกาเฉินเฉินรู้สึกเคลิบเคลิ้มได้ไม่น้อย และนั่นคือบุคลิกที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของหลิงหยุน..
ท่าทางที่ห้าวหาญเย่อหยิ่ง และมั่นอกมั่นใจ ไม่ว่าผู้ที่อยู่ตรงหน้าเขาจะเป็นใคร! นี่คือบุคลิกของหลิงหยุนที่ทำให้เกาเฉินเฉินชื่นชอบ และหลงรักอย่างสุดหัวใจ..
ดังนั้น..เกาเฉินเฉินจึงเพียงแค่นิ่งฟัง และไม่พูดขัดหลิงหยุน!
“มิน่าล่ะ..ข้าอยู่มาจนเฒ่าชราขนาดนี้ ก็เพิ่งจะได้ยินชื่อสำนักหมอสวรรค์เป็นครั้งแรก!”
แทบไม่ต้องพูดถึง..เพราะแม้แต่เกาจิ้นสงเองก็ยังตกตะลึงกับลักษณะท่าทางที่ห้าวหาญเย่อหยิ่งของหลิงหยุน!
“แต่การรักษามนุษย์ที่กลายเป็นแวมไพร์ให้กลับมาเป็นมนุษย์ดังเดิมนั้นแม้ว่าจะเป็นเรื่องที่ยาก แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้!”
ในที่สุดหลิงหยุนก็ตรงเข้าประเด็นสำคัญอีกครั้งเพราะแม้ว่าหลิงหยุนจะบอกว่าเขาสามารถคิดค้นสูตรที่จะมาปรุงยาสำหรับรักษาคนตระกูลเกาที่กลายเป็นแวมไพร์ให้สามารถกลับคืนเป็นมนุษย์ดังเดิมได้นั้น ถึงทุกคนจะไม่ปฏิเสธออกมาตรงๆ แต่ก็ไม่เชื่อว่าหลิงหยุนจะสามารถทำได้สำเร็จ
“เจ้าหมายถึงการที่ต้องไปสืบเสาะหาต้นตระกูลของแวมไพร์ที่ดื่มเลือดของเฉินเจี้ยนกุ่ยเป็นคนแรกงั้นรึ!อย่าไปเสียเวลากับเรื่องไร้สาระเหล่านี้จะดีกว่า..”
คำพูดของเกาจิ้นสงนั้นแม้จะฟังดูไพเราะแต่ก็ต้องการบอกกับหลิงหยุนว่า อย่าได้เสียเวลากับคนที่เหมือนตายไปแล้วเช่นพวกเขาจะดีกว่า สวรรค์คงกำหนดมาให้เป็นเช่นนี้..
หลิงหยุนได้ฟังถึงกับขมวดคิ้วขึ้นมาทันที..
‘อะไรกันข้ายังไม่ทันได้พิสูจน์ฉายาหมออมตะ และสร้างชื่อเสียงให้กับสำนักหมอสวรรค์เลย!’
หลิงหยุนขมวดคิ้วพร้อมกับตอบไปว่า“ท่านปู่.. ท่านคงยังไม่รู้ว่ากระบวนการที่ทำให้มนุษย์กลายเป็นแวมไพร์นั้น มันคือการปล่อยสารบางอย่างในร่างกายของแวมไพร์เข้าไปในร่างกายของมนุษย์! และสารที่ว่านี้ก็จะเข้าไปควบคุมจิตใจ และสร้างความสามารถที่เหนือมนุษย์ให้กับคนผู้นั้น และทำให้คนผู้นั้นไม่สามารถเป็นมนุษย์ปกติได้อีก..”
“แต่ถึงแม้จะมีความสามารถที่เหนือมนุษย์ธรรมดาแต่ก็มีจุดอ่อนอย่างเช่นต้องดื่มเลือดเพื่อมีชีวิต และต้องอยู่ในที่มืดๆเท่านั้น..”
“และทุกสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นล้วนแล้วแต่เป็นผลของสารลึกลับที่แวมไพร์ถ่ายเทลงไปในร่างกายของมนุษย์ในครั้งแรกที่ดื่มเลือดและข้าก็จะเรียกสารลึกลับชนิดนี้ว่าพิษ!”
“และแวมไพร์ทุกตนต่างก็มีพิษชนิดเดียวกันนี้..”
“อาจารย์ของข้าบอกว่าปัญหาทุกอย่างบนโลกใบนี้ล้วนต้องมีวิธีแก้..เช่นเดียวกับที่พิษทุกชนิดย่อมมียาแก้พิษเช่นกัน!”
“และนี่คือเหตุผลว่าเพราะเหตุใดข้าจึงไม่สังหารเฉินเจี้ยนกุ่ยข้าต้องการนำเลือดของมันมาศึกษาหาพิษที่ว่านี้ เพื่อจะได้จัดการปรุงยาแก้พิษที่มีฤทธิ์สามารถเปลี่ยนเลือดของเฉินเจี้ยนกุ่ยให้กลายมาเป็นเลือดของมนุษย์ปกติธรรมดา..”
“การถูกแวมไพร์ดูดเลือดแล้วกลายเป็นบริวารของมันนั้นอาจฟังดูลึกลับน่าหวาดกลัวแต่ความจริงที่เป็นเช่นนั้นได้ก็เพราะพิษที่ว่านี้ ดังนั้นตราบใดที่สามารถหาทางแก้พิษนี้ได้ การเป็นแวมไพร์ก็ไม่ได้มีความหมาย หรือเป็นเรื่องที่น่าหวาดกลัวอีกต่อไป..”
หลิงหยุนอธิบายช้าๆและนี่ไม่ใช่การคุยโตโอ้อวดแต่อย่างใด ตรงข้าม.. หลิงหยุนพูดด้วยสีหน้าที่นิ่งขรึมจริงจัง
หลิงหยุนนั้นเป็นคนประเภทที่ยิ่งพบเจอสิ่งที่ไม่เข้าใจหรือความยากลำบากที่ยากจะก้าวข้ามได้ เขาก็จะยิ่งมีความกระตือรือร้นที่จะเผชิญหน้ากับสิ่งเหล่านั้นอย่างไม่คิดย่อท้อ..
และด้วยอุปนิสัยข้อนี้ของหลิงหยุนทำให้เขากลายเป็นหมอที่เก่งที่สุดในโลกบ่มเพาะที่ยิ่งใหญ่!
และที่สำคัญ..หลิงหยุนรู้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ระหว่างสวรรค์กับโลกนั้น ล้วนแล้วแต่มีหยินและหยาง มีผิดและมีถูก ซึ่งหมายความว่าทุกอย่างบนโลกใบนี้ล้วนมีสิ่งที่ตรงข้ามกันอยู่!
นอกเหนือจากเฉินเจี้ยนกุ่ยแล้วหลิงหยุนก็ยังมีบริวารแวมไพร์ขั้นไวส์เคานต์ไปจนถึงขั้นมาร์ควิสอีกถึงหกตน เขาจึงมีโอกาสที่จะได้ศึกษาแวมไพร์ได้อย่างเต็มที่ อีกทั้งเวลานี้เอ็ดเวิร์ดแวมไพร์ขั้นมาร์ควิส หลังจากที่ได้รับเลือดของหลิงหยุนเข้าไปแล้ว เวลานี้จะพัฒนาร่างไปถึงขั้นใหนก็ยังไม่รู้
ยิ่งพูด..สีหน้าท่าทางของหลิงหยุนก็ยิ่งนิ่งขรึมมากขึ้น เขาอธิบายและวิเคราะห์แวมไพร์ได้เป็นฉากๆ จนเกาจิ้นสงและเกาซิงฉาง และคนอื่นๆต่างก็ได้แต่ตกตะลึง โดยเฉพาะเกาเฉินเฉินที่ถึงกับใจสั่น..
