dual cultivation : ร่วมเรียงเคียงเซียน - บทที่ 586 การรุกรานของสํานักสุวรรณสิงห์ 6
- Home
- dual cultivation : ร่วมเรียงเคียงเซียน
- บทที่ 586 การรุกรานของสํานักสุวรรณสิงห์ 6
บทที่ 586 การรุกรานของสํานักสุวรรณสิงห์ 6
หลังจากที่จ้องมองไปยังใบหน้าหล่อเหลาของซูหยางเนิ่นนานนับนาที สุดท้ายซีซิงฟางก็สะดุ้งตื่นออกจากความงงงัน แล้วเธอก็พูดด้วยใบหน้าแดงฉานว่า “ขอบคุณซูหยาง”
เพราะกลัวว่าเธอจะจ้องหน้าซูหยางต่อไปอีก ซีซิงฟางจึงหันกลับไปมองดวงดาว
ในเวลานั้นซีหวังที่ยืนอยู่อีกด้านของยานก็ได้แต่ถอนใจ “ถ้าเพียงแต่เธอสามารถยอมรับข้อเสียของซูหยาง ตระกูลซีของเราก็คงรุ่งเรืองถึงระดับที่ไม่เคยมีมาก่อน”
สองวันให้หลัง ซีหวังซึ่งได้มองดูดาบเสี้ยวจันทร์ตลอดทุกการเคลื่อนไหวในช่วงสองวันที่ผ่านมาก็พลันกล่าวขึ้น “เฮ้ ดูนั่น มีคนกลุ่มใหม่เข้าไปหาพวกนั้นแล้ว และกลุ่มนั้นล้วนอยู่ที่เขตปฐพีวิญญาณโดยมีหนึ่งในนั้นที่อยู่ในเขตอัมพรวิญญาณ ข้ายินดีพนันว่าเจ้าคนที่อยู่ในเขตอัมพรวิญญาณนั้นเป็นหัวหน้าของดาบเสี้ยวจันทร์”
ซูหยางกับซีซิงฟางไปที่ข้างกายของเขาเพื่อดูสถานการณ์ข้างล่าง
กลุ่มคนที่มีคนสิบเอ็ดคน ซึ่งล้วนคลุมด้วยผ้าดํา ตรงเข้าไปหาที่ตั้งแคมป์ของดาบเสี้ยวจันทร์
“นั่นเป็นผู้อาวุโส ผู้อาวุโสมาที่นี่แล้ว”
ยามที่ยืนเฝ้าแคมป์พลันแจ้งข่าวให้ทุกคนที่นั่น และไม่นานหลังจากนั้น ทุกคนที่อยู่ใน แคมป์ก็ปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าสิบเอ็ดคนนี้และก้มหน้าคํานับให้กับพวกเขา
“สถานการณ์เป็นอย่างไรบ้าง” หนึ่งในผู้อาวุโสพลันกล่าวขึ้น
“รายงานท่านผู้อาวุโสกับท่านผู้นํา พวกเราได้รับข่าวจากกองกําลังเสริมจากทวีปศักดิ์สิทธิ์กลางเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนว่า พวกเขาคาดว่าจักมาถึงที่ทวีปตะวันออกนี้พรุ่งนี้เที่ยง”
“ดี แล้วมีอะไรที่น่าสงสัยเกิดขึ้นแถบนี้ช่วงนี้หรือไม่” ผู้อาวุโสถามต่อ
“มิมีสิ่งใดที่น่า”
ในขณะที่ชายคนนั้นกําลังจะพูดว่าไม่มีสิ่งที่น่าสงสัยเกิดขึ้นกับพวกเขา เขาก็นึกขึ้นได้ถึงตอนนั้นเมื่อตอนที่ทุกคนหมดสติไปอย่างลึกลับโดยที่ไม่สามารถจดจําอะไรได้เลยเมื่อสองวันก่อน
