dual cultivation : ร่วมเรียงเคียงเซียน - บทที่ 560 สำนักเมฆม่วง
บทที่ 560 สำนักเมฆม่วง
สามวันผ่านไปนับตั้งแต่ฟางเซี่ยวหรูได้กลายเป็นศิษย์ของนิกาย
กุสุมาลย์พ้นพิสัย ในเวลานั้นที่สำนักเมฆม่วง ตระกูลฟางเพิ่งได้ไป
ถึงยังประตูหน้าสำนัก
“พวกเราได้รอคอยพวกท่านอยู่ ผู้นำตระกูลฟาง” กู่กว่านถิงทักทาย
เธอที่ประตูทางเข้าด้วยสีหน้าดีใจ ในเมื่อเขาได้รอวันนี้มานับตั้งแต่
เขารู้ว่าอัจฉริยะของตระกูลฟาง ฟางเซี่ยวหรูจะมาเข้าร่วมสำนักของ
พวกเขา
อย่างไรก็ตามเมื่อเขาเห็นสีหน้าไม่พึงพอใจบนหน้าของฟางเซียนเจว้
เขาก็ถามเธอด้วยเสียงที่เป็นห่วงเป็นใยว่า “มีอะไรผิดไปรึ ท่านผู้นำ
ตระกูลฟาง”
“อย่าได้หวังอะไรมาก” เธอตอบกลับหลังจากที่เวลาได้ผ่านไป
ชั่วขณะ “อย่างไรก็ตามลูกสาวข้า ฟางเซี่ยวหรูจักมาถึงในอีกสอง
สามวันข้างหน้า ข้าต้องขอโทษสำหรับความไม่สะดวกที่อาจจะ
เกิดขึ้นต่อสำนักของท่าน”
“มิจำเป็นต้องที่จะขอโทษสำหรับเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ ความจริงแล้ว
พวกเราก็มิรู้ว่าจักขอบคุณตระกูลฟางอย่างไรที่เชื่อถือในสำนักเมฆ
ม่วงมากจนถึงกับยอมให้พวกเราได้ฝึกฝนฟางเซี่ยวหรู หนึ่งในอัจฉริยะ
ระดับสูงในโลกนี้” กู่กว่านถิงกล่าวพร้อมกับรอยยิ้ม
แม้เขาจะกล่าวว่าสำนักเมฆม่วงเป็นผู้ฝึกฝนฟางเซี่ยวหรู แต่ในความ
เป็นจริงก็คือหงอวี้เอ๋อร์ที่เป็นคนสอนเธอ ในเมื่อปกติแล้วไม่มีทางที่
สำนักธรรมดาทั่วไปอย่างเช่นสำนักเมฆม่วงจะสามารถสอนอัจฉริยะ
อย่างเช่นฟางเซี่ยวหรูได้
ถึงแม้ว่าพวกเขาจะได้รับตำแหน่งที่สองในการแข่งขันระดับภูมิภาค
และได้รับการแต่งตั้งเป็นสำนักระดับสูงจากตระกูลซี สำนักเมฆม่วง
ก็เพียงมีค่าเพราะว่าหงอวี้เอ๋อร์ซึ่งกลายเป็นเสาหลักและหน้าตาของ
ทั้งสำนัก
หากปราศจากหงอวี้เอ๋อร์ สำนักเมฆม่วงก็เป็นเพียงแค่สำนักที่
เหนือกว่าระดับกลางเป็นอย่างมาก แต่แน่นอนว่าพวกเขาไม่มีอะไร
ที่สามารถเปรียบกับสำนักระดับสูงจริง ๆ ได้
หลังจากนั้น กู่กว่านถิงก็ได้นำตระกูลฟางไปภายในสำนักและจัดที่
พักที่ดีที่สุดที่พวกเขามีให้กับตระกูลฟาง
หลังจากนั้นตระกูลฟางก็ขังตัวเองอยู่ในที่พักไปอีกหลายวันจนกระทั่ง
ครบกำหนดหนึ่งสัปดาห์ที่ฟางเซียนเจว้มอบให้กับฟางเซี่ยวหรูนั้น
หมดไป
“นังเด็กเนรคุณ” ฟางเซียนเจว้โกรธมากจนถึงกับกระทืบพื้น ใบหน้า
