Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร - บทที่ 841-842
บทที่ 841 : เงินคืออาวุธทิ่มแทงหลี่จิ่วเจียง!
หลงหวู่แสยะยิ้มขณะที่ใช้นิ้วชี้กับนิ้วโป้งคีบเช็คออกมาจากซองแดงพร้อมกับสะบัดไปมาตรงหน้าของชีเต๋อเปียว
ในสายตาของหลงหวู่นั้นคนอย่างชีเต๋อเปียวไม่คู่ควรที่จะพูดกับเธอด้วยซ้ำไป!
“เอ่อ..”
ชีเต๋อเปียวเป็นชายร่างเล็กและตัวเตี้ยกว่าหลงหวู่ เขาจึงกระโดดขึ้นกระโดดลงเพื่อหยิบเช็คในมือของหลงหวู่ที่โบกอยู่ตรงหน้า แต่ก็ไม่สามารถหยิบได้เสียที และเริ่มรู้สึกอับอายมากขึ้นเรื่อยๆ
“อยากได้เช็คนี่เหรอ!เอาไป..”
หลงหวู่พูดออกมาด้วยสีหน้าและแววตาเย็นชารอยยิ้มมุมปากนั้นเต็มไปด้วยความเหยียดหยัน พร้อมกับโยนเช็คในมือใส่หน้าชีเต๋อเปียวทันที!
ในเวลานั้นเองด้านนอกก็เกิดสายฟ้าเส้นใหญ่ฟาดลงมาท่ามกลางท้องนภาที่มืดมิด จนเกิดเสียงดังเปรี้ยงอย่างรุนแรง จนกระจกหน้าต่างของโรงแรมไคเฉีวยนถึงกับสั่น..
ลมพัดกรรโชกแรงและพายุฝนก็กระหน่ำลงมาทันที!
ชีเต๋อเปียวละล้าละลังแต่เมื่อได้ยินเสียงฟ้าผ่าเปรี้ยงลงมาจนดังสนั่นหวั่นไหวเช่นนั้น เขาก็ตกใจกลัวจนถึงกับปล่อยเช็คที่ลอยอยู่ตรงหน้าร่วงลงพื้นไป
แต่นี่เป็นซองแดงของหลี่เทียนชีเต๋อเปียวไม่มีทางเลือก จึงต้องก้มตัวลงไปที่พื้นเพื่อหยิบมันขึ้นมา และท่าทางที่เขาคลานสี่ขาตามเก็บเช็คนั้น ก็ไม่ต่างจากสุนัขเลยแม้แต่น้อย!
“ห๊ะ!ยี่.. ยี่สิบล้าน?!”
ทันทีที่ชีเต๋อเปียวเห็นจำนวนเงินในเช็คเขาก็ถึงกับร้องอุทานออกมาอย่างตกใจ!
“นี่มัน..”
จะไม่ให้ชีเต๋อเปียวตกใจได้อย่างไรกันในเมื่อเงินซองที่ได้รับจากงานเลี้ยงฉลองที่จัดให้กับหลี่เทียนในคืนนี้นั้น จากที่นับไปก่อนหน้านี้ก็ร่วมสิบล้านแล้ว..
แต่จู่ๆก็ได้รับเช็คจำนวนยี่สิบล้านเพิ่มขึ้นมาอีก และสำหรับแขกที่ใจป้ำเช่นนี้ ชีเต๋อเปียวเองก็ไม่เคยพบเคยเห็นมาก่อนจริงๆ!
อีกทั้งผู้ที่นำเช็คมามอบให้นั้นก็เป็นเพียงแค่เด็กสาวที่อายุยังน้อยอีกด้วย!
หลงหวู่ทำเสียงประชดประชัน“นี่มัน.. นี่มัน..! จะร้องตกใจไปทำไม? มันน้อยไปหรือยังไง? หรือคิดว่านี่เป็นเช็คปลอม? ถ้าไม่เชื่อ.. ในงานนี้มีเจ้าหน้าที่การเงินอยู่มั๊ยล่ะ? ถ้ามี.. คุณก็ให้เจ้าหน้าที่การเงินนำเช็คไปตรวจสอบได้เลย!”
ชีเต๋อเปียวได้ฟังคำพูดของหลงหวู่เขาก็เริ่มรู้สึกผิดปกติ แต่เมื่อสังเกตุดูก็พบเพียงแค่สาวงามทั้งหกคนที่แต่งชุดราตรีเพื่อเตรียมพร้อมมาร่วมงานจริงๆ ก็เลยได้แต่คิดว่าคงจะไม่มีอะไรน่ากังวล
แต่เรื่องที่ชีเต๋อเปียวยังคงกังวลใจนั้นก็คือเรื่องที่หลี่เทียนถูกตบหน้าแต่กลับไม่มีใครเห็นว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร และใครเป็นผู้ลงมือ?