เวลาที่ผู้ชายจะดูมีเสน่ห์อย่างมากนั้นมักจะเป็นเวลาที่ชายผู้นั้นกำลังจริงจังกับบางสิ่งบางอย่างที่เขากำลังทำอยู่ และหลิงหยุนเองก็มักจะเป็นเช่นนั้น!
เกาจิ้งสงจ้องมองหลิงหยุนอย่างลืมตัวและได้แต่นึกตกอกตกใจในสีหน้าท่าทางที่จริงจังของหลิงหยุน
‘เด็กคนนี้ช่างน่าทึ่งนัก!คิดไม่ถึงว่าจะเป็นคนที่จริงจังถึงเพียงนี้ จากที่เฉินเฉินเล่าให้ฟัง ภายในระยะเวลาสั้นๆเพียงสามเดือน เหตุใดจึงเปลี่ยนไปได้มากมายถึงเพียงนี้ หรือมีปริศนาอะไรซ่อนอยู่”
แม้แต่เกาเฉินเฉินเองก็คิดเช่นนั้น และเวลานี้หลิงหยุนก็ดูลึกลับและเป็นปริศนาในใจของคนตระกูลเกาทุกคน เพียงแต่ไม่มีใครพูดออกมาเท่านั้น..
นั่นเพราะยังไม่ถึงเวลาที่เหมาะสม!และหากเกาจิ้นสงต้องการจะพูดเรื่องนี้ เขาก็คงพูดกับหลิงหยุนไปก่อนหน้านี้แล้ว
‘ฟังจากทัศนคติและความคิดของเด็กคนนี้ในวันหน้าคงจะต้องเป็นผู้ที่สามารถทำทุกอย่างได้อย่างไร้ขีดจำกัดเป็นแน่!’
“ได้..ได้.. ถ้าเช่นนั้นก็ยิ่งดี!” เกาจิ้นสงร้องอุทานออกมาพร้อมกับพูดต่อว่า
“ในเมื่อเจ้ามีจิตใจช่วยเหลือเช่นนี้ข้าเองก็จะไม่พูดอะไรให้มากความ ระหว่างที่ตระกูลเฉินกำลังโกลาหลวุ่นวายนี้ เจ้าก็รีบหาทางปรุงยาแก้พิษเถิด!”
แต่จู่ๆเกาจิ้นสงก็พูดขึ้นมาว่า “ข้าเองเป็นแวมไพร์ และได้ดื่มเลือดมามากกว่าสองเดือนแล้ว และการเป็นแวมไพร์ทำให้มีพละกำลังเพิ่มขึ้น ข้ากำลังคิดว่าเหตุใดจึงไม่ฉวยโอกาสนี้สังหารคนตระกูลเฉินอีกสักสองสามคน..”
ในเมื่อเวลานี้เกาจิ้นสงได้กลายเป็นแวมไพร์เลือดแวมไพร์ในตัวจะทำให้เขาไม่มีวันตาย อีกทั้งยังมีพละกำลังเพิ่มมากขึ้น อย่างน้อยกำลังภายในของเขาในขั้นเซียงเทียน-4 ก็จะเพิ่มขึ้นเป็นขั้นเซียงเทียน-5
และด้วยกำลังภายในขั้นเซียงเทียน-5เขาสามารถทำอะไรได้ตั้งมากมาย!
หลิงหยุนได้แต่คิดในใจว่า..และนี่คือเหตุผลที่ชายชราบ่ายเบี่ยงไม่ยอมให้เขารักษา!
‘หากพวกเจ้าอยากเป็นแวมไพร์ที่แข็งแกร่งข้าสามารถช่วยพวกเจ้าได้ แต่นั่นมันจะกลับมาเป็นปัญหาให้กับข้าอีกน่ะสิ!’
เพราะถึงตอนนั้นหากต้องทำให้คนตระกูลเกากลับมาเป็นมนุษย์ดังเดิม เขาคงจะต้องถูกฆ่าตายแน่..
และที่สำคัญเกาเฉินเฉินต้องไม่ยอมแน่..