dual cultivation : ร่วมเรียงเคียงเซียน - บทที่ 553 ความเป็นมาที่แท้จริงของฟางซีหลาน
- Home
- dual cultivation : ร่วมเรียงเคียงเซียน
- บทที่ 553 ความเป็นมาที่แท้จริงของฟางซีหลาน
บทที่ 553 ความเป็นมาที่แท้จริงของฟางซีหลาน
“เจ้ามิพลาดตรรกะในถ้อยคำของเจ้าไปรึ” ซูหยางกล่าวกับโหลว
หลานจี ซึ่งเลิกคิ้วขึ้นด้วยท่าทางสับสน
“นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยอาจจะทรงอำนาจในตอนนี้ แต่นั่นมิได้เป็น
เช่นนั้นตลอดมา ถึงแม้ว่าเธอจะเป็นศิษย์ที่มีพรสวรรค์มากที่สุดคน
หนึ่งในนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย เธอก็เป็นเพียงแค่ศิษย์คนหนึ่งของ
สำนักเล็ก ๆ”
“เมื่อเปรียบเทียบกับตระกูลฟาง หนึ่งในตระกูลที่ทรงอำนาจมากที่สุด
ในทวีปตะวันออกนี้ แม้กระทั่งคนที่มีพรสวรรค์น้อยที่สุดของพวก
เขาก็สามารถที่จะกลายเป็นอัจฉริยะระดับสูงในนิกายกุสุมาลย์พ้น
พิสัยได้โดยมิต้องใช้ความพยายามมากมายเพียงใดเลย”
“ซูหยางพูดถูก ท่านผู้นำนิกาย” ฟางซีหลานกล่าวด้วยรอยยิ้มขื่นขม
“ข้าอาจจะถือว่าเป็นอัจฉริยะที่นี่ แต่ข้ามิได้มีค่าอะไรในตระกูลฟาง
เลย”
“ถึงแม้ว่าจะเป็นเช่นนั้น เจ้าก็มิควรจะด้อยกว่าผู้ที่มีพรสวรรค์ที่สุด
ภายในตระกูลฟางในตอนนี้” โหลวหลานจีกล่าว
“นั่นอาจจะเป็นเหตุผลหลักที่ทำไมตระกูลฟางจึงตามหาข้าตั้งแต่
แรก ตอนนี้เมื่อข้าได้ถือว่าเป็นหนึ่งในผู้มีพรสวรรค์ที่สุดคนหนึ่งใน
ทวีปตะวันออก พวกเขาก็ย่อมต้องการให้ข้ากลับคืนสู่ตระกูลฟาง
เพื่อที่จะเพิ่มชื่อเสียงของพวกเขา” ฟางซีหลานถอนหายใจ
“หากเป็นเช่นนั้น เจ้าจะทำอะไรต่อไป” โหลวหลานจีถามเธอ
“ทำอะไรรึ ข้าก็ย่อมต้องปฏิเสธอย่างแน่นอน ข้าได้อยู่รอดมากว่าสิบ
ปีโดยมิได้รับความช่วยเหลือจากพวกเขา ดังนั้นทำไมข้าจักต้องการ
ความช่วยเหลือของพวกเขาในตอนนี้ด้วยเล่า” เธอแค่นเสียงเย็นชา
รู้สึกสะอิดสะเอียนเมื่อเพียงแค่คิดถึงการกลับไปยังตระกูลฟาง
โหลวหลานจีพยักหน้าด้วยรอยยิ้มเล็กน้อยบนใบหน้า และเธอก็พูด
ขึ้นว่า “ข้าเข้าใจแล้ว… มิว่าอย่างไรตระกูลฟางก็จักมิยอมจากไปถ้า
เจ้ามิได้ตอกหน้าพวกเขาด้วยคำพูดเมื่อกี้นี้”
หลังจากนั้น ฟางซีหลานและผู้นำนิกายก็ไปพบกับตระกูลฟาง
ในห้องโถงรับแขกที่ซึ่งตระกูลฟางได้เริ่มอดรนทนไม่ไหวนั้น ประตู
ก็พลันเปิดออกและฟางซีหลานก็เดินเข้ามาในห้องอย่างเยือกเย็น
ติดตามด้วยซูหยางและโหลวหลานจี
เมื่อฟางเซียนเจว้เห็นใบหน้าของฟางซีหลาน เธอก็รีบยืนขึ้นอย่าง