ชีเต๋อเปียวเริ่มรู้สึกว่านั่นเป็นเรื่องที่ไม่ชอบมาพากลนักและเขาเองก็ไม่เคยพบเจอเหตุการณ์ที่แปลกประหลาดเช่นนี้มาก่อนในชีวิต หากเกิดอะไรขึ้นมาจริงๆ เขาเองก็คงไม่สามารถรับมือได้เช่นกัน
แต่เพื่อให้เรื่องวุ่นวายนี้จบลงโดยเร็วชีเต๋อเปียวจึงรีบหยิบเช็คขึ้นมาถือไว้ พร้อมกับหันไปมองหลี่เทียนที่ตอนนี้ทรุดลงไปกองกับพื้นแล้ว
แต่หลี่เทียนเองก็กำลังรู้สึกเจ็บปวดอย่างมากมันจึงไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น!
เมื่อเหลือเพียงตัวคนเดียวเช่นนี้ชีเต๋อเปียวจึงต้องหันหน้าอ้วนๆของตนเองไปยิ้มให้กับหลงหวู่พร้อมกับพูดขึ้นว่า
“เอ่อ..ไม่ใช่อย่างนั้นครับ! ผมเป็นครูใหญ่ของหลี่เทียน เช็คที่คุณสุภาพสตรีนำมาให้ก็มียอดเงินที่ค่อนข้างสูง ผมคงต้องขออนุญาตรายงานเรื่องนี้ให้กับหัวหน้าของผมทราบ..”
และ‘หัวหน้า’ ที่ชีเต๋อเปียวพูดถึงอย่างเต็มปากเต็มคำนั้นก็ไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นคนที่จัดงานเลี้ยงฉลองให้กับหลี่เทียนในคืนนี้ ซึ่งก็คือลุงของหลี่เทียนที่ชื่อว่าหลี่จิ่วเจียงนั่นเอง
หลงหวู่ยิ้มพร้อมกับพูดอย่างไม่แยแส“เชิญ..”
ระหว่างนั้นหลงหวู่ก็เหลือบไปเห็นตู้เซฟจำนวนสี่ตู้ที่วางอยู่ด้านหลังโต๊ะเข้าโดยบังเอิญและแน่นอนว่าด้านในนั้นมีเงินสดอยู่เต็มไปหมด
ตอนนี้ก็เพียงแค่รอเวลาให้งานเลี้ยงเริ่มต้นขึ้นเท่านั้นจากนั้นเจ้าหน้าที่การเงินทั้งแปดคนที่อยู่ในงาน ก็จะจัดการขนตู้เซฟเหล่านี้พร้อมด้วยสมุดบัญชีกลับไปที่บ้านของหลี่จิ่วเจียงทันที
พวกเขาทั้งแปดคนจะไม่ได้อยู่ร่วมงานเลี้ยงฉลองในคืนนี้ด้วย!
แต่ถึงกระนั้นหลงหวู่ก็รู้ดีแก่ใจว่าในคืนนี้.. เงินทั้งหมดในตู้เซฟทั้งสี่นั้น จะไม่มีผู้ใดสมารถขนย้ายออกจากโรงแรมได้อย่างแน่นอน!
ชีเต๋อเปียวเห็นหลงหวู่พูดจาใหญ่โตเช่นนั้นเขาก็ได้แต่ยกมือขึ้นปาดเหงื่อที่ไหลออกมาเต็มหน้า และจัดการส่งเช็คในมือให้กับเจ้าหน้าที่การเงิน และแอบกระซิบสั่งให้เขาทำการตรวจสอบเช็คอีกที
เมื่อได้รับเช็คมาเจ้าหน้าที่การเงินผู้นั้นก็จัดการพลิกดูทั้งด้านหน้าและด้านหลังเช็คอยู่หลายรอบ เพื่อตรวจสอบว่าเป็นเช็คจริง หรือว่าเช็คปลอมกันแน่
หลังจากที่ตรวจสอบแล้วไม่พบสิ่งใดผิดปกติก็รีบพยักหน้าให้กับชีเต๋อเปียวทันที!
เช็คฉบับนั้นเป็นเช็คจริงอย่างแน่นอน!
เมื่อเจ้าหน้าที่การเงินยืนยันว่าเป็นเช็คจริงชีเต๋อเปียวก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก และรีบยิ้มออกมาทันที
ในเมื่อเช็คเป็นของจริง..เขารับมาแล้ว ส่วนหลี่จิ่วเจียงจะรับหรือไม่รับก็สุดแล้วแต่ เพราะนั่นหมดหน้าที่ของเขาแล้ว ครั้งนี้จึงนับได้ว่าเขาทำหน้าที่ได้ประสบความสำเร็จอย่างดีเยี่ยม!
เงินที่แขกในงานใส่ซองมาร่วมแสดงความยินดีในคืนนี้เป็นจำนวนเงินร่วมสามสิบล้านหากหลี่จิ่วเจียงพอใจกับผลงานของเขาในครั้งนี้ ไม่แน่ว่าเขาอาจจะได้เลื่อนตำแหน่งก็เป็นได้..
แต่ชีเต๋อเปียวไม่รู้เลยว่าเงินจำนวนสามสิบล้านหยวนในวันนี้ท้ายที่สุดจะกลายเป็นหลักฐานชิ้นสำคัญในการทุจริตคอรัปชั่นของหลี่จิ่วเจียง และจะกลับกลายเป็นดาบที่ย้อนกลับมาสังหารตัวมันเอง
และนี่คือเหตุผลว่าเพราะเหตุใดในคืนนี้จึงจะไม่มีผู้ใดสามารถขนเงินจำนวนนี้ออกไปจากโรงแรมแห่งนี้ได้!
‘เราคงจะคิดมากไปเองนั่นล่ะ!สาวงามทั้งหมดนี้คงจะมาเร่วมงานเลี้ยงฉลองของหลี่เทียนจริงๆ คงไม่มีอะไรน่าวิตก!’
เมื่อคิดได้เช่นนี้..ชีเต๋อเปียวก็โบกไม้โบกมือเรียกหัวหน้าที่ดูแลจัดเลี้ยงพร้อมกับสั่งว่า “คุณช่วยพาสุภาพสตรีทั้งหกท่านนี้เข้าไปในงานเลี้ยง และช่วยหาโต๊ะให้พวกเธอนั่งด้วย..”
ไม่ว่าจะมีหรือไม่มีบัตรเชิญแต่เช็คจำนวนยี่สิบล้านของหลงหวู่ก็สามารถนำพวกเธอทั้งหกคนเข้าไปนั่งในงานเลี้ยงในฐานะแขกได้อย่างง่ายดาย
“เชิญคุณสุภาพสตรีทุกท่านทางนี้ครับ..”
หลังจากที่หลินเมิ่งหานและคนอื่นๆเดินเข้าไปภายในห้องจัดเลี้ยงในฐานะแขกของงานแล้ว ชีเต๋อเปียวที่รู้สึกผ่อนคลายขึ้นมากก็รีบเข้าไปช่วยพยุงร่างของหลี่เทียนลุกขึ้นจากพื้นทันที
“หลี่เทียน..เธอ.. นี่มันเกิดอะไรขึ้นกับเธอกันแน่!”
ชีเต๋อเปียวเข้าไปช่วยพยุงหลี่เทียนไว้พร้อมกับจ้องมองแก้มซ้ายที่บวมเปล่งและรอยฝ่ามือทั้งห้าที่ยังคงแดงเถือกอยู่บนใบหน้า แล้วแสร้งทำเป็นถามอย่างเห็นอกเห็นใจ..
“ถุย!”
หลี่เทียนพ่นเลือดออกมาจากปากจากนั้นจึงแลบลิ้นเลียริมฝีปากก่อนจะร้องตะโกนออกมาอย่างไม่พอใจ
“ไม่เห็นหรือไงผมเป็นขนาดนี้ ยังจะถามอยู่ได้!”
หลี่เทียนเองก็ไม่สามารถอธิบายได้ว่ารอยฝ่ามือนั่นมาอยู่ที่ใบหน้าของตนเองได้อย่างไร!
“เดี๋ยวจัดการบ้วนเลือดในปากก่อนดีกว่า..”
แม้ชีเต๋อเปียวจะถูกหลี่เทียนดุด่าอย่างไม่พอใจแต่เขาก็ยังคงทำหน้าที่ของตนเองอย่างซื่อสัตย์ และรีบไปนำน้ำดื่มมาให้หลี่เทียนพร้อมกับเล่าให้เขาฟังว่า
“หลี่เทียน..สุภาพสตรีทั้งหกคนนั่นนำเช็คยี่สิบล้านมาให้ ครูคงต้องรายงานเรื่องนี้ให้ผู้อำนวยการหลี่รู้แล้วล่ะ..”
การจู่โจมของไป๋เซียนเอ๋อเมื่อครู่นั้นนางเพียงแค่ใช้พละกำลังในระดับคนธรรมดาเท่านั้น หลี่เทียนจึงไม่ถึงกับเจ็บหนัก
“ครูไปรายงานคุณลุงแล้วอย่าลืมโทรเรียกบอดี้การ์ดคนใหม่มาหาผมด้วย! แล้วก็ช่วยแจ้งคุณลุงด้วยว่าผมไม่เข้าไปในงานเลี้ยงแล้ว แต่จะขึ้นไปที่ห้องพักเลย คืนนี้ยังไงผมก็ต้องนอนกับนังนั่น ใครหน้าใหนก็ห้ามผมไม่ได้!”
หลี่เทียนร้องบอกพร้อมกับหันไปมองฉีเสี่ยวชิงด้วยแววตาดุร้าย..
“คืนนี้..ฉันจะต้องแก้แค้นเธอคืนเป็นร้อยเป็นพันเท่าแน่!”
ฉีเสี่ยวชิงยังคงยืนนิ่งไม่พูดอะไรสีหน้าของเธอยังคงเรียบเฉยและเย็นชา จนไม่มีใครสามารถดูออกว่าเวลานี้เธอกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่
……….
ห้องจัดเลี้ยงนี้มีขนาดใหญ่และหรูหรามาก มันถูกออกแบบมาสำหรับการจัดเลี้ยงขนาดใหญ่สำหรับชนชั้นสูง ร่ำรวย และมีอำนาจ แทบไม่น่าเชื่อว่าโต๊ะจีนทั้งสามสิบหกโต๊ะเวลานี้จะมีแขกนั่งกันอยู่เนืองแน่นได้..
ภายในห้องจัดเลี้ยงขนาดใหญ่นี้มีทางเดินกว้างที่ทอดจากฝั่งตะวันออกไปทางตะวันตก และทั้งสองฝั่งนั้นก็มีห้องส่วนตัวขนาดใหญ่อยู่ด้านละห้อง
แน่นอนว่าห้องส่วนตัวหรูหราขนาดใหญ่นี้มีไว้สำหรับรับแขกระดับวีไอพีเท่านั้น เพราะแขกระดับนี้คงจะไม่สามารถนั่งอยู่ในห้องจัดเลี้ยงที่มีเสียงดังหนวกหูได้..
ภายในห้องส่วนตัวขนาดหนึ่งร้อยตารางเมตรนี้สิ่งที่โดดเด่นที่สุดเมื่อเดินเข้าไปในห้องก็คือโต๊ะหมุนขนาดใหญ่มาก และสามารถนั่งรับประทานอาหารร่วมกันได้อย่างน้อยยี่สิบสี่คนเลยทีเดียว
หลี่จิ่วเจียง– ผู้อำนวยการกองการศึกษาประจำมณฑลเจียงหนาน ก็นั่งอยู่กับเพื่อนๆของเขาในห้องนี้ด้วย และผู้ที่จะสามารถนั่งร่วมโต๊ะอยู่ในห้องส่วนตัวนี้กับหลี่จิ่วเจียงได้ ก็ต้องเป็นผู้ที่มีคุณสมบัติเหล่านี้คือ มีฐานะร่ำรวย และเป็นคนมีหน้ามีตาในเมืองจิงฉู!
ในบรรดาแขกวีไอพีที่อยู่ในห้องส่วนตัวนี้มีข้าราชการในมณฑลเจียงหนานอยู่แปดคน ส่วนอีกหกคนก็เป็นผู้อำนวยการของสำนักงานการศึกษาอีกหกแห่ง..
นอกเหนือจากนั้นก็มีเลขานุการของหลี่จิ่วเจียงอีกสองคนซึ่งเป็นชายหนึ่งคน และหญิงหนึ่งคน..
ในห้องรับรองส่วนตัวนั้นยังมีคนสำคัญในเมืองจิงฉูอีกถึงสองคนซึ่งก็คือเสียเจิ้นเทียนกับกู่เหลียนเฉิงนั่นเอง..
นอกจากนั้นก็ยังมีชายสามคนที่มีสีหน้าเฉยเมยไร้อารมณ์ความรู้สึกพวกเขาสวมเสื้อเชิ้ตสีเทาและรองเท้าอย่างคนธรรมดาๆ แต่กลับนั่งอยู่ในตำแหน่งระดับวีไอพีข้างซ้ายและขวาของหลี่จิ่วเจียง..
แม้ทั้งสามคนจะแต่งตัวพื้นๆแต่หลี่จิ่วเจียงกลับมีมารยาท และดูเคารพนบนอบชายทั้งสามอย่างมาก..
และเหตุผลเพียงข้อเดียวที่ทำให้หลี่จิ่วเจียงต้องมีมารยาทกับชายลึกลับทั้งสามคนนั้นก็คือ..พวกเขาคือคนของตระกูลซันแห่งปักกิ่งนั่นเอง!
“คุณเสีย..ผมว่าคุณไม่ต้องกังวลใจมากจนเกินไปนัก! หลิงหยุนเพิ่งจะอายุแค่สิบแปดปี จะสักเท่าไหร่กันเชียว!”
หลี่จิ่วเจียงพูดพร้อมกับยกมือขึ้นหมุนถาดกลมบนโต๊ะด้วยท่าทางไม่ยี่หระเขาสังเกตุเห็นว่าเก้าอี้ที่ได้เตรียมไว้ให้กับหลู่กวนหวัง – ผู้อำนวยการสำนักงานการศึกษาประจำเมืองจิงฉูนั้นยังคงว่างเปล่า..
บทที่ 842 : ถูกหลิงหยุนกดดัน!
เสียเจิ้นติงในวัยสี่สิบที่ยังหนุ่มแน่นอีกทั้งยังเป็นชายผิวขาวสะอาดสะอ้าน และหล่อเหลาอย่างมาก รูปร่างหน้าตาของเขานั้นไม่ต่างจากพระเอกหนังในยุค 60 หรือ 70 เลย ผิวพรรณและหน้าตานั้นบ่งบอกว่าเป็นผู้ดี และเติบโตมาด้วยการเลี้ยงดูประคบประหงมอย่างดี
แต่เวลานี้สีหน้าของเสียเจิ้นติงกลับเต็มไปด้วยความวิตกกังวลและกระวนกระวายใจอย่างมาก ต่างจากสีหน้าที่ไร้กังวลอย่างสิ้นเชิงของหลี่จิ่วเจียง
หลังจากที่ได้ฟังคำพูดของหลี่จิ่วเจียงแล้วเสียเจิ้นติงก็ถึงกับขมวดคิ้ว และกระแอมเบาๆ ก่อนจะพูดขึ้นด้วยความวิตกกังวลเช่นเคย
“ผู้อำนวยการหลี่..ผมมีความคิดเห็นค่อนข้างแตกต่างจากคุณในเรื่องของหลิงหยุน!”
เสียเจิ้นติงตอบกลับหลี่จิ่วเจียงอย่างมีมารยาทแม้ว่าเขาจะไม่เห็นด้วยกับหลี่จิ่วเจียงอย่างมาก แต่ก็ไม่ได้แสดงออกอย่างชัดเจนนัก และเลือกที่จะตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่ไพเราะนุ่มนวลอีกด้วย
แต่จะว่าไปแล้วด้วยสถานะของแขกที่อยู่ในห้องรับรองหรูหรานี้ความจริงแล้วก็ไม่น่าจะโคจรมานั่งร่วมโต๊ะกันได้เช่นนี้ เพราะแขกส่วนใหญ่ที่อยู่ในห้องนั้นล้วนแล้วแต่เป็นข้าราชการระดับสูงที่มาจากมณฑลเจียงหนานทั้งสิ้น
และที่ดูเหมือนไม่เขาพวกก็เห็นจะมีเสียเจิ้นติงกู่เหลียนเฉิง และแขกรับเชิญที่ดูลึกลับอีกสามคน..
ในประเทศจีนนั้น..การแบ่งระดับชนชั้นเป็นเรื่องที่ค่อนข้างเคร่งครัด และมีหลายเรื่องที่ควรต้องหลีกเลี่ยง
เสียเจิ้นติงนั้นเป็นหนึ่งในคณะกรรมการบริหารของเมืองจิงฉูแต่หลี่จิ่วเจียงนั้นเป็นผู้อำนวยการกองการศึกษาประจำมณฑลเจียงหนาน ทั้งสองคนไม่เพียงมีระดับขั้นที่แตกต่างกัน แต่ยังอยู่ในสายงานที่แตกต่างกันด้วย อีกทั้งยังไม่ใช่เพื่อนที่สนิทสนมกัน จึงมีโอกาสน้อยมากที่จะโคจรมาร่วมโต๊ะกันเช่นนี้ได้
เสียเจิ้นติงนั้นเป็นหนึ่งในคณะกรรมการบริหารด้านเศรษฐกิจของเมืองนี้หากจะพูดถึงเรื่องอำนาจและโอกาสในการทำเงินนั้น เขาสามารถทำเงินได้มากกว่าหลี่จิ่วเจียงอย่างแน่นอน
เพราะเพียงแค่ลายเซ็นของเสียเจิ้นติงนั้นก็นับได้ว่าเป็นขุมทรัพย์ และเป็นแหล่งรายได้ของเขาเลยก็ว่าได้!
ส่วนหลี่จิ่วเจียงนั้นแม้ว่าจะเป็นข้าราชการระดับมณฑลแต่ก็มีเส้นทางในการหาเงินได้ไม่มากเท่าเสียเจิ้นติง หรืออาจจะพูดได้ว่าต่างกันหลายขุมเลยก็ได้!
ทั้งคู่ต่างก็มีความโดดเด่นกันคนละด้านและหากด้วยเหตุผลเพียงแค่นี้ เสียเจิ้นติงก็ไม่จำเป็นต้องทำตัวลีบตัวเล็กมากจนเกินไปเมื่อยู่ต่อหน้าหลี่จิ่วเจียว..
แต่สำหรับบุคคลในแวดวงราชการนั้นสิ่งที่สำคัญที่สุดนั้นไม่ใช่เงินทอง แต่กลับเป็นผู้ที่สนับสนุนอยู่เบื้องหลัง อำนาจบารมี และโอกาสในการไต่เต้าต่างหาก และหากเปรียบเงินทองกับสิ่งที่พูดมา เงินทองจึงไม่ต่างจากโคลนตรม!
หลี่จิ่วเจียงนั้นมีตระกูลซันหนุนหลังอยู่จึงนับว่าได้เปรียบเสียเจิ้นติงหนึ่งขั้น ถึงแม้ตอนนี้เขาจะเป็นผู้อำนวยการกองการศึกษาประจำมณฑล แต่ก็กำลังรอที่จะได้เลื่อนตำแหน่ง หากไม่มีอะไรผิดพลายมากมาย อย่างน้อยหลี่จิ่วเจียงก็ต้องได้เข้ารับตำแหน่งในปักกิ่งเป็นผู้ช่วยรัฐมนตรีกระทรวงศึกษาอย่างแน่นอน!
แต่ถึงแม้จะไม่ได้เลื่อนตำแหน่งในตอนนี้แต่ตำแหน่งนี้ก็ต้องตกเป็นของเขาอยู่อย่างแน่นอน..
ยิ่งไปกว่านั้นพี่ชายของหลี่จิ่วเจียงที่ชื่อหลี่ซันเจียง ก็เป็นถึงนายกเทศมนตรีของเมืองฮู๋ตงซึ่งนับว่าตำแหน่งสูงกว่าเสียเจิ้นติงถึงสองขั้น
ทุกคนต่างก็รู้ว่าเมืองฮู๋ตงนั้นเป็นเขตเศรษฐกิจที่มีการพัฒนาสูงสุดและยังเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจและการเงินของประเทศนี้อีกด้วย จึงนับว่าเป็นตำแหน่งที่ค่อนข้างมีอำนาจมาก..
และด้วยเหตุผลเหล่านี้ทำให้หนุ่มเพลย์บอยอย่างหลี่เทียนสามารถทำตัวกร่าง และข่มเหงรังแกผู้อื่นอย่างไร้ยางอายเช่นนี้ได้
ด้วยเหตุผลเหล่านี้เสียเจิ้นติงจึงต้องให้ความเคารพหลี่จิ่วเจียงซึ่งมีภูมิหลังที่แข็งแกร่งกว่าตนเอง และไม่กล้าที่จะแสดงความขัดแย้งอย่างออกหน้าออกตานัก..
เหตุใดเสียเจิ้นติงจึงกังวลเรื่องของหลิงหยุนมากอย่างนั้นหรือ
นั่นก็เพราะตระกูลเสียเองก็มีปัญหาอยู่กับหลิงหยุน!
หากเป็นเพียงปัญหาที่เกิดจากความขัดแย้งกันเล็กๆน้อยๆภายในโรงเรียนเสียเจิ้นติงคงจะยอมเสียหน้าไปขอโทษหลิงหยุนด้วยตัวเองแล้ว เพราะส่วนใหญ่ความขัดแย้งของเด็กนักเรียนก็มีเพียงแค่ความหึงหวง เหตุใดจึงต้องจบลงถึงขั้นเอาชีวิตกันเล่า
แต่เพราะเสียเจิ้นติงนั้นมีงานยุ่งเขาทำงานทั้งวันหยุดสัปดาห์ และเข้าประชุมแทบทุกวัน เขามัวแต่วุ่นอยู่กับการแสวงหาอำนาจจนไม่มีเวลาสอบถามลูกชายเกี่ยวกับเรื่องภายในโรงเรียน..
ยิ่งไปกว่านั้นเขาเองก็มั่นใจว่าด้วยฐานะและความสามารถของเสียเจิ้นเหยินนั้น คงจะมีแต่ลูกชายของเขาที่จะไปข่มเหงรังแกคนอื่น เป็นไปไม่ได้เลยที่จะมีใครกล้าข่มเหงรังแกลูกชายของเขา..
และเรื่องแรกที่เสียเจิ้นติงได้ฟังจากปากของเสียเจิ้นเหยินกับกู่หยุนฟะก็คือเรื่องที่ทั้งคู่ไปเดิมพันไว้กับหลิงหยุนนั่นเอง
หลังจากที่สอบถามลูกชายอย่างละเอียดแล้วก็ได้ความว่าทั้งสองฝ่ายได้วางเงินเดิมพันกันถึงหนึ่งร้อยล้านหยวน และเงินจำนวนนั้นก็เป็นของกู่เหลียนเฉิง
และสิ่งที่ได้รู้หลังจากนั้นก็คือหลิงหยุนซึ่งเคยเป็นฝ่ายถูกข่มเหงรังแกมาตลอดนั้น จู่ๆในมัธยมปลายเทอมสุดท้าย ก็กลับเป็นคนเดียวในโรงเรียนที่กล้าข่มเหงรังแกลูกชายของเขา!
และเรื่องราวก็เริ่มลุกลามใหญ่โตขึ้นหลังจากคืนวันเชงเม้งนั่นเพราะหลิงหยุนได้หายตัวไป ซันเทียนเปียวจึงพายอดฝีมือมาหลายร้อยคน และจัดการควบคุมเมืองจิงฉูไว้ทั้งเมือง
และสาเหตุก็คือลูกและภรรยาของซันเทียนเปียวรวมทั้งคนสำคัญของตระกูลซันอีกหลายคนได้หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยในคืนวันเชงเม้งคนเหล่านั้นหายไปอย่างไร้ร่องรอย และไม่พบเห็นแม้แต่ศพ!
และด้วยความร่วมมือของเสียเจิ้นติงกับหลัวจ้งทำให้สามารถตระกูลซันสามารถจัดการกับฝ่ายตรงข้ามได้ภายในม้วนเดียว และสามารถควบคุมจิงฉูไว้ได้ทั้งเมือง
ผลก็คือ..หลี่ยี่เฟิงต้องถูกสอบสวนทางวินัย และถังเทียนห่าวถูกกักบริเวณ ประโยชน์ทั้งหมดจึงตกอยู่ที่เสียเจิ้นติงกับหลัวจ้ง..
เมื่อเหตุการณ์พลิกกลับมาเช่นนี้ลูกชายของเขาเสียเจิ้นเหยิน จึงได้ร่วมมือกับกู่หยุนฟะและหลู่เจิ้งเทียนทำร้ายถังเมิ่งจนได้รับบาดเจ็บสาหัสจนเกือบพิการ เรียกได้ว่าพ่อจัดการถังเทียนห่าว ส่วนลูกจัดการถังเมิ่ง!
และจากสาเหตุทั้งหมดนี้ทำให้จากเรื่องขัดแย้งเล็กน้อยภายในโรงเรียน ได้ลุกลามใหญ่โตถึงขั้นเป็นศัตรูที่จ้องจะกินเลือดกินเนื้อกัน!
ถึงแม้เสียเจิ้นติงจะรู้สึกว่าลูกชายของตนเองนั้นทำเกินไปแต่เวลานั้นเขาเองก็มีตระกูลซันหนุนหลังอยู่ จึงเพียงแค่ตำหนิเสียเจิ้นเหยินไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
แต่สิ่งที่ทุกคนคาดคิดไม่ถึงก็คือว่า..จู่ๆหลิงหยุนก็กลับมา และหลังจากนั้นสถานการณ์ทุกอย่างก็พลิกกลับด้านทันที!
หลัวจ้งถูกจัดการภายในวันเดียวซันเทียนเปียวถูกสังหารในคืนนั้น และยอดฝีมือที่เขาพามาด้วยนับร้อยๆคนก็ถูกสังหารตายจนเกือบหมด เรียกได้ว่าไม่มีใครเลยที่สามารถรอดออกจากจิงฉูได้ในสภาพปกติ!
ในเมื่อสถานการณ์พลิกกลับจากหน้ามือเป็นหลังเท้าเช่นนี้เสียเจิ้นติงจึงรู้ว่าแนวโน้มต่อไปจะเป็นเช่นไร เขาจึงรีบไปปรึกษากับหลู่กวนหวังและกู่เหลียนเฉิงถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้น และรีบจัดการให้ลูกๆของตนเองหลบหนีออกจากจิงฉูทันที!
เพราะพวกเขาต่างก็เรียนรู้แล้วว่า..ภายใต้อารมณ์โกรธของหลิงหยุนนั้น ลูกชายของพวกเขาทั้งสามคนมีสิทธิ์ที่จะตายได้ตลอดเวลา!
แต่ก็นับว่าโชคดีที่ปีศาจทั้งสามสามารถหลบหนีออกจากเมืองจิงฉูได้ทันเวลาอีกทั้งหลิงหยุนเองก็ไม่ได้คิดที่จะไล่ล่าตามหาพวกมันด้วย แต่ถึงกระนั้นเสียเจิ้นติงเองก็ไม่เคยวางใจในเรื่องนี้..
หลังจากคืนวันเชงเม้งตระกูลซันก็ถูกหลิงหยุนทำลายจนสิ้นซาก หลี่ยี่เฟิงก็กลับเข้ารับตำแหน่งคืนดังเดิม ส่วนถังเทียนห่าวก็ได้ขึ้นมาแทนที่หลัวจ้ง และในที่สุดหลิงหยุนก็สามารถควบคุมสถานการณ์ในเมืองจิงฉูไว้ได้ทั้งหมด
และทั้งหมดที่เกิดขึ้นนั้นก็ด้วยความแข็งแกร่งของหลิงหยุนแต่เพียงผู้เดียว!
หลัวจ้งจบสิ้นแล้วและถึงแม้เสียเจิ้นติงจะรอด แต่ก็แทบไม่ได้รับการสนับสนุนจากผู้ใดอีก จะเรียกว่าเหลือตัวคนเดียวก็ได้! แม้กระทั่งคนที่เขาปลุกปั้นมากับมือ ยังหักหลังเขาไปพึ่งใบบุญของหลี่ยี่เฟิงแทน!
เสียเจิ้นติงเริ่มรู้สึกโดดเดี่ยวมากขึ้นเรื่อยๆและรู้สึกราวกับถูกตาข่ายที่มองไม่เห็นค่อยๆรัดรึงแน่นขึ้นทุกวันๆ เพราะถึงแม้หลี่ยี่เฟิงกับถังเทียนห่าวจะไม่เล่นงานเขาอย่างจริงจัง แต่ตลอดที่ผ่านมาทั้งคู่ก็ไม่เคยเห็นหัวเขาเลยแม้แต่น้อย!
ยิ่งไปกว่านั้น..ตลอดหลายปีที่ทำงานร่วมกับหลี่ยี่เฟิงมานั้น เสียเจิ้นติงรู้จักคนอย่างหลี่ยี่เฟิงดีว่า จะไม่ลงมือกับใครหากไม่มั่นใจ แต่ถ้าเมื่อใดก็ตามที่เขาลงมือแล้ว ก็ยากนักที่คนผู้นั้นจะสามารถรับมือได้..
เมื่อเวลานั้นมาถึงจริงเสียเจิ้นติงยังเกรงว่าแม้แต่เสียเจิ้นถังพี่ชายของเขาซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงอยู่ที่ปักกิ่งนั้น ก็คงยากที่จะปกป้องเขาได้!
ตลอดเวลากว่าสามเดือนนั้นเสียเจิ้นติงใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก เขาทำงานด้วยความระมัดระวัง หลังจากเสร็จงานก็รีบกลับบ้านล็อคประตู เรื่องความสุขจากการเดินทางหรือสถานที่บันเทิงนั้นถูกยกเลิกทั้งหมด เพราะเกรงว่าจะถูกอีกฝ่ายจับตัวไป
ระหว่างที่ต้องระมัดระวังตัวอย่างมากนั้นเสียเจิ้นติงก็ต้องทำงานอย่างหนักร่วมกับพี่ชายของเขา เพื่อให้พี่ชายของเขาช่วยวิ่งเต้นโยกย้ายตนเองออกจากจิงฉู..
อีกทั้งยังหวังพึ่งพาและได้รับการหนุนหลังจากตระกูลซันอีกด้วย..
ที่ผ่านมานั้น..เสียเจิ้นติงไม่เคยได้ลิ้มรสของการนอนหลับสนิท และความกดดันเช่นนี้มาก่อนเลย!
และทั้งหมดนั้นล้วนเป็นแรงกดดันที่เกิดจากหลิงหยุนเขาต้องคอยวิตกกังวลว่า หลิงหยุนจะโผล่มาทีหน้าประตูบ้านของตนเองเวลาใหน
แต่ถึงกระนั้น..หลังจากพายุผ่านพ้นไปครู่ใหญ่ เสียเจิ้นติงก็พบว่าหลิงหยุนไม่เคยมายุ่งวุ่นวายกับเขาเลยแม้แต่น้อย หลิงหยุนทำราวกับว่าไม่มีคนชื่อเสียเจิ้นติงอยู่บนโลกใบนี้!
และนั่นทำให้เสียเจิ้นติงรู้สึกแปลกประหลาดใจเป็นอย่างมากว่าเพราะเหตุใดหลิงหยุนจึงไม่มาจัดการกับเขาอย่างที่ทำกับหลัวจ้ง..!
และยิ่งรู้สึกแปลกใจมากเท่าไหร่เขาก็ยิ่งกังวลใจมากขึ้นเท่านั้น!
เมื่อไหร่หลิงหยุนจึงจะลงมือจัดการกับตนเองเสียที
เสียเจิ้นติงที่พ่ายแพ้อย่างยังเยินต้องอยู่ภายใต้ความรู้สึกกดดันเช่นนี้มาตลอดหลายเดือน จนกระทั้งเมื่อหลายวันที่ผ่านมา หลู่กวนหวังก็ได้มาพบเขาด้วยสีหน้าตื่นเต้น และบอกกล่าวบางสิ่งบางอย่างให้เขารู้ ทำให้เขาจึงรู้สึกราวกับได้ชีวิตใหม่กลับมา..
และนั่นคือเหตุผลว่าเพราะเหตุใดเสียเจิ้นติงจึงมาปรากฏตัวอยู่ภายในห้องรับรองระดับวีไอพีที่หรูหราแห่งนี้!