dual cultivation : ร่วมเรียงเคียงเซียน - บทที่ 552 ตระกูลฟาง
บทที่ 552 ตระกูลฟาง
หลังจากที่เดินทางได้อีกประมาณครึ่งชั่วโมง สุดท้ายรถม้าก็ไปถึง
นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย
“เรามาถึงนิกายกุสุุ
มาลย์พ้นพิสัยแล้ว ท่านผู้นำตระกูล” คนขับรถม้า
กล่าว
สองสามอึดใจให้หลัง หญิงวัยกลางคนที่ดูมีเสน่ห์สวมเสื้อผ้าหรูหรา
ก็เดินออกมาจากรถม้า ติดตามมาด้วยหญิงสาวที่สวยสง่าซึ่งดูเหมือน
จะมีอายุประมาณยี่สิบต้น ๆ ที่ปลดปล่อยกระแสพลังของผู้ที่อยู่ใน
ระดับหนึ่งเขตปฐพีวิญญาณออกมาจากร่างกาย
“ที่นี่คือที่เธอได้ซ่อนตัวเป็นเวลานับสิบปีอย่างงั้นรึ มันสะอาดกว่าที่
ข้าได้คิดไว้” หญิงสาวกล่าวด้วยเสียงเรียบเฉย
ในเวลานั้นเมื่อผู้อาวุโสนิกายที่ยืนอยู่ตรงบริเวณทางเข้าได้สังเกตเห็น
รถม้าของพวกเธอหยุดอยู่ตรงที่หน้าประตู เธอก็ตรงเข้าไปหาพวก
เธอและกล่าวว่า “พวกท่านเป็นใครกัน และมีธุระอะไรกับนิกาย
กุสุมาลย์พ้นพิสัย”
หญิงวัยกลางคนก้าวขึ้นมาข้างหน้าและกล่าวว่า “เรามาจากตระกูล
ฟาง และข้าก็เป็นผู้นำตระกูล ฟางเซียนเจว้”
“ตระกูลในสี่ตระกูลใหญ่ ตระกูลฟางนั่นรึ” ผู้อาวุโสนิกายถามเพื่อ
ยืนยัน ใบหน้าเธอมีแต่ความตกใจ
ฟางเซียนเจว้พยักหน้าและเธอกล่าวต่ออีกว่า “พวกเราตัดสินใจที่จะ
มาที่นี่หลังจากที่ได้ยินคนพูดกันถึงชื่อของ ฟางซีหลาน ว่าตอนนี้
เป็นศิษย์อยู่ที่นี่ ข้าพูดถูกหรือไม่”
“ฟางซีหลานรึ ใช่ มีศิษย์ที่ชื่อนี้ที่นี่จริง ๆ” ผู้อาวุโสนิกายพยักหน้า
“นั่นเยี่ยมมาก เพราะว่าเธอจริงแล้วเป็นคนของตระกูลฟาง และเธอก็
เป็นลูกสาวของข้า เป็นเวลากว่าสิบปีแล้วนับตั้งแต่เธอหายตัวไปจาก
ตระกูล แต่ในที่สุดข้าก็มีโอกาสได้เห็นเธอและพาเธอกลับบ้านอีก
ครั้ง” ฟางเซียนเจว้พูด
“อะไรกัน เธอเป็นคนตระกูลฟางงั้นรึ และท่านก็เป็นแม่ของเธอด้วย
นั่นเป็นไปมิได้เพราะว่าพ่อแม่เธอนั้นได้สิ้นชีวิตไปแล้ว ข้าเกรงว่า
ท่านอาจจะเข้าใจผิดคนที่มีชื่อเหมือนกัน…”
ฟางเซียนเจว้ส่ายหน้าเธออย่างเยือกเย็นและกล่าวว่า “ข้าได้ตรวจสอบ
พื้นเพของเธอเรียบร้อยแล้ว ดังนั้นข้ามั่นใจว่าเธอเป็นลูกสาวข้า ถ้า
เจ้ายอมให้ข้าเห็นตัวเธอ นั่นก็ย่อมจักทำให้เกิดความมั่นใจ”
“ได้โปรดรอชั่วครู่และให้ข้าได้รายงานเรื่องนี้ให้กับท่านผู้นำนิกาย
