Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร - บทที่ 972 : เป็นอิสระทางใจ!
บทที่ 972 : เป็นอิสระทางใจ!
“พวกเราเห็นว่าศิษย์สำนักดาบสวรรค์ตกอยู่ในอันตรายพวกเราจึงขึ้นมาที่นี่!”
ทันทีที่ได้รับสัญญาณพลุยอดฝีมือที่ซ่อนอยู่ในป่าทึบที่ตีนเขาด้านล่าง ต่างก็พากันใช้วิชาตัวเบาวิ่งขึ้นมาบนยอดเขากันอย่างรวดเร็ว
ทางด้านทิศใต้ของยอดเขาหลงเหมินนั้นคือนักพรตเต๋าทั้งสี่แห่งเขาหลงหู่นามว่าชางซง ซีเสีย จุ้ยจู่ และชิงเฟิง นักพรตทั้งสี่นั้นต่างก็ถือกระบี่ยาววิ่งขึ้นมาบนยอดเขาแห่งนี้!
ทางด้านทิศเหนือคือนายน้อยจากสำนักหมัดเทวะนามว่าเถี่ยหมิงเขานำยอดฝีมือติดตามมาด้วยถึงสามคนซึ่งก็คือทวนเหล็กตระกูลเหลย ได้แก่เหลยเชิ่ง เหลยจิ้งกัง และเหลยเหวินซิ่ว!
ทางด้านทิศตะวันตกคือศิษย์สำนักกระบี่คุนหลุนทั้งสี่คนสามในสี่เป็นมือกระบี่คุนหลุนนามว่าจื่อหยาง จื่อเยี่ย และจื่อกวง ส่วนมือกระบี่อีกหนึ่งคนที่สวมชุดขาวนั้นดูเหมือนจะเป็นหัวหน้ามีนามว่าหลี่เคิ่นวู๋ แม้จะดูเหมือนอายุยังน้อย แต่ก็มีท่าทียะโสโอหัง และเย็นชายิ่งนัก มือทั้งสองข้างของเขากอดกระบี่แนบอก..
ส่วนทางด้านทิศตะวันออกของยอดเขาหลงเหมินมีชายชุดดำเก้าคนกระโดดออกมาจากความมืด หนึ่งในนั้นคือรองเจ้าสำนักลัทธิแดนใต้นามว่ากงซุ่นหลี่
……
“พวกเจ้าร้อนรนที่จะขึ้นไปบนยอดเขากันนัก..จะรีบร้อนไปเกิดใหม่หรือยังไงกัน”
ที่ตีนเขาด้านล่างทางทิศใต้ของเขาหลงเหมินนั้นในป่าทึบมีเด็กหนุ่มสวมชุดนักพรตนั่งพิงต้นไม้ใหญ่อยู่ ในปากคาบกิ่งไม้บ่นพึมพำพร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองไปทางยอดเขาที่อยู่ห่างไกล..
ภายในป่าทึบบริเวณนั้นก็คือที่ซึ่งมือกระบี่คุนหลุนทั้งสี่คนซ่อนตัวอยู่ก่อนนั่นเอง..
นักพรตเต๋าผู้นี้แม้จะยังดูอ่อนเยาว์แต่ลักษณะท่าทางภายนอกกลับดูราวกับโจรผู้ร้าย เนื้อตัวมอมแมมดูสกปรกยิ่งนัก!
เสื้อคลุมสีน้ำเงินในแบบนักพรตบนร่างของเขานั้นไม่รู้ว่าไม่ได้ผ่านการซักทำความสะอาดมาเป็นเวลานานมากเพียงใด เพราะเวลานี้มันได้เปลี่ยนเป็นสีดำขมุกขมัว และดูสกปรกยิ่งนัก!