ของเธอเต็มไปด้วยความโกรธ “หลังจากที่พวกเราได้ทำทุกสิ่งทุก
อย่างให้กับเธอรวมไปถึงทรัพยากรทุกอย่างที่พวกเราได้ให้กับเธอ
เธอกลับกล้าที่จะจากตระกูลไปอยู่ยังนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยงั้นรึ นัง
เด็กเลวนั้นมิไม่มีหัวอกหัวใจเลยรึ”
“พวกเราควรทำอย่างไรต่อไปดี ท่านผู้นำตระกูล พวกเราจะไปสู้กับ
นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยจริงรึ” ผู้อาวุโสคนหนึ่งถามเธอ
“เจ้าโง่รึเปล่า” เธอพลันคำรามใส่ผู้อาวุโสที่เพิ่งพูด และเธอก็กล่าว
ต่อว่า “เจ้าลืมไปแล้วรึว่าใครอยู่ที่นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย ซีหวัง
ปรมาจารย์ของตระกูลซี”
“ถึงแม้ว่าเขาจะพูดว่าเขามิยุ่งกับธุระในตระกูลของเรา แต่คนโง่
ประเภทไหนกันจักเชื่อคำโกหกที่โจ่งแจ้งเช่นนั้น”
“ถึงแม้ว่าเขามิได้เข้ามายุ่งกับเรื่องชีวิตของพวกเรา แต่อิทธิพลและ
ความเชื่อถือตระกูลฟางของเราที่ได้สร้างมานานกว่าหลายสิบปีย่อม
ต้องสูญสิ้นไปในทันทีที่พวกเราโจมตีพวกนั้น ในเมื่อตระกูลซีย่อม
จักต้องเข้าข้างกับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยแน่นอน”
“ดังนั้นจริงแล้วจึงมิมีอะไรที่พวกเราจักสามารถทำได้ในการที่จะทำ
ให้ฟางเซี่ยวหรูกลับมาเราอย่างนั้นรึ” ผู้อาวุโสถาม
การสูญเสียฟางเซี่ยวหรู อัจฉริยะระดับสูง ย่อมเป็นความสูญเสีย
อย่างยิ่งใหญ่แม้กระทั่งสำหรับตระกูลที่ทรงอำนาจและอิทธิพลอย่าง
ตระกูลฟาง
ฟางเซียนเจว้ถอนหายใจและกล่าวขึ้นว่า “ตอนนี้เมื่อตระกูลซีรู้ถึง
เจตนาของพวกเรา ก็ย่อมแทบจะเป็นไปมิได้ที่จักจัดการกับพวกเขา
อย่างเงียบ ๆ โชคร้ายที่พวกเราจำเป็นต้องปล่อยไว้ก่อน อย่างไรก็
ตามข้าก็จักพูดกับผู้นำตระกูลสามีข้าก่อนอื่น”
หลังจากที่รออยู่อีกเป็นเวลาสองสามวันเผื่อว่าฟางเซี่ยวหรูตัดสินใจ
ที่จะมาในภายหลังแต่ไม่สำเร็จ ฟางเซียนเจว้ก็ตัดสินใจที่จะเปิดเผย
สถานการณ์ให้กับกู่กว่านถิง
“ข้าจักต้องขออภัยอย่างสุดซึ้งกับสำนักเมฆม่วงและท่านเจ้าสำนัก
ในเมื่อดูเหมือนว่าลูกสาวโง่เง่าของข้าได้ตัดสินใจเข้าร่วมกับนิกาย
กุสุมาลย์พ้นพิสัยในการตัดสินใจครั้งสุดท้าย ถ้ามีอะไรที่ข้าสามารถ
ที่จะทำสำหรับปัญหานี้ ตระกูลฟางย่อมจักมิละความพยายามใด ๆ”
