dual cultivation : ร่วมเรียงเคียงเซียน - Dual Cultivation ร่วมเรียงเคียงเซียน - บทที่ 413 เผยความแข็งแกร่งที่แท้จริง
- Home
- dual cultivation : ร่วมเรียงเคียงเซียน
- Dual Cultivation ร่วมเรียงเคียงเซียน - บทที่ 413 เผยความแข็งแกร่งที่แท้จริง
บทที่ 413 เผยความแข็งแกร่งที่แท้จริง
หลังจากที่ยึดกระบี่ของเย่ไฉอื้อแล้ว ซูหยางก็โยนมันทิ้งไปนอกเวที
ที่ซึ่งเธอไม่สามารถที่จะเอื้อมถึงได้
“นั่น ช่างสกปรก” ผู้ชมบางคนอุทานออกมา
แต่ทว่าเย่ไฉอื้อเพียงแค่แค่นเสียงและกล่าวว่า “เจ้าคิดว่าข้าจักไร้
ประโยชน์หากไร้กระบี่รึ ถึงแม้ว่าข้าจะมิมีสำนึกกระบี่ แต่ข้าก็ยัง
สามารถทำอะไรแบบนี้ได้”
เย่ไฉอื้อยกมือขึ้นและรังสีอันแหลมคมก็ครอบคลุมแขนของเธอ
เปลี่ยนมันให้เป็นกระบี่
“โห ถึงแม้ว่าเจ้ามิสามารถใช้สำนึกกระบี่ได้ เจ้าก็ยังสามารถใช้รังสี
กระบี่ได้รึ นั่นช่างน่าประทับใจจากคนที่เติบโตในสถานที่แห่งนั้น”
ซูหยางพยักหน้ายอมรับ
แม้ว่าพรสวรรค์ของเย่ไฉอื้ออาจจะไม่มีความหมายในสวรรค์
ศักด์ิสิทธ์ิทั้งสี่ แต่เธอก็เป็นคนที่มีพรสวรรค์ที่สุดคนหนึ่งในทวีปนี้
อย่างแท้จริง
“ถ้าเจ้าปรารถนาที่จะพัฒนาความสามารถในเชิงกระบี่ จงไปเยี่ยม
นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย ข้าจักช่วยเจ้าเรียนรู้สำนึกกระบี่ภายในหนึ่ง
เดือน” ซูหยางพลันกล่าวกับเธอด้วยรอยยิ้ม
“อะไรกัน” เย่ไฉอื้อไม่อยากเชื่อหูตัวเอง อีกฝ่ายกำลังพยายามที่จะ
รับเธอเข้านิกายต่อหน้าสำนักของเธอเองหรือไร เขาจะหน้าด้านไป
ถึงไหนกัน
กระทั่งผู้อาวุโสจงก็อดที่จะตะโกนหลังจากที่ได้ยินคำพูดของเขา
ไม่ได้ว่า “ซูหยาง เจ้ากำลังดึงคนไปหรืออย่างไร เจ้ากล้าพยายาม
เปลี่ยนใจศิษย์ข้าต่อหน้าข้าเลยหรืออย่างไร”
ซูหยางเลิกคิ้วและกล่าวว่า “ใครพยายามที่จะเปลี่ยนใจใครรึ ข้าเพียง
แค่พยายามที่จะช่วยเธอพัฒนาความสามารถในเชิงกระบี่ ในเมื่อ
เห็นชัดว่าเจ้ามิสามารถทำได้ดีเท่าไหร่นัก”
“เจ้า เจ้ากล่าวอ้างว่าสำนักกระบี่ศักด์ิสิทธ์ิมิได้ฝึกศิษย์ให้ดีอย่างนั้นรึ”
“ข้ามิได้กล่าวเช่นนั้น แต่ทว่าถ้าข้าเป็นคนที่ฝึกฝนเธอ เธอจักกลายเป็น
