dual cultivation : ร่วมเรียงเคียงเซียน - Dual Cultivation ร่วมเรียงเคียงเซียน - บทที่ 326
- Home
- dual cultivation : ร่วมเรียงเคียงเซียน
- Dual Cultivation ร่วมเรียงเคียงเซียน - บทที่ 326
บทที่ 326 ความเข้าใจผิด
“อา”
“เฮ้ ดูซิเจ้าจะไปไหนกัน”
“เชี่ย เจ้าเลวคนไหนกล้าผลักนายน้อยคนนี้”
โดยไม่สนใจสังคมหรือสิ่งรอบข้างตัวเธอ ตราบเท่าที่ระยะทาง
ระหว่างพวกเขาขยับใกล้ขึ้น ซูหยินล้วนผลักทุกคนออกไปด้านข้าง
ในสายตาของเธอมีเพียงซูหยางเท่านั้น
“พี่ชายใหญ่”
ครั้นเมื่อเธอเข้าไปใกล้มากพอ ซูหยินก็กระโจนเข้าไปหาซูหยางด้วย
มือที่อ้ากว้างราวกับเสือ จับเขาไว้ในอ้อมกอดของเธอ
“อะไรกัน”
การปรากฏตัวอย่างกะทันหันและการกระทำของซูหยินสร้างความ
สับสนให้กับหญิงสาวจากนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย ทำให้พวกเธอ
มองดูอีกฝ่ายด้วยสีหน้าประหลาด
“ศิษย์พี่ชาย สาวน้อยคนนี้เป็นใครกัน” ซุนจิงจิงเป็นคนแรกที่ถาม
คำถามนี้
“เธอคงจะเป็นคู่คนหนึ่งของศิษย์พี่ชายในโลกภายนอก” ศิษย์คน
หนึ่งล้อ
“มิเป็นเช่นนั้นแน่…เธออายุน้อยเกินไป…”
“นั่นคือ…” โหลวหลานจีมองดูซูหยิน ขมวดคิ้ว รู้สึกเหมือนกับว่า
เธอเคยเห็นอีกฝ่ายที่ไหนสักแห่งก่อนหน้านี้
“เดี๋ยว เจ้า… เจ้าคือซูหยิน” สุดท้ายโหลวหลานจีก็นึกตัวตนของอีก
ฝ่ายออกในฐานะของลูกสาวตระกูลซูและน้องสาวของซูหยาง
“ธ-เธอมาทำอะไรที่นี่ จะเกิดอะไรขึ้นกับข้อตกลงของพวกเรา
ตอนนี้” โหลวหลานจีครุ่นคิดในใจ
หนึ่งในข้อตกลงของเธอกับพ่อของซูหยาง ซูซุน ก็คือรักษาระยะห่าง
ซูหยางออกจากตระกูลซู แต่ตอนนี้น้องสาวเข้ามาหาพวกเขาด้วยตัว
เธอเอง นั่นจะถือว่าละเมิดข้อตกลงของพวกเขาหรือไม่
แน่นอนว่าโหลวหลานจีไม่รู้ว่าซูหยินไม่รู้ถึงข้อตกลงของเธอกับ
ตระกูลซู
“ผู้นำนิกายรู้จักสาวน้อยคนนี้ด้วยรึ ซูหยินรึ หรือว่าเธอเป็นน้องสาว
ของศิษย์พี่ชาย” หนึ่งในบรรดาศิษย์ถาม
“เธอเรียกเขาว่า พี่ชายใหญ่ ด้วยเมื่อกี้นี้..”