“ฟางเซี่ยวหรูเข้าร่วมกับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยอย่างนั้นรึ…” กู่
กว่านถิงจ้องมองไปยังเธอเขม็ง ราวกับว่าเขาไม่เชื่อหูตัวเอง
“ฮ่าฮ่าฮ่า… นี่เป็นเรื่องที่น่าสนุกจริง ๆ” ถังหลิงซีพลันปรากฏตัว
ขึ้นมาอย่างกะทันหันพร้อมกับหัวเราะ
“หงอวี้เอ๋อร์” ฟางเซียนเจว้มองไปยังเธอด้วยดวงตาเบิกกว้าง ในเมื่อ
เธอไม่สามารถที่จะประเมินได้ว่าทำไมอีกฝ่ายจึงหัวเราะ
“ข้ามิคาดคิดถึงสถานการณ์นี้ แต่ข้าก็มิอาจที่จะกล่าวได้ว่าข้าประหลาด
ใจ” ถังหลิงซีกล่าวพร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้า “เยี่ยม อย่างน้อยข้าก็
มิต้องไปสอนเธอแล้วในตอนนี้ ข้าควรจะขอบคุณซูหยางที่นำเธอไป
พ้นจากมือข้าในตอนหลังถ้าพบเจอกับเขา”
“ท-ทำไมเจ้าจึงรู้ว่าเขาอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ ข้ามิได้แม้กระทั่งพูดถึงชื่อ
ของเขา…” ฟางเซียนเจว้ถามเธอด้วยสีหน้าสับสน ในเมื่อเธอเพียง
กล่าวเพียงแค่ฟางเซี่ยวหรูเข้าร่วมกับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยเท่านั้น
ถังหลิงซียิ้มและกล่าวขึ้นว่า “ต้องพูดว่านี่มิใช่เป็นครั้งแรกที่เกิดขึ้น”
“ม-มิใช่ครั้งแรกรึ..” ทั้งฟางเซียนเจว้และกู่กว่านถิงมองไปยังเธอ
ด้วยสีหน้างงงัน
“อย่างไรก็ตามท่านมิต้องกังวลมากนักกับฟางเซี่ยวหรูไปเข้าร่วมกับ
นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย ตามจริง ข้าควรจะพูดมากกว่านี้ว่าเธอได้
ตัดสินใจถูกต้องกับการที่ไปที่นั่นแทน” ถังหลิงซีกล่าวและเธอก็พูด
ต่อว่า “เธอจักได้เรียนรู้จากที่นั่นกับซูหยางมากกว่าที่เธอจะได้จากที่
แห่งนี้กับข้า ในเมื่อเขามีประสบการณ์มากกว่าข้ามากนักในด้านการ
สอนคนอื่น”
เมื่อได้ยินคำชมเชยของถังหลิงซีมีต่อซูหยาง ฟางเซียนเจว้ก็ไม่รู้ว่า
จะมีปฏิกิริยาอย่างไรดี และได้แต่ยืนอยู่ที่นั่นด้วยใบหน้างงงัน เป็น
จริงอย่างงั้นรึ ที่ฟางเซี่ยวหรูจักได้รับจากนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย
มากกว่าจากสำนักเมฆม่วง
ส่วนสำหรับกู่กว่านถิงนั้น เขารู้สึกอยากร้องไห้หลังจากที่ได้ฟังถัง
หลิงซีพูดจาว่าร้ายสำนักเมฆม่วงโดยเปรียบเทียบกับนิกายกุสุมาลย์
พ้นพิสัย
“เจ้าเป็นศิษย์สำนักเมฆม่วง หรือว่าแท้จริงแล้วเจ้ามาจากนิกาย
กุสุมาลย์พ้นพิสัยกันแน่” เขาร่ำร้องอยู่ในใจ