รวดเร็วและตรงเข้าไปหาฟางซีหลานพร้อมกับกางแขนกว้างและ
ใบหน้าเปี่ยมไปด้วยความดีใจ “โอ ฟางซีหลาน เป็นเจ้าจริง ๆ เจ้า
ยังคงจำแม่ของตัวเองได้อยู่หรือไม่ ข้าใฝ่ฝันที่จะเห็นเจ้าอีกครั้ง
หลังจากที่เจ้าหายตัวไปเมื่อสิบปีก่อน”
แต่ทว่าฟางซีหลานก้าวถอยหลังออกไปสองสามก้าวเพื่อที่หลีกเลี่ยง
การโอบกอดของมารดาตนเอง
“ลูกสาวข้า…” ฟางเซียนเจว้มองดูเธอด้วยท่าทางประหลาดใจ มี
ท่าทางเหมือนไม่อยากเชื่อ
ฟางซีหลานหรี่ตาและกล่าวว่า “ข้าจำท่านได้เป็นอย่างดี ท่านแม่ แต่
ทว่าข้าก็จำได้เช่นกันถึงทุกสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อตอนข้ายังอยู่ในตระกูล
ฟาง ว่าพวกท่านทำเหมือนกับข้านั้นน่ารังเกียจอย่างไร เหมือนกับว่า
ข้ามิได้เป็นคนของที่นั่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่านนั่นแหละ ดังนั้นนั่น
จึงเป็นเหตุให้ข้าจากที่นั่นตั้งแต่แรก”
“ถ้าท่านคิดว่าท่านสามารถนำข้ากลับไปยังตระกูลฟาง เช่นนั้น
แน่นอนว่าท่านกำลังเข้าใจผิด ในเมื่อข้าได้มีครอบครัวใหม่แล้วที่
นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย”
“ยิ่งไปกว่านั้นการที่ท่านทำตัวเหมือนกับว่าท่านมิรู้ถึงที่อยู่ของข้าใน
ช่วงเวลาสิบปีที่ผ่านมานี้ค่อนข้างจะแย่อยู่บ้าง ด้วยอิทธิพลและ
ทรัพยากรของตระกูลฟาง ข้ามั่นใจว่าท่านรู้เรื่องการคงอยู่ของข้าที่นี่
มาตลอดเวลา เหตุผลเดียวที่ท่านมิได้มานำข้าไปเร็วกว่านี้ก็ง่ายดาย
เพราะว่าข้าได้เป็นผู้ฝึกวิชาคู่ ซึ่งทำให้ร่างกายข้าที่เป็นเหตุผลเดียวที่
มีค่าในสายตาของท่านกลายเป็นไร้ค่าอย่างสิ้นเชิง”
“…”
ฟางเซียนเจว้ใบหน้าแดงก่ำ และร่างของเธอก็สั่นสะท้านด้วยความ
โกรธหลังจากที่ได้ยินคำพูดของฟางซีหลาน
“ช่างอกตัญญู” เธอพลันระเบิดออกมา จนทำให้ใบหน้าสวยของเธอ
บิดเบี้ยวจนกระทั่งกลายเป็นน่าเกลียด “เมื่อมาคิดว่าเจ้าจักถุยน้ำลาย
ใส่มือที่ป้อนเจ้ามานานกว่าครึ่งชีวิตของเจ้าโดยมิได้ตอบแทนอะไร
เลย เพียงเพราะว่าเจ้าได้รับชื่อเสียงและความแข็งแกร่งขึ้นมาบ้าง
ในตอนนี้มิได้หมายความว่าเจ้าอยู่ยงคงกระพัน ฟางซีหลาน ถ้าข้า
ต้องการที่จะทำลายชีวิตของเจ้าจริง ๆ แม้กระทั่งนิกายกุสุมาลย์พ้น
พิสัยก็มิอาจจะปกป้องเจ้าไว้ได้”
“…”
ทั้งห้องเปลี่ยนไปเป็นเงียบกริบไปชั่วขณะจนกระทั่งโหลวหลานจี
ก้าวขึ้นมาข้างหน้าและกล่าวด้วยคิ้วที่ขมวดมุ่นว่า “ผู้อาวุโสฟาง
คำพูดของท่านเมื่อกี้นี้… ข้าเข้าใจว่าตระกูลฟางกำลังข่มขู่นิกาย
กุสุมาลย์พ้นพิสัยอย่างนั้นรึ”