ความสนใจของเหล่าศิษย์ในซูหยินคนนี้พลันเพิ่มขึ้นในทันใด ไม่มี
ใครในหมู่พวกเธอคาดว่าซูหยางจะมีพี่น้อง
“พี่ชายใหญ่ ข้าคิดถึงท่าน แงแงแงแงแง”
ซูหยินพลันเริ่มร้องไห้เสียงดัง สร้างความงงงันให้กับคนแถวนั้น
ซูหยางมองดูสาวน้อยที่เกาะเสื้อคลุมของเขาและร้องไห้ราวกับเด็ก
ทารก อย่างไรก็ตามขณะที่เขากำลังอ้าปากจะพูด คนจากสำนักหงส์
สวรรค์ก็ตามมาทันซูหยินในที่สุดและเริ่มชี้นิ้วไปที่ซูหยาง
“เจ้าเป็นตัวอะไร ออกไปให้พ้นจากศิษย์น้องหญิงของพวกเรา”
“เธอ… เธอกำลังร้องไห้ เจ้าเลวนี่ต้องทำให้เธอร้องไห้แน่นอน”
ศิษย์สำนักหงส์สวรรค์เข้าใจผิดกับสถานการณ์อย่างรวดเร็วและเริ่ม
กล่าวหาซูหยางว่าทำให้ซูหยินร้องไห้ ซึ่งก็ไม่ผิดไปจากความจริง
มากนัก
“คนเหล่านี้เป็นใครกัน โผล่มาจากไหนก็ไม่รู้และพูดจาว่าร้ายศิษย์
พี่ชายของพวกเรา พวกเขาช่างกล้าจริง”
นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยดูคนเหล่านี้ด้วยสายตาไม่เป็นมิตร
“เกิดอะไรขึ้นที่นี่”
สุดท้ายผู้อาวุโสนิกายจากสำนักหงส์สวรรค์ก็มาถึง
“ผู้อาวุโส เจ้าเลวตรงนั้นทำให้ศิษย์น้องหญิงร้องไห้ เขากระทั่งยื้อยุด
เธอไว้เหมือนคนลามก”
“อะไรกัน” ผู้อาวุโสโกรธขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ในเมื่อซูหยินเป็นหนึ่ง
ในผู้ที่มีพรสวรรค์และเป็นศิษย์ที่หวงแหนมากที่สุดของพวกเขา
ทำให้เธอร้องไห้ก็เหมือนกับการล่วงเกินทั้งสำนักหงส์สวรรค์ ยิ่งไป
กว่านั้นแตะต้องตัวเธออย่างไม่เหมาะสม
“เอามือสกปรกของเจ้าออกไปจากเธอเดี๋ยวนี้
โดยไม่มีคำเตือนอะไรทั้งสิ้น ผู้อาวุโสจากสำนักหงส์สวรรค์ก็เข้า
โจมตีซูหยางด้วยฝ่ามือ
“เจ้ากล้าทำร้ายศิษย์ของข้าได้อย่างไรต่อหน้าข้า” โหลวหลานจีก็
พลันโคจรพลังปราณไร้ลักษณ์ของเธอและโจมตีสวนกลับ ป้องกัน
ซูหยางจากการโจมตีของผู้อาวุโสสำนัก และผลักผู้อาวุโสสำนักนั้น
ห่างออกไปหลายเมตร
ศิษย์นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยพลันพากันก่นด่าสำนักหงส์สวรรค์
“โจมตีผู้เยาว์โดยไม่มีวี่แวว เจ้ายังจะเรียกตัวเองว่าเป็นผู้อาวุโสสำนัก
ได้รึ”
“นี่เป็นสาวน้อยคนนี้ที่ปรากฏตัวขึ้นโดยไร้วี่แววและกอดศิษย์พี่ชาย
ของเรา มิใช่เป็นอย่างอื่น”
หลังจากที่ปะทะกันครั้งแรก ทั้งบริเวณนั้นก็พากันหลีกทางเปิด
ช่องว่างให้กับพวกเขา
“นั่นเป็นการต่อสู้”
“พวกเขาบ้าไปแล้วหรือเปล่า ต่อสู้ในเมืองหิมะร่วง หรือว่าพวกเขา
ลืมไปว่าพวกเขาอยู่ในเมืองไหนในตอนนี้”
“ออกไปให้พ้นทางถ้าเจ้ามิต้องการถูกลากเข้าไปพัวพัน ทหาร
ลาดตระเวนกำลังมาแล้ว”
เห็นทหารลาดตระเวนสองสามคนตรงมาที่พวกเขาจากที่ไกล
“เกิดอะไรขึ้นที่นี่ ใครเริ่มการต่อสู้นี้”