“จริงๆแล้วก็มีบางสิ่งที่ประหลาดได้เกิดขึ้น แต่พวกเรามิรู้ว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไรหรือด้วยเหตุใดพวกเราทั้งหมดจึงถูกทําให้หมดสติไปโดยไม่รู้ว่าเป็นเวลานานเท่าไหร่ และเมื่อพวกเราตื่นขึ้นมาพวกเราก็จํามิได้ถึงเหตุผลที่ทําให้พวกเรานั้นสิ้นสติ”
“ช่างเป็นเรื่องที่เหลวไหลอะไรเช่นนี้” ผู้อาวุโสมองไปยังชายคนนั้นพร้อมกับขมวดคิ้ว
ไม่ว่าอย่างไรผู้คนย่อมไม่สิ้นสติไปโดยไร้เหตุผลอย่างแน่นอน
“รอสักครู่ ให้ข้าดูหัวของเจ้า” ผู้นําเลยพลันก้าวขึ้นมาข้างหน้าและยื่นมือออกไปสัมผัสหัวของชายคนนั้น
สองสามวินาทีให้หลัง เขาก็อุทานออกมาว่า “ความทรงจําของพวกเขาถูกเปลี่ยนแปลงมีคนมาจัดการกับความทรงจําของพวกเขา”
“อะไรนะ ใครที่ทําเช่นนี้ และก็ทําเช่นนี้ไปเพื่ออะไร” ผู้อาวุโสอุทานออกมา
“นั่นใคร” ผู้นําพลันรู้สึกว่ามีคนสามคนปรากฏตัวขึ้นจากความว่างเปล่าไม่ห่างจา กตัวของพวกเขานักทําให้เขาต้องหันไปมองยังทิศทางนั้น
บนท้องฟ้า ซูหยาง ซีซิงฟาง กับซีหวังกําลังลดตัวลงมาสู่พื้นดิน
เมื่อบรรดาสมาชิกของดาบเสี้ยวจันทร์ที่ถูกลบความทรงจํามองเห็นซูหยาง พวกเขาก็รู้สึกกลัวแสนสาหัสขึ้นมาจับใจ แม้ว่าพวกเขาจะไม่สามารถจําเขาได้ แต่จิตสํานึกก็จดจําเขาได้โดยสัญชาตญาณ
“ซีซึ่งฟาง”
เมื่อผู้นําเล่ยเห็นใบหน้าสวยของเธอ เขาก็ตกตะลึงในทันที
“ถ้าเจ้าพยายามที่จะหนี ข้าก็จักฆ่าเจ้าก่อนที่เจ้าจะทันได้ก้าวเท้า” ชีหวังกล่าวด้วยเสียงเย็นเยียบในขณะที่จํากัดความเคลื่อนไหวของพวกเขาด้วยแรงกดดันจากพลังการฝึกปรือเขตราชันวิญญาณของเขา
“นั่นชีหวัง บรรพบุรุษของตระกูลซีมาทําบ้าอะไรถึงที่นี่” ผู้นําเลยร่ําร้องในใจ
“เจ้าคือผู้นําของดาบเสี้ยวจันทร์ใช่ไหม ให้ข้าดูหน้าเจ้าหน่อยซิ” ซีหวังโบกชายเสื้อจนทําให้ผ้าที่พันปิดหน้าของผู้นําเล่ยฉีกขาดออก
“เจ้าคือนายพลเล่ย”
เมื่อซีซิงฟางเห็นชายวัยกลางและรอยแผลน่าเกลียดบนใบหน้าเขา เธอก็จดจําเขาได้ในทันที
“นายพลเล่ย เจ้าคนชั่วที่ได้ทรยศต่อกองทัพตระกูลซีเมื่อตอนที่เป็นนายพลเมื่อหนึ่ง ร้อยปีก่อนงั้นรีเจ้ายังมีชีวิตอยู่มาโดยตลอดงั้นรี” ซีหวังก็จําเขาได้เช่นเดียวกัน ในเมื่อการทรยศของเขานั้นได้ทําให้เกิดความปั่นป่วนวุ่นวายอย่างมหาศาลภายในทวีปตะวันออก