ฟางเซียนเจว้พลันหันมามองเธอและตะโกนว่า “เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นตัว
บ้าอะไรกัน เพียงเพราะว่านิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยได้รับการจดจำ
เล็กน้อยหลังจากการแข่งขันระดับภูมิภาค นั่นมิได้ผลักดันให้เจ้ามา
อยู่ในระดับเดียวกับสี่ตระกูลใหญ่ที่มีชื่อเสียงมากว่าร้อยปีได้
ในทันที”
“นี่เป็นเหตุผลที่ทำให้ข้าดูถูกคนแบบเจ้าซึ่งกลายเป็นคนตาบอดไป
ด้วยความอวดดีหลังจากที่ได้รับการยอมรับเพียงเล็กน้อย”
“…”
ที่แห่งนั้นกลับกลายเป็นเงียบกริบไปอีกครั้ง และโหลวหลานจีก็ยืน
อยู่ตรงนั้นด้วยใบหน้างงงัน ในเมื่อนี่เป็นครั้งแรกที่ต้องรับมือกับคน
ที่ก้าวร้าวและไร้เหตุผลอย่างเช่นฟางเซียนเจว้
“เซี่ยวหรู เจ้าก็ควรจะพูดอะไรบางอย่างกับพี่สาวไร้ค่าของเจ้าเช่นกัน”
ฟางเซียนเจว้กล่าวกับเธอ
อย่างไรก็ตามเมื่อไม่มีการตอบสนองมาหลังจากนั้นมาชั่วเวลาหนึ่ง
ฟางเซียนเจว้ก็หันกายกลับไปมองเธอแล้วกล่าวว่า “ทำไมเจ้าจึงเงียบ
ไปเช่นนี้ ถ้าเจ้ามิทำให้คนโอหังพวกนี้รู้จักฐานะของตนเอง โลกนี้ก็
จักกลายเป็นสถานที่ยากจะทนได้”
“เซี่ยวหรู…”
เมื่อเธอเห็นสีหน้างงงวยบนใบหน้าของฟางเซี่ยวหรู ซึ่งเหมือนกับว่า
เธอได้หลงใหลไปกับอะไรบางอย่าง ดวงตาของฟางเซียนเจว้ก็เบิก
กว้างด้วยความตระหนก ในเมื่อเธอไม่เคยเห็นฟางเซี่ยวหรูมีสีหน้า
เช่นนี้มาก่อน
จากนั้นเธอก็มองติดตามไปยังทิศทางที่สายตาของฟางเซี่ยวหรูส่งไป
และสุดท้ายก็สังเกตเห็นซูหยางซึ่งยืนอยู่ที่ตรงประตูอย่างสงบเฉย
“เจ้าคือ… ซูหยางจากตระกูลซู…” ฟางเซียนเจว้ขมวดคิ้ว
“เจ้าทำอะไรกับลูกสาวข้า” เธอถามเขาด้วยเสียงเย็นชา
“หือ เจ้าพูดเรื่องอะไรกัน ข้าก็เพียงแค่ยืนอยู่ที่นี่สนใจแต่เรื่องของข้า
มาตลอดเวลา” ซูหยางยักไหล่ด้วยใบหน้างุนงง
“ไร้สาระ เห็นได้ชัดว่าเจ้าทำอะไรบางอย่างกับลูกสาวข้า มิเช่นนั้น
เธอก็คงมิมีสีหน้าหลงใหลเช่นนั้น” เธอตบโต๊ะตรงหน้าเธออย่าง
รวดเร็วจนทำให้ที่แห่งนั้นสั่นสะท้าน
“ม-แม่” สุดท้ายฟางเซี่ยวหรูก็สะดุ้งตื่นขึ้นมาจากความงงงันหลังจาก
ที่รู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือน
“ท่านพูดอะไรเมื่อกี้นี้รึ ข้าคิดอะไรอยู่ในใจไปชั่วขณะ…” เธอถาม
ในขณะที่จับจ้องไปยังซูหยางต่อไปด้วยมุมสายตาของเธอ ราวกับว่า
เธอนั้นถูกดึงดูดด้วยแรงบางอย่างที่ไม่รู้จักที่แผ่ออกมาจากตัวเขา
“…”
ที่แห่งนั้นพลันเงียบไป และทุกคนในห้องก็หันไปมองเธอด้วยดวงตา
เบิกกว้าง