จอมกระบี่ที่แท้จริงหลายปีนานมาแล้ว” ซูหยางยักไหล่ “เจ้าใช้
พรสวรรค์ของเธออย่างสูญเปล่า”
“เจ้า…”
ผู้อาวุโสจงใบหน้าแดงก่ำด้วยความโกรธ เขาต้องการที่จะโต้แย้ง
คำพูดของซูหยาง แต่เมื่อเขานึกถึงศิษย์ของอีกฝ่ายที่มีสำนึกกระบี่
ทั้งหมด เขาก็ไม่สามารถที่จะแย้งออกมาได้แม้สักคำ
ซูหยางหันไปมองดูเย่ไฉอื้อและกล่าวต่อว่า “แม้ว่าเจ้าเป็นคู่ต่อสู้ของ
ข้าในตอนนี้ ข้าก็ยังยินดีที่จะช่วยเหลือสาวงามเสมอ ถ้าเจ้าตัดสินใจ
ว่าเจ้าต้องการที่จะเป็นจอมกระบี่ในอีกหนึ่งเดือนแทนที่จะเป็นสิบปี
ก็ไปหาข้าหลังจากการแข่งขันระดับภูมิภาค ข้าจักฝึกเจ้าให้ดี และข้า
สามารถสัญญาได้ว่าเจ้าจักกลายเป็นจอมกระบี่ที่แข็งแกร่งที่สุดเท่าที่
โลกนี้เคยเห็นมา”
“…”
เย่ไฉอื้อพูดไม่ออก ในเมื่อเธอไม่คิดว่าเขาจะรุกล้ำเธอในเวลาเช่นนี้
แต่ถึงแม้ว่าเธอจะกังขามากเพียงใด เสียงที่ชัดเจนของซูหยางก็ฟังดู
น่าเชื่อถือเป็นอย่างมาก
“แน่นอนว่า เจ้ามิจำเป็นต้องออกจากสำนักกระบี่ศักด์ิสิทธ์ิ” เขาพลัน
พูดเพิ่มเติม
“เจ้ากำลังโกหก มิมีทางที่เจ้าสามารถช่วยข้าได้ เจ้ามิมีคุณสมบัติที่จะ
พูดถึงสำนึกกระบี่ อย่าว่าแต่จะสอนคนอื่น ตามจริงบางทีเจ้าอาจจะ
เพียงแค่ต้องการทำเรื่องลามกกับข้า” เย่ไฉอื้อกล่าวกับเขา
“ถ้าข้ามิมีคุณสมบัติที่จะพูดเรื่องสำนึกกระบี่ เช่นนั้นก็มิมีใครในโลก
นี้ที่มีคุณสมบัติอีก” ซูหยางพูดด้วยเสียงกำแหง สร้างความตระหนก
ให้กับทุกคนที่นั่น
“ซูหยางคนนี้นี่ช่างอวดดีแม้ว่าจะอยู่เพียงแค่เขตคัมภีร์วิญญาณ”
“แม้ว่าเขาจะมีความสามารถบางอย่างที่เห็นชัดเจน เขาก็ยังอายุน้อย
เกินไปที่จะสอนสั่งคนอื่น”
“ใช่ เขากล้าที่จะสอนดรุณีกระบี่ศักด์ิสิทธ์ิในเรื่องสำนึกกระบี่ ในขณะ
ที่เขาเองก็ยังมิได้พิสูจน์ว่าตัวเขาเองสามารถใช้สำนึกกระบี่ได้”
“ข้าพนันว่าเขาเป็นคนเดียวที่มิสามารถใช้สำนึกกระบี่ได้ภายใน
นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย มิเช่นนั้นเขาก็คงมิหาข้ออ้างนี้ตั้งแต่เริ่มต้น”
“เจ้าคิดว่าเขาพยายามที่จะทำอะไรรึ ท่านผู้นำนิกาย ทำไมเขาต้องการ
ที่จะสอนเธอเป็นจอมกระบี่” หนึ่งในเหล่าศิษย์ถามโหลวหลานจี