ทหารลาดตระเวนถามพวกเขาเมื่อมาถึง
“พวกเขาเริ่ม”
นิกายกุสุมาลย์ชี้นิ้วไปโดยไม่เสียเวลา
ทหารลาดตระเวนมองดูสำนักหงส์สวรรค์
“ส-สำนักหงส์สวรรค์รึ”
ทหารลาดตระเวนประหลาดใจที่เห็นสำนักระดับสูงนี้ที่สร้างปัญหา
“ทหาร พวกเขาโกหก เขาเป็นคนที่เริ่มต้นสิ่งนี้ เจ้าเลวนี่ทำให้ศิษย์น้อง
หญิงของพวกเราร้องไห้ เขาถึงกับแตะต้องตัวเธอโดยไม่เหมาะสม”
ศิษย์สำนักหงส์สวรรค์ตำหนิ
“…”
ทหารลาดตระเวนมองดูนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย แต่พวกเขาไม่
สามารถจดจำเสื้อผ้าอีกฝ่ายได้
“พวกเจ้าเป็นใครกัน” หนึ่งในทหารลาดตระเวนถาม เขาไม่ต้องการ
ที่จะล่วงเกินสำนักหงส์สวรรค์ แต่เขาก็ไม่ต้องการที่จะล่วงเกินผู้ที่
ไม่ทราบความเป็นมาเช่นกัน
“นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย ข้าคือผู้นำนิกาย” โหลวหลานจีก้าวออกมา
ด้านหน้า
ทหารลาดตระเวนมองหน้ากันเอง ไม่มีใครในหมู่พวกเขาเคยได้ยิน
ชื่อนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยมาก่อน
“ไม่สำคัญว่าพวกเขาเป็นใคร แต่พวกเขาทำให้ศิษย์ของพวกเราคน
หนึ่งร้องไห้ ข้าจักต้องให้เจ้าสำนักรู้เรื่องนี้หลังจากนี้” ผู้อาวุโส
สำนักที่โจมตีซูหยางพลันพูดขึ้น
โหลวหลานจีขมวดคิ้วและกล่าวว่า “เจ้าเป็นคนที่โจมตีก่อน เจ้ามิมี
ยางอายหรืออย่างไรกัน”
“ข้าขอพูด…” ซูหยางซึ่งได้เงียบมาตลอดเวลานี้พลันกล่าวขึ้น “พวก
เจ้าได้เห็นหรือไม่ว่าเกิดอะไรขึ้น พวกเจ้ารู้ไหมว่าทำไมเธอจึงร้องไห้”
“ม-ม-ไม่..” ผู้อาวุโสสำนักพูดขึ้นอย่างลังเล
“เช่นนั้นเจ้าก็โจมตีข้าโดยไม่มีเหตุผลอะไร ข้าต้องพูดว่าสำนักหงส์
สวรรค์นั้นช่างเอาแต่ใจตนมากมายทีเดียว” ซูหยางกล่าวด้วยสีหน้า
เรียบเฉย
“ระวังปากของเจ้า เจ้าเด็กเลว และรีบปล่อยศิษย์ข้ากลับมา”
ซูหยางส่ายหน้าและกล่าวต่อว่า “เจ้าตาบอดหรือไร มองดูพวกเรา
และบอกซิว่าใครเป็นคนยื้อยุดอีกคนอยู่ พูดอีกครั้งซิ”
บรรดาศิษย์ของสำนักหงส์สวรรค์มองดูเขาและซูหยินอีกครั้ง แต่
ครานี้มองอย่างใส่ใจมากกว่าเดิม
“น-นี่…”
พวกเขาต่างพากันตกตะลึงเมื่อตระหนักว่าเป็นซูหยินที่เกาะเขาไว้
“นี่เป็นสถานที่แบบไหนกันที่ดูแลน้องสาวของข้าอยู่ หือ น่าเป็น
ห่วงนัก” ซูหยางถอนใจ แสร้งทำตนเป็นพี่ชายที่เป็นห่วงเป็นไย
“จ-เจ้าพูดอะไรไป เธอเป็นน้องสาวของเจ้ารึ”
ไม่เพียงแค่สำนักหงส์สวรรค์ แต่กระทั่งโหลวหลานจีก็ยังมองดูเขา
ด้วยดวงตาเบิกกว้าง
“เขารู้ว่าซูหยินนั้นเป็นน้องของเขา แต่นั่นเป็นไปไม่ได้ เขามิควรจะ
มีความทรงจำอะไรเกี่ยวกับตระกูลซู เช่นนั้นเขาคืนความทรงจำแล้ว
รึ ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน” โหลวหลานจีครุ่นคิด