และฟางซีหลาน” ผู้อาวุโสนิกายกล่าวก่อนที่จะล้วงหยกสื่อสาร
ออกมาและอธิบายสถานการณ์ให้กับโหลวหลานจี
ในเวลานั้น ในศาลาหยินหยาง หลังจากที่ได้รับข่าวจากผู้อาวุโส
นิกาย โหลวหลานจีก็เข้าไปพบกับซูหยาง
“ตระกูลฟางมาที่นี่ และพวกเธอก็อ้างว่าฟางซีหลานเป็นคนของพวก
เขา” เมื่อได้ยินซูหยางก็เลิกคิ้ว
“ข้ามิรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ฟางซีหลานได้กล่าวกับข้าว่าพ่อแม่ของเธอ
ได้ตายไปแล้วก่อนที่เธอจะมายังนิกาย ดังนั้นก็อาจจะเป็นไปได้ที่
เธอโกหกหรือไม่ก็ตระกูลฟางนั้นเข้าใจผิดเธอว่าเป็นคนในตระกูล
ของพวกเขา” โหลวหลานจีกล่าว
“มิว่าจะเป็นแบบไหนก็ตาม พวกเราไปพาตัวฟางซีหลานไปพบกับ
ตระกูลฟางกัน”
สองสามนาทีให้หลัง ฟางซีหลานก็มาปรากฏตัวที่ศาลาหยินหยาง
หลังจากที่ถูกเรียกตัว แต่เธอก็ยังไม่รู้ถึงสถานการณ์
“ศิษย์ฟาง… เจ้าบอกข้าว่าพ่อแม่ของเจ้าได้ตายไปก่อนที่เจ้าจะเข้า
ร่วมกับนิกาย ใช่ไหม” โหลวหลานจีถามเธอหลังจากนั้น
ฟางซีหลานมีสีหน้างุนงง แต่เธอก็พยักหน้าหลังจากนั้นไม่นาน “ใช่
แล้ว ท่านผู้นำนิกาย”
โหลวหลานจีมองดูเธอด้วยสีหน้าเคร่งเครียดแล้วกล่าวว่า “เอ้อ…
หนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่จากภาคตะวันตก ตระกูลฟางตอนนี้อยู่ที่นี่
และพวกเขาก็ยืนยันว่าเจ้าเป็นคนของพวกเขา”
“อะไร…”
สีหน้าตกใจพลันปรากฏขึ้นบนใบหน้าของฟางซีหลานหลังจากที่ได้
ยินข่าวนี้
เมื่อเห็นอารมณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปฉับพลันในตาของอีกฝ่าย โหลว
หลานจีก็กล่าวขึ้นว่า “ข้ามิรู้ถึงเหตุผลที่อยู่เบื้องหลังเรื่องเหล่านี้ แต่
พวกเรามิสามารถที่จะปล่อยให้ตระกูลฟางรอไปโดยมิมีกำหนด มิว่า
พวกเขาจะเป็นฝ่ายถูกหรือผิด พวกเราก็จักรู้ครั้นเมื่อเจ้าได้พบกับ
พวกเขา”
ฟางซีหลานกัดริมฝีปากและกล่าวด้วยเสียงเบาหวิวว่า “นั่นมิจำเป็น
ต้องถึงเช่นนั้น ท่านผู้นำนิกาย พวกเขาพูดถูก และข้าก็จริงแล้วมา
จากตระกูลฟาง ข้าต้องขออภัยที่โกหกท่านและซุกงำความจริงนี้
เอาไว้ แต่ข้าก็มีเหตุผลส่วนตัวในการทำเช่นนั้น…”
โหลวหลานจีถอนใจหลังจากที่ได้ยินคำพูดนี้ และกล่าวขึ้นว่า “ข้าก็
มีความรู้สึกว่าอาจจะเป็นกรณีนี้ อย่างไรก็ตามข้าสงสัยว่าตระกูลฟาง
