dual cultivation : ร่วมเรียงเคียงเซียน - Dual Cultivation ร่วมเรียงเคียงเซียน - บทที่ 409 ความสามารถที่แท้จริงของพวกเธอ
- Home
- dual cultivation : ร่วมเรียงเคียงเซียน
- Dual Cultivation ร่วมเรียงเคียงเซียน - บทที่ 409 ความสามารถที่แท้จริงของพวกเธอ
บทที่ 409 ความสามารถที่แท้จริงของพวกเธอ
หลังจากที่ทักทายกันแล้ว แต่ละสำนักก็กลับไปยังขอบเวทีก่อนที่จะ
ส่งนักสู้คนแรกออกมา
ไม่นานหลังจากนั้น สำนักกระบี่ศักด์ิสิทธ์ิก็ส่งศิษย์ที่อยู่ในระดับสูงสุด
ของเขตสัมมาวิญญาณออกมา
“ใครต้องการต่อสู้เป็นคนแรก” โหลวหลานจีถามพวกเธอ
“โอ ข้า ให้ข้าได้รับประสบการณ์เพลงกระบี่ของพวกนั้นเป็นอันดับ
แรกเถอะ ท่านผู้นำนิกาย” ศิษย์จินซีพลันยกมือขึ้น
โหลวหลานจีมองดูเธอและพยักหน้า “ระวังตัวไว้คู่ต่อสู้ของเจ้ามิ
เพียงมีระดับเหนือกว่าเจ้าสามระดับ แต่ปราณไร้ลักษณ์ของเขาก็
แน่นหนามากสำหรับคนที่อยู่ในระดับนั้น เขาต้องมีความแข็งแกร่ง
เท่ากับคนที่เพิ่งเข้าสู่เขตปฐพีวิญญาณแน่”
จินซีพยักหน้าด้วยสีหน้าจริงจัง
อย่างไรก็ตามขณะที่จินซีเตรียมตัวขึ้นไปบนเวที ซูหยางก็กล่าวขึ้น
“รอสักครู่”
เขาพลันตรงเข้าไปหาเธอและแตะหน้าผากของเธอเบา ๆ
จินซีพลันรู้สึกเหมือนกับว่าบางสิ่งภายในร่างได้ถูกคลายออก และ
พลังอันลึกล้ำก็เล็ดลอดออกมาภายใต้รังสีจากร่างของเธอ
“ข้าได้ปลดขีดจำกัดของเจ้าออกแล้ว ไปอาละวาดให้เต็มที่” ซูหยาง
กล่าวกับเธอพร้อมรอยยิ้ม
จินซียิ้มกว้างและพยักหน้าอย่างตื่นเต้น “ข้าจักมิทำให้ท่านผิดหวัง”
ครั้นเมื่อจินซีก้าวขึ้นไปบนเวทีแล้ว โหลวหลานจีก็ถามซูหยาง
“อะไรกันรึที่เจ้าเพิ่งทำกับเธอเมื่อกี้ ทำไมปราณไร้ลักษณ์ของเธอ
พลันแข็งแกร่งขึ้น”
“ข้าอาจจะมิได้กล่าวถึง แต่ก่อนหน้านี้เหล่าศิษย์มิได้ใช้พลังของพวก
เธอเต็มที่ ในเมื่อข้าได้วางขีดจำกัดไว้บนตันเถียนของพวกเธอ” ซู
หยางกล่าวเผยข้อมูลที่น่าตระหนกให้กับเธอ
“อะไรนะ เจ้าต้องการจะบอกข้าว่าพวกเธอได้ต่อสู้ด้วยศักยภาพเพียง
บางส่วนตลอดมานี้เช่นนั้นรึ ทำไมเจ้าต้องจำกัดความแข็งแกร่งของ
พวกเธอด้วย”
โหลวหลานจีตื่นตะลึงจนไม่อาจจะอธิบายได้ว่าเธอรู้สึกอย่างไร
ในตอนนี้
“ท่านจักเข้าใจในอีกไม่นาน มันย่อมมิสนุกถ้าพวกเธออยู่เหนือกว่า
มากจนเอาชนะการแข่งขันทุกนัดอย่างง่ายดายใช่ไหม”
โหลวหลานจียังไม่ตอบรับทันทีแต่หันไปมองจินซีแทน
“พวกเจ้าทั้งสองพร้อมหรือยัง” ซื่อตงถามพวกเธอหลังจากทั้งสอง
ฝั่งได้ส่งนักสู้ขึ้นไปบนเวทีแล้ว
จินซีและชายหนุ่มตรงหน้าเธอพยักหน้า
“เช่นนั้น การแข่งขันรอบแรกของการแข่งขันสี่สำนักสุดท้าย เริ่ม
ได้” ซื่อตงสะบัดมือก่อนที่จะถอยออกไปอยู่ที่ขอบเวที
ทันทีที่การแข่งขันเริ่มขึ้น ชายหนุ่มจากสำนักกระบี่ศักด์ิสิทธ์ิก็คำราม
จนทำให้รังสีจากร่างของเขาคมขึ้นจนคล้ายกับคมของกระบี่
“นั่นคือสำนึกกระบี่ใช่ไหม”
ผู้ชมพากันตระหนกเมื่อรู้สึกถึงรังสีอันคมกริบจากชายหนุ่ม ราวกับ
ว่าพวกเขากำลังมองไปยังจอมกระบี่
“ไม่ใช่นั่นมิใช่สำนึกกระบี่ นั่นเป็นเพียงการเลียนแบบของจริง มิมี
ทางที่พวกเขาจักสามารถปล่อยสำนึกกระบี่แท้จริงได้ ในเมื่อนั่น
ต้องการเวลาในการฝึกฝนนับสิบปีเพื่อทำความเข้าใจสำนึกกระบี่
อย่าว่าแต่จะสร้างมันขึ้นมา”
“แต่ทว่าถึงแม้ว่ามันจะเป็นของเลียนแบบ แต่นั่นก็ค่อนข้างน่า
ประทับใจในเมื่อมิใช่ใครก็ได้ที่สามารถเลียนแบบสำนึกกระบี่ได้
และนั่นก็สามารถบอกได้ว่าเขามีความเข้าใจในกระบี่อย่างลึกซึ้ง”
ผู้เชี่ยวชาญที่แท้จริงเท่านั้นที่ให้สำนึกกับพวกเขาได้
“แม้ว่าข้าได้นับถือพวกเจ้าที่มาได้ไกลถึงปานนี้ แต่นี่ก็นับได้ว่าไกล
ที่สุดที่พวกเจ้าจะมาถึงแล้ว”
ศิษย์สำนักกระบี่ศักด์ิสิทธ์ิชี้กระบี่ไปยังจินซีซึ่งยืนอยู่อย่างเยือกเย็นที่
นั่น
“จริงแล้วกระทั่งข้าก็มิคาดว่าพวกเราจักมาได้ไกลเพียงนี้มาก่อน”
จินซีกล่าวด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า
“แต่ทว่าข้าจักต้องคัดค้านเจ้าอย่างหนึ่งที่ว่านี่เป็นจุดสิ้นสุดของพวก
เราแล้ว พวกเรามิเพียงจักเอาชนะพวกเจ้า แต่พวกเรายังคงจักเอาชนะ
สำนักเมฆม่วงและกลายเป็นแชมป์”
ชายหนุ่มระเบิดเสียงหัวเราะออกมาหลังจากที่ได้ยินคำพูดของเธอ
และกล่าวว่า “เจ้าหวังที่จะเอาชนะพวกเรารึ แม้ว่าเจ้าอาจจะมีพลัง
การฝึกปรือที่น่าประทับใจ แต่นั่นก็เป็นทุกสิ่งที่พวกเจ้ามี และนั่น
ย่อมมิเพียงพอในการเอาชนะพวกเรา”
จินซีพลันจับกระบี่ข้างกายและกล่าวว่า “แม้ว่าพวกเรามิมีประสบการณ์
การต่อสู้จริงมากนัก แต่พวกเราก็ได้ประลองกับจอมกระบี่มาหลาย
ครั้ง มากพอที่จะจัดการกับคนอย่างเจ้า”
“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า จอมกระบี่รึ เพียงแค่คนที่จับกระบี่ได้มิได้หมายความว่า
พวกเขาเป็นจอมกระบี่หรอกนะ” ชายหนุ่มแค่นเสียงเหยียดหยาม
“กล่าวกับตนเองเถอะ เพียงเพราะว่าพวกเขาถูกเรียกขานว่าจอมกระบี่
นั่นมิได้หมายความว่าเขาเป็นจอมกระบี่ได้จริง” จินซีดึงกระบี่ออก
จากฝัก
วินาทีที่เธอดึงกระบี่ออก รังสีของจินซีก็พวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าและ
แหลมคมเหมือนคมกระบี่ ทำให้เหมือนกับว่าทั้งร่างของเธอกลายไป
เป็นกระบี่
“น-นี่คือ — เป็นไปไม่ได้”
เมื่อศิษย์ของสำนักกระบี่ศักด์ิสิทธ์ิตระหนักว่านี่เป็นสำนึกกระบี่ที่มา
จากร่างของจินซี ขาของเขาก็อ่อนยวบและล้มลงบนพื้น
“น-นี่เป็นสำนึกกระบี่ที่แท้จริง นี่เป็นไปได้อย่างไร”
ไม่เพียงแต่ศิษย์ของสำนักกระบี่ศักด์ิสิทธ์ิ กระทั่งคนอื่น ๆ ต่างก็พา
กันงุนงงกับสถานการณ์นี้
“เกิดอะไรขึ้นกัน ทำไมเธอจึงมีสำนึกกระบี่” ผู้อาวุโสจงทั้งร่างสั่น
สะท้านด้วยความตระหนกและไม่อยากเชื่อในเวลานี้
“นี่เป็นสิ่งที่ไม่คาดคิดอย่างแท้จริง…” กระทั่งเจ้าซีก็ไม่สามารถที่จะ
เข้าใจสถานการณ์ได้ “ข้ามิสามารถที่จะรับรู้สำนึกกระบี่จากร่างเธอ
ก่อนหน้านี้ และจู่ ๆ เธอก็พลันปลดปล่อยสำนึกกระบี่ เกิดบ้าอะไร
ขึ้นนี่”
“ซ-ซ-ซ-ซูหยาง เกิดอะไรขึ้น เธอพลันสามารถใช้สำนึกกระบี่ได้
อย่างไร ข้าจำมิได้ว่านิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยมีวิชากระบี่อะไรนอกจาก
กุสุมาลย์พ้นพิสัยศิลป์ และการทำความเข้าใจศิลปะการใช้กระบี่เพื่อ
สร้างสำนึกกระบี่ด้วยวิชาระดับมนุษย์นั้นปกติแล้วเป็นไปไม่ได้”
โหลวหลานจีกล่าวกับเขา
“หือ โอ ข้าสอนพวกเธอบางสิ่งบางอย่างเกี่ยวกับกระบี่เมื่อตอนพวก
เรามิได้ฝึกวิชาร่วมกัน” ซูหยางตอบอย่างง่าย ๆ
“เอ๋ น-นี่หมายความว่าพวกเธอทั้งหมดสามารถปลดปล่อยสำนึกกระบี่
รึ” โหลวหลานจีมองดูศิษย์คนอื่นด้วยดวงตาเบิกกว้าง
“แน่นอน” ซูหยางพยักหน้า “เพียงแค่ข้าได้ผนึกสำนึกกระบี่ของพวก
เธอไว้ภายในตันเถียนในเวลานั้น ดังนั้นเจ้าจึงมิอาจที่จะบอกได้”
“ม-ไม่น่าเชื่อ…” โหลวหลานจีไม่รู้ว่าจะคิดอย่างไรดีในเรื่องนี้และ
ได้แต่เพียงยอมรับความเป็นจริง