“คงเหมือนกับสร้างความเชื่อถือ” โหลวหลานจีกล่าว “ถ้าเขาสามารถ
ช่วยดรุณีกระบี่ศักด์ิสิทธ์ิกลายเป็นจอมกระบี่ที่แท้จริง คนที่ปรารถนา
จะเป็นจอมกระบี่ย่อมต้องแห่กันไปที่นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยเหมือนกับ
นกในสวนสาธารณะที่อยู่ตรงหน้าอาหาร”
หลังจากที่เงียบไปชั่วขณะ เธอก็พูดต่อว่า “หรือไม่ก็… เขาเพียง
ต้องการที่จะมุดเข้าไปในเสื้อผ้าของเธอ…”
“…”
เหล่าศิษย์ต่างพากันพูดไม่ออกหลังจากที่ได้ยินประโยคหลังของเธอ
“ถ้าเจ้ายังคงมิเชื่อข้า เจ้าสามารถถามเจ้าสำนักของเจ้าได้ อย่างไรก็
ตามเขารู้เรื่องของข้าอยู่บ้างแล้ว” ซูหยางกล่าวกับเธอขณะที่มองดูผู้
อาวุโสจงด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า
“อย่าฟังคำเขา เย่ไฉอื้อ แม้ว่าความสามารถเชิงกระบี่ของเขาจะดีกว่า
ข้า เขาก็เป็นคนที่มิน่าเชื่อถือ” ผู้อาวุโสจงพลันกล่าว
“เอ๋ ท่านเพิ่งพูดอะไรไปรึ ท่านเจ้าสำนัก” เย่ไฉอื้อและทุกคนที่ได้ยิน
คำพูดผู้อาวุโสจงหันไปมองเขาด้วยดวงตาเบิกกว้างเต็มไปด้วยความ
ตระหนก
“ข้าพูดว่าเขามิใช่คนที่เจ้าควรเชื่อถือ เขาเป็นคนประเภทที่มีความ
ต้องการแอบแฝง” ผู้อาวุโสจงพูดย้ำ
“ไม่ มิใช่เรื่องนั้น ท่านเจ้าสำนัก อะไรที่ท่านพูดก่อนหน้านั้น…”
“แม้ว่าความสามารถเชิงกระบี่ของเขาจะดีกว่าข้า… โอ” ผู้อาวุโสจง
สุดท้ายก็ตระหนักว่าตนเองได้พูดอะไรไปและได้แต่จ้องมองเย่ไฉอื้อ
ด้วยใบหน้าแดงเล็กน้อย
อย่างไรก็ตามเขากระแอมออกมาหลังจากนั้นและหันไปมองดูซูหยาง
ด้วยสีหน้าจริงจังและกล่าวว่า “ซูหยาง ทำไมเจ้ายังคงแกล้งทำเป็น
คนอ่อนแอในเขตคัมภีร์วิญญาณ ความแข็งแกร่งที่แท้จริงของเจ้าจัก
ต้องเปิดเผยไม่ช้าก็เร็ว ทำไมเจ้ามิถอดหน้ากากออกเสียที”
“…” ซูหยางหรี่ตาเล็กน้อยหลังจากที่ได้ยินคำของผู้อาวุโสจง และ
เขาก็พูดขึ้นว่า “ข้ามิได้มีเจตนาที่จะซุกซ่อนความแข็งแกร่งที่แท้จริง
ของข้าเนิ่นนานปานนี้ เพียงแค่ว่ามิมีเหตุผลให้ข้าต้องเปิดเผยมัน
อย่างไรก็ตามในเมื่อก็ต้องเปิดเผยในวันพรุ่งนี้อยู่ดี ข้าก็ควรเผยมัน
เสียตอนนี้ดีไหม”