“ตระกูลซียังคงจดจําข้าได้อยู่อีก ใช่ ข้าก็คือนายพลเล่ยผู้ซึ่งครั้งหนึ่งนั้นเคยนํากองกําลังระดับสูงของตระกูลซี แต่หลังจากที่ข้าดิ้นรนหนีเอาชีวิตรอดได้แล้ว ข้าก็ได้สร้างดาบเสี้ยวจันทร์ขึ้นมาด้วยจุดมุ่งหมายเดียว นั่นก็คือการทําให้ตระกูลชีจ่ายสําหรับการทําให้ชีวิตของข้าย่อยยับและยึดครองทวีปตะวันออก”
“เจ้าสร้างดาบเสี้ยวจันทร์ขึ้นมาเพียงเพื่อคิดแก้แค้นอย่างงั้นรี เจ้าบ้าไปแล้วรี ยิ่งไปกว่านั้นเจ้าเองที่เป็นคนทําลายชีวิตของตัวเจ้าเอง เจ้ากล้าที่จะกล่าวโทษตระกูลซีจากความผิดของตัวเจ้าเองได้อย่างไร ถ้าหากว่าเจ้ามิทรยศต่อตระกูลซี หากปราศจากความทะเยอทะยานที่บ้าคลั่งของเจ้าในทวีปตะวันออก เจ้าควรจะได้เป็นหนึ่งในจอมพลในประวัติศาสตร์” ซีซิงฟางกล่าวด้วยเสียงอันดังน้ําเสียงของเธอเต็มไปด้วยความโกรธ
“ผิดด้วยรีที่มีความทะเยอทะยานอันยิ่งใหญ่ ความทะเยอทะยานนั่นแหละที่ผลักดันให้ผู้ฝึกวิชาทุกคนก้าวให้สูงยิ่งขึ้นไป หากปราศจากความทะเยอทะยาน ยังจะถือว่าเจ้ามีชีวิตอยู่อีกรี” ผู้นําเล่ยแผดเสียงกลับ
“มิได้ผิดที่มีความทะเยอทะยาน แต่นั่นควรจักมีขอบเขต เมื่อความทะเยอทะยานของเจ้านั้นคือการปกครองทั่วทั้งทวีปผ่านการคดโกงและการทําลายล้าง นั่นถือได้ว่าได้ข้ามขอบเขตไปแล้ว”
“ไร้สาระ เสแสร้ง ข้าก็เพียงทําสิ่งที่ตระกูลซีตอนนี้กําลังทําอยู่”
“วิธีการปกครองของตระกูลของข้านั้นต่างจากคําว่า “ปกครอง” ของเจ้าอย่างสิ้นเชิง และพวกเราก็มิได้ดูแลคนของเราเช่นทาส เจ้ายังกล้าเอาเราไปเปรียบเทียบกับเจ้าอยู่อีกรีซีซิงฟางกล่าว
“เจ้าอย่าเปลืองลมปากไปเปล่ากับเจ้านั่น ซิงเอ๋อร์ คนผู้ที่มีดบอดไปกับความทะเยอทะยานคนเช่นนั้นมิสามารถที่จะใช้เหตุผลด้วยได้” ซูหยางกล่าวกับเธอในขณะที่ส่ายหน้า
จากนั้นเขาก็หันไปมองดูผู้นําเลยแล้วกล่าวว่า “ตอนนี้ ก่อนที่พวกเราจักฆ่าพวกเจ้าทุกคนทําไมเจ้ามิให้พวกเราเห็นสมบัติที่ยอมให้เจ้าส่งคนไปยังทวีปศักดิ์สิทธิ์กลางล่ะ แม้ว่าตัวข้าเองมิได้ต้องการมันแต่ก็มีคนอีกมากที่ต้องการที่จะยื่นมือไปหาสิ่งนั้น”
ผู้นําเลยมองดูซูหยางพร้อมกับหรี่ตาก่อนกล่าวว่า “ซูหยาง ข้ามิคิดว่าอัจฉริยะอันดับหนึ่งของทวีปตะวันออกจะแสดงตัวในที่แห่งนี้ ทําไมเรามิมาร่วมมือกันแทนล่ะ ถ้าข้าให้เจ้าได้ครึ่งหนึ่งของทวีปตะวันออก และหญิงสาวข้างกายเจ้าถ้าเจ้าช่วยข้ายึดครองที่แห่งนี้ ด้วยพรสวรรค์ของเจ้าข้ามั่นใจว่าเจ้าคงมิต้องการที่จะทนรับคําสั่งจากตระกูลซีเป็นแน่”