จะยอมจากไปโดยมิได้พบตัวเจ้าหรือไม่ มิว่าเจ้าจะมีเหตุผลเช่นไร
พวกเขาก็มาที่นี่เพื่อตัวเจ้าแล้วตอนนี้ และเจ้าก็มิสามารถที่จะหลบ
หน้าไปได้ตลอด”
“แต่…”
ดวงตาของฟางซีหลานหรี่ตา และเธอก็ปลดปล่อยความรู้สึกลังเล
ออกมา เห็นได้ชัดว่าเธอไม่ต้องการที่จะพบกับตระกูลฟาง แต่ก็ไม่มี
อะไรที่โหลวหลานจีสามารถทำได้ ในเมื่อโดยปกติแล้วพวกเขาก็ไม่
สามารถที่จะขับไล่หนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่ไปโดยการใช้กำลัง
“ฮาา…” ซูหยางพลันถอนใจ และเขาก็พูดขณะที่จับมือที่สั่นสะท้าน
ของฟางซีหลานเอาไว้ “เจ้าจะกลัวอะไร ข้าจักไปอยู่ที่นั่นกับเจ้า
เช่นกัน”
“ซูหยาง…” ฟางซีหลานมองดูเขาด้วยดวงตาที่มีหยาดน้ำตา
“ข้ามิสนใจเกี่ยวกับเหตุการณ์ของเจ้า หรือว่าสนใจในเหตุผลที่เจ้า
ต้องโกหก ในเมื่อทุกคนก็จะมีบางสิ่งบางอย่างที่พวกเขามิต้องการ
เปิดเผยให้กับคนทั่วไปได้รับรู้ อย่างไรก็ตามมิว่าจะเกิดอะไรก็ตาม
ข้าก็จักอยู่ข้างเดียวกับเจ้า”
หลังจากที่ได้ยินคำพูดของเขาแล้ว ฟางซีหลานก็พยักหน้า “ตกลง…
ข้าจักไปพบกับตระกูลฟาง อย่างไรก็ตามก่อนที่พวกเราจะไปพบกับ
พวกเขา ข้าต้องการให้ท่านรู้เกี่ยวกับสถานการณ์ระหว่างพวกเรา”
จากนั้นเธอก็เริ่มเปิดเผยความจริงในเรื่องพื้นเพของเธอให้กับพวกเขา
“เป็นจริงที่ข้าเคยเป็นส่วนหนึ่งของตระกูลฟาง แต่ทว่าเมื่อพวกเขา
ตระหนักว่าข้ามิได้มีพรสวรรค์ในด้านการฝึกวิชา พวกเขาได้ตัดสินใจ
ที่จะขายข้าไปยังตระกูลอื่น เมื่อมีเพียงหน้าตาของข้าเท่านั้นที่คุ้มค่า
กับอำนาจอิทธิพลของตระกูลนั้น แน่นอนว่าข้ามิได้ต้องการที่จะใช้
ชั่วชีวิตของข้าเป็นเครื่องเล่นของนายน้อยคนใด ดังนั้นข้าจึงหนี
ออกมาจากตระกูลก่อนที่ข้าจะบรรลุนิติภาวะ”
“หลังจากที่ข้าออกจากตระกูลมาแล้ว ข้าตัดสินใจที่จะเข้าร่วมกับ
นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย ที่ซึ่งข้าสามารถเลือกคู่ครองของข้าได้อย่าง
อิสระ”
“ข้ามิเคยคิดว่าเจ้าจะมีเรื่องราวเช่นนี้…” โหลวหลานจีแสดงสีหน้า
ตกใจหลังจากที่ได้ยินเรื่องราวของเธอ
“แต่พวกเขาพูดว่าเจ้ามิมีพรสวรรค์ได้อย่างไร เจ้าเป็นถึงหนึ่งในคน
ที่มีพรสวรรค์ที่สุดคนหนึ่งที่พวกเรามี” โหลวหลานจีกล่าวขึ้นใน
ขณะที่ส่ายหน้า คิดว่าตระกูลฟางต้องเข้าใจผิดในเรื่องพรสวรรค์ของ
เธอเป็นแน่