ผมที่ยาวมากนั้นได้ถูกรวบเป็นมวยไว้กลางศรีษะอย่างลวกๆและใช้ตะเกียบเสียบไว้เพื่อไม่ให้ร่วงหล่นลงมายุ่งเหยิงได้อีก
ทางด้านขวามือของเขานั้นมีกล่องสีดำวางอยู่ที่พื้นซึ่งไม่รู้ว่าด้านในบรรจุอะไรไว้กันแน่ ส่วนบนกล่องก็มีกระบี่ไม้วางอยู่..
และเวลานี้นักพรตที่สกปรกมอมแมมผู้นี้ก็กำลังร้องตะโกนออกมาอย่างไม่พอใจสีหน้าของเขาบ่งบอกว่ากำลังโมโหอย่างมาก..
“เชอะ!พวกเราต่างก็เป็นนักพรตเหมือนกัน แต่พวกเจ้าสี่คนกลับไม่ยอมให้ข้าขึ้นไปบนยอดเขาหลงเหมินด้วย ข้ายอมให้พวกเจ้าข่มเหงรังแกง่ายๆหรือยังไงกัน”
และนี่ก็คือศิษย์ของสำนักเหมาซานเพียงคนเดียว..นามว่าโม่วู๋เตา!
“หึ..ฝีมือข้ายังไม่เข้าขั้นงั้นรึ เชอะ..”
หลังจากที่พร่ำบ่นระบายความโมโหออกไปแล้วโม่วู๋เตาก็ถุยกิ่งไม้ที่คาบอยู่ในปากทิ้งไป พร้อมกับยกมือข้างหนึ่งขึ้น และทำการนับนิ้วทั้งสี่พร้อมกับพึมพำเบาๆ
หลังจากที่นับนิ้วคำนวณดวงชะตาดูแล้วดวงตาของโม่วู๋เตาถึงกับเป็นประกายสับสนขึ้นมาทันที และสีหน้าก็เปลี่ยนเป็นจริงจังในขณะที่พูดออกไปว่า
“ศิษย์พี่ใหญ่ของสำนักดาบสวรรค์ที่ชอบบีบบังคับผู้อื่นตายแล้วงั้นรึ”
จากนั้นนักพรตหนุ่มก็ถอนหายใจพร้อมกับพึมพำออกมา“เฮ้อ.. ตายเพราะความดื้อรั้นสินะ! แต่ก็ไม่เกี่ยวกับอะไรกับข้าสักหน่อยนี่นา..”
หลังจากนั้นโม่วู๋เตาก็กัดฟันยกกล่องไม้และเงยหน้าขึ้นมองไปทางยอดเขา
“หลิงหยุน..ถึงแม้ข้าจะเป็นศิษย์น้องของหลิวเต๋อหมิง แต่ข้าก็เป็นแค่หมอดู เจ้าต้องไม่สังหารข้านะ!”
“เฮ้อ..มีอะไรก็น่าจะค่อยๆพูดค่อยๆจากันนี่นา.. ทุกคนควรพูดคุยกันด้วยเหตุผลไม่ใช่รึ”
โม่วู๋เตาพึมพำพร้อมกับมองขึ้นไปบนยอดเขาหลงเหมินแม้เขาจะพยายามพูดจาสร้างขวัญกำลังใจให้กับตนเองแล้ว แต่เท้าทั้งสองข้างกลับขยับเขยื้อนไม่ได้ราวกับถูกตรึงแน่นไว้ด้วยตะปู..
โม่วู๋เตายืนนิ่งคล้ายกับกำลังตัดสินใจหลังจากที่อยากจะหันหลังกลับออกไปจากที่นี่อยู่หลายครั้งหลายครา แต่ในที่สุดเขาก็หันหน้าไปทางยอดเขา แล้วค่อยๆก้าวเท้าเดินขึ้นเขาไปทีละขั้น
แต่ในเวลานี้..นอกจากโม่วู๋เตาแล้ว ยอดฝีมือคนอื่นๆต่างก็ขึ้นไปจนถึงยอดหลงเหมินกันแล้ว และเวลานี้กำลังล้อมหลิงหยุนกับฉินตงเฉี่วยไว้ และยากที่ทั้งคู่จะหนีไปใหนรอด!
แปดสำนักใหญ่..ไม่ว่าจะเป็นเส้าหลิน บู๊ตึ๊ง กระบี่คุนหลุน หมัดเทวะ ทวนเหล็กตระกูลเหลย ลัทธิแดนใต้ สำนักดาบสวรรค์ และยอดฝีมือจากเขาหลงหู่ ทุกคนต่างก็ไปถึงยอดเขาหลงเหมินกันหมดแล้ว!
หากรวมโม่วู๋เตาศิษย์สำนักเหมาซานที่กำลังค่อยๆปีนขึ้นเขาไปนั้น คืนนี้ก็จะมียอดฝีมือจากเก้าสำนักรวมตัวกันเพื่อสังหารหลิงหยุน!
ฉินตงเฉี่วยที่ยืนเคียงบ่าเคียงไหล่กับหลิงหยุนนั้นเมื่อได้เห็นยอดฝีมือแต่ละคนที่พุ่งออกมาจากความมืด และกำลังรายล้อมนางกับหลิงหยุนไว้อย่างแน่นหนานั้น ใบหน้าของนางก็ถึงกลับเปลี่ยนเป็นซีดขาวจนไร้สีเลือด!
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง..เมื่อนางได้เห็นศิษย์สำนักดาบสวรรค์ทั้งสี่คนย้อนกลับมา และทั้งสี่คนต่างก็จ้องมองนางด้วยแววตาเคียดแค้นเกลียดชัง และเย็นชาอย่างยิ่ง
ฉินตงเฉี่วยหันหน้ามองไปรอบตัวและสายตาของนางก็ไปปะทะเข้ากับร่างไร้ศรีษะของกัวเสี่ยวเทียนบนพื้นอีกครั้ง แต่ครั้งนี้.. ฉินตงเฉี่วยไม่หลงเหลือความรู้สึกผิดในจิตใจอีกเลยแม้แต่น้อย เวลานี้.. มีเพียงไฟโทสะที่กำลังแผดเผาจิตใจของนางอยู่เท่านั้น!
หลิงหยุนพูดไม่ผิด..ในสายตาของศิษย์สำนักดาบสวรรค์ นางก็เป็นเพียงแค่เหยื่อที่ใช้ล่อหลิงหยุนออกมาให้ถูกสังหารเท่านั้น!
สำนักที่มีแต่คนจิตใจโหดเหี้ยมเช่นนี้นางจะอยู่ต่อไปเพื่ออะไรกัน..ไอลีนโนเวล
ความรู้สึกผิดในใจของฉินตงเฉี่วยก่อนหน้านี้ได้มลายหายไปจากใจทันที และเปลี่ยนเป็นความโกรธแค้นเข้ามาแทนที่ สายตาของนางที่มองศิษย์ทั้งสี่ของสำนักดาบสวรรค์นั้น เหลือเพียงแค่ความรู้สึกดูถูกเหยียดหยันเท่านั้น!
แต่หลิงหยุนกลับไม่รู้สึกเช่นนั้น..คืนนี้เขาดูสงบนิ่งอย่างน่าประหลาด และกำลังจ้องมองเหล่ายอดฝีมือที่กำลังทยอยกันมามากขึ้นเรื่อยๆ ไม่มีท่าทีที่จะเป็นฝ่ายเริ่ม แต่ก็ไม่มีท่าทีว่าจะหนีเช่นกัน เขาเพียงแค่ยืนถือกระบี่โลหิตแดนใต้ในมือนิ่ง พร้อมกับกำลังยิ้มให้กับวีรุบุรษผู้รักความถูกต้องทั้งหลาย!
หลิงหยุนกำลังรอคอยให้ศัตรูของตนเองมาให้ครบก่อนที่จะเริ่มการต่อสู้อันดุเดือด!
“เขา..เขาคือหลิงหยุน! ส่วนกระบี่สีดำในมือนั้นก็คือกระบี่โลหิตแดนใต้!”
“ไต้ซือเจี๋วยหยวนท่านนักพรตชงซวี.. เจ้ามารน้อยผู้นี้เป็นคนที่ฟาดฝ่ามือใส่ศิษย์พี่ใหญ่ของข้าจนตาย!”
“พวกท่านยังจะรอคอยอะไรกันอีกทุกคนรีบลงมือสังหารมันเร็วเข้า!”
หลิวซุ่ยเฟิงคือผู้ที่หนีไปก่อนศิษย์สำนักดาบสวรรค์คนอื่นๆและเป็นคนสุดท้ายที่กลับเข้ามา แทนที่จะไปยืนรวมกันกับศิษย์คนอื่นๆ แต่เขากลับไปยืนหลบอยู่ด้านหลังของหลวงจีนจากวัดเส้าหลิน และนักพรตจากสำนักบู๊ตึ๊งแทน พร้อมกับร้องตะโกนบอกให้ทุกคนรีบลงมือสังหารหลิงหยุนทันที!
ศิษย์สำนักดาบสวรรค์ที่เหลืออีกสามคนนั้นเลือกที่จะไปยืนอยู่กับยอดฝีมือของสำนักกระบี่คุนหลุนทั้งสี่แทน และได้แต่แสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นกับพฤติกรรมที่ไร้ยางอายของหลิวซุ่ยเฟิง พร้อมกับแสดงสีหน้ารังเกียจเดียดฉันท์ออกมา..
จากนั้นจี้เสี่ยวฉิงก็หันไปกระซิบกับมือกระบี่ชุดขาวท่าทางยะโสโอหังนามว่าหลี่เคิ่นวู๋..
หลี่เคิ่นวู๋ยังคงยืนกอดดาบแนบอกแน่นและพยักหน้าเป็นครั้งคราว ก่อนจะหันไปตะคอกใส่หลิวซุ่ยเฟิงเสียงดัง
“หลิวซุ่ยเฟิง..เจ้าหุบปากได้หรือยัง”
หลิวซุ่ยเฟิงที่กำลังร้องตะโกนนั้นเมื่อได้ยินเสียงตะคอกของหลี่เคิ่นวู๋ แม้ใจจะไม่ยอมรับ แต่ด้วยฝีมือที่ด้อยกว่าของตนเองทำให้หลิวซุ่ยเฟิงได้แต่นิ่งเงียบไปอย่างว่าง่าย..
หลี่เคิ่นวู๋นั้นไม่แม้แต่จะชายตามองหลิวซุ่ยเฟิงและยังคงตั้งใจฟังจี้เสี่ยวฉิง พร้อมกับจ้องมองหลิงหยุนด้วยความสนอกสนใจ!
หลิงหยุนเห็นหลี่เคิ่นวู๋สนใจตนเองมากเช่นนั้นจึงได้แต่ยิ้ม ส่วนหลี่เคิ่นวู๋ก็ถึงกับขมวดคิ้วอย่างหมดความอดทน..
จากนั้นก็ได้ยินเสียง“อามิตตาพุทธ” ดังออกจากปากหลวงจีนผู้ที่ในมือถือคฑา และกำลังก้าวเท้าเดินออกมา
แม้ว่าเสียงของหลวงจีนรูปนี้จะไม่ดังมากนักแต่ก็กึกก้องกังวานจนได้ยินกันอย่างชัดเจนทุกคน น้ำเสียงที่สงบนิ่ง และมีพลังนั้น บ่งบอกว่าเป็นผู้ที่เข้าใจธรรมะได้อย่างลึกซึ้ง..
หลิงหยุนได้ยินเช่นนั้นจึงหันไปพูดกับฉินตงเฉี่วย“น้าหญิง.. ท่านยืนนิ่งๆ อยู่ตรงนี้ และห้ามขยับ! แต่หากใครกล้าแตะต้องตัวท่านแม้แต่น้อย มันผู้นั้นต้องตาย!”
เสียงของหลิงหยุนไม่ดังแต่เพราะเขาใช้มังกรคำราม เสียงของเขาจึงดังแทรกเข้าไปในหูของยอดฝีมือทุกคน และทุกคนต่างก็มีสีหนาตกใจ..
ยอดฝีมือทั้งสี่สิบกว่าคนที่ล้อมรอบหลิงหยุนอยู่เวลานี้แต่น้ำเสียงของหลิงหยุนกลับมั่นอกมั่นใจ และไม่มีทีท่าหวาดหวั่นเลยแม้แต่น้อย!
ฉินตงเฉี่วยกระซิบตอบเสียงเบา“เจ้าเด็กดื้อ.. เจ้าระมัดระวังตัวให้ดีล่ะ! ข้าเองก็จะสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับเจ้า!”
หลิงหยุนได้ฟังคำพูดและน้ำเสียงของฉินตงเฉี่วย ก็รู้ได้ทันทีว่านางคิดตกแล้ว จึงยกมือขึ้นคว้ามืออ่อนนุ่มของนางมากุมไว้ ใบหน้าของฉินตงเฉี่วยแดงก่ำ และหัวใจก็เริ่มเต้นแรง นางพยายามที่จะดึงมือกลับ แต่ก็ไม่สำเร็จ!
จากนั้น..หลิงหยุนก็ปล่อยมือฉินตงเฉี่วย และเปลี่ยนมาถือดาบไว้ด้วยมือขวา เขากระแทกปลายดาบลงกับพื้น แล้วหันไปมองหน้าหลวงจีนรูปนั้นพร้อมกับร้องตะโกนว่า
“ลงมือได้เลย!”
หลวงจีนร่างใหญ่รูปนั้นยกมือขวาพนมไว้ที่อกพร้อมกับโน้มตัวลงเล็กน้อยแล้วพูดขึ้นว่า
“อาตมานามว่าเจี๋วยหยวนมาจากวัดเส้าหลิน..”
แต่ระหว่างนั้นหลิวซุ่ยเฟิงก็ร้องตะโกนแทรกขึ้นมาว่า“ไต้ซือเจี๋วยหยวนมาด้วยตัวเองเช่นนี้ ดูท่าการต่อสู้คงจบลงในเวลาสั้นๆ!”
ไต้ซือเจี๋วยหยวนเหลือบมองหลิงหยุนพร้อมกับพูดขึ้นว่า“ประสกหลิงหยุน.. ปัญหาทุกอย่างไม่จำเป็นต้องแก้ด้วยการใช้กำลังไม่ใช่รึ”
แต่หลิงหยุนกลับตอบไปว่า“แต่หลักการของข้ามีเพียงอย่างเดียว.. ปัญหาทุกอย่างล้วนต้องแก้ไขด้วยกำลัง!”
ไต้ซือเจี๋วยหยวนจ้องมองหลิงหยุนนิ่งนานก่อนจะพูดขึ้นว่า“ประสก.. เจ้าวางกระบี่ที่ใช้สังหารผู้คนเล่มนั้นลงเสีย! แล้วกลับตัวกลับใจมุ่งหน้าเข้าสู่แดนพุทธองค์..”
หลิงหยุนก้มลงมองไปที่ปลายกระบี่ซึ่งปักลงพื้นก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองหลวงจีนรูปนั้นพร้อมกับตอบไปว่า “ไต้ซือ.. ปลายกระบี่ข้าชี้ลงดินแล้ว!”
ไต้ซือเจี๋วยหยวนตอบกลับอย่างใจเย็น“แต่ประสกย่อมรู้ดีว่า.. เจ้าสามารถชักมันขึ้นใหม่อีกครั้งได้ตลอดเวลา!”
หลิงหยุนยิ้มพร้อมตอบกลับไปว่า“ไต้ซือ.. ข้าจะไม่ชักกระบี่ออกมา แต่ถ้าเมื่อใดกระบี่เล่มนี้ถูกชักออกจากฝัก จะต้องมีผู้ถูกสังหาร!”