Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร - บทที่ 803-804
บทที่ 803 : ไม่รอด!
เฉินเซินนั้นไม่เข้าใจว่าเหตุใดหลิงหยุนจึงให้เวลากับมันและยอมให้เพื่อนๆของมันโทรเรียกคนมาช่วย และไม่รู้แม้กระทั่งว่าในสายตาของหลิงหยุนนั้น ตัวมันเองก็ไม่ต่างจากซากศพเดินที่ได้เท่านั้น!
หลังจากที่มาถึงปักกิ่งหลิงหยุนก็ได้บุกเข้าไปถล่มคฤหาสน์ตระกูลเฉินด้วยตัวเอง และลงมือสังหารเฉินไห่คุนกับเฉินเจี้ยนจื่อตาย อีกทั้งยังจับตัวเฉินเจี้ยนกุ่ยไว้ ไม่เพียงเท่านั้น.. ยอดฝีมือตระกูลเฉินมากมายหลายร้อยคน รวมทั้งนินจาญี่ปุ่น และเหล่าแวมไพร์อีกมากมาย ต่างก็ถูกหลิงหยุนสังหารตายเช่นกัน
ในเมื่อเป็นเช่นนี้..ยังจำเป็นที่หลิงหยุนจะต้องปิดบังตัวตนอีกอย่างนั้นหรือ
อีกทั้งหลิงหยุนไม่ต้องการใช้ชีวิตในเมืองหลวงแบบหลบๆซ่อนๆเขาจึงได้ประกาศตัวให้ตระกูลเฉินได้รู้ว่าเขาคือหลิงหยุนแห่งจิงฉู!
แต่แน่นอนว่าหลิงหยุนไม่เปิดเผยฐานะนายน้อยสี่แห่งตระกูลหลิงให้ผู้ใดล่วงรู้ไม่ใช่เพราะเขาหวาดกลัวว่าจะมีภัยอันตรายมาถึงตนเอง แต่เขาเป็นห่วงชีวิตของหลิงเสี่ยวพ่อของเขามากกว่า จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่รู้ว่าหลิงเสี่ยวเป็นตายร้ายดีอย่างไร หลิงเสี่ยวยังคงหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย และไร้ซึ่งข่าวคราวใดๆ!
ระหว่างนั้น..เฉินเซินก็รีบตะกายลุกขึ้นจากพื้นอย่างทุกลักทุเล เมื่อลุกขึ้นมาได้ก็ประกาศใส่หน้าหลิงหยุนอย่างห้าวหาญ
“ไม่ต้องห่วง..ฉันไม่หนีแน่! แต่แกช่างไร้เหตุผลสิ้นดี ฉันด่าแกโดยไม่ตั้งใจเพียงแค่ไม่กี่คำ แกถึงกับต้องเอาชีวิตของฉันเลยงั้นเหรอ! ในปักกิ่งใช่ว่าจะฆ่าจะแกงกันได้ง่ายๆ!”
เฉินเซินไม่เพียงตะโกนใส่หน้าหลิงหยุนแต่มันยังต้องการสร้างขวัญกำลังใจให้กับตนเอง และเด็กหนุ่มเพลย์บอยทั้งสี่คนอีกด้วย
แต่นับว่าเป็นความโชคร้ายของเฉินเซินอย่างยิ่งหากมันรู้ว่าเด็กหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงหน้าเวลานี้ คือคนที่มันสั่งให้ไห่ซานไปจ้างหวังเล่ยให้ขับรถพ่วงชนจนตายแล้วล่ะก็.. มันจะไม่มีทางพูดออกมาเช่นนี้แน่!
“ฉันจะเข้าไปข้างในพร้อมกับแกและจะต้องรู้ให้ได้ว่าเพราะอะไรแกถึงต้องการเอาชีวิตของฉัน!”
เฉินเซินไม่เพียงไม่ยอมหนี..แต่ยังเดินนำหลิงหยุนเพื่อที่จะเข้าไปในร้านด้วย
การที่เฉินเซินต้องการจะแสดงความห้าวหาญต่อหน้าหลิงหยุนนั้นนับว่าเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดอย่างมาก!
หลิงหยุนเพียงแค่แสยะยิ้มเขาปล่อยให้เฉินเซินเดินนำหน้าไป สายตาที่แหลมคมของหลิงหยุนนั้นมองเห็นแม้กระทั่งแววตสำนึกผิดของเฉินเซิน และเมื่อครู่หากหลิงหยุนไม่ยั้งมือเฉินเซินคงไม่สามารถลุกขึ้นมาเดินแบบนี้ได้แน่..
“อยากจะเข้าไปก็เชิญ..แต่ห้ามเข้าทางประตู!”
หลิงหยุนยิ้มเหยียดก่อนจะสะบัดขาเตะเข้าที่ก้นของเฉินเซินอย่างรวดเร็ว..
ปัง!
“โอ๊ย!”
เฉินเซินกรีดร้องออกมาอย่างเจ็บปวดมันรู้สึกราวกับว่าทวารหนักกำลังฉีกออกจากกัน และร่างของมันก็ลอยละลิ่วข้ามกำแพงเข้าไปยังสวนหน้าร้าน ก่อนจะร่วงลงกระแทกกับพื้นอิฐที่อยู่ด้านใน
เฉินเซินร่วงลงไปในสภาพที่แขนขาและใบหน้าทิ่มลงกับพื้น จากนั้นก็ไม่สามารถขยับเขยื้อนตัวได้อีกเลย นั่นเพราะครั้งนี้หลิงหยุนได้จัดการจี้จุดของมันสองสามจุด เพื่อไม่ให้มันสามารถหนีไปใหนได้นั่นเอง
“พวกเราเข้าไปกินข้าวกันได้แล้ว..”
หลังจากที่จับตัวเฉินเซินและไห่ซานไว้แล้วหลิงหยุนก็เดินผ่านหน้าฟ่านลู่ปิงที่กำลังยืนหน้าซีดหน้าเซียว และเด็กหนุ่มเพลย์บอยทั้งสี่คนเข้าไปด้านในอย่างไม่แยแส..
เมื่อครู่เด็กหนุ่มเพลย์บอยทั้งสี่คนได้โทรรายงานตระกูลเฉินแล้วอีกทั้งยังโทรเรียกเพื่อนๆของพวกมันมาอีกด้วย ไม่เว้นแม้กระทั่งตำรวจ! และหลิงหยุนก็ได้ยินทุกอย่างชัดเจน แต่ก็ไม่ได้ห้ามปรม ตรงกันข้าม.. เขากำลังรอให้ทุกคนมารวมตัวกันที่นี่แทน
ในเมื่อตอนนี้เป็นเวลากลางวันแสกๆหลิงหยุนจึงต้องการให้วันนี้เป็นวันที่ตระกูลเฉินได้เห็นว่าความแข็งแกร่งที่แท้จริงนั้นเป็นเช่นใด
และเมื่อต้องเผชิญหน้ากับสิ่งที่เรียกว่า‘ความแข็งแกร่งที่แท้จริง’ต่อให้ต้องเผชิญหน้ากับตระกูลที่มีอิทธิพล หรือมีเครือข่ายคอนเน็คชั่นที่ดี หรือแม้แต่กฎหมายบ้านเมือง ทุกสิ่งที่พูดมานี้ก็จะกลายเป็นสิ่งไร้ค่าไร้ราคาทันที!
เว้นเสียแต่ว่า..วันนี้ยอดฝีมือที่เก่งกาจของตระกูลเฉินจะมาที่นี่ด้วยตัวเอง ไม่เช่นนั้นใครก็ยากที่จะต้านทานหลิงหยุนได้!
แต่ในตระกูลเฉินจะมียอดฝีมือที่เก่งกาจอยู่จริงอย่างนั้นหรือและต่อให้มีจริง.. ตระกูลเฉินจะยอมให้ยอดฝีมือที่เก่งกาจเหล่านั้นมาช่วยเด็กหนุ่มเพลย์บอยไม่ได้เรื่องอย่างเฉินเซินเชียวหรือ?
อีกทั้งเวลานี้ตระกูลเฉินก็กำลังวุ่นวายจากการถูกหลิงหยุนปั่นหัวอยู่ไม่น้อยมีปัญหาอีกมากมายที่พวกมันก็ยังไม่สามารถสะสางได้ทัน แล้วเช่นนี้ยอดฝีมือที่เก่งกาจของตระกูลเฉินจะยอมปรากฏตัวกลางวันแสกๆอย่างนี้หรือ
เฉินไห่คุนเคยบอกกับหลิงหยุนว่าตระกูลเฉินนั้นมียอดฝีมือที่ล้ำเลิศอยู่ทั้งหมดสามคนที่จะสามารถสังหารหลิงหยุนได้ หลิงหยุนก็ได้สังหารเฉินเจี้ยนจื่อไปแล้วหนึ่งคนเมื่อกลางดึก วันนี้เขาจึงไม่ได้รู้สึกหวาดกลัวแม้แต่น้อย
หลิงหยุนไม่สนใจด้วยว่ายอดฝีมือที่เก่งกาจของตระกูลเฉินที่เหลืออีกสองคนนั้นจะใช่คนในตระกูลเฉินหรือไม่ด้วยซ้ำไป!
หลิงหยุนเดินเข้าไปในร้านด้วยท่าทางสงบนิ่งสบายๆราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ส่วนเหลียงเฟิงอี้ก็เพียงแค่ชายตามองฟ่านลู่ปิงก่อนจะยิ้มเยาะ แล้วเดินสะบัดผมยาวบิดสะโพกตามหลิงหยุนเข้าไปในร้านทันที
ทางด้านกงเสี่ยวลู่เองก็หันไปมองฟ่านลู่ปิงกับเด็กหนุ่มเพลย์บอยทั้งสี่คนก่อนจะถอนหายใจพร้อมกับส่ายหน้าไปมา แล้วเดินตามเข้าไปด้านในเช่นกัน
“ฉางหลิง..เข้าไปข้างในกันดีกว่า!”
“นี่มันฟ่านลู่ปิงเชียวนะ!ดูเหมือนหลิงหยุนจะเปลี่ยนไป..”
ถังเมิ่งเป็นคนสุดท้ายที่เดินตามหลิงหยุนเข้าไปและก่อนที่จะเดินเข้าประตูไปนั้น เขาก็หันไปยิ้มเย้ยเด็กหนุ่มเพลย์บอยพร้อมกับผิวปาก แล้วยกมือขึ้นชี้หน้าพวกมันทั้งสี่คน
“นี่น้องๆระหว่างที่พวกพี่กำลังกินข้าวกันอยู่ พวกแกก็รีบโทรเรียกคนมาให้เยอะๆเลยนะ ยิ่งมากเท่าไหร่ก็ยิ่งดี แต่ฉันจะบอกอะไรให้รู้ไว้.. ไอ้คนแซ่เฉินนั่นไม่รอดแน่!”
ถังเมิ่งนั้นมั่นใจในตัวหลิงหยุนเต็มร้อยและรู้ว่าหลิงหยุนไม่มีทางพ่ายแพ้อย่างแน่นอน..
ท้ายที่สุดถังเมิ่งก็หันไปมองฟ่านลู่ปิงพร้อมกับถอนหายใจและส่ายหน้าไปมา ก่อนจะหันหลังเดินกลับเข้าไปข้างในเช่นกัน
“นี่มันอะไรกัน!ในโลกมีคนแบบนี้จริงๆน่ะเหรอ?!”
ฟ่านลู่ปิงที่ยืนเงียบมานานในที่สุดก็พึมพำออกมาเบาๆ สายตาของเธอนั้นบ่งบอกว่าแทบไม่อยากจะเชื่อกับสิ่งที่เกิดขึ้น
และในที่สุดเธอก็เพิ่งรู้ตัวว่าการที่คิดว่าหลิงหยุนเป็นเพียงเด็กหนุ่มหน้ามน และคิดที่จะครอบครองเขานั้น ช่างเป็นความคิดที่ผิดพลาด และน่าขันที่สุด! เพราะจากเหตุการณ์เมื่อครู่ ไม่เพียงหลิงหยุนจะไม่เห็นเธออยู่ในสายตา แต่เขายังจงใจทำให้เธอต้องได้รับความอับอายอีกด้วย การกระทำของหลิงหยุนเมื่อครู่ ไม่ต่างจากการจับเธอแก้ผ้าต่อหน้าสาธารณชน..
ฟ่านลู่ปิงแทบไม่อยากจะเชื่อว่าในประเทศนี้มีคนที่รู้สึกว่าการได้พูดคุยกับเธอนั้นเป็นเรื่องที่ไร้สาระและเสียเวลาอยู่ด้วย! ช่างเป็นวิธีการสร้างความอัปยศให้กับเธอได้อย่างโหดร้ายเย็นชาอย่างมาก..
และการที่ฟ่านลู่ปิงพึมพำออกมาว่า‘มีคนเช่นนี้อยู่จริงๆหรือ’ ก็ยังมีอีกหนึ่งความหมาย.. เธอเคยได้ยินมาว่าในประเทศจีนนั้น มีคนที่กำลังภายในแข็งแกร่งเหมือนในภาพยนต์และละครอยู่จริงๆ แต่ตอนนั้นเมื่อได้ฟังเธอกลับหัวเราะเพราะคิดว่ามันเป็นเรื่องที่น่าตลกสิ้นดี!
แต่เวลานี้..เธอกลับได้พบเห็นด้วยตาตัวเอง!
ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะตบหน้าชายร่างใหญ่และเตะใครสักคนให้ลอยขึ้นฟ้าได้สูงกว่าสี่เมตร จนลอยละลิ่วไปกลางอากาศ.. จะต้องมีพละกำลังมากแค่ใหนจึงจะทำเช่นนั้นได้
บุคลิกและความแข็งแกร่งที่น่าอัศจรรย์ของหลิงหยุนไม่มีวันเลยที่ฟ่านลู่ปิงจะลืมเลือนไปจากชีวิตได้!
“ช่างเป็นผู้ชายที่หากได้ยากจริงๆ!”
ฟ่านลู่ปิงจ้องมองแผ่นหลังของหลิงหยุน และใบหน้าซีดขาวก็เริ่มแดงก่ำ
ก่อนหน้านี้เธอภาคภูมิใจในความเป็นซุปเปอร์สตาร์ที่ได้ไปเดินพรมแดงในงานInternational Film Festival ความจองหองนี้ทำให้เธอพูดกับหลิงหยุนด้วยท่าทางยะโสโอหัง
แต่หลังจากที่ถูกหลิงหยุนสบประมาทให้ได้อับอายเช่นนี้เธอจึงตระหนักได้ว่าความจริงแล้วเธอเองก็เป็นเพียงแค่ผู้หญิงตัวเล็กๆคนหนึ่งเท่านั้น
ตอนนี้หลิงหยุนและเพื่อนๆของเขาก็เข้าไปในภัตตาคารแล้วส่วนเฉินเซินกับบอดี้การ์ดของเขาก็ถูกเตะลอยเข้าไปอยู่ภายในสวนด้านใน ฟ่านลู่ปิงจึงไม่รู้ว่าตนเองควรจะทำอะไรดี
แต่แน่นอนว่าเธอจะไม่ยอมกลับออกไปตามคำแนะนำของหลิงหยุนแน่เพราะถึงแม้เรื่องในวันนี้จะไม่เกี่ยวกับเธอ แต่เธอก็นับว่าเป็นพยานในที่เกิดเหตุคนหนึ่ง เธอจึงยังไม่สามารถไปใหนได้..
ฟ่านลู่ปิงได้แต่คิดว่าวันนี้ช่างเป็นวันที่โชคร้ายของเธอจริงๆจากนั้นจึงยกแว่นกันแดดในมือขึ้นสวม แล้วเดินกลับเข้าไปนั่งรอในรถหรูเช่นเดิม
“เห้ย..คิดไม่ถึงว่าหมอนั่นจะเก่งถึงขนาดนี้ ฉันไม่กล้ามีเรื่องกับมันแล้ว!”
“นั่นสิ..ขนาดตระกูลเฉินมันยังไม่กลัวเลย! หรือว่ามันจะไม่รู้จักอำนาจอิทธิพลของตระกูลเฉินกันแน่!”
“เฮ้อ..ครั้งนี้คุณชายเฉินเจอปัญหาใหญ่เข้าแล้วจริงๆ แต่พวกเราก็ทำอะไรไม่ได้ นอกจากรอคนมาช่วย..”
“ตำรวจกำลังจะมาถึงแล้วรอดูว่าตำรวจจะช่วยอะไรได้บ้าง..!”
เด็กหนุ่มเพลย์บอยทั้งสี่คนได้แต่บ่นพึมพำและเดินวนไปวนมาพร้อมกับคอยเงี่ยหูฟังว่าจะมีคนมาบ้างหรือยัง
ด้วยฐานะภูมิหลังของเด็กหนุ่มทั้งสี่นั้นล้วนแล้วแต่เป็นรองและเป็นลูกไล่ของเฉินเซินทั้งสิ้น เมื่อเกิดเรื่องกับเฉินเซินเช่นนี้ พวกมันจึงไม่สามารถช่วยอะไรได้ นอกจากโทรขอความช่วยเหลือ และรอคอยเท่านั้น
ภายในสวนด้านในร้าน..
ชายวัยกลางคนอายุราวสามสิบปีคนเดิมกำลังยืนตกตะลึงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และได้แต่ร้องบอกหลิงหยุนว่
“นะ..นายท่าน! ท่านกำลังจะทำให้ที่นี่มีปัญหาใหญ่เกิดขึ้น..”
ผู้ที่สามารถมารับประทานอาหารที่ร้านนี้ได้นั้นจะต้องเป็นชนชั้นสูงและค่อนข้างมีฐานะเท่านั้น ดังนั้นการได้มานั่งรับประทานอาหารที่ร้านนี้ จึงหมายถึงหน้าตา ฐานะ และบารมี นับว่าเป็นการตลาดที่ยอดเยี่ยมอย่างมากทีเดียว!
บทที่ 804 : กินฟรี!
หลิงหยุนจ้องมองชายวัยกลางคนที่กำลังขมวดคิ้วและมีสีหน้ากระวนกระวายใจด้วยท่าทีสงบนิ่ง แต่ในใจกลับนึกขันก่อนจะถามขึ้นว่า
“ปัญหาอะไรเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับทางร้านสักหน่อย.. แล้วทางร้านจะมีปัญหาได้ยังไงกัน?”
ชายวัยกลางคนหันไปทางเฉินเซินซึ่งนอนกองอยู่กับพื้นพร้อมกับคิดในใจว่าคุณชายเฉินนั้นเป็นแขกที่จองโต๊ะมาก่อน แต่เวลานี้ไม่เพียงเฉินเซินไม่ได้รับประทานอาหาร แต่กลับไปนอนกองอยู่กับพื้น เช่นนี้แล้วจะไม่ให้ทางร้านมีปัญหาได้อย่างไรเล่า
ชายวัยกลางคนได้แต่เกาศรีษะพร้อมกับชี้ไปทางเฉินเซินแล้วพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อย..
“สองคนนั้นมากินอาหารที่ร้านแต่กลับถูกทำร้ายร่างกาย แล้วก็ถูกจับโยนเข้ามาไว้ภายในร้านแบบนี้ ถ้าตำรวจมาถึง และเรื่องนี้แพร่งพรายออกไป ทางร้านจะทำธุรกิจต่อไปได้ยังไงเล่า”
หลิงหยุนเพียงแค่ฟังยิ้มๆแล้วชายวัยกลางคนก็พูดต่อว่า “เดี๋ยวอีกสักพักตำรวจ และคนอื่นๆก็คงมาที่นี่แล้ว พวกคุณก็คงไม่สามารถนั่งทานอาหารได้อยู่ดี..”
เหลียงเฟิงอี้กับกงเสี่ยวลู่เองก็ได้แต่คิดในใจว่า หลิงหยุนไม่เคยสนใจกฎหมายบ้านเมืองเลยจริงๆ มักจะทำอะไรแบบนี้เสมอๆ ไม่สนใจผิดถูก พวกเธอยังคิดไม่ออกว่าหลิงหยุนจะจัดการกับเรื่องนี้อย่างไร
หลิงหยุนฟังชายวัยกลางคนพูดจาอ้อมค้อมอยู่นานในที่สุดจึงพูดขึ้นมาว่า “เอาล่ะ.. คุณตอบผมมาเพียงแค่ว่าจะทำ หรือไม่เท่านั้นพอ”
ในเมื่อได้ฟังคำพูดตรงไปตรงมของหลิงหยุนเช่นนี้ชายวัยกลางคนจึงถึงกับอึ้ง และได้แต่ลังเล..
“เอ่อ..คือ..”
“ทำไมฉันต้องตอบว่าจะทำหรือไม่ทำด้วย”
ในนาทีนั้นชายชราอายุราวหกสิบปีก็เดินออกมาจากทางด้านหลังร้านสีหน้าและน้ำเสียงของเขานั้นบ่งบอกว่ากำลังโมโหอย่างมาก
ชายชราผู้นี้ก็คือคนแซ่ซันซึ่งเป็นเจ้าของร้านอาหารแห่งนี้และเป็นเชฟของที่นี่!
เขามัวแต่ง่วนอยู่กับการเตรียมอาหารอยู่หลังร้านนานสองสามชั่วโมงและกำลังรอให้แขกที่จองไว้มาถึงก็จะได้ลงมือทำ แต่ปรากฏว่าเมื่อแขกมาถึง กลับเกิดเหตุการณ์วุ่นวายขึ้น เช่นนี้แล้วจะไม่ให้เขาโมโหได้อย่างไรกัน
เถ้าแก่ซันเปิดร้านอาหารเมนูระดับฮ่องเต้เช่นนี้ฝีมือในการทำอาหารของเขานั้นก็เป็นที่เลื่องชื่อในปักกิ่ง และราคาอาหารต่อหนึ่งโต๊ะนั้นก็แพงไม่ธรรมดาเลย จึงนับว่าเป็นการค้าที่มีผลกำไรงดงามมากทีเดียว
ผู้คนที่มารับประทานอาหารที่ร้านของเขานั้นล้วนแล้วแต่เป็นชนชั้นสูง และมีฐานะร่ำรวย คนพวกนี้ไม่เพียงมาลิ้มรสชาติอาหาร แต่ยังมาเพื่อหน้าตาของตัวเอง ดังนั้นผู้ที่ได้ประโยชน์อย่างมากมายก็คือเถ้าแก่ซัน!
และทุกครั้งเมื่อถึงคราวต้องเสริฟอาหารที่เป็นไฮไลท์ของทางร้านซึ่งก็คือเป็ดปักกิ่งนั้นเถ้าแก่ซันก็จะออกมาบริการลูกค้าด้วยตัวเองถึงที่ห้อง ทำให้เขารู้จักกับชนชั้นสูงในปักกิ่งมากมาย
“เถ้าแก่..จะทำยังไงดี”
ชายวัยกลางคนเห็นเถ้าแก่ซันเดินออกมาก็รีบตรงเข้าไปถามความเห็นทันที และไม่สนใจหลิงหยุนอีก..
หลิงหยุนเห็นเถ้าแก่ซันเดินออกมาจากหลังร้านจึงหันไปถามยิ้มๆ “เป็นคำถามที่น่าสนใจ.. คุณคงเป็นเถ้าแก่ของร้านนี้สินะ!”
“คุณไม่ต้องตอบก็ได้..เอาเป็นว่าถ้คุณกล้าทำ ผมก็กล้ากิน แต่ถ้าคุณไม่กล้าทำ พวกเราก็จะได้ไปกินร้านอื่น..”
หลิงหยุนจงใจเปลี่ยนจากคำว่า‘จะทำหรือไม่ทำ’ เป็น ‘กล้าทำหรือไม่กล้าทำ’ แทน
เพียงแค่อาหารมื้อเดียวหลิงหยุนจะกินที่ใหนก็ได้ แต่ในเมื่อเขามาถึงที่นี่แล้ว เขาก็ไม่ต้องการที่จะเดินท้องว่างกลับไปเช่นกัน..
เถ้าแก่ซันได้ฟังจึงเงยหน้าขึ้นมองหลิงหยุนทันทีแต่น่าเสียดายที่หลิงหยุนสวมแว่นกันแดดปกปิดใบหน้าไว้ครึ่งหนึ่ง ไม่เช่นนั้นเถ้าแก่ซันคงจะได้เห็นแววตาที่เต็มไปด้วยความมั่นอกมั่นใจ และท้าทายของหลิงหยุน
‘หมอนี่..พูดจาฉะฉานจริงๆ คงจะไม่ธรรมดา!’
เถ้าแก่ซันได้แต่ครุ่นคิดและตกตะลึงกับท่าทางมั่นอกมั่นใจ และดูสบายๆไร้กังวลของหลิงหยุน
หลิงหยุนไม่มีลักษณะเหมือนกับคนที่เพิ่งทำร้ายคนอื่นมาเลยแม้แต่น้อย!
จากนั้นเถ้าแก่ซันก็หันไปมองเฉินเซินกับไห่ซานที่อยู่บนพื้นแทน..
เฉินเซินมาทานอาหารที่ร้านหลายต่อหลายครั้งและทุกครั้งก็จะสั่งอาหารชุดใหญ่เต็มที่อย่างกับราชา แต่เมื่อถึงเวลาต้องจ่ายเงิน เฉินเซินก็มักจะนิ่งเฉย ไม่ว่าร้านใหนๆก็คงไม่อยากได้ลูกค้าเช่นนี้ เถ้าแก่ซันเองก็เช่นเดียวกัน! แต่ด้วยอิทธิพลของตระกูลเฉิน ทำให้เขาไม่กล้าที่จะทวงถามจากเฉินเซิน..
เมื่อได้เห็นสภาพของเฉินเซินที่ถูกตบจนหน้าบวมเป็นหัวหมูไหว้เจ้นั้นมีหรือที่เถ้าแก่ซันจะไม่นึกยินดี
“พ่อหนุ่ม..ในเมื่อเธอจองหองกล้าหาเรื่องใส่ตัวเองแบบนี้ ตอนนี้เธอเจอตอเข้าแล้ว.. ฉันคงไม่กล้าที่จะทำอาหารให้เธอกินหรอก เพราะฉันไม่อยากเดือดร้อน!”
ที่เถ้าแก่ซันเดินออกมาด้านนอกนั้นก็เพราะเกรงว่าจะเกิดปัญหาขึ้น หากเฉินเซินกลับไปแล้ว เขาก็ตั้งใจว่าจะทำอาหารให้ทุกคนกิน..
แต่เมื่อเหตุการณ์เป็นเช่นนี้ไม่มีทางที่เขาจะยอมทำ เพราะด้วยอำนาจอิทธิพลของตระกูลเฉิน หากจะจัดการกับใครสักคน ก็คงไม่ต่างจากการบี้มดเล็กๆตัวหนึ่ง..
“ฉันต้องขอโทษด้วย..ฉันไม่กล้าทำอาหารให้พวกเธอหรอกนะ! อีกไม่นานตำรวจก็คงจะมาถึงที่นี่ ต่อให้ฉันอยากจะทำ ก็คงทำไม่สามรถทำได้..”
หลังจากที่ชั่งใจอยู่นาน..ฝ่ายหนึ่งก็ตระกูลเกา ส่วนอีกฝ่ายหนึ่งก็ตระกูลเฉิน หากเกิดอะไรขึ้น เขาคงไม่สามารถรับผลที่จะตามมาได้ไหวแน่..
การที่จะมีชีวิตอยู่ให้รอดในปักกิ่งนั้นต้องรู้จักเรียนรู้ที่จะเอาตัวรอดจากสถานการณ์วิกฤตเช่นนี้ด้วย
“อ่อ..งั้นรึ!”
หลิงหยุนยิ้มเหยียดพร้อมกับส่ายหัวไปมาและหันหลังเดินออกไปอย่างช้าๆ แต่ระหว่างที่เดินออกไปนั้น กลิ่นหอมหวนก็โชยตามร่างของหลิงหยุนไป
ระหว่างนั้นหลิงหยุนก็พูดขึ้นอย่างผิดหวัง“เฮ้อ.. หนึ่งโต๊ะตอนกลางวัน หนึ่งโต๊ะตอนเย็น คงจะเป็นแค่ราคาคุยเท่านั้นสินะ! วันนี้ลูกค้ามาถึงร้านแต่กลับไม่กล้าทำ แล้วยังคิดว่าเป็ดปักกิ่งฝีมือคุณยังจะเลิศเลอมากเพียงใด”
ระหว่างนั้น..แทบไม่มีใครสนใจว่าหลิงหยุนจะพูดอะไร และเวลานี้ก็มีเสียงอื้ออึงดังไปหมด
“กลิ่นอะไรหอมจังเลย!”
มันคือกลิ่นหอมหวนของน้ำลายมังกร..ที่ทำให้ทุกคนในที่นั้นถึงกับท้องร้องขึ้นมาทันที!
ระหว่างที่หลิงหยุนหันหลังจะเดินออกไปนั้นเขาได้เรียกน้ำเต้าวิเศษออกมา และกลิ่นหอมของน้ำลายมังกรก็โชยออกมาด้านนอก
เพียงเท่านี้ก็พอแล้ว!
เมื่อเถ้าแก่ซันซึ่งเป็นเชฟเลื่องชื่อนั้นความสามารถในการได้กลิ่นจึงดีกว่าคนธรรมดาทั่วไป ทันทีที่เขาได้กลิ่นหอมของน้ำลายมังกร ก็ถึงกับตาโตพร้อมกับอ้าปากสูดดมกลิ่นหอมเหล่านั้นเข้าไปราวกับคนบ้า และรีบเงยหน้าขึ้นพูดกับหลิงหยุนทันที
“นี่พ่อหนุ่ม..เดี๋ยวก่อน อย่าเพิ่งไป!”
เถ้าแก่ซ้นไม่สามารถทนนิ่งเฉยต่อไปได้อีกเขารีบเดินตามหลิงหยุนไปทันที และระหว่างนั้นหลิงหยุนก็เรียกน้ำเต้าวิเศษกลับเข้าไปในแหวนพื้นที่ทันที
หลิงหยุนจงใจให้เถ้าแก่ซันไล่ตามเขามาจากนั้นจึงหันไปหัวเราะใส่หน้าพร้อมกับพูดขึ้นว่า
“เถ้าแก่ซัน..คุณพูดเองว่าไม่กล้าทำ ตอนนี้พวกเรากำลังหิวมาก ยังจะให้พวกเรารออะไรอีกล่ะ”
“ทำๆใครบอกว่าฉันจะไม่ทำล่ะ แต่ฉันแค่อยากรู้ว่ากลิ่นหอมหวนเมื่อครู่นั่นมันคืออะไร”
แน่นอนว่าเรื่องการทำอาหารไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไรสำหรับเขาในเมื่อวัตถุดิบต่างๆก็ได้ตระเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว เพียงแต่เถ้าแก่ซันกำลังตื่นเต้นกับกลิ่นหอมที่โชยออกมจากตัวของหลิงหยุน
หลิงหยุนหยุดเลียริมฝีปากก่อนจะหันไปตอบยิ้มๆ
“อ่อ..นั่นเป็นกลิ่นหอมของเครื่องปรุงรสชนิดหนึ่งที่ผมใช้ทำอาหารอยู่เป็นประจำ ไม่เพียงแค่หอม แต่ยังมีรสชติที่ดีมากด้วย..”
ถังเมิ่งที่ยืนอยู่ก็พยายามสูดดมเอากลิ่นหอมนั้นเข้าไปให้ได้มากที่สุดเช่นกัน..
“อะไรนะ!เครื่องปรุงรสงั้นเหรอ?”
เถ้าแก่ซันถึงกับร้องอุทานออกมาอย่างไม่อยากจะเชื่อ“กลิ่นของมันหอมมากจริงๆ”
“นี่พ่อหนุ่ม..ขอฉันดูหน่อยได้มั๊ยว่ามันคือเครื่องปรุงชนิดใหน”
“ว่าแต่เธอทำอาหารเป็นด้วยเหรอ”
“เป็นสิ!”
“คุณอยากเห็นจริงๆน่ะเหรอ”
“อยากสิ..ฉันอยากเห็นมาก!”
หลิงหยุนหัวเราะพร้อมกับตอบไปว่า“แล้วจะยืนนิ่งเฉยอยู่ทำไมเล่าเถ้าแก่ซัน! รีบไปทำอาหารมาให้พวกเราได้ลิ้มรสฝีมือคุณเป็นการแลกเปลี่ยนก่อนสิ!”
ในที่สุดหลิงหยุนก็บรรลุเป้าหมายในการได้กินอาหารมื้อนี้ฟรี!
“แต่ว่า..แล้วสองคนนั้นล่ะ”
“เถ้าแก่ซัน..คุณมีหน้าที่เพียงแค่ทำอาหารที่อร่อยที่สุดมาให้พวกเราทาน ส่วนเรื่องสองคนนั้นเป็นหน้าที่ของผมเอง ผมรับรองว่าคุณจะไม่มีปัญหาอะไรด้วยอย่างแน่นอน!”
หลิงหยุนร้องบอกเถ้าแก่ซันอย่างอารมณ์ดี..
“ได้ๆ”
เถ้าแก่ซันตอบพร้อมกับถอนหายใจด้วยความโล่งอกจากนั้นจึงหันไปสั่งชายวัยกลางคนสองสามคำ แล้วรีบเดินเข้าไปทำอาหารต่อทันที