ซูหยางหันไปมองดูเย่ไฉอื้อและกล่าวว่า “อย่าเข้าใจผิด ความแข็งแกร่ง
ของเจ้าในตอนนี้มิได้เพียงพอที่จะให้ข้าใช้ความแข็งแกร่งที่แท้จริง
แต่ในเมื่อเจ้าถามถึงคุณสมบัติของข้า เช่นนั้นก็ขอให้ข้าได้แสดงถึง
คุณสมบัติของข้าก็แล้วกัน”
“อะไร…”
ก่อนที่เย่ไฉอื้อจะทันได้ตอบ ดวงตาซูหยางก็เปล่งประกายความลึก
ล้ำ และราวกับมังกรที่หลับใหลได้ตื่นขึ้น ร่างกายของเขาพลันระเบิด
กลิ่นอายที่น่าหวาดหวั่นที่สั่นสะท้านไปถึงหัวใจของทุกคนที่ตรงนั้น
ระดับพลังการฝึกปรือของซูหยางที่อยู่ในเขตคัมภีร์วิญญาณพลันทะลุ
เข้าสู่เขตสัมมาวิญญาณในทันทีก่อนที่จะเข้าถึงระดับสูงสุดของเขต
สัมมาวิญญาณภายในวินาที ไม่นานหลังจากนั้นพลังการฝึกปรือของ
เขาก็เข้าสู่เขตปฐพีวิญญาณ
แต่ทว่ามันไม่ได้หยุดแค่นั้นเมื่อพลังการฝึกปรือของเขายังคงเพิ่มขึ้น
ต่อไป
ระดับหนึ่งเขตปฐพีวิญญาณ… ระดับสอง… ระดับสี่…. ระดับเจ็ด…
ระดับเก้า…
หลังจากที่ถึงระดับเก้าเขตปฐพีวิญญาณ พลังการฝึกปรือของเขาก็ได้
หยุดยั้งอยู่สองสามวินาทีก่อนที่จะเข้าสู่เขตอัมพรวิญญาณในทันที
“จ-จ-จ-เจ้าจริงแล้วเป็น… นั่นเป็นไปไมได้” เย่ไฉอื้อล้มลงก้นจ้ำเบ้า
หลังจากที่เห็นการเปลี่ยนแปลงพลังการฝึกปรือของซูหยางอย่าง
มากมาย ราวกับว่าเธอกำลังดูเด็กที่เติบโตเป็นผู้ใหญ่ในช่วงเวลาที่ไม่
นานนัก
ไม่เพียงแต่แค่เย่ไฉอื้อ เกือบทุกคนที่ดูอยู่ได้ยืนขึ้นด้วยความตระหนก
ดวงตาของพวกเขาเต็มไปด้วยความไม่อยากเชื่อ
“ข-ข-ข-เขตอัมพรวิญญาณ…” โหลวหลานจีเกือบล้มลงจากความ
ตระหนกหลังจากที่รู้ถึงความแข็งแกร่งที่แท้จริงของซูหยาง
“พระเจ้าช่วย” ผู้อาวุโสซุนอ้าปากกว้าง เช่นเดียวกับตระกูลซุนที่ได้ดู
อยู่อย่างเงียบ ๆ จากที่นั่งผู้ชม
“สมกับเป็นพี่ชายที่รักของข้า… มิมีใครในโลกนี้ที่เจ๋งและหล่อเหลา
ไปกว่าเขา…” ซูหยินร่างกายสั่นสะท้านไปด้วยความยินดี ในขณะที่
อาจารย์ของเธอ ไป่ ลี่ฮัวได้แต่เพียงยืนขึ้นด้วยหน้าตาตื่นตะลึง
หลังจากการเปลี่ยนแปลงอันเร้าอารมณ์ของเขาแล้ว ซูหยางก็มองดูเย่
ไฉอื้อด้วยรอยยิ้มลำพองบนใบหน้า แล้วพูดว่า “ตอนนี้… เจ้ายังคง
สงสัยคุณสมบัติของข้าอยู่